“ป๋อ” รับ เป็นห่วง “เอ๋” โดนนักการเมืองฟ้องโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หวัง น่าจะเคลียร์และไกล่เกลี่ยกันได้ ยอมรับ เพราะเหตุนี้มีส่วนทำให้งานแต่งที่คิดไว้ต้องเลื่อนออกไป แต่ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดปีหน้ามีลุ้นแน่นอน รับแฟนสาวคือคนที่ใช่สุดๆ ตรงใจเพราะนิสัยบ้าเหมือนกัน
คบหาดูใจกันมากว่า 6 ปีแล้ว หลายๆ คนก็ลุ้นว่าพระเอกหนุ่มเข้ม “ป๋อ ณัฐวุฒิ สะกิดใจ” และดาราสาว “เอ๋ พรทิพย์ วงศ์กิจจานนท์” จะมีข่าวดีกันเมื่อไหร่ เพราะเมื่อครั้งที่พระเอกหนุ่มทำพูดจาทีเล่นทีจริงว่าจะแต่งเมื่อวันที่ 10 เดือน 10 ปีที่แล้วก็ทำเอางานเข้าไปทีแล้ว เจ้าตัวเลยต้องรีบแก้ข่าวกันยกใหญ่ บอกให้มาถามอีกทีปีหน้า
ล่าสุดหนุ่มป๋อก็ยอมเปิดใจแบบหมดเปลือกครั้งแรก ว่าจริงๆ แล้วมีการพูดคุยกันเรื่องจะแต่งจริง แต่พอสาวเอ๋ มีเรื่องโดนนักการเมืองหนุ่ม “ไผ่ วันพ้อยท์” ฟ้องร้องกรณีที่สาวเอ๋ กับพิธีกรร่วม “บ๊วย เชษฐวุฒิ วัชรคุณ” ได้มีการพูดออกกาศในรายการ “คันปาก” ถึงเรื่องที่นางเอกสาว “หยาดทิพย์ ราชปาล” หนีมาอยู่ที่บ้านหนุ่มไผ่ เพื่อเสพยาเสพติดนั้น เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้งานแต่งต้องเลื่อนออกไปอีก
“จริงๆ ก็มองกันตั้งแต่ปีนี้แหละครับ แต่ว่าพอมันมีเรื่องปุ๊บก็ไม่หนุกแล้ว พอดีว่าช่วงนี้เอ๋เขาก็มีข่าวเรื่องอื่นเข้ามา เห็นว่าขึ้นโรงขึ้นศาลก็กลายเป็นว่าปีนี้ก็มีเรื่องไม่สบายใจ แต่คิดว่ามันก็น่าจะผ่านไปในทางที่ดี คือก็อาจจะค่อยๆ เคลียร์กันไปก่อน แต่เพราะว่าจริงๆ ก็สัญญากันไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว จำได้ถ้าใครดูพี่ๆ สื่อมวลชนก็คงจะรู้ว่าเราคุยกันมาตั้งแต่ต้นว่าเราอยากจะสัก 35 แต่ง แล้วพี่ๆ ก็ไม่รู้เป็นอะไรกัน ทวงกันจังเลย ก็ไม่เป็นไรครับ ก็จะแต่งให้สมใจ”
“กับเรื่องคดีเนี่ย ตอนนี้ก็เห็นว่าคุยกับทางผู้ใหญ่อยู่นะครับ คุยในส่วนของทางกฎหมาย ส่วนตัวผมพูดอะไรไม่ได้มาก แต่ก็คงเป็นกำลังใจมากกว่า แล้วอยากให้ทุกอย่างมันคลี่คลายไปในทางที่ดี ถ้าคนมองจริงๆ เอ๋เขาก็ไม่ได้มีเจตนา ก็ทำหน้าที่เท่านั้นเอง ก็อยากให้ค่อยๆ ใจเย็นๆ แล้วก็คลี่คลายไกล่เกลี่ยอะไรให้มันไปในทางที่ดีๆ ดีกว่า”
“เอ๋เขาเครียดมาก คิดดูซิผู้หญิงคนนึงเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้น่ะครับ แล้วน้องเขาก็ไม่เคยมาโดนลักษณะการกระทำแบบนี้ ต้องบอกไว้ก่อนผมไม่ได้พูดถึงใครนะ ผมไม่ได้ตอบคำถามด้วยนะ ผมพูดขึ้นมาลอยๆ แล้วกันนะ ว่าจริงๆ แล้วเขาตื่นมาตอนเช้าแล้วมาอ่านข่าว ก็อ่านข่าวสนุกๆ คนฟังก็สนุกสนานไปด้วย แต่พอมาเจอเหตุการณ์อย่างนี้มันก็เริ่มสนุกไม่ออก”
“มันเริ่มเอ๊าแล้วทำยังไงล่ะ มันไม่ใช่ความผิดของเขา สองเขาก็ทำหน้าที่ใช่มั้ยครับ สามก็คือเขาก็ไม่ได้มีเจตนา ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่ได้รู้จักอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็อยากให้ใจเย็นๆ เท่านั้นเองครับในมุมมองของคนนอกนะ ใจเย็นๆ ไกล่เกลี่ยดีกว่า คุยกัน อะไรๆ ที่แก้ไขได้มาพูดคุยกันแก้ไขกันดีกว่าครับ สงสารน่ะ ผมสงสารจริงๆ”
