xs
xsm
sm
md
lg

“อาร์เอส” พูดเต็มปาก "พ่อนาธาน" อยู่เนปาล ส่วนเรื่องโกงอายุซัดความผิดเขต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“อาร์เอส” โผล่ คอนเฟิร์มเต็มปากเชื่อพ่อ “นาธาน” เป็นเนปาลถึงแม้จะไม่เคยเจอทั้งพ่อและแม่ก็ตาม ส่วนเรื่องโกงอายุโบ้ยเป็นความผิดอำเภอ ยันงานนี้อาร์เอสไม่เสียเพราะไม่ได้ร่วมมือโกหก เชื่อสิ่งที่นาธานบอกคือความจริง

ยังคงเป็นเรื่องกังขา ที่ยังหาคำตอบที่ถูกต้องชัดเจนไม่ได้ แถมยังมีชนวนให้ได้ตามสืบเสาะหาความจริงอีกเยอะ สำหรับประวัติชีวิต และเรื่องราวของหนุ่ม “นาธาน โอร์มาน” จากที่ว่าเป็นลูกครึ่งไทย-เนปาล ก็มีข้อมูลที่ขัดแย้งและเชื่อถือได้ จากปากของยายแท้ๆ อย่าง “ยายออง” บอกว่า หลานคนนี้เป็นคนไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยพ่อมีบ้านเกิดอยู่ที่นครศรีธรรมราช ส่วนแม่เป็นคนสุราษฎร์ธานี

หรือจะเป็นเรื่องโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง “The Prince Of Red Shoe” ประกบดาราดังชื่อก้องโลก “บรู๊ซ วิลลิส และคริสติน่า ริชชี่” โดยมี “วูลฟ์ กัง ปีเตอร์สัน” และ “มูฮำหมัดซูอัต” เป็นผู้กำกับ ซึ่งหลายๆ คนและสื่อหลายๆ แขนง ไม่เว้นพระเอกรุ่นพี่ที่เคยสนิทสนมกับนาธาน อย่าง “อ้น สราวุฒิ มาตรทอง” ต่างก็ช่วยกันเช็ค จากค่ายหนัง และแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ปรากฎไม่เคยมีการถ่ายทำหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด

เมื่อมีการขุดคุ้ยเช่นนี้ แน่นอนต้นสังกัดเดิมของ “นาธาน” อย่างอาร์เอส ย่อมต้องถูกเพ่งเล็งตามไปด้วยว่า มีส่วนรู้เห็นเป็นใจร่วมเมคประวัติให้อดีตศิลปินคนนี้หรือไม่ โดยล่าสุด “แหม่ม พัชริดา วัฒนา” ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส ฝ่ายพัฒนาศิลปิน บริษัทอาร์เอส และยังเป็นผู้ชักชวนนาธาน ให้มาเซ็นสัญญาเป็นนักร้องกับอาร์เอส ได้เปิดเผยว่า ไม่มีส่วนร่วมลวงโลกกับนาธาน และยังคงเชื่ออดีตนักร้องหนุ่มโกอินเตอร์ ได้เล่นหนังฮอลลีวู้ดจริงๆ

“ก่อนอื่นแหม่มต้องบอกก่อนว่า ณ วันนี้แหม่มยังไม่รู้สึกว่านาธานผิดหรือถูกนะคะ เพราะแหม่มเองก็ได้รับข้อมูลเหมือนกับสื่อมวลชน คือน้องเขาก็ยืนยันกับแหม่มในการคุยกันทุกครั้งว่าได้ไปถ่ายหนังแน่ๆ และเขาก็เล่าด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะฉะนั้นในมุมของแหม่ม ณ เวลาแรกก็คือเชื่อไว้ก่อนว่าน้องได้ไปทำงาน”

“แต่ส่วนที่ว่าอาร์เอสร่วมมือในการหลอกลวงเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนแรกที่เราเอานาธานเข้ามาทำงาน แหม่มเป็นคนเอาเขาเข้ามาเอง ณ วันนั้นแหม่มก็รู้จักเขาในนามของ นาธาน โอร์มาน ซึ่งเห็นเขาจากการเป็นนายแบบนิตยสารฉบับนึง และในนิตยสารฉบับนั้นก็ลงภาพเขา พร้อมกับเขียนว่าเป็นลูกครึ่งไทย-เนปาล เราถึงได้สนใจไปติดต่อเขาว่า ลองมาเทสต์กับเรามั้ย พอจะเป็นนักร้องหรือเป็นดาราได้หรือเปล่า”

