xs
xsm
sm
md
lg

My Winnipeg : หนังที่เราจะไม่ลืม/โสภณา

เผยแพร่:   โดย: โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล


ดิฉันไม่เคยนับจริงจังว่า ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา ดูหนังไปแล้วจำนวนเท่าไหร่ แต่กะประเมินคร่าวๆ ว่า ตัวเลขน่าจะยังอยู่แถวแค่หลักร้อย ช่วงไหนแรงเหลือก็ดูเยอะหน่อย ช่วงไหนเลี่ยนๆ เอียนๆ ดิฉันสามารถอยู่ในโลกที่ไม่มีหนังเป็นส่วนประกอบได้เป็นเดือนโดยไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดขาดพร่องไปจากชีวิต

หนังทั้งหมดที่ดู มีอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งดิฉันจัดมันไว้เป็นหมวดหมู่ส่วนตัวในใจว่า เป็นหนังกลุ่ม “ลืมไม่ลง” – ไม่ว่าจะเป็นเพราะประทับใจมันอย่างมาก ไม่ประทับใจอย่างมาก หรือเหวออย่างมาก เพราะหนังประหลาดล้ำถึงขั้นที่ชีวิตนี้ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลยก็ตาม

ในบรรดาหนังที่ดูแล้วลืมไม่ลงเหล่านั้น มี My Winnipeg รวมอยู่ด้วยเรื่องหนึ่ง

หนังเป็นผลงานกำกับของ กาย แมดดิน (The Heart of the World, The Saddest Music in the World) ผู้กำกับชาวแคนาดา หนังเปิดตัวที่ประเทศบ้านเกิดในปี 2007 ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของประเทศในปีนั้น นอกจากนั้น นิตยสาร Time ของอเมริกา ยังจัดให้มันเป็น 1 ใน 10 หนังยอดเยี่ยมประจำปี 2008 ด้วย (เพราะกว่าหนังจะไปฉายที่อเมริกา เวลาก็ล่วงเลยไปถึงปีถัดไปแล้ว)

จากปากคำของกาย แมดดิน - เขาให้นิยาม My Winnipeg ว่ามันเป็นหนังแนว docu-fantasy กล่าวคือ เป็นการนำแนวทางภาพยนตร์ที่ถือเป็นขั้วตรงข้ามและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 2 แนวทาง มาผนวกรวมเข้าด้วยกัน - documentary ที่เน้นความจริง และ fantasy ซึ่งเน้นภาพฝันจินตนาการ ผลลัพธ์คือ My Winnipeg กลายเป็นหนังซึ่ง ไม่ว่าใครจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผู้ชมแทบทั้งหมดล้วนเห็นตรงกัน ก็คือ มันเป็นหนังที่ให้ความรู้สึก “ประหลาด” และ “พิศวง” เอามากๆ เรื่องหนึ่ง

เค้าโครงเนื้อหาของ My Winnipeg กล่าวอย่างรวบรัดคือ มันเล่าถึงผู้กำกับหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินทางโดยรถไฟเพื่อไปให้พ้นจากเมืองวินนิเพก ระหว่างการเดินทาง ความคิดของเขาโลดแล่นไปยังเรื่องราวต่างๆ หลากหลาย ทว่าสองสิ่งที่เขาคิดคำนึงถึงมากที่สุด หนึ่ง ก็คือแม่ของเขา และสอง คือเมืองวินนิเพก

เรื่องราวของแม่นั้น ความคิดของผู้กำกับหนุ่มจำกัดขอบวงอยู่ตรงเหตุการณ์เมื่อครั้งเขาลงทุนเช่าบ้านเก่าที่ตัวเองเคยอาศัยอยู่สมัยยังเด็ก จากนั้นก็พาแม่และนักแสดงวัยรุ่นสี่คนไปอยู่กันที่นั่น ผู้กำกับหนุ่มต้องการจำลองภาพครอบครัวของตนในอดีต (เพราะมีบางเหตุการณ์ที่เขายังฝังใจจำจนกระทั่งทุกวันนี้ และคิดว่า การได้เห็นภาพเหล่านั้นอีกครั้ง อาจทำให้เขาเข้าใจมันกระจ่างแจ้งถ่องแท้มากยิ่งขึ้น) เขาให้แม่มาเล่นเป็นตัวเอง ส่วนนักแสดงวัยรุ่นพวกนั้น ก็คือผู้ที่จะมารับบทเป็นตัวเขาและพี่น้องของเขา