“ก็ปลอบว่าคนเราต่างจิตต่างใจน่ะครับ ผมก็ปลอบเขาว่าให้เขาพยายามเข้าใจ แล้วก็อย่าตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามแก้ไขมันไปทีละช่วงๆ คือเหมือนกับอาจจะเข้าใจผิดกันก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ควรจะมาปรับความเข้าใจกันดีกว่า ใจเย็นๆ ค่อยๆ แก้ปัญหาไป เพราะว่าน้องเขาก็จะวิตกกังวลไปหมดเลย เหมือนรนน่ะครับ แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วครับ ระยะเวลามันก็จะช่วยทำให้เรารักษาสถานการณ์อะไรได้ดีมากขึ้น”
เผย การแต่งงานยังอยู่ในขั้นพูดคุยเท่านั้น แต่ยังไม่ถึงกับไปขอ ส่วนเรือนหอคงเป็นบ้านตัวเองที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้
“คือตอนนี้ยังไม่ได้คุยอะไรขนาดนั้น ต้องบอกก่อนนะว่าอย่าเพิ่งไปอะไร ยังไม่ได้จะแต่งนะ คือผมยังโสดอยู่ น้องเขาก็ยังโสดอยู่นะ ให้เขาได้ใช้ชีวิตโสดไปก่อน แต่ถ้าถามว่าเรื่องนี้เราคิดกันมั้ย เรามองกันมั้ย เราก็มองกันมากขึ้นครับ ปีหน้า สัญญา เพราะให้สัญญากับนักข่าวไว้ไง เยอะแยะเลยว่า 35 แต่ง ทวงกันจัง ทวงกันอยู่นั่นแหละ(หัวเราะ)”
“ยังไม่ได้ขอครับ คือยังไม่ได้ถึงขั้นนั้น เพราะว่าถ้าขั้นนั้นจริงจังต้องบอกชัดเจน พูดถึงความพร้อมผมพร้อมมาตั้งนานแล้ว สำหรับตัวผมนะครับ คือถ้าใครดูบทสัมภาษณ์นะครับเราก็วางวิธีการพูดไว้ค่อนข้างมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว พอถึงวันนี้เราก็ไม่ได้ปกปิดอะไร เราก็ศึกษากันจริงๆ”
“แต่อย่างที่บอกถ้าพูดมากผู้หญิงเขาก็จะเสีย เพราะฉะนั้นก็ต้องดูแลน้องเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือผมพูดได้เลยว่าถ้าอะไรต่อจากนี้ไปมันไม่เป็นอย่างที่ผมพูด ก็คือเป็นคำพูดของผมเอง ว่าเออผมอายุขนาดนี้แล้ว แต่ก็พยายามจะบอกว่ามันอาจจะถึงช่วงเวลามากกว่า”
“เรือนหอคิดไว้อยู่แล้วว่าจะไม่มีครับ คงเป็นบ้านที่ผมซื้อมาก็คงจะอยู่ที่นั่นเลย เพราะว่าจริงๆ แล้วหนึ่งก็คือมีความหมายว่ามันเป็นน้ำพักน้ำแรงของเราด้วย ที่ผมรู้สึกว่าเราอยู่ที่นี่แล้วก็ใช้ชีวิตแบบพอเพียงสบายๆ หมายความว่าตอนนี้การใช้ชีวิตของเราคือผมกับเอ๋พยายามจะคิดคล้ายๆ กันว่า เราก็ใช้ชีวิตทำงานของเราให้ดีที่สุด แล้วก็ไม่ต้องใช้อะไรสิ้นเปลืองมาก เรามีความสุขก็ดีครับ บ้านอยู่แถวพระราม 5 ครับ จริงๆ พร้อมนะ แต่คือมันก็บ้านเดิมแหละ แต่ว่ามันก็เป็นบ้านที่ค่อนข้างใหม่ เพราะว่าอยู่มาแป๊บเดียวก็ตกแต่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าใจความมันก็คือบ้านแห่งความรักมากกว่านะ(หัวเราะ)”
เจ้าตัวบอกด้วยความที่รู้จักกันมานานแล้ว เลยยิ่งทำให้มั่นใจว่าคนนี้แหละใช่ที่สุด และคงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว
“จริงๆ ผมรู้จักเอ๋มาตั้งนานแล้วครับ แต่ว่าที่มาคุยๆ กันจริงๆ ก็ประมาณสัก 6 ปีได้ แต่ก็อย่างที่บอกครับเราค่อยๆ ดูกันไปเรื่อยๆ พอถึงจุดนึงเราก็พูดได้แล้วว่าโอเคเราคบกันนะ แต่ก็คิดว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ”
