“ไกรสร” ยืนยัน “เพชร” หนีออกจากบ้าน-เสียคนเพราะ “อ้อย” ซัดคอยแต่เสี้ยมสอนให้เพชรทำสิ่งที่ผิด เผยที่ฟ้องเพราะได้หมอจากโรงพยาบาลรามาฯ กับหมอที่จังหวัดเชียงใหม่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมอ้อนวอนทั้งน้ำตาขอให้ช่วยรักษาลูกชายให้หายเป็นปกติ ด้าน “เกย์นที” หนุนเต็มที่ ยัน “ไกรสร” ไม่ได้เป็นเกย์
เรื่องราวยังดำเนินไม่จบไม่สิ้น โดยการออกมาเปิดใจแถลงข่าวอีกครั้งสำหรับ “ไกรสร แสงอนันต์” ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (22 มิ.ย.) ร่วมกับประธานกลุ่มเกย์การเมืองไทย และเลขาธิการกลุ่มเชียงใหม่อารยะ อย่าง “นที ธีระโรจนพงษ์” พร้อมด้วยภรรยาคนปัจจุบัน “โอ๊ต สิริพร อินทร์พรหม” ออกมาเปิดใจเรื่องที่ว่าจะฟ้องลูกชายคนเดียว “เพชร สรภพ ลีละเมฆินทร์” เพื่อให้หมอทางจิตวิทยาพาตัวไปรักษา พร้อมเผยถึงความรู้สึกที่ต้องฟ้องลูกทั้งน้ำตา
ไกรสร “สวัสดีทุกท่าน เพื่อนๆ พี่น้องที่ให้กำลังใจ ที่รู้จักกับผมมาพอสมควรนะครับ ที่รู้จักนิสัยใจกันมาพอสมควร ขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชน ที่ติดตามข่าวมาตั้งแต่กรุงเทพ ความจริงจะให้ผมแถลงข่าวที่กรุงเทพ ก็มีคุณหมอจากกรุงเทพโทรมาหาผม บอกได้เลยครับว่าหมอจากโรงพยาบาลรามาฯ ต้องขอตรงประเด็นอีกเช่นกันว่า ถ้าคุณหมอไพรัตน์กับคุณเพชรราพูดได้ พูดแบบวิชาการ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าหลายท่านในที่นี้ก็ต้องการตรงประเด็นว่า ที่ผมจะพูดต่อไปนี้ก็คือน้องเพชรโดยตรง ก็คือลูกชายของผม หลายๆ ท่านก็คงจะคิดด้วยเช่นเดียวกันครับ”
“ถามผม ถามเพชร ถามทุกคน และทุกคนก็คงไม่รู้จริงที่จะตอบปัญหานี้ เริ่มตั้งแต่เด็กๆ เล็กๆ ผมเลี้ยงลูกมาอย่างทะนุทนอม ก็มีคุณผึ้งอยู่ คุณผึ้งก็จะทำงานเป็นส่วนใหญ่ ร้องเพลง กลับมาดึกๆ ดื่นๆ ถึงแม้ว่าผมเองก็ขับรถบ้าง ไม่ได้ขับรถบ้าง ผมก็จะตื่นแต่เช้า ดูแลลูกซะส่วนใหญ่ เอาเป็นว่าผมสนิทลูกมากกว่าแม่เขาด้วยซ้ำไปก็เลี้ยงลูกมาแบบนี้ตลอด ก็ให้ความรัก ความเอ็นดู การดูแล”
“ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งญาติผม พ่อแม่ปู่ย่าตายาย หรือญาติคุณผึ้งทั้งหมด ก็ดูแลน้องเพชรมาด้วยความรัก ก็ไม่มีปัญหา จะมีปัญหาตรงที่ว่าเราดูแลดีเกินไป อันนี้ผมมาว่าวิเคราะห์ตัวเอง วิเคราะห์คนข้างเคียงทุกคน ลุกพุ่มพวง ลูกไกรสร ก็ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ผมเองก็ทำเช่นนั้นด้วย อาจเป็นความผิดของผมส่วนหนึ่ง ความผิดของญาติส่วนหนึ่งที่ช่วยกันประคบประงมกันมาแบบผิด แต่ก็เรียกว่าทำผิดอย่างบริสุทธิ์ใจ เราไม่รู้ว่าทำอย่างนี้แล้วจะเป็นผลเสียต่อลูกในอนาคตหรือป่าว หรือไม่”