เท่าที่อ่านประวัติของแมดดินคร่าวๆ รวมถึงบทสัมภาษณ์ในหลายวาระของเขา ดิฉันค่อนข้างจะแน่ใจว่า เรื่องราวของผู้กำกับหนุ่มกับครอบครัวนั้น แท้จริงแล้วมันก็คืออัตชีวประวัติของตัวกาย แมดดินนั่นเอง (ตามประวัติบอกว่า แมดดินเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งสิ้น 4 คน พี่ๆ ทั้งสามของเขาประกอบไปด้วย จาเนท คาเมรอน และ รอส ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับพี่น้องของผู้กำกับในเรื่อง)

ส่วนเรื่องของเมืองวินนิเพก สิ่งที่ผู้กำกับหนุ่มนึกถึง มีทั้งประวัติศาสตร์ไกล ประวัติศาสตร์ใกล้ ตำนานของเมือง สิ่งละอันพันละน้อยอันเป็นลักษณะเฉพาะของเมืองเมืองนี้ และเหนืออื่นใดก็คือ ความผูกพันของเขากับวินนิเพก...เมืองที่เป็นบ้านเกิด เมืองที่เขาทั้งรักทั้งชัง เมืองที่เขาเคยอยู่มาทั้งชีวิต

หนังตัดสลับเหตุการณ์ทั้งสามส่วน (ผู้กำกับหนุ่มบนรถไฟ – การจำลองภาพเหตุการณ์ที่บ้านเก่า – เรื่องเล่าของเมืองวินนิเพก) โดยมีเสียงบรรยายของผู้กำกับหนุ่มดังคลอไปตลอดทั้งเรื่อง ทำหน้าที่ทั้งบรรยายภาพที่กำลังปรากฏบนจอ และทั้งเป็นตัวเชื่อมประสานเรื่องราวทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน

ความไม่ธรรมดาของ My Winnipeg ก็คือ เหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น หนังนำมาเรียงร้อยเข้าด้วยกันโดยใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบ “กระแสสำนึก” กล่าวคือ มันไม่ได้ถูกบอกเล่าโดยเรียงลำดับเวลา และเหตุการณ์ในฉากหนึ่งก็อาจไม่สอดรับกับเหตุการณ์ในฉากถัดไปหรือฉากก่อนหน้า นอกจากนั้น ในหลายช่วงหลายตอนมันยังมีลักษณะเพ้อฝัน เป็นการเปรียบเปรยอุปมา เป็นนามธรรมที่คล้ายๆ กับจะไร้ความหมาย และไม่อาจจับต้องได้เท่าใดนัก

พูดอีกแบบก็คือ หนังมีลักษณะของการ “เล่าไปเรื่อย” สุดแท้แต่ว่าความคิดของผู้กำกับหนุ่มจะพาผู้ชมล่องลอยไป ณ ที่แห่งใด – เพื่อความชัดเจน ขออนุญาตยกตัวอย่างคำบรรยายในหนังมาประกอบ...

“วินนิเพก วินนิเพก วินนิเพก วินนิเพกที่หิมะจับหนาและเดินละเมอเป็นบ้า บ้านที่ผมอยู่ชั่วชีวิต...ชั่วชีวิตของผม ผมต้องไปจากมัน ผมต้องไปจากมัน ผมต้องไปจากมันเสียแต่ตอนนี้...ชุมทางรถไฟที่ชุกชุมที่สุดในโลก เส้นทางหลัก เส้นทางเหล็ก ทางออก รถไฟที่ฝันถึง ฉึกฉัก ฝัน นอนฉึกฉัก ออกจากตักของเมือง ออกจากตักที่ได้รับการนิยามด้วยย่านประวัติศาสตร์ฟอร์คส์ ออกจากเร้ด ออกจากแอสซินิบวน แม่น้ำ...แอสซินิบวนและเร้ด แม่น้ำที่บีบให้สัตว์และผู้ล่าห้อตะบึงไปในทิศทางเดียวกัน ลำน้ำ หน้าตัก ลำน้ำ หน้าตัก ลำน้ำ หน้าตัก เหตุผลที่เรามาอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ใจกลางทวีปเช่นนี้ ใจกลางแห่งใจกลางทวีป ตักที่ถูกไล่ล่า ตักที่มีขนคลุมหนา ตักของผู้เป็นมารดา เส้นทางหลัก ลำน้ำใต้ฟอร์คส์”