“ไม่ใช่ว่าดูยิ่งเด่นชัดนะ ดูทีไรก็ใช่มากกว่า(หัวเราะ) ก็อั้นกันมานานไง บางทีผมว่านักข่าวก็เบื่อผมนะ ผมก็พูดเหมือนเดิม แต่นี่เราก็กำลังจะบอกว่าเราพิสูจน์เรื่องเวลาด้วย คือมันเป็นการทดลองชีวิตของผมเองนะว่าผมพิสูจน์ด้วยเวลาของผม ผมคบมา 6 ปี แล้วพอถึงเวลาวันนี้เราก็พูดได้เต็มปาก พูดได้ไม่อายว่าเราคบเขาคนเดียวแล้วก็ไม่มีใคร แล้วก็ไม่เคยมีใครเลย”
“ที่ใช่คือเอ๋เขาบ้าๆ เหมือนผมไง อยู่กับเอ๋แล้วมันสนุก เอ๋เขาจะมีหลายมุมนะ แต่คือมุมที่โดดเด่นและเวลาเห็นแล้วมักจะขำคือเขาจะชอบมาแปลกๆ เขาจะมีเซอร์ไพรส์ตลอด บางทีเขาก็มาเป็นซูเปอร์แมนบ้าง ใส่กางเกงอะไรมาก็ไม่รู้ มันก็ขำดี เวลาเราเบื่อๆ เห็นหน้าเอ๋ก็จะขำไง”
“แล้วเหมือนเวลาเขาเห็นเราทำอะไรบ้าๆ บอๆ เขาก็จะขำด้วย คือเราจะไม่ใช่คู่ที่สวีทนะ จะเป็นคู่ยิ้มๆ มากกว่า อยู่ด้วยกันสนุกๆ ไปไหนก็ไปกับเพื่อนเยอะๆ ไม่เคยไปไหนสองคนนะ เพราะว่าไปสองคนแล้วก็ทะเลาะกันคือแย่งกันพูด ไปหลายๆ คนก็ดี เพราะว่าคนอื่นจะได้ฟังเราพูดทั้งคู่”
“พ่อกับแม่ก็อยากให้มีงานอยู่แล้วครับ แต่ก็แล้วแต่ป๋อไง คือบอกว่าแล้วแต่ป๋อ ป๋อตัดสินใจเลย คือปีนี้คงไม่ใช่อยู่แล้วครับ พ่อเขาก็บอกว่าเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะเขาเชื่อเราอยู่แล้วว่าไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง คือวันนี้หรือพรุ่งนี้ไม่ได้แตกต่างเลย แต่งวันนี้หรือแต่งพรุ่งนี้หรือปีหน้า สุดท้ายแล้วเราก็รู้อยู่แล้วว่าเรามีความรู้สึกที่ดีต่อกันน่ะครับ”
“ปีหน้าไม่กลางปีก็ปลายปี แต่ก็อาจจะยังไม่ใช่นะ คือต้องพูดไว้ก่อน ถ้ามันมีที่จะต้องกระเถิบไปอีกเราก็ต้องอยู่ด้วยความเป็นจริงน่ะครับ ผมไม่ได้ดูฤกษ์ยามครับ แต่มีผู้ใหญ่บอกมา ก็มีคนชอบมาบอกว่าเนี่ยกลางปีดี ปลายปีดีอะไรอย่างเนี้ยครับ ผมก็ครับๆ เดี๋ยวผมต้องไปถามฝ่ายหญิงเขาก่อนนะว่าเขาอยากรึเปล่า ก็ถ้าเกิดเขาไม่แต่งกับผมขึ้นมาทำไงล่ะ”
“สินสอดก็ยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่(หัวเราะ) ก็เก็บหอมรอมริบพอสมควรครับ เขาคงไม่เอาหรอกครับ เดี๋ยวนี้เขาคงไม่ได้คิดเอาสินสอดอะไรมากหรอกมั้ง เดี๋ยวนี้คนเรามันต้องประมาณนึงพอ พอเพียง สินสอดไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ ไม่ได้เอามาใช้ดำเนินชีวิต แล้วบางทีเราอาจจะไม่ต้องมีสินสอดก็ได้ อาจจะมีนิดๆ หน่อยๆ เพราะผมว่าจริงๆ แล้วคนแต่งงานยิ่งถ้าไปซีเรียสกับพวกสินสอดตัวเลขมากขึ้น ทำให้เราไปเห็นความสำคัญของเงินมากเกินไป ผมก็อยากจะเอาความสำคัญของคนสองคนดีกว่า เรื่องความรัก ความผูกพัน สิ่งดีๆ ดีกว่า”
“ก็คิดไว้แล้วว่าถ้ามีงานจะต้องแปลก ผมตั้งใจไว้แล้วแปลกจริงๆ คือต้องไม่เหมือนใครเอาง่ายๆ ดีกว่า คือถ้าความรู้สึกผม ผมไม่ชอบอารมณ์แบบโรงแรม สมมติงานอย่างอ้นผมก็ชอบ คืองานสบายๆ มีเพื่อนดีกว่า มันเป็นงานของเพื่อน ของพ่อของแม่ มันไม่ใช่งานแบบเป็นทางการ อยากให้มีความสุขมากกว่า ผมตั้งใจ แพลนไว้แล้ว”