xs
xsm
sm
md
lg

“อ้อย” มาตามคำท้า ซัด “ผกก.เปิงมาง” กระจุย โชว์คลิปเสียงจับโกหก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“อ้อย” มาตามนัด ฉะ “ผกก.เปิงมาง” โกหกเป็นวรรคเป็นเวร งัดคลิปเสียงจับผิดผกก.หนังดังรับเองว่า ว่าจะเอาเงินมาคืน พร้อมสาบานถ้าไม่มาขอให้มีอันเป็นไป แต่สุดท้ายก็หายจ้อย ส่วนค่าเครื่องตัดต่อ 3.5 แสน ก็รับปากเองว่าจะออก 1 แสนให้อ้อยออก 2.5 แต่พอโอนเงินไปให้ก็บอกว่า ไม่มีเงินพ่อไม่ให้เงิน

หลังจากที่ถูกผู้กำกับเปิงมาง “เชนทร์ ณัฐพีระ ชมศรี” แถลงข่าวขย่มรอบสอง ยันไม่ได้ฉ้อโกงเงิน 2.5 แสนตามที่ “อ้อย ธิดารัตน์ อรรถรัตน์ , สุพรรณี สุประการ” แฟนและแม่บุญธรรมของ “เพชร สรภพ ลีละเมฆินทร์” แจ้งความดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง ซ้ำยังประกาศฟ้องกลับ โดยเจ้าตัวได้เปิดใจยาวเหยียดถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง อ้อยเปิดโมเดลลิ่งเถื่อน จนโมเดลลิ่งเจ๊งเสียใจร้องไห้จะฆ่าตัวตาย มาร้องไห้รดพรมที่บ้าน รวมไปถึงเรื่องเปิดบริษัทร่วมกันผู้กำกับหนังดังก็ยืนยันว่าเป็นความคิดของอ้อย และขอร้องให้ช่วยทำฝันให้เป็นจริง โดยอ้อยเป็นคนจัดหาสถานที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และได้มีการดำเนินงานเอาทีมเข้าไปทำแล้ว 4 เดือนแต่ไม่ได้รับเงินเดือน

จนสุดท้ายมาแตกหักกันเรื่องที่อ้อยต้องการเปิดสอนโรงเรียนการแสดงโดยการันตีว่าเด็กทุกคนจะต้องได้เล่นหนังของเชนทร์ ซ้ำอ้อยยังไม่ยอมจดทะเบียนบริษัทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เท่านั้นไม่พอเจ้าตัวก็ยังโอนเงินค่าซื้อเครื่องตัดต่อมาไม่ครบ แถมยังบอกให้ตนเองเป็นคนไปเซ็นต์กู้ยืมเงินอีกต่างหาก พร้อมกับท้าทายให้อ้อยออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าว

วันนี้อ้อย ธิดารัตน์ก็เลยมาตามนัด ยืนยันว่าทั้งหมดทั้งมวลที่คู่กรณีพูดไม่เป็นความจริง พร้อมหอบหลักฐานเป็นคลิปเสียงของผู้กำกับเปิงมางพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยคลิปเสียงดังกล่าวมีเนื้อหาขัดแย้งกับสิ่งที่ได้แถลงข่าว นอกจากนั้นแล้วเจ้าตัวก็ยังได้แจ้งว่าได้มอบหลักฐานต่างๆ ให้กับตำรวจเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเช่าบ้านที่ผู้กำกับเปิงมางเป็นคนไปทำสัญญา ทั้งที่ตนเองได้ให้สัมภาษณ์ว่า อ้อยเป็นคนจัดหาสถานที่และเรียกร้องอยากให้ทำบริษัท รวมไปถึงหนังสือที่ผู้กำกับหนังดังไปลงชื่อกู้ยืมเงิน เพื่อขอร้องให้แม่ของอ้อยไปค้ำประกันให้ ไม่ใช่อ้อยไปบอกให้ไปกู้เงินตามที่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ โดยงานนี้ อ้อยกับเพชร ขอเคลียร์ชัดๆ ว่า

อ้อย “การที่เขาบอกว่าประกาศไปแล้วทำไมเราไม่ติดต่อมาเอาเงิน คือเรื่องนี้ตามหลักแล้วเขาต้องติดต่อไปที่ตำรวจและต้องให้ตำรวจติดต่อเรามา ก่อนที่เขาจะพูดเขาน่าจะถามทนายก่อนนะ เหมือนกับที่เขาบอกว่า เขาไม่มีหมายเรียก แล้วทำไมคุณไม่ดูรายการต่างๆ มันออกหลายรายการว่าคุณมีหมายเรียกนะ คุณเองก็ยังไม่ได้ดูทีวีแล้วเราจะได้ดูทีวีเหรอ”

เพชร “แล้วที่คุณเชนทร์บอกว่าเขาจะมาฟ้องผมเพราะผมไปชี้เขา จริงๆ แล้วผมมีสิทธิ์ชี้เขานะมันเป็นหมายจับ และผมคุณแม่คุณอ้อยสามารถชี้ได้ทั้งสามคนเลย แต่แม่เขายังไว้หน้าเขาหน่อย อีกอย่างผมก็ไม่อยากให้แม่กับอ้อยเข้าใกล้คนแบบนั้นด้วย ผมก็โอเคชี้คนเดียวก็ได้ ก็อย่างที่เห็นในเทปว่าเขากิริยามารยาเป็นยังไง”

