The Family Friend เป็นหนังจากประเทศอิตาลี ผลงานกำกับของ เปาโล ซอร์เรนติโน ซึ่งก่อนหน้านี้โด่งดังมากจาก The Consequences of Love
หนังไปเปิดตัวที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ ประจำปี 2006 (สายประกวดหลัก ชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ปาล์มทองคำ) เข้าโรงฉายที่อิตาลีในปีเดียวกัน ส่วนบ้านเรา หนังมาร่วมฉายในเทศกาลภาพยนตร์อิตาลีที่จัดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ตัวเอกของหนังเรื่องนี้ คือ เจเรเมีย ดิ เจเรเม ชายชราผู้ครบเครื่องเรื่องความอัปลักษณ์ทั้งรูปลักษณ์และนิสัย
รูปลักษณ์ภายนอกของเจเรเมียนั้น ทั้งเตี้ยม่อต้อ หน้าตาไม่เอาอ่าว บุคลิกภาพไม่เอาไหน ส่วนในเรื่องของอุปนิสัย เขาทั้งเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัว ขี้เหนียว ปากหวานก้นเปรี้ยว ขี้ระแวง ขี้ขโมย แถมยังมองโลกในแง่ร้ายอย่างหาตัวจับได้ยาก
เจเรเมียมีฉากหน้าเป็นช่างตัดเสื้อในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ส่วนฉากหลังที่ใครๆ ต่างก็รู้กัน ก็คือ เขาเป็นคนปล่อยเงินกู้นอกระบบที่เขี้ยวบ้าเลือด ยืมเท่าไหร่ต้องจ่ายคืน 2 เท่า-หากจ่ายตรงเวลา แต่ถ้าเกิดจ่ายเกินเวลาขึ้นมา จะต้องถูกปรับเป็น 3 เท่าโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น
เป็นเพราะความน่ารังเกียจรอบด้านดังกล่าวนี่เอง ทำให้เจเรเมียเป็นมนุษย์ที่ขาดแคลนร้างไร้ ‘ความสัมพันธ์’ แทบจะสิ้นเชิง
เขาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวกับแม่ที่พิการในบ้านผุพังซอมซ่อหลังหนึ่ง (เงินทองที่หามาได้ล้วนถูกเก็บเข้ากรุเพื่อใช้เป็นเงินหมุนในการปล่อยกู้นอกระบบ) เขาปรารถนาจะมีคนรัก แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนรับรัก มีคนสนิทอยู่ 2-3 คน แต่ไม่เคยนับใครเป็นเพื่อน สำหรับเจเรเมียแล้ว เขาเห็นทุกคนเป็นแค่ลูกน้องที่เขาจะแวะเวียนไปหาก็เมื่อเกิดปัญหากับบรรดาลูกหนี้เท่านั้น
คำว่า ‘เพื่อนของครอบครัว’ ที่ถูกนำมาเป็นชื่อหนัง ตามเรื่องคือนิสัยน่ารังเกียจประการหนึ่งของเจเรเมีย กล่าวคือ เขามักจะทำตัวตีซี้กับครอบครัวของลูกหนี้ แวะเวียนไปมาหาสู่ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทำทีห่วงใยสารพัด อย่างไรก็ตาม ในเบื้องลึกเนื้อแท้แล้ว ทุกคนต่างก็รู้กันว่า เจเรเมียไม่ได้ทำทั้งหมดนั้นด้วยความปรารถนาดีจริงใจอะไร ทว่าสำหรับเขา สิ่งเดียวที่มุ่งมาดปรารถนา ก็มีแต่เพียง เงิน เงิน และเงินเท่านั้น
จุดพลิกผันของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อเจเรเมียตกหลุมรักลูกสาวของลูกหนี้รายหนึ่งหัวปักหัวปำ
เธอผู้นี้ชื่อ โรซัลบา เธอกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับชายคนรักซึ่งคบหากันมานาน และเหตุที่พ่อแม่ของเธอต้องมากู้เงินกับเจเรเมีย ก็เพื่อนำไปจัดงานแต่งงานหรูหราอลังการให้กับเธอนั่นเอง
ตามปรกติ ดิฉันค่อนข้างจะขยาดแหยงกับหนัง หนังสือ หรือสื่อใดๆ ก็ตามที่ได้รับคำนิยามทำนอง ‘ตีแผ่มนุษย์’ อย่างถึงกึ๋นลึกล้ำเป็นพิเศษ
เป็นได้ว่าโดยส่วนตัว ดิฉันเห็นว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อน และสื่อใดๆ หรือใครก็ตามที่พยายามจะทำความเข้าใจและตีแผ่มนุษย์ โดยมากก็มักจะลึกล้ำซับซ้อนเกินความเข้าใจตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม กับ The Family Friend แล้ว ดิฉันพยายามนึกหาคำเลี่ยงอยู่เป็นนานสองนาน ก็ยังไม่พบถ้อยคำใดที่จะอธิบายมันได้ถูกต้องและเหมาะสมมากไปกว่า มันเป็นหนังที่ตีแผ่บางส่วนบางด้านของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ได้อย่างยอดเยี่ยมเอามากๆ เรื่องหนึ่ง