“พวกเรารู้แต่ว่าผมมีลูกคนเดียว ทุกคนมีหลานคนเดียว ลูกพุ่มพวงก็มีคนเดียว เพราะฉะนั้นเราก็ดูแลกันเป็นอย่างดี ตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งเรียนโรงเรียนที่เซนต์คาเบรียล ตั้งแต่อนุบาลเลยละกัน ก็ส่งให้เรียนโรงเรียน อนุบาลก็สุดยอดของเมืองไทยเหมือนกัน อยู่ที่กรุงเทพฯ จนประถมก็ส่งให้เรียนที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ทุกคนก็รู้ว่าเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งเหมือนกัน คือเราจะหาทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดสำหรับลูกเราเสมอ ไม่ว่าแม่เขาจะอยู่หรือใครอยู่หรือไม่ก็ตาม ก็ผ่านไปพ้นไปด้วยดี”
“จนกระทั่งลูกจบ ป.6 อายุ 11-12 ผมก็ไปต่างประเทศ ก็พาลูกไปเรียนอีกเหมือนกัน ไปปีแรกเราก็ไม่รู้จักถิ่นฐานอะไร มีเพื่อนอยู่ก็ไปเรียนอยู่ใกล้ๆ กับที่ทำงาน ก็ปรากฏว่าถิ่นฐานนั้นมีไอ้มืดเยอะ พวกเม็กซิกัน ก็เพิ่งรู้ทีหลัง ผมก็หาอีกเหมือนกันว่าถิ่นนี้ไม่ใช่ถิ่นฝรั่งหัวขาว ก็อีกปีหนึ่ง ผมก็เสาะแสวงหาถิ่นที่ดีที่สุดสำหรับลูก”
“ทำไมไปต่างประเทศ ทั้งที่ทำไมไม่ไปอยู่กับฝรั่งล่ะประมาณนี้ ก็ไปอยู่ถิ่นที่ดีๆ อาจจะขับรถทำงานขับรถไปประมาณ 5-10 นาที แต่นี่ผมต้องย้ายเมืองจากเมืองไปอีกเมือง ขับรถไปประมาณ 45 นาที ทุกวัน ผมก็ยอม ยอมเพื่อลูก จะได้ไปอยู่ในถิ่นที่ดีๆ มีฝรั่งเยอะๆ คนไทยน้อยๆ ให้สุดยอดว่างั้นเหอะ จะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี”
“ก็ไม่มีปัญหา ก็อยู่กันมา 5-6 ปี เดี๋ยวผมจะมีหลักฐานให้สื่อมวลชนทั้งหมด ความจริงผมเป็นพ่อไม่ละเอียดอ่อนไม่ค่อยจะมี ด้วยความรักลูก แต่ว่าผมชอบถ่ายรูปลูก ทุกอย่างมันอยู่ในนี้หมด นี้เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยนิด เอาเป็นว่าคือที่ผมจะเล่า ลูกยังปกติอยู่ อยู่กับผมก็ไม่มีอะไรที่บอกว่าผิดปกติเลยแม้แต่น้อย”
“ลูกโตมาก็กลับมาเมืองไทยประมาณ 17 ปี ไปประมาณ 5-6 ปี ก็กลับมาเรียนที่เชียงใหม่ ผมเห็นว่ากรุงเทพฯ วุ่นวายการจราจรติดขัด ต้องตื่นแต่ตั้งตี 4-5 ผมมีบ้านอยู่เชียงใหม่ เคยพาเพชรมาอยู่เชียงใหม่อยู่ช่วงหนึ่งของชีวิตก่อนที่คุณผึ้งจะเสีย ก็มาอยู่เชียงใหม่กัน”
“โดยที่ว่าเขาเรียนเมืองนอกมา ผมก็พาไปเรียนที่โรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดเหมือนกัน โรงเรียนนานาชาติแห่งแรก คือเชียงใหม่นานาชาติของเชียงใหม่ หลายท่านก็คงจะทราบดี นี่คือความพยายามที่จะสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอ ก็ปีแรกอายุ 17 ก็เรียนไป”
วางแผนถ้าลูกเรียนจบจะให้เป็นนักร้องทันที เพราะลูกร้องเพลงเก่ง และเสียงดี