“และที่เขาบอกว่าผมไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะผมเป็นแค่คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เป็นแค่คนเก็บขี้หมาไปวันๆ ผมอยากจะบอกว่า คนรักหมาทุกคนก็ต้องเก็บขี้หมา ที่บ้านทุกคนก็เก็บหมดแหละครับ ถ้าคุณเลี้ยงหมาแล้วไม่เก็บขี้หมา คุณจะให้หมาไปอึเรี่ยราดคนอื่นคงไม่ได้ มันเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม เรื่องนี้ผมเกี่ยวแน่นอนเพราะผมกับคุณอ้อยและคุณแม่ไปโอนตังค์ด้วยกัน และก็ไปแจ้งความด้วยกัน”

“ส่วนเรื่องที่มี SMS ข่มขู่ที่คุณเชนทร์บอกว่า ผมแจ้งความเท็จ ผมก็ไม่ได้บอกว่าเป็นคุณ ตอนที่ไปแจ้งความตำรวจเขาถามผมว่า ช่วงนี้มีเรื่องกับใครหรือเปล่า สงสัยใครหรือเปล่า ผมก็บอกว่ามีเรื่องกับคุณเชนทร์เท่านั้นเอง ผมก็ไม่ได้บอกว่าเป็นคุณเชนทร์ที่ส่ง SMS มาข่มขู่”

สำหรับเรื่องการซื้อเครื่องตัดต่อที่ “เชนทร์” ให้สัมภาษณ์ว่า “อ้อย” ได้โอนเงินมาให้เพียง 2.5 แสนซึ่งไม่เพียงพอในการซื้อเครื่องตัดต่อที่มีมูลค่า 3.5 - 3.7 แสน จนกลายเป็นคดีฉ้อโกงนั้น เรื่องนี้อ้อยบอกว่าได้โอนไปให้ 2.5 แสนตามที่ตกลงกันไว้ เพราะอีก 1 แสนบาทฝ่ายเชนทร์รับปากจะเป็นคนจัดหา
“จริงๆ เราไม่ได้สัญญากับเขาว่าเราจะโอนให้ 3.5 แสน เขาบอกว่าให้โอนให้เขา 2.5 แสนและเขาจะไปเอาเงินกับคุณพ่อของเขาอีก 1 แสน ซึ่งเขาบอกว่าพ่อเขาจะเอารถไปเข้าไฟแนนซ์อะไรซักอย่างนี่แหละ และให้เรารีบโอนเงินไปให้ 2.5 แสนในวันนั้นเพราะเขาจะไปซื้อวันนั้นซึ่งเป็นวันที่ 5 แต่เราก็บอกว่า วันนี้เป็นวันหยุดขอเป็นวันที่ 6 ได้ไหม เขาก็บอกว่าวันที่ 6 ให้รีบโอนมานะอย่างโน้นอย่างนี้ เขาก็พูดสารพัดว่าวันที่ 5 ไปซื้อแล้ว พี่นิดที่ห้องตัดรามอินทราจะออกตังค์ให้ก่อน และพอวันที่ 6 เราก็โอนไปให้เขา”

“พี่นิดเป็นเจ้าของห้องบันทึกเสียงที่รามอินทราที่เขาพาไปบอกว่าจะซื้อที่นี่ ซึ่งพี่นิดเขาก็ให้ปากคำกับตำรวจไปแล้ว เรื่องนี้เรามี SMS ที่เขาส่งมาเพื่อบอกให้เราโอนตังค์ไปให้ด้วย ซึ่งเป็นเบอร์เก่าที่เขาใช้ก่อนจะเปลี่ยนใหม่ และก็มีลงวันที่ชัดเจนเราเมกไม่ได้อยู่แล้ว

ส่วนเรื่องที่ “เชนทร์” ไม่ยอมคืนเงิน และเรียกร้องให้ “อ้อย” โอนเงินมาให้ครบ 3.5 หรือ 3.7 แสนเพื่อที่จะได้เอาเงินไปซื้อเครื่องตัดต่อเอามาให้ตามสัญญา เจ้าตัวถามทำไมจะต้องโอนให้ ?
เพชร “ทำไมเราจะต้องโอนเงินไปให้ได้ด้วยล่ะครับ”
อ้อย “เพราะเราเองก็มีหลักฐานว่า คุณเป็นคนบอกอีกว่าอีก 1 แสนคุณจะเป็นคนไปหา เรามีหลักฐานเป็นคลิปเสียงที่พูดออกมาจากปากเขาเอง เป็นการพูดคุยกันครั้งสุดท้าย พูดตรงๆ เลยคุณอย่าดิ้นอะไรเลยดีกว่า เพราะถ้าพูดอะไรออกมาคุณมีแต่เสียกับเสีย เรามีหลักฐานอะไรอีกเยอะ ทางที่ดีถ้าได้ฟังคลิปนี้แล้วสำนึกผิดดีกว่า เพราะเขากินข้าวแดงแกงร้อนบ้านเรา เรามีบุญคุณกับเขาเยอะ คนทำผิดแล้วสำนึกผิดน่าให้อภัยนะ แต่คนทำผิดแล้วดันทุรังฉันต้องถูกๆ เพื่อที่จะอยู่ในสังคมต่อได้มันไม่ใช่ลูกผู้ชายเลยค่ะ”