“ปรากฏเขาร้องเพลงเพราะ ก็เลยมีการทาบทาม เพราะฉะนั้นวันนั้นแหม่มไม่ได้คิดว่ามันจะมีอะไรมากมายไปกว่าเด็กลูกครึ่งคนนึง แล้วก็มีโอกาสได้มาทำงาน ก็ไม่ได้มีการหลอกลวงหรือปรุงแต่ง เพราะแหม่มรู้จักเขาครั้งแรกคือนาธาน โอร์มานจริงๆ”

เผยชื่อในบัตรประชาชนของ “นาธาน” ณ วันที่เดินเข้ามาเป็นศิลปินในสังกัด ใช้ชื่อ “ธัญญวัฒน์ หยุ่นตระกูล” ไม่ใช่ “นาธาน โอร์มาน”

“แหม่มทราบว่าชื่อในบัตรประชาชน ณ วันที่เขามาสมัครกับแหม่ม เขาใช้ชื่อว่า ธัญญวัฒน์ ซึ่งในความรู้สึกของแหม่ม ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการหลอกลวงอะไร เพราะนักร้องนักแสดงหลายคนที่มาเริ่มกับเรา บางคนจะมีชื่อแฝง เช่นชื่อจริง นามสกุลจริง แล้วก็ชื่อแฝง ซึ่งแหม่มก็คิดว่ามันคงเป็นแบบนั้น นาธานอาจจะเป็นชื่อที่คนเนปาลเรียกเขา โอร์มานก็เป็นนามสกุลของเขา”

“ชื่อธัญญวัฒน์ที่เป็นชื่อไทย เราก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้จริงๆ แล้ววันนั้นน้องก็ยังใหม่มากในวงการ ทุกอย่างที่เราทราบมันเป็นข้อมูลจริงๆ อย่างที่บอกว่าในนิตยสารก็บอกว่าเขาเป็นลูกครึ่งไทย-เนปาล เช็คทางบ้านเขาก็ทราบว่าคุณพ่ออยู่เนปาล คุณแม่อยู่ใต้ คือเราก็ทราบอย่างนี้ว่าเป็นลูกครึ่ง เพราะฉะนั้นมันไม่มีอะไรที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องหลอกลวงเลย”

“แหม่มไม่เคยเจอพ่อแม่น้องนะคะ เพราะตอนที่น้องมาอยู่กับอาร์เอส น้องบรรลุนิติภาวะแล้ว อายุ 20 แล้ว เราก็ทราบว่าคุณพ่อเขาอยู่เนปาล คุณแม่อยู่ต่างจังหวัด และน้องดูแลตัวเอง ก็เหมือนอย่างที่ทุกคนทราบประวัติเขา เขาเป็นเด็กสู้ชีวิตมา ทุกคนก็รู้ว่านาธานดูแลตัวเองมาโดยตลอดแบบนั้น”

“ถามว่าแหม่มเอะใจบ้างมั้ย ไม่เอะใจเลยค่ะ อย่างที่บอกจนถึงวันนี้แหม่มก็ยังไม่ได้คิดว่านาธานโกหก จนกว่าจะมีหลักฐาน เช่นไม่ได้ไปเล่นหนังจริงๆ ซึ่งแหม่มเชื่อว่าเวลามันจะพิสูจน์ เพราะฉะนั้นถ้าถามวันนั้นในทางกฎหมายทุกอย่างมันถูกต้อง เพราะมีบัตรประชาชน มีพาสปอร์ต ในทางการเช็คประวัติเบื้องต้นมันก็เป็นจริง คือไม่ได้บอกหรอกว่าเป็นลูกครึ่งไทย-เนปาล แต่จริงๆ เป็นลูกครึ่งไทย-จีนมันก็ไม่ใช่ คือทุกคนก็คอนเฟิร์มแบบนั้น เพราะฉะนั้นถือว่าในส่วนของการทำงานทุกอย่างถูกต้อง”

“มาตรการของอาร์เอสในการรับเด็ก แน่นอนเราก็ต้องดูแล อย่างตอนนาธานเราก็ตรวจเช็ค คือเขาไม่ได้เป็นคนผิดกฎหมาย เขาไม่ได้เป็นคนเถื่อน เขามีบัตรประจำตัว คือถ้าอยู่ดีๆ คนนี้ไม่มีบัตรประจำตัวเราเซ็นสัญญาไม่ได้ทางกฎหมาย เพราะฉะนั้นจนถึงทุกวันนี้อาร์เอสก็ยังมีมาตรการ เช่นเด็กถ้าจะมาเซ็นสัญญากับอาร์เอส อายุต่ำกว่า 15 คุณพ่อคุณแม่ต้องมา”