หรืออีกตัวอย่าง
“คงเพราะความง่วงงุนที่ทำให้ชาววินนิเพกยังอยู่ที่นี่ ถ้าเพียงแต่ผมจะสามารถบังคับตัวเองให้ตื่น ใส่ใจกับที่หมาย...จงตื่น จงตื่น จงตื่น เรานอนขณะเดิน เดินขณะฝัน วินนิเพกมีสถิติคนเดินละเมอสูงกว่าเมืองอื่นๆ ของโลก 10 เท่า และเพราะเราฝันถึงที่ที่เราเดิน และเดินสู่ที่ที่เราฝัน เราจึงหลงทางเสมอ เรามึนงงสับสน หลับทั้งที่ยืน...เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เหตุใดเราจึงง่วงงุนนัก เหตุใดเราจึงไม่อาจบังคับดวงตาให้ลืมขึ้น เพราะการจับคู่อันน่าสนเท่ห์ของแม่น้ำสองสายนั้นหรือ หรือเพราะอิทธิพลจากวัวไบซัน แสงเหนืออันทรงอานุภาพ เราหารู้ไม่ เราหลับ เราเดินละเมอ เราเดินละเมอ”

แม้จะดูมึนๆ งงๆ ลึกล้ำ เข้าใจยากอยู่สักหน่อย ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว My Winnipeg ก็ไม่ใช่หนังซับซ้อนหลายชั้นที่เรียกร้องผู้ชมให้ต้องขบคิดหัวแทบแตกไปกับมัน กาย แมดดินไม่ได้สอดไส้สัญลักษณ์ให้ผู้ชมถอดรหัสตีความใดๆ ทั้งนั้น เขาเพียงแต่มีเรื่องที่อยากจะเล่า และสิ่งเดียวที่เขาเรียกร้องจากผู้ชม ก็เป็นแต่เพียง “เวลา” ที่จะนั่งนิ่งๆ เพื่อตั้งใจฟังเรื่องเล่าของเขาเท่านั้น

ที่สำคัญคือ เรื่องเล่าของแมดดินเรื่องนี้ไม่ได้จืดชืด แห้งแล้ง เย็นชา ทว่ามันเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึก ทั้งตื่นเต้น ระทึกขวัญ น่าสะพรึงกลัว เศร้าสร้อย ขบขัน ทั้งความรู้สึกในท่วงทำนองถวิลหาอดีต...การคิดคำนึงถึงวันเก่าคืนก่อน ที่ผ่านพ้นไปแล้ว และไม่อาจเรียกร้องให้หวนคืน

เหนืออื่นใด My Winnipeg คือการแสดงความรักของแมดดินต่อบ้านเกิดและแม่ผู้ให้กำเนิดที่จับใจอย่างยิ่ง

ทั้งวินนิเพกและแม่ในความคิดของเขา ไม่ได้มีเพียงด้านที่งดงามรื่นรมย์สุขสม ตรงข้าม มีหลายอย่างในเมืองนี้ที่เขาไม่ชอบใจ มีการกระทำบางอย่างของแม่ที่เขาพบว่าไม่น่ารัก มีหลายครั้งที่เขาอยากหนีไปให้พ้นจากเมือง และบ่อยไป ที่เขาหวังจะไปให้พ้นจากแม่

อย่างไรก็ตาม ลงท้าย แมดดินก็สรุปให้ผู้ชมฟังว่า ไม่ว่าเขาจะเคยรู้สึกเป็นลบเป็นร้ายกับแม่และวินนิเพกมากแค่ไหน ทว่าถึงที่สุดแล้ว เมืองที่เขาเรียกได้เต็มปากว่า “บ้าน” และผู้หญิงที่เขาเรียกขานได้อย่างเต็มหัวใจว่า “แม่” ก็มีเพียงอย่างละหนึ่ง

เขาพยายามที่จะหนีไปจากทั้งคู่อยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยทำสำเร็จสักครั้ง

และที่ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง อาจเพราะในความเป็นจริง เขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะทำมันให้สำเร็จก็เป็นได้




กำลังโหลดความคิดเห็น