เผยรายละเอียดในการเปิดบริษัท
“ข้อตกลงในการทำบริษัทมันไม่ได้ตกลงอะไรกันมากมาย เหมือนกับว่าคุณแม่ช่วยเขา คือเขามาคุยให้ฟังว่า เนี่ยไปคุยกับทางผู้ใหญ่มาแล้วนะมันต้องเปิดบริษัทมันถึงมีสิทธิ์ในการรับงานเข้า แล้วก็ก่อนหน้านี้ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาบอกว่า เขาไม่รู้จักอะไรเรามากสนิทกันแบบผิวเผิน ทั้งที่เขาก็ไปบ้านเราทำตัวแบบสนิทกันมาก คนแถวบ้านก็รู้ว่าทำตัวสนิทกันมากเหมือนเป็นลูกคุณแม่ พอสนิทกันเราก็ไม่ได้ทำสัญญาอะไรเพราะเงินแค่ 2.5 แสนเราคิดว่าเขาน่าจะคืนเราได้เพราะเงินไม่ได้มากมายอะไร”

ยืนยันว่า คนที่ร่ำร้องอยากจะเปิดบริษัทก็คือ “เชนทร์” และตนไม่ได้ไปขอร้องให้มาช่วยเปิดบริษัท
“คือถ้าบอกว่าอ้อยอยากเข้าวงการเอาเงิน 2.5 แสนไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม เรามีหลักฐานมายืนยันเดี๋ยวเอาหลักฐานมายืนยันเลยดีกว่าว่าใครกันแน่ที่อยากจะเปิดบริษัท คือจริงๆ เราก็ทำธุรกิจอย่างอื่นของเราอยู่แล้วไม่จำเป็นจะต้องเปิดบริษัทอะไร แต่เขามาให้เหตุผลหลายอย่าง คือถ้าเปิดแล้วก็จะมาช่วยหนุนงานเพชรด้วย อีกอย่างมันก็เป็นหน้าเป็นตาด้วยนะแม่ คือเขาใช้ความเหมือนเป็นลูกคนหนึ่งมาพูดมานอนที่บ้าน ขนาดมาดึกดื่นคุณแม่ก็ยังทำกับข้าวให้กิน ทุกคนก็ไม่คิดว่าเงินแค่นี้เขาจะทำกับครอบครัวเราได้แบบนี้”

ยอมรับว่าเป็นคนลงทุน ส่วน “เชนทร์” เป็นคนลงแรง
“ตอนแถลงข่าวครั้งแรกเขาบอกว่า เขาไม่ได้ลงหุ้นไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมแถลงข่าวเมื่อวาน(10/ก.ค./52) บอกว่าลงหุ้นแล้วเหรอ ยอมรับแล้วเหรอว่าเป็นหุ้น...ใช่ค่ะเราลงเงินเขาลงแรง”

เพชร “วันนั้นที่โรงพักเขาบอกว่า เขาไม่ได้เอาเงินเราไป แล้ววันก่อนบอกจะเอามาคืน ตกลงคือมันยังไง”

อ้อย “จริงๆ แล้วเราไม่ได้ต้องการจะเปิดห้องตัดต่อเลย ตอนนั้นเขาขอเราแค่เปิดออฟฟิศเพื่อที่จะรับงาน สำหรับห้องตัดต่อจริงๆ เราไม่ต้องออกให้เขาซักบาทเลยก็ได้ แต่เขาบอกว่าเขาไม่มีเงิน และช่วงนั้นที่เขาโทรมาเป็นวันหยุดเราก็มีเงินสดอยู่แค่ 2.5 แสนมันไม่ครบ 3.5 แสนรอก่อนได้ไหม เขาก็บอกว่าไม่ได้ต้องรีบวิ่งไปซื้อนะเพราะเขาบอกว่า เขามีอยู่แล้ว 1 แสนซึ่งไปเอามาจากคุณพ่อ”

“แต่สุดท้ายเขาก็บอกว่า เขาไม่ได้เงินจากคุณพ่อ คุณแม่ก็เลยบอกอ้าว....แล้วให้แม่โอนไปทำไม 2.5 แสน เขาก็บอกว่า เขานึกว่าพอเราโอนไปแล้วเขาจะได้เงินอีก 1 แสน แล้วนี่ใครกันแน่ออกมาโกหกว่าอยากจะทำห้องตัด เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องห้องตัด แล้วเราจะไปทำทำไม คือโปรเจ็กท์นี้มันเกิดจากเขา”

“แล้วที่เขาบอกว่า เขาได้เข้ามาทำงานแล้ว 4 เดือน ไปถามทุกคนแถวออฟฟิศได้ทุกคนสามารถเป็นพยานให้ได้ว่า เขาไม่ได้เข้ามาเลย ไม่มีคน ไม่มีใครเข้ามาทำงาน เจ้าของตึกก็เป็นพยานให้ได้ คือมันเหมือนกับว่า ไปเช่าไว้และก็เอาโต๊ะเอาอะไรมาวางไว้แล้วก็ไม่มีมนุษย์เข้าไปอยู่ (ไม่มีทีมงานเข้าไปอยู่ 4 เดือนเพื่อรอเซิร์ฟงาน) ไม่มีค่ะ ไม่มีเลย ก็ไม่เข้าใจว่ามาเร่งให้เราเช่าตึกทำไม เราจะต้องมาเสียค่าเช่าเดือนละหมื่นกว่าบาท แล้วที่เขาบอกว่าค่าเช่า 6 พันไม่ใช่นะคะ ขนาดค่าเช่ายังจำผิดเลย”

“แล้วที่เขาให้สัมภาษณ์ว่าชื่อบริษัทโมดิชั่นอะไรไม่ใช่นะคะ จริงๆ ชื่อโลโก้โปรดักชั่น ซึ่งเขาเอาสติกเกอร์บริษัทไปติดเอง แต่เขายังจำชื่อบริษัทตัวเองไม่ได้แล้วบอกว่าเข้ามาทำงาน 4 เดือนตลกไปนะ”