“ถ้าอายุบรรลุนิติภาวะแล้วเด็กเซ็นเองได้ แต่ก็ต้องมีเอกสารครบถ้วน มีบัตรประชาชน มีสำเนาทะเบียนบ้าน แล้วก็การสืบประวัติส่วนตัวเท่าที่ทำได้ ตรวจเช็คสำเนาทะเบียนบ้าน ตรวจเช็คครอบครัว ถามว่ามันจะมีโอกาสเกิดการหลอกลวงแบบนี้อีกมั้ย แหม่มว่ามันอยู่ที่ตัวบุคคลแล้วค่ะ”

ปัดไม่รู้อายุจริงของนาธาน ในบัตรประชาชนชี้ปีเกิดมาอย่างไรก็เชื่อตามนั้น โบ้ยเป็นความผิดของที่ว่าการอำเภอ ที่ออกบัตรให้โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริง

“เรื่องอายุแหม่มไม่รู้จริงๆ แหม่มเป็นคนนอก ดูบัตรประชาชนมันบอกว่าวัน เดือน ปีเกิดเท่าไหร่ แหม่มก็ต้องตามนั้น สมมติว่าแหม่มรู้จักน้อง แล้วน้องเอาบัตรให้ดู แล้วแหม่มถามว่าจริงเหรอ น้องโกหกเรื่องอายุรึเปล่า มันก็ไม่ใช่เรื่องแรกที่เราจะคุยกันถูกมั้ยคะ แต่แหม่มว่าประเด็นมันอยู่ตรงที่เขตต่างหาก"
 
"ถ้าเขตสามารถเปลี่ยนวันเดือนปีเกิดของคนได้โดยไม่เช็ค เราจะรู้ได้ยังไง ในเมื่อเราเป็นประชาชนถูกมั้ยคะ เพราะฉะนั้นตรงนี้แหม่มว่ามันอยู่ที่เจตนา ถ้านาธานไม่ได้โกหกเรื่องอายุจริง มันก็กลายเป็นเรื่องที่คนพูดกันไปใหญ่โต แต่ถ้าเขาทำมันก็คงมีเหตุผลส่วนตัว แล้วก็คงต้องย้อนถามไปที่ระบบกฎหมายว่า ปล่อยให้เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร”

“น้องอยู่ในบริษัทหลายปีนะคะ ทุกคนก็รู้จักเขาในนาม นาธาน โอร์มาน แล้วเขาก็ทำงาน ทุกคนก็รู้จักเขาจากเหตุการณ์สึนามิ เราก็ค่อยๆ รู้จักเขามากขึ้นทีละนิด ทีละหน่อย จนมารู้เรื่องเล่นหนังฮอลลีวู้ด แหม่มก็รู้เท่าๆ กับนักข่าว จนถึงล่าสุดก็ถามเขาด้วยความห่วงใยว่า ตกลงเรื่องมันเป็นยังไง เขาก็ยังยืนยันกับแหม่มเหมือนอย่างที่เขาพูดออกสื่อว่า เล่นหนังจริงๆ ก็ขอให้รอดู”

ยันอาร์เอสไม่ทราบเรื่องไปเล่นหนังฮอลลีวู้ด เนื่องจากนาธานหมดสัญญาไปก่อน

“ถามว่าเป็นไปได้มั้ยที่อาร์เอสจะไม่ทราบเรื่องนี้เลย มันเป็นไปได้ค่ะ เพราะตอนที่น้องไปติดต่อกับบริษัทหนัง น้องหมดสัญญากับอาร์เอสแล้ว เพราะฉะนั้นการดูแลตรงนี้อาร์เอสไม่รู้จริงๆ แหม่มไม่ได้รู้เพราะเป็นอาร์เอส แต่แหม่มรู้เพราะสนิทกัน น้องมาบอก
ก็ถามว่าเออได้ข่าวว่าเล่นหนังจริงเหรอ ยังเตือนเขาเลยว่าถ้าได้สตางค์เยอะขนาดนั้น ต้องระวังการใช้จ่ายแล้วนะ คือมันเป็นเรื่องของพี่กับน้องค่ะ”