ตัวละครทุกตัวในหนัง –ไม่เฉพาะแต่เจเรเมีย- ล้วนเป็นมนุษย์ที่ทำให้ชีวิตของตัวเองยากเกินความจำเป็น – ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
เจเรเมียผู้โหยหาความรัก แต่กลับผลักไสตัวเองให้ห่างไกลจากการเป็นที่รักในทุกๆ ครั้งที่มีโอกาส
คนสนิทของเจเรเมียคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเยี่ยงคาวบอยทุกกระเบียด ทั้งยังใฝ่ฝันว่าจะไปลงหลักปักฐานที่เท็กซัส โดยตอบตัวเองไม่ได้แน่ชัดว่าต้องการเช่นนั้นเพื่ออะไร
พ่อแม่ของโรซัลบาที่ยอมเป็นหนี้หัวโต เพียงเพื่อแลกกับคำชื่นชมชั่วประเดี๋ยวประด๋าวของคนแปลกหน้าที่จะมาเป็นแขกเหรื่อในงานแต่งลูกสาว
โรซัลบาผู้ซึ่งอยู่มาวันหนึ่งก็รู้สึกไร้สุขกับชีวิตคู่ทั้งที่ก้นหม้อยังไม่ทันดำ โดยให้เหตุผลว่า การรู้จักสามีของตนดีเกินไป มันทำให้ชีวิตแต่งงานไร้ความท้าทายและไม่ตื่นเต้น
ฯลฯ
พูดอีกแบบก็คือ มนุษย์ใน The Family Friend นั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้สุข และที่เป็นทุกข์ ก็เพราะหาหนทางสมานฉันท์ระหว่าง ‘สิ่งที่มีอยู่’ กับ ‘สิ่งที่อยากมีอยากได้’ ไม่พบ
พ้นจากนี้ หนังยังมีคำพูดเด็ดๆ ที่จิกกัดด้านร้ายๆ ของมนุษย์อีกหลายช่วงหลายตอน ยกตัวอย่างตอนหนึ่งที่ดิฉันชอบเป็นพิเศษ คือ ก่อนที่พ่อของเจเรเมียจะตกลงใจกู้เงินกับเจเรเมีย เขาถามคนรู้จักคนหนึ่งว่า เจเรเมียผู้นี้เป็นคนอย่างไร คำตอบที่ได้รับคือ “เจเรเมียมันขี้ระแวงสุดขีด ขี้เหนียว เห็นแก่ตัว ปากหวานก้นเปรี้ยว ใครเบี้ยวมันไม่เอาไว้ ฯลฯ”
พ่อของโรซัลบาฟังความไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงของเจเรเมียแล้วรู้สึกสงสัย “นิสัยแย่ๆ อย่างนี้ ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่านี่?”
“เป็นซี่...” คนรู้จักตอบ “มันเป็นมนุษย์เกินไปด้วยแหละที่จริง”
ที่แปลกก็คือ แม้คุณสมบัติของมนุษย์ที่หนังสะท้อนให้เห็น จะเป็นด้านลบด้านร้ายเสียเป็นส่วนใหญ่ ทว่าในภาพรวมแล้ว ดิฉันกลับไม่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ทำขึ้นโดยบุคคลที่รู้สึกจงเกลียดจงชังมนุษย์แต่อย่างใด
เป็นได้ว่า ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องราวทั้งหมดของหนัง ได้รับการบอกเล่าด้วยน้ำเสียง ‘ทีเล่นทีจริง’ ตลกนิดๆ จิกกัดหน่อยๆ ไม่ได้ซีเรียสจริงจังตั้งหน้าตั้งตาด่ากะเอาให้ตายกันไปข้าง
นอกจากนั้น บุคคลผู้เป็น ‘ศูนย์กลางแห่งความรังเกียจ’ ของเรื่องอย่างเจเรเมีย ที่สุดแล้ว หนังก็แสดงให้เห็นว่า แท้ที่จริงเขาไม่ได้เลวไปเสียทุกเหลี่ยมมุม หากทว่ายังมีด้านที่น่าเห็นใจ –ซึ่งเกี่ยวพันกับอดีตของครอบครัว- ซุกซ่อนไว้ อีกทั้งหนังยังมีจุดพลิกผันบางอย่าง อันเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโรซัลบา ที่ทำให้ตัวละครตัวนี้พอจะเรียกคะแนนสงสารจากผู้ชมขึ้นมาได้บ้างอีกชั้น
เหนืออื่นใดก็คือ ท้ายที่สุดแล้ว The Family Friend ก็ไม่ใช่หนังที่มองมนุษย์ด้วยสายตาสิ้นหวัง ตรงข้าม มันบอกผู้ชมว่า เรายังมีโอกาสเป็นสัตว์โลกที่น่ารักขึ้นได้
แม้ในบางครั้ง โอกาสที่ว่าจะไม่มีวันมาถึง หากเราไม่ผ่านการสูญเสียหนักๆ ล้างไพ่ล้มกระดาน เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ อย่างที่ใครบางคนในหนังเรื่องนี้เจอก็ตาม