ปฏิเสธเรื่องเปิดโมเดลลิ่งเถื่อน
“อันนี้ตลกนะ ถ้าเกิดว่าอ้อยเปิดโมเดลลิ่งเถื่อน คนที่หางานเข้าสตูดิโอก็คือเขานะ คือหนูเปิดสตูดิโอไม่ใช่โมเดลลิ่งแต่มันเหมือนเป็นของแถม พอเด็กมาถ่ายรูปกับเราทางเราก็จะเก็บประวัติไว้ให้นะ เพราะเราก็รู้จักกับพี่ที่ทำเบื้องหลังอยู่บ้าง ไม่ใช่เปิดโมเดลลิ่งถ้าเปิดโมเดลลิ่งก็ต้องไปจดทะเบียน คงไม่มีใครรับงานกับโมเดลลิ่งที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งเขาเองก็เป็นคนหางานนะ ถ้าบอกว่าที่นี่เปิดโมเดลลิ่งเถื่อนเขาก็ผิดเต็มๆ”

“ตอนนั้นตัวคุณเชนทร์เข้ามาหาเราในลักษณะเข้ามาถ่ายรูปและให้เราเก็บประวัติไว้ และให้เราหางานให้เขาหน่อย เราก็ยังว่าอยู่เลยว่า มันจะหาได้เหรอ อันนี้เราก็ยังมีหลักฐานเก็บไว้อยู่เลยยังดีนะที่ไม่ได้ทิ้ง แล้วไอ้ที่เขาบอกว่า เก็บเงินเด็ก 500 นั่นคือราคาเซ็ทถ่ายรูปนะคะมันมีเป็นเซ็ทๆ เราก็อัดรูปให้เขากลับบ้านตามปกติ และเราจะอัดรูปส่งงานให้เขาถ้ามีคนมาขอ 1 ปี”

“ถามหน่อยว่า 1 ปีกับการที่เราส่งให้และคุณได้รูปกลับบ้าน ถามว่าเราจะไปหลอกเขาหรือเปล่า และที่เขาบอกว่า เขาสามารถเอาเด็กออกมายืนยันได้ ก็คุณไม่ใช่เหรอที่พาเด็กมาถ่ายรูปและจะมาพูดอะไร คนที่หลอกเด็กน่าจะเป็นเขามากกว่าไม่ใช่เรา เขาเอาเด็กมาถ่ายรูปและก็เอาเปอร์เซ็นต์ อันนี้ก็ต้องถามว่าใครกันแน่หลอกเด็ก เราเป็นสตูดิโอแต่เขาพาเด็กมาถ่ายรูปและก็บอกว่ามีงาน”

“แล้วสตูดิโออ้อยก็ไม่ได้เจ๊งนะคะ ตอนนั้นน้ำท่วม ตรงที่เปิดสตูดิโอมันเป็นตึกแถวมันท่วมทุกหลังเลยไปสืบได้เลย คือตึกพอลงจากชั้น 1 มันจะเป็นระดับต่ำลงไป และปีนั้นเป็นปีที่น้ำไหลหลาก เราก็ลงทุนคอมพิวเตอร์อะไรไปหมดแล้ว วันที่น้ำทะลักเข้ามาก็ไม่มีใครอยู่ ระดับน้ำมันขึ้นสูงมากมันเสียหายหมด ถ้าเราจะทำต่อเราต้องทำฉากใหม่ เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ช็อตเสียหาย ถ้าเราจะทำใหม่ต้องใช้เวลาและเงินอีกเยอะ ก็คุยกับเพื่อนที่ทำด้วยกันว่า เอาไว้ก่อนดีกว่า เป็นการปิดที่ไม่ได้เจ๊งนะคะ เราก็แจ้งเพื่อนๆ ไปว่า ถ้าทุกคนพร้อมจะทำสตูดิโออีกเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน”

ยันไม่เคยไปร้องไห้ร้องรดพรมที่บ้าน “เชนทร์” และไม่คิดจะฆ่าตัวตาย เพราะบ้านเชนทร์ไม่มีพรม !
“ก่อนอื่นถามก่อนว่า บ้านที่มีพรมของเขาอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ให้เขาตอบตรงนี้ให้ได้ก่อน อยากรู้ว่าพรมบ้านเขามันอยู่ตรงไหน และถ้าคนรู้จักอ้อยจะรู้ว่า อ้อยเป็นคนที่ร้องไห้ยากมาก ก็ขนาดเกิดเรื่องวันที่ 13(13 มิถุนายนที่ผ่านมา วันครบรอบวันเสียชีวิตของ พุ่มพวง ดวงจันทร์) อ้อยก็ไม่ได้ร้องไห้ แล้วการไปเปิดสตูดิโอใช้เงินไม่ถึง 5 แสนคงไม่ร้องไห้จะเป็นจะตายขนาดนั้น"




SMS ที่ อ้อย ยืนยันว่า เชนทร์ ส่งมาให้เพื่อแจ้งให้ทราบว่ากำลังหาเงินอีก 1 แสนมาซื้อเครื่องตัด



“ก่อนจะปิดสตูดิโอก็ยังซื้อพิซซ่ามานั่งกินกันขำๆ และก็ช่วยกันย้ายของแล้วอ้อยจะไปร้องไห้ได้ไง และยิ่งเรื่องที่บอกว่า อ้อยจะฆ่าตัวตายยิ่งไร้สาระ ใครกันแน่ที่ร้องไห้อยากจะฆ่าตัวตาย”

