โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
คงไม่มีใครสามารถจะไปตรัสรู้แทนผู้กำกับเป็นเอก รัตนเรือง ได้ว่าเขาจะดีใจหรือเสียใจ หรือว่าไม่รู้สึกอะไรเลย กับเสียงสะท้อนจากคนดูหนังบางส่วนว่า ผลงานของเขาในยุคหลังๆ ซึ่งนับตั้งแต่ Last Life in the Universe เป็นต้นมา เป็นหนังที่ “ดูไม่รู้เรื่อง” แต่เท่าๆ ที่คุณและผมรู้และเห็นเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ ผู้กำกับคนนี้ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง และ “นางไม้” ก็คือหนังเรื่องใหม่ที่เพิ่งเข้าฉายเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว
ยังไม่ต้องมองไปที่ตัวหนัง แล้วลองนั่งประเมินรายได้กันคร่าวๆ ผมก็เชื่ออย่างที่หลายๆ คนเชื่อครับว่า นางไม้ ไม่น่าจะเป็นหนังที่ทำเงินได้มากมายอะไร เพราะต่อให้เราแกล้งลืมๆ ไปก่อนว่า นี่คือหนังของ “เป็นเอก” ที่คนดูส่วนหนึ่ง Say No ไปก่อนแล้วตั้งแต่ได้ยินชื่อของเขา การมี “วงษ์คำเหลา” ของหม่ำ จ๊กม๊ก วิ่งมาในลู่แข่งพร้อมๆ กัน ก็เป็นอะไรที่ประเมินได้ไม่ยากว่ารายได้ของนางไม้อาจจะไม่สวยงาม เพราะถึงแม้หนังจะหยิบเอาการได้ไปฉายเมืองคานส์มาเป็นตัวตั้งอย่างหนึ่งในการโปรโมท แต่ผมก็เชื่อของผมเองว่า คำว่า “เมืองคานส์” ไม่น่าจะมีอิทธิพลอะไรขนาดนั้นต่อการควักกระเป๋าของคนไทยส่วนใหญ่ที่ร้อยทั้งร้อยก็ตื่นเต้นกับ “หนังของหม่ำ” มากกว่า “หนังเมืองคานส์” กันอยู่แล้ว จริงไหม?
แต่เอาเถอะ ไม่ว่าที่สุดแล้ว นางไม้จะเก็บเงินไปได้เท่าไหร่ แต่ถ้าเราเชื่อว่า หนังดีกับหนังทำเงิน หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่หนังเรื่องเดียวกัน นางไม้ก็อยู่ในขอบข่ายที่ว่านั้น และที่สำคัญ สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นความน่าสนใจใคร่รู้ก็คือ นี่เป็นครั้งแรกของเป็นเอกที่เข้ามาทำหนังผี แน่นอนที่สุด จากบทสัมภาษณ์ในหลายที่หลายแห่งของผู้กำกับคนนี้ที่บอกว่าเขาไม่นิยมหนังผีประเภทที่ขายจังหวะและซาวด์เอฟเฟคต์ตุ้งแช่เพื่อหวังผลให้คนดูตกใจ ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นความน่าสนใจว่า แล้วหนังผีในแบบที่เป็นเอกคิดจะทำ มันจะออกมา “แตกต่าง” จากหนังผีเรื่องอื่นๆ ตรงไหนยังไง
เหนืออื่นใด ขณะที่หลายๆ คนอาจจะพยายามมองว่า นางไม้ไม่ใช่หนังผี เพราะไม่เห็นว่ามันจะมีฉากหลอกฉากลุ้นระทึกให้ตื่นเต้นตกใจอะไรเลย แต่โดยส่วนตัว ผมก็ยังมองว่านี่คือหนังผีอยู่ดี เพียงแต่ไม่ได้เป็นหนังผีที่มาบริการความตกใจ และโดยเนื้อแท้ ผมคิดว่ามันคือหนังผีที่พูดถึงแง่มุมความรักได้ดีมากๆ อีกเรื่องหนึ่ง
ด้วยเนื้อหาที่คล้ายๆ ว่าจะเป็นการสานต่อประเด็นมาจากหนังเรื่องที่แล้วอย่าง “พลอย” นางไม้ยังคงบอกเล่าเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ที่กำลังมีปัญหาของชีวิตคู่ ผ่านตัวละครอย่าง “นพ” (ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม) กับ “เมย์” (กิ๊บซี่-วนิดา เติมธนาภรณ์) คู่รักที่พอหนังเปิดฉากเล่าเรื่องไม่กี่นาที คนดูก็เริ่มสัมผัสได้แล้วว่า ชีวิตรักของพวกเขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะต่อให้ไม่นับรวมฉากหลายๆ ฉากที่นพเอ่ยปากชวนคนรักเมคเลิฟ (“มาเมคเลิฟกันเถอะ”) แล้วได้รับคำปฏิเสธ ท่าทีเฉื่อยเนือยและเฉยชาต่อกัน ก็คือสัญญาณหนึ่งซึ่งบอกว่าชีวิตชีวาในความรักของพวกเขากำลังแห้งแล้งและรอวันล้มตาย