“วันที่นาธานหมดสัญญากับอาร์เอส วันนั้นยังไม่มีเรื่องหนัง วันนั้นมีแค่ว่ากำลังจะไปถ่ายรายการทีวีโน่นนี่เขาเชิญมา แล้วเราก็จากกันด้วยดี หมายความว่าอาร์เอสกับนาธานจากกันด้วยดี อาร์เอสก็บอกว่าเรื่องทำเพลง อาร์เอสอาจจะไม่ได้ทำให้นาธานแล้ว แต่เรื่องอื่นๆ มีอะไรก็เข้ามาหากันได้ตลอด มันจบไปแบบนั้น และก็จำได้ว่าผู้ใหญ่ในอาร์เอสยังมาถามแหม่มเลยว่า เขาไปเล่นหนังจริงเหรอ คือทุกคนก็ได้ข่าวจากสื่อมวลชน”

บอกเข้าใจและเห็นใจนาธาน แต่ไม่มีบทลงโทษเพราะไม่ใช่ศิลปินในสังกัดแล้ว พร้อมเอ่ยปากเป็นห่วง กำลังรอดูหนัง ยังเชื่อนาธานได้เล่นจริง

“อาร์เอสในฐานะผู้ใหญ่ก็เข้าใจ และเห็นใจนาธานนะคะ ฟีดแบคจากนักข่าวหรือใคร แน่นอนว่าต้องพุ่งมาที่อาร์เอส เพราะเขาเคยอยู่กับเรา ฉะนั้นเราไม่หนีความรับผิดชอบตรงนี้ เพราะวันนึงเราก็เคยทำงานกับนาธาน แต่อย่างที่บอกคือสิ่งที่อาร์เอสรู้ทั้งหมด คือสิ่งที่เราเชื่อว่ามันเป็นความจริงที่น้องบอกเรา เพราะฉะนั้นแหม่มว่าฟีดแบคมันคงไม่มีอะไรมากไปกว่าอาร์เอสพูดความจริงแล้ว ที่เหลือก็ต้องรอดูแล้วล่ะค่ะว่า สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นกับนาธานจะเป็นอย่างไร ก็ขอเอาใจช่วยให้มันเป็นเรื่องจริง”

“ถามว่าอาร์เอสเสียมั้ย แหม่มว่าอาร์เอสไม่เสียนะ ถ้าเรารู้ตั้งแต่ต้น แล้วร่วมปกปิดหรือร่วมซ่อน อันนั้นแหม่มก็จะยอมรับ คือแหม่มเป็นคนตรงนะคะ แหม่มจะยอมรับจริงๆ ว่าเฮ้ยแหม่มทำเพื่ออะไร แต่ในเมื่อเรารู้ว่ามันไม่ได้เป็นการโกหกตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นแหม่มว่าอาร์เอสไม่เสีย”

“ในส่วนของบทลงโทษ ถ้าน้องยังอยู่ในสังกัดนะคะ เนื่องจากเราไม่ได้เป็นผู้แทนกฎหมาย เราคงไม่ลงโทษศิลปิน ถ้าศิลปินทำความผิดหรือเป็นคนไม่ดีต่อสังคม อย่างมากเราก็แบนงานเขา ซึ่งผู้ใหญ่ก็คือระดับผู้บริหารสูงๆ จะเป็นคนตัดสินใจ แต่ตอนนี้นาธานไม่ได้อยู่อาร์เอสแล้ว เขาเลิกสัญญาไปก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ ดังนั้นเราคงไปทำอะไรเขาไม่ได้ ตรงกันข้ามนะคะตอนนี้ต้องให้กำลังใจเขามากกว่า อย่างที่บอกขออย่าให้เป็นแบบนั้น เพราะผลเสียไม่ได้เกิดกับอาร์เอส แต่เกิดกับนาธาน”

“ระหว่างนี้แหม่มก็ยังยืนยันนะว่า ถ้าไม่มีอะไรมาเป็นตัวยืนยันว่า นาธานไม่ได้เล่นหนังจริงๆ แหม่มก็ยังจะรอดูหนังเรื่องนี้อยู่ ก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น แหม่มว่ามันคงแย่มากๆ ทั้งสำหรับคนไทย และคนที่รู้จักเขา ที่จะมารู้ว่าเรื่องนี้ไม่จริง รวมทั้งตัวแหม่ม ถึงจะไม่โกรธ ไม่เกลียดก็เข้าใจ แต่รู้ว่าเขาจะต้องลำบากแน่ๆ เลยในการใช้ชีวิตต่อไป ก็เป็นห่วงค่ะ”




กำลังโหลดความคิดเห็น