เพชร “พอดีวันนั้นเราไปเดินที่จตุจักรและคุณเชนทร์โทรมาคุยกับคุณอ้อย ซึ่งอ้อยก็เปิดเผยก็เปิดสปีคเกอร์โฟน เขาก็ร้องไห้จะเป็นจะตายว่าบริษัทหนึ่งเอาบทเขาไป”

อ้อย “เขาบอกเลยว่ามีบริษัทหนึ่งโกงบทเขาไป ตอนนี้เขาไม่มีเงินช่วยขายรถให้หน่อยได้ไหม เขาไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหายังไง ทุกคนก็ได้ยินว่าเขาร้องไห้หมด เราก็ยังบอกว่า โอเคเดี๋ยวจะช่วยถามให้แล้วกันว่าใครอยากได้รถคุณ สิ่งที่เขาพูดเราก็อยากจะบอกว่า อยากให้หยุดแต่งเรื่องซะดีกว่า”

ส่วนเรื่องที่ “เชนทร์” บอกว่า พอ “อ้อย” ปิดสตูดิโอก็กลับไปรักษาแผลใจที่เชียงรายนั้น เจ้าตัวบอกว่าไม่จริง
“ไม่ได้ไปรักษาแผลใจที่ไหนค่ะ อ้อยก็ยังไปเป็นวิทยากรให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง เขาก็ยังมายืมเงินเราอยู่เลยตอนนั้น และก็ไม่เคยได้เงินคืนจากเขาเลย ยืมมาเรื่อยๆ ทีละหมื่น ทีละพันสองพัน วันนั้นไปกินข้าวสามพันก็ยังเอาเลย”

เพชร “ตอนที่เรากำลังจะซื้อของเข้าออฟฟิศแทนที่เขาจะจ่าย เขาก็บอกว่าเขาไม่จ่ายเพราะว่าเดี๋ยวเพชรกับอ้อยจะจ่าย เราก็เริ่มคิดว่าทำไมให้เราจ่ายหมด ขนาดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างปากกาเขาก็ให้เราจ่ายหมดเลย”

อ้อย “คือเขาอ้างว่าเขารักเราเหมือนน้องรักคุณแม่จริงๆ เราก็มาสะกิดใจว่า ถ้ารักเราจริงๆ ปากกาแค่ด้ามไม่กี่บาท กับการที่ทำงานด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตทำไมไม่ยอมจ่าย เวลาไปกินข้าวเราก็เลี้ยงเขานะ คนที่ไปเป็นพยานก็ด้วยแต่ตอนนี้มาโกหกเป็นฟืนเป็นไฟ”

เผยการเปิดโรงเรียนสอนการแสดงเป็นความคิดของทั้งสองฝ่าย แต่เรื่องเก็บเงิน 2 หมื่น “เชนทร์” เป็นคนเสนอ
“โปรเจ็กท์นี้จริงๆ ช่วยกันคิดหมดเลย ถ้าเขาเป็นลูกผู้ชายพอเขาต้องรับนะ เขาเป็นคนเสนอว่า เขาเป็นคนเขียนบทนะ เขาเป็นคนกำกับนะ ถ้าจะเอาเด็กเข้ามาไม่ยากเลย ตัวประกอบก็ใช้เด็กเราหมด คือเราจะมีความคิดตรงนี้ได้ไงเพราะว่าเราไม่ใช่คนในวงการมาก่อน แต่เขากลับพูดว่าเราเป็นคนคิดเป็นคนออกไอเดียมันตลก คุณไม่ยอมรับความจริงตั้งแต่แรก”

“คือถ้าอ้อยคิดจะทำจริงๆ ห้องเรียนนั้นเราก็คงซื้อโต๊ะไปครบหมดแล้ว แต่พอเราขัดเขาเรื่องจำนวนว่ามันเยอะไป เรามีความคิดว่า ถ้าจะสอนจริงๆ ก็น่าจะสอนคนที่น่าจะเอาไปทำอะไรได้จริงๆ ไม่ใช่ว่ารับๆ ไปเอามาเป็นตัวประกอบเรื่องหนึ่ง หลังจากนั้นชีวิตเด็กจะเป็นยังไงก็ไม่รู้”

สรุปก็คือการเปิดสอนโรงเรียนการแสดงเป็นความคิดของทั้งคู่ แล้วใครที่เป็นคนบอกว่า ถ้าเรียนจะต้องได้เล่นหนังกับ “เชนทร์”
“อันนั้นเป็นความคิดที่เราเสนอเขาไปว่า ควรที่เราจะรับสอนคนที่จะเล่นได้ และคนที่มาเรียนก็ควรที่จะมีผลงาน ไม่ได้บอกว่าจะต้องมาเล่นหนังทุกคน อย่างสมมติบางคนเก่งเรื่องถ่ายแบบ เราก็หางานรองรับให้เขา ไม่ใช่ว่าเด็กเรียนจบปุ๊บทิ้งเด็กลอยแพเหมือนเสียตังค์ฟรี แต่เขาบอกว่า เราแคร์คนอื่นมากกว่าเกินไป เขาบอกว่า ถ้ามีเด็กร้อยคนคุณก็ต้องหางานให้เด็กร้อยคนเหรอ เราก็บอกว่าอ้าว...มันก็จำเป็นนะถ้าพูดถึง เราจะทิ้งเด็กได้ไง เขาก็บอกว่า อย่างที่เขาพูดนั่นแหละมหาวิทยาลัยยังไม่มีงานรองรับ เราก็บอกว่า งั้นก็อย่าเปิดดีกว่า เพราะเราคิดไม่เหมือนกัน คือถ้าจะรับเด็กที่มาเรียนคุณต้องมองแววเด็กออกก่อน ไม่ใช่ว่าใครเดินเข้ามาสมัครก็เอาหมด เราต้องเลือกเด็กที่มีความสามารถและเข้าวงการได้จริงๆ”