ก็อย่างที่บอกครับว่า มองกันที่เค้าโครงและเนื้อหาแล้ว นางไม้ไม่ได้หนีไปไหนไกลจากสิ่งที่เป็นเอกเคยพูดไว้ในหนังเรื่อง “พลอย” หรือถ้าจะว่าให้ละเอียดลงไปเลย มันก็คงต้องเริ่มต้นนับกันตั้งแต่ “คำพิพากษาของมหาสมุทร” (Invisible Wave) ซึ่งถือว่าเป็นจุดแรกๆ ที่ทำให้เราได้เห็นว่าเป็นเอกเริ่มสนอกสนใจในประเด็นปัญหาชีวิตคู่ การเป็นชู้และนอกใจ
พูดตามตรงครับว่า ในห้วงเวลาเกือบๆ 10 ปีมานี้ ผม (และอาจจะรวมถึงคุณ) ถูกหนังผีแบบหนึ่งซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากทางญี่ปุ่นและเกาหลี “หลอก” จนแทบจะหมดความตื่นเต้นไปแล้ว เพราะมันมาพร้อมกับแพทเทิร์นเดิมๆ ที่เราคาดเดาได้แล้วว่า ช็อตไหนซีนไหนที่จะมีผีโผล่หน้ามา แต่ทว่าเมื่อได้ดูนางไม้ เว้ากันอย่างซื่อๆ เลย ผมรู้สึกชอบหนังผีแบบเป็นเอกขึ้นมาทันที
เพราะนางไม้ไม่ใช่หนังผีขายจังหวะ แต่มันคือหนังผีขายสาระ ซึ่งแน่นอนล่ะ เราอาจจะเคยเห็นจีทีเอชบอกเล่าสาระผ่านหนังผีมาบ้างแล้ว (แฝดเอย บอดี้#ศพ 19 เอย) แต่ว่ากันอย่างถึงที่สุด หนังผีของจีทีเอชก็ยังคงใช้สไตล์และวิธีการแบบ Juon หรือหนังผีเอเชียเรื่องอื่นๆ ที่อาศัยจังหวะและซาวด์เอฟเฟคต์เล่นกับความตกใจวี้ดว้ายของคนดู แต่เป็นเอกกลับ “ปลดแอก” รูปแบบเหล่านั้นออกไปจนเกือบจะสิ้นเชิง ซึ่งที่บอกว่า “เกือบ” ก็เพราะว่าในหนังนางไม้ มันมีอยู่จังหวะหนึ่งซึ่งเป็นเอกหลุดซาวด์เอฟเฟคต์ตึงตังออกมา (ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นตอนที่นพสะดุดรากไม้หัวทิ่มหัวตำ) อย่างไรก็ดี ผมไม่รู้สึกว่า นั่นเป็นการกบฏต่อตัวเองของผู้กำกับแต่อย่างใด แต่มันเหมือนกับ “ฉากโชว์ของ” มากกว่าว่า ถ้าเป็นเอกเขาจะทำหนังผีขายจังหวะหรืออัดความตกใจใส่คนดูจริงๆ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เหลือบ่ากว่าแรง
และลึกๆ ผมเข้าใจว่า เป็นเอกมีความเชื่อว่า คนเรานั้น “ลวง” กัน มันน่าเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งกว่าโดนผีหลอกเป็นไหนๆ และก็คงเป็นเพราะเหตุนี้ ในหนังอย่าง “นางไม้” เราจึงไม่ได้เห็นผีโผล่หน้าออกมาหลอกคนเลยสักฉาก นอกไปจากคนเป็นๆ ด้วยกันนี่แหละที่หลอกกันไปลวงกันมาตลอดทั้งเรื่อง นี่ต่างหากคือความสยองที่เราพบเจออยู่แทบจะทุกเมื่อเชื่อวัน (แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าจะถามผมจริงๆ ว่าอะไรในหนังที่หลอนที่สุด ก็ประโยคซ้ำๆ อย่าง “มาเมคเลิฟกันเถอะ” นั่นล่ะครับ หลอนหูผมไปหลายวันเลย หึหึ)
มองในภาพรวม เราจะเห็นว่า เป็นเอกยังคงทำหนังแบบคนที่ใส่ใจในรายละเอียดทุกเม็ด ทั้งในส่วนของภาพ มุมกล้อง และเนื้อหาอารมณ์ของเรื่องราวและตัวละคร ซึ่งนอกเหนือไปจากฉาก Long Take ในตอนต้นเรื่องที่เป็นเอกทำให้ป่าซึ่งดูเหมือนจะธรรมดา กลับกลายเป็นป่าที่ลึกลับน่าประหวั่นพรั่นพรึงด้วยรายละเอียดทั้งภาพและเสียง (ของป่า) แล้ว มีฉากๆ หนึ่งซึ่งผมมองว่า “จี๊ด” หัวใจเป็นที่สุดก็คือ ตอนที่ปีเตอร์ดื่มน้ำจากแก้วแล้วมุมกล้องตั้งองศากับ “ช่วงองคาพยพ” ที่สำคัญของกิ๊บซี่พอดิบพอดี แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่ความสัปดนของคนทำหนังแต่อย่างใด อีกทั้งยังชวนให้รู้สึกว่านั่นคือ “ตลกร้าย” ที่เกิดจากความช่างคิดและขี้เล่นของเป็นเอกโดยแท้
ลองคิดเล่นๆ นะครับว่า ฉากดื่มน้ำนั้น มันบ่งบอกถึงความปรารถนาที่คั่งค้างไม่ได้รับการตอบสนองของนพหรือเปล่า?