“ตอนนั้นอยู่ไฮสกูลเกรด 11 ความจริงเรียนอีก 2 ปี ก็จบทรานสกูลจากเมืองนอกมาก็ไม่ได้ตัดสินใจตอนนั้น เราว่าคุยกับลูก ลูกฝึกร้องเพลงทุกวัน ลูกอยากเป็นนักร้อง ลูกอยากไปอยู่ในวงการ ลูกร้องเสียงดี ผมกลับมาจากกรุงเทพฯ ทุกครั้ง ผมก็เอาซีดีมาฝากลูกเสมอ เพื่อให้ลูกจะได้เรียนร้องเพลง สิ่งที่ลูกชอบ”
“เป็นอย่างนี้อยู่เมืองนอกมาทุกอย่างจะบอกได้ ผมกลับมาก็วางแผนตั้งแต่อยู่อเมริกาว่าจะเข้าพบใคร พบคนไหนจะทำอย่างไรให้ลูกได้เข้าวงการนี้ได้ แล้วมาเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ หลังจากที่เข้ามา ผมก็ติดต่อบริษัท อาร์เอสฯ ผมก็ไปติดต่อพูดคุยกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ให้น้องเพชรเข้ามาฝึกปรือ ฝึกมาแล้วจากต่างประเทศ แต่ก็ไม่เข้าขั้นถึงสามารถอัดแผ่นเสียง ก็ต้องมีการเทรนนิ่ง ต้องเรียนฝึกอีกพอสมควร ก็เรียนอยู่ที่เชียงใหม่ไป ปิดเทอมก็เข้ามากรุงเทพฯ มาอยู่บ้านปู่บ้านย่า สอนร้องเพลง ไปอาร์เอส ทุกวันๆๆๆ ทำอย่างนี้มาตลอด”
“จนดีขึ้น จนเซ็นสัญญากันขึ้น น้องเพชรก็ขึ้นปีสุดท้ายคือเกรด 12 ก็เรียนหนังสือตามปกติ แต่ในช่วงเวลานั้นก็มีเหตุการณ์ตัวแปรมาในชีวิตน้องเพชร ช่วงที่เกรด 12 น้องเพชรได้เป็นนักร้องประสานเสียง น้องเพชรได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนที่ฝาง 1 ที่เชียงราย ก็ปกติดี ลูกพุ่มพวงร้องเพลงเก่ง ร้องเพลงฝรั่ง ร้องเพลงพระเจ้า เพราะที่โรงเรียนเป็นโรงเรียนคริสต์ จนไปร้องที่เชียงราย โชว์เพลงของโรงเรียนเขาก็มีแฟนคลับเด็กๆ แฟนเพลง ตามปกติ”
เผยถึงเหตุที่ “เพชร” ได้รู้จักกับ “อ้อย” เพราะหลานของฝ่ายหญิงเป็นคนติดต่อให้
“ทีนี้ที่เชียงรายก็มีแฟนคลับคนหนึ่งอายุน้อยกว่าเขา เข้ามาพุดคุยได้ ก็มีคนรู้จักหลายคน ก็ไม่ต้องเอ่ยชื่อเขาละกัน เป็นแฟนคลับก็มาติดต่อน้องเพชร คุยโทรศัพท์ แชตกัน อินเทอร์เน็ตบ้างตามสมควร ก็ไม่มีปัญหา อยู่วันหนึ่ง แฟนคลับของน้องเพชรคนนี้ได้มาบอกเพชรว่า มีน้าสาวของเขาต้องการรู้จักกับน้องเพชร แก่กว่าเพชร 4-5 ปี อยากรู้จักกับเพชร แฟนคลับจึงให้อีเมลของเพชรให้กับน้าสาวเขาไป น้าสาวคนนี้ก็คือคนที่มีข่าวอยู่ปัจจุบันนี้ ก็พอที่จะปะติดปะต่อกันได้ แต่มันจะมีหลักฐานตรงนี้ทั้งหมด”
“หลังจากที่แชตกันไปแชตกันมา แลกเบอร์โทรศัพท์กันไปมาประมาณ 2-3 เดือน แต่ผมก็ไม่ได้จำอะไรรายละเอียดขนาดนั้น เดี๋ยวมันจะมีช็อตเด็ด ก็ปรากฏว่าคุยกันไปคุยกันมาก็เกิดปัญหาที่โรงเรียน ครูมาบอกว่า เพชรอยู่ที่โรงเรียนคุยโทรศัพท์ทุกวัน เด็กสมัยนี้โรงเรียนอินเตอร์จะคุยโทรศัพท์ก็ไม่เป็นไร”
“แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้คุยตอนพักกลางวันอย่างเดียว โทรศัพท์ในห้องเรียน พี่ๆ อยู่เชียงใหม่ทุกคนไปถามที่โรงเรียน ถามครูคนนั้นได้ ไปถามใครก็ตามที่สามารถตอบเหตุผลนี้ได้ ไม่ต้องให้ผมมาพูด คืออยู่ห้องเรียนก็จะโทรศัพท์บ่อย คุณครูมาฟ้อง แล้วทุกวันก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด”
“ที่บ้านครูโน้ตก็เป็นพยานได้ว่า ดึกๆ ตี 2-4 บางทีเราจะมาดึกแล้วตื่นมากินน้ำ ผ่านห้องเขาไป ก็ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์อยู่ เอาละคิดว่าลูกนอนไม่เป็นไรน่ะ ก็แอบว่าไอ้ลูกบ้าอะไรอย่างเนี้ย ที่ผมพูดเนี่ยมันเจ็บปวดนะ เอาเรื่องความลับของลูกมาพูด หรือว่ามาซ้ำเติมลูก มันเจ็บปวดมาก ใครไม่รู้การเป็นพ่อเป็นแม่มันเจ็บปวดมาก พอผมไปพบครูที่โรงเรียน ครูก็บอกผมอย่างนี้ ผมก็โอเค”
“วันนึงตอนเย็นผมก็ไปพบครู แล้วก็เรียกเพชรมาคุย บางทีผมก็คุยกับเพชรที่บ้านว่าทำไมอยู่โรงเรียนไม่ตั้งใจเรียนล่ะลูก ครูเขามาบอกว่าลูกโทรศัพท์ตลอด เขาก็เถียงแบบธรรมดานะ ว่าโทร.ที่ไหน โทร.เวลาพักอะไรแบบนี้ ก็ไม่เป็นไรนะ คือเด็กเขาก็เถียงของเขาได้ พูดได้ แต่พอไปเจอครู ต่อหน้าครู ครูก็พูดต่อหน้า ก็เหมือนตำหนิลูกต่อหน้าครู ครูก็ตำหนิลูกต่อหน้าผม อันนี้มันก็เป็นผลที่ไม่ดีนะ ไม่รู้นักจิตวิทยาว่ายังไง ก็เหมือนเอาความผิดลูกมาคุยกัน ลูกก็ชักไม่พอใจโรงเรียน”
“ทีนี้เรื่องไปโรงเรียนก็อยากไปมั่ง ไม่อยากไปมั่ง พอกลับมาถึงบ้านก็บอกว่าไม่อยากเรียนโรงเรียนนี้แล้วล่ะ ครู เพื่อนๆ ไม่เห็นดีกับเพชรเลยอะไรก็แล้วแต่ที่เขาจะแอบอ้างขึ้นมานะครับ ผมก็บอกอีกนิดเดียวลูก เพราะตอนนั้นเริ่มเรียนปีสุดท้ายก็เหลืออีกประมาณ 6 เดือนจะจบ ก็คือจบไฮสกูล จบเกรด 12 ก็คือจบ ม.6 เหลืออีกครึ่งปีเองจะจบอยู่แล้ว เพชรก็บอกไม่เอา ไม่อยากเรียนไม่อยากอะไร ผมก็บอกว่าอีกนิดเดียวน่ะ”
“ตอนนั้นเราก็ยังไปอาร์เอสฯ อยู่นะ ยังไปฝึกร้องอยู่ประจำ ตอนนั้นเซ็นสัญญาเรียบร้อย เพลงก็แต่งเสร็จมาแล้ว เหลือทำดนตรีอีกนิดเดียว อีก 2-3 เพลงก็จะอัดเทปได้แล้ว ทางอาร์เอสฯ ก็บอกว่ารอทางเพชรจบมาแล้วก็ค่อยมาทำเพลงหลังจากเรียนจบ มันจะได้สะดวกสบายกันทั้ง 2 ฝ่าย เพชรก็บอกไม่เอาจะเรียนทางอินเทอร์เน็ตดีกว่า เขามาบอกกับผมนะ เขาก็ติดต่อทางอินเทอร์เน็ตติดต่อไปโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้โดยที่ไม่ต้องไปโรงเรียน อยู่กับบ้านก็เรียนได้”
“ก็ต้องเข้าใจว่าสมัยนี้ ฝรั่งเขาไม่ต้องไปโรงเรียนกันแล้วอยู่ที่บ้านก็เรียนได้ ผมก็บอกกับลูกว่าขนาดอยู่ที่โรงเรียนลูกยังไม่เรียนเลย แล้วจะเรียนทางอินเทอร์เน็ตมันจะไหวเหรอลูก เขาก็