“ส่วนเรื่องเก็บเงิน 2 หมื่นอันนั้นเขาเป็นคนคิดหมดเลย เขาบอกว่าให้เราซื้อโต๊ะเลคเชอร์ไปเลย 20 ตัว เราเองนี่แหละที่เป็นคนบอกว่า เปิดโรงเรียนมันต้องขอหลักสูตรนะ เปิดขึ้นมาเฉยๆ มันผิดนะ และโต๊ะ 20 ตัวเด็กก็ต้อง 20 คนคุณจะเอาเด็กไปทำอะไร ทำไมไม่เอาเด็กที่สามารถเข้าวงการได้จริงๆ ไม่ต้องเอาจำนวนมาก เขาก็แบบว่า ถ้ามัวแคร์แต่เรื่องแบบนี้มันก็ไปไม่ถึงไหน เขาบอกว่าเราแคร์คนอื่นมากเกินไป”

“และเขาก็เป็นคนพูดเองว่า ถ้าเด็กที่มาเรียนไปเป็นตัวประกอบทางเราก็สามารถหักเปอร์เซ็นต์เด็กได้ด้วย เขาพูดกับเราแบบนี้ เขามองรายละเอียดแม้กระทั่งว่า อย่างถ้าปั้นเด็กเป็นนางเอกคนหนึ่งเราก็สบายเลยนะเพราะหากินกับนางเอกคนนี้ได้ตลอดไป”

“สรุปอ้อยเป็นคนไม่ทำเองไม่ใช่เขาเป็นคนไม่อยากทำ เพราะเราเป็นคนลงทุน เราเป็นคนปฏิเสธ ถ้าเราไม่ปฏิเสธเราก็คงซื้อของเข้ามาครบหมดแล้ว ตอนแรกสั่งโต๊ะมา 10 โต๊ะแต่พอเขาจะเอา 20 โต๊ะตกลงเรื่องนี้กันไม่ได้เราก็ไม่ทำ”

“เชนทร์” บอก จุดแตกหักเพราะ “อ้อย” ไม่จดทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย
“จะจดได้ไงก็ในเมื่อบริษัทยังจัดไม่เสร็จเลย โปสเตอร์ที่เอาเข้าไปคุณก็ยังไม่เข้าไปดูเลยว่าจะจัดยังไง โต๊ะก็ยังวางเกลื่อนอยู่ คือไม่มีคนทำอะไรมีแต่อ้อยกับเพชรนี่แหละที่เข้าไปจัดเอง มันไม่มีพนักงานไม่มีอะไรแล้วจะให้ไปจดทะเบียนอะไร ไม่เข้าใจที่บอกว่าทำงานมา 4 เดือนนี่โกหกมากๆ”

เพชร “ผมเริ่มสงสัยคุณเชนทร์ตั้งแต่เราเอาของเข้าไปแล้วเขาไม่ช่วยอะไร เราถูโต๊ะเช็ดพื้นเขาก็ไม่ช่วย เขาบอกว่าเขาใช้สมองอย่างเดียวและเขาก็เดินไปสูบบุหรี่”

อ้อย “เราเริ่มเห็นความเห็นแก่ตัวของเขา ขนาดเขาไม่ได้ออกทุนแต่ก็ไม่มีน้ำใจที่จะช่วยเลย กลับกลายเป็นเราคนที่ออกเงินไปทำ แล้วที่เขาบอกว่า เขามีพนักงานเข้ามาทำงานเป็นสิบคน เจ้าของตึกและคนที่อยู่บริเวณรอบตึกยืนยันได้ว่า ไม่มีใครทำงานในนั้น ยังมีคนบอกเลยว่า มาเสียค่าเช่าฟรีๆ ทำไม”

“แล้วที่เขาบอกว่า เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย เราเป็นคนจัดหาให้ เรามีสัญญาที่ว่าเขาเป็นคนไปเช่าตึกก่อนเรา มีแฟนเขากับคุณตั้ม(ที่ไปแถลงข่าวกับเชนทร์) เป็นคนไปเซ็นต์เป็นพยาน แต่เขาไม่จ่ายเงินเจ้าของตึก ทางเจ้าของตึกก็รอเขาก็มาถามเราว่า ยังจะเช่าอยู่หรือเปล่า อ้อยก็เลยเข้าไปทำสัญญาอีกรอบหนึ่งและก็จ่ายเงินเขา”

“คือเขาเป็นคนบอกว่า ที่เขาต้องไปเซ็นต์เช่าตึกเพราะเวลาไปจดทะเบียนบริษัทจะต้องใช้ชื่อเขานะเดี๋ยวมันจะยุ่งยาก และตอนนี้บอกว่าให้เราไปจดทะเบียนเราก็ยังงงอยู่เลย”

ปฎิเสธเรื่องที่ไม่ยอมจดทะเบียนเพราะต้องการจะเลี่ยงภาษี เอาเข้าบัญชีกับธุรกิจน้ำมันที่เชียงราย
“มันจะไปทำได้ไงมันธุรกิจคนละแบบ ก่อนที่เขาจะมาพูดน่าจะไปศึกษาธุรกิจหน่อยนะมันคนละเรื่องเลย เรื่องปั๊มน้ำมันเราก็จ่ายภาษีอะไรถูกต้องทุกอย่างคุณสามารถมาดูได้เลย เรื่องจดทะเบียนบริษัทเราต่างหากที่ห่วงเรื่องนี้เมื่อไหร่เขาจะดำเนินการซักที เพราะเขาเอาป้ายไปติดแล้ว ตอนแรกจะให้สั่งทำป้ายเหล็กใหญ่ๆ ด้วยซ้ำ แต่เราบอกว่า ให้คุณเข้ามาก่อนดีไหมแล้วค่อยไปทำ เจ้าของตึกก็รู้เพราะเจ้าของตึกอยู่ข้างบน”

ยันไม่เคยบอกให้ “เชนทร์” ไปกู้เงินมาซื้อเครื่องตัด แฉฝ่ายเชนทร์ต่างหากที่เป็นฝ่ายขอร้องให้ค้ำประกันเงินกู้เงิน
“เรื่องสัญญาเงินกู้นี่เขาเป็นคนบอกให้เราช่วยไปกู้เงินมาให้เขาหน่อย เพราะเขาจะใช้เงินอีก 1.5 แสนหรือ 2 แสนจำไม่ได้ เขาก็มาขอคุณแม่ทำนองว่าจะยืมคุณแม่ แต่คุณแม่ก็เริ่มเอะใจแล้วว่าจะปลอดภัยหรือเปล่าคนๆ นี้ แม่ก็ปฏิเสธว่า แม่ไม่มีเงินสดแล้วล่ะลูกไปหากู้ที่อื่นเถอะ คือแม่ก็คิดไงว่า 2.5 แสนยังหายไปเลยแล้วยังจะมาเอาอีก เขาก็อ้างว่าจะไปใช้เรื่องโฆษณาทำพีอาร์สารพัดอย่าง ซึ่งเราก็เชคมาแล้วว่าทำพีอาร์มันใช้เงินไม่กี่หมื่นไม่เห็นต้องใช้เป็นแสนๆ ขนาดนั้น”

“เขาก็ทำเป็นสัญญา เขาเซ็นต์ไว้ให้บอกว่า ให้แม่เอาไปกู้หน่อยนะเพราะเห็นว่าแม่มีเครดิต เหมือนกับว่าเขาจะให้แม่ค้ำประกันให้เขา เราก็ไม่ยอมเซ็นต์ให้ภรรยามาของคุณมาเซ็นต์ดีไหม หรือไม่ก็เอาที่ดินภรรยาคุณมาค้ำเองไม่ดีกว่าเหรอ เขาก็บอกว่าคุยกับเพื่อนแม่ได้ไหม คือเพื่อนแม่เป็นคนปล่อยเงินกู้ เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเอาคนค้ำไปทีหลังเป็นข้าราชการแต่ก็ผลัดเรามาตลอด จริงๆ ถ้าเราหลอกให้เขาเซ็นสัญญาเรากรอกตัวเลขไปเท่าไหร่ก็ได้ถ้าเราคิดไม่ดีตรงนั้นเพราะสัญญาก็อยู่ที่เรา แต่นี่ตัวสัญญาเราก็เอาไปให้ตำรวจแล้วว่า เขาเป็นคนหลอกให้เราไปกู้เงินมาค้ำประกัน”

สรุปก็คือ เราไม่ได้ให้เขาไปกู้เงิน แต่เขาเป็นคนเดือนร้อนอยากไปกู้เงินเอง
“ใช่ค่ะ คือสามารถเอาใบมาดูได้เลยมันมีช่องที่เว้นไว้ด้วยเพื่อให้เราเซ็นต์ค้ำประกันว่า เขาจะเอาเงินมาคืน การที่เขาบอกว่า เราเป็นคนบอกให้เขาไปกู้เงินมันตลกค่ะ เพราะเราเป็นคนบอกให้เขาลงแรง และอีกอย่างที่เราไม่เดินเรื่องกู้ให้เขาก็คือ ลายเซ็นที่เขาให้เรามาแต่ละหน้าไม่เหมือนกันเลย เราก็ดูเจตนาเขาออกแล้วเหมือนไม่บริสุทธิ์ใจ”

“จุดแตกหักจริงๆ คือ การที่เขาได้เงิน 2.5 แสนไปแล้วหายไปจากชีวิตเราเลย โทรศัพท์ไปก็พูดไม่ดี จากเมื่อก่อนคุยโทรศัพท์กับแม่ก่อนได้เงินก็จะพูดแม่หวัดดีครับ แต่พอได้เงินไปปุ๊บจะวางสายก็กดไปเลย พฤติกรรมเปลี่ยนเลย”

“ส่วนที่ตัดสินใจไปแจ้งความเพราะเราไปทราบจากพี่นิดเจ้าของห้องบันทึกเสียงรามอินทรา ซึ่งเขาพาเราไปดูบอกว่าจะซื้อเครื่องตัดต่อที่นั่น เขาก็ยังมาว่าเราอีกว่า โทรไปป่วนพี่นิดซึ่งพี่นิดให้ปากคำมาแล้วว่า เราเคยโทรไปหาเขาว่า เครื่องตัดต่อมาหรือยังเพราะตอนนั้นเขาหลอกเราว่า อีกอาทิตย์หน้าเครื่องมาแล้ว มันก็เลยไปแต่ละอาทิตย์แต่ละเดือนนานมากแล้วก็เลยโทรไปถามที่พี่นิดว่ามาหรือยัง พี่นิดเขาก็บอกว่า เขาตกใจนะเขาก็บอกว่า จริงๆ วันนั้นเชนทร์มาขอดูเครื่องเพื่อศึกษาเฉยๆ ไม่ได้มาสั่งซื้อใดๆ ทั้งสิ้น เราก็เริ่มรู้ว่านี่คุณหลอกเต็มๆ เลย”

“วันนั้นเขาพาเราเดินทัวร์ทั่วร้านเลย เครื่องนี้เป็นแบบนี้นะ และเขาก็บอกแม่ไว้ว่า แม่ไม่ต้องไปคุยกับทางพี่นิดนะ เพราะเชนทร์โตแล้ว เดี๋ยวพี่นิดจะหาว่าเชนทร์เด็ก เขาจะอ้างแบบนี้ตลอดเลย วันนั้นเราขอเบอร์บัญชีพี่นิดเดี๋ยวจะโอนเงินให้พี่นิด เขาก็ทำโมโหว่า แม่ไม่ไว้ใจเชนทร์เหรอ อ้อยไม่ไว้ใจเชนทร์เหรอ คือไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจะต้องโมโหมาก เขาบอกว่า ผู้ใหญ่เขาบอกว่า เชนทร์โตแล้วนะทำไมจะต้องพาแม่ไปจ่ายตังค์”

เพชร “ตั้งแต่เรารู้จักกับคุณเชนทร์เขาไม่เคยพาเราไปพบผู้ใหญ่เลย”

อ้อย “เขาบอกว่าเขาไปหางานกับผู้ใหญ่ เราทำธุรกิจร่วมกันเราก็น่าจะไปมีสิทธิ์รับรู้ว่าทำงานอะไร แต่นี่เราไม่เคยไปเจอใครเลย จะมาอ้างว่าไปเดินงานคนโน้นคนนี้ยืนยันได้ ก็อยากจะรู้เหมือนกัน วันนั้นที่เราโทรไปหาเขาก็อ้างว่าถ่ายหนังซึ่งเป็นหนังออฟฟิศเรา ทั้งที่เราไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย”

เผย “เชนทร์” ไม่เคยพา “เพชร” ไปพบ “โน้ต เชิญยิ้ม” ที่พระนครฟิล์ม เพื่อให้เล่นหนัง “อีส้มสมหวัง” อย่างที่ให้สัมภาษณ์ไว้
“เขาไม่ได้พาเข้าไป ตอนนั้นคือเพชรติดรถไปเฉยๆ (เพชรพูดแทรกผมรู้จักอาโน้ตตั้งแต่เด็กแล้ว) เขาให้เพชรนั่งอยู่ข้างนอกด้วยซ้ำ คือมันจะมีห้องประชุมและมีโต๊ะให้นั่งรออยู่โซนนอก เพชรก็นั่งรออยู่ข้างนอกเหมือนเป็นคนนอก (ไม่ได้พาเพชรไปแนะนำให้รู้จักกับโน้ต เชิญยิ้มเพื่อให้เล่นหนังอีส้มสมหวัง) ไม่เลย”

เพชร “แต่เขาพาคุณอ้อยเข้าไปแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนๆ เขา เพื่อทำบัตรพนักงานพระนครฟิล์มให้”

อ้อย “เพราะเขาเห็นเราเริ่มลังเลว่ามันมีงานจริงหรือเปล่า เขาทำบัตรพนักงานเพื่อยืนยันว่าเขาทำหนังจริงๆ นะ เขาก็บอกกับเพื่อนเขาว่า เอาน้องมาด้วยเรียนรู้งาน แล้วมีเพื่อนเขามีคุยกับเราว่า ตกลงออฟฟิศนี้เป็นของเชนทร์ใช่ไหม เขาไปคุยกับทุกคนว่าเขาเปิดเอง เหมือนกับว่าเราเป็นเด็กไปขอความช่วยเหลือจากเขา อันนี้คือสิ่งที่เขาพูดกับคนอื่นนะ เราอยากเข้ามาทำงานในวงการนี้ และออฟฟิศนี้เขาเป็นคนเปิดเองและดึงเราเข้าไปช่วย”

“เขาติดต่อมาหาเราวันที่ 10 มกราคมเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากนั้นก็ตายหายจากเราไปเลย หลังจากวันนั้นก็ได้โทรไปปรึกษากับทางญาติที่เป็นตำรวจ เขาก็แนะนำว่า ถ้าได้คุยอีกครั้งให้บันทึกเสียงเอาไว้นะ เพราะว่าคนที่ทำผิดส่วนมากจะไม่รับแน่นอนว่าตัวเองทำอะไรไว้ วันนั้นก็เลยเปิดสปีคเกอร์โฟนเขาก็พูดมา ในเนื้อหามันคือความจริงที่เราพูด ก็อยากให้ลองฟังกันดูก็แล้วกัน ไม่คิดเลยว่าเขาจะโกหกได้เป็นวรรคเป็นเวร”



SMS ที่เชนทร์ ส่งมาเพื่อบอกว่า ได้นัด พี่นิด เจ้าของห้องตัดต่อเรื่องซื้อเครื่องตัดต่อแล้ว แต่กลับให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เคยติดต่อซื้อเครื่องตัดต่อที่นั่น


กำลังโหลดความคิดเห็น