เพราะนพอาจจะได้ดื่มน้ำจากแก้วที่เมย์รินมาให้ก็จริง แต่ในเรื่องความสัมพันธ์ เขาดูเหมือนจะไม่เคยได้รับ “น้ำ” จากเมย์เลย...“น้ำ” ที่อาจจะหมายถึง “ชีวิตชีวา” “ความใส่อกใส่ใจ” และ “น้ำ” ที่อาจจะตีความได้ไกลไปจนถึงเรื่อง “เซ็กซ์”...
และเมื่อความปรารถนาไม่ได้รับการเติมเต็ม มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เพราะอะไร นพถึงพาตัวเองหลุดเข้าไปสู่การ “เป็นชู้กับผี” และที่ผมชอบก็คือ เอาเข้าจริงๆ หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ใช้สอยผีนางไม้ในแบบที่หนังผีทั่วๆ ไปใช้กัน คือมีผีเพื่อหลอกคนดู แต่เป็นเอกดูเหมือนจะใช้ตัวละครผีตัวนี้เป็นเพียง “บุคลาธิษฐาน” มากกว่า นั่นหมายความว่า ที่สุดแล้ว นางไม้อาจจะเป็นสัญลักษณ์แทนหญิงสาวคนไหนก็ได้ในโลกนี้ที่นพกระโจนเข้าหาเพื่อเสพสุขที่เขาไม่ได้รับจากคนรัก
อย่างไรก็ดี ก่อนที่เราจะยกยอดว่าปัญหาทั้งหมดมาจากเมย์ ผมว่าหนังได้ฉากๆ หนึ่งเพื่อแก้ต่างให้กับหญิงสาว นั่นก็คือตอนที่ทั้งคู่เปิดใจสารภาพบาปกันในห้องล้างรูป ซึ่งมันทำให้เราคนดูได้รู้ว่า ไม่ใช่แค่เมย์ที่เป็นฝ่าย “ผิด” แต่นพเองก็ “พลาด” ไม่น้อยไปกว่ากัน และสุดท้าย ทั้งสองคนต่างก็มีส่วนที่ทำให้รักปริร้าวเท่าๆ กัน
กิ๊บซี่ที่มาในบทของเมย์ นอกจากจะลบภาพความเป็นสาวเซ็กซี่ที่ขายทรวดทรงองค์เอวออกไปได้โดยสิ้นเชิงแล้ว รัศมีความเป็นนักแสดงของเธอก็เปล่งประกายจริงๆ กิ๊บซี่ทำให้ผมคิดไปถึงดาราไทยอีกหลายๆ คนที่โดน “สปอยล์” ด้วยวิธีการด้านมาร์เก็ตติ้งของต้นสังกัด จนบางที เราแทบจะลืมคิดไปว่า จริงๆ แล้ว เธอและเขาเหล่านั้นไม่ได้ไร้ฝีไม้ลายมือเลย ขอเพียงได้ร่วมงานกับทีมงานซึ่งมีความสามารถที่จะดึงศักยภาพของนักแสดงออกมาให้ได้ ก็เท่านั้นเอง
พูดกันอย่างถึงที่สุด นางไม้อาจมีจุดที่ผมไม่ชอบอยู่บ้างก็ตอนใกล้ๆ จบที่นพไปนั่งขอพรสามข้อจากชู้ของเมย์ซึ่งทำให้รู้สึกว่ามันเป็น “ลิเก” ไปหน่อย แต่โดยภาพรวม ผมว่านางไม้เป็นหนังที่ดูสนุกเรื่องหนึ่ง มันไม่ใช่ความสนุกแบบเดียวกับตอนที่ดู Transformers หรือ วงษ์คำเหลา แต่เป็นความสนุกที่จะได้คิดตามและตีความ โอเคว่า แม้เป็นเอกจะบอกเสมอๆ ว่า เวลาดูหนังของเขา อย่าใช้สมองคิดก็เถอะ แต่ผมก็ยอมถูกเป็นเอกด่าละกัน เพราะนางไม้ห้ามสมองของผมไม่ให้คิดไม่ได้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ผมมานั่งคิดๆ ดูว่า ใครบ้างที่จะดูหนังเรื่องนี้ได้สนุกและอินมากกว่าคนอื่นๆ ซึ่งแน่นอนล่ะ ถ้าคุณรู้สึกว่าชีวิตรักของคุณกำลังง่อนแง่นสั่นไหว ก็บอกได้เลยครับว่า นี่คือหนังที่คุณไม่ควรปล่อยผ่านด้วยประการทั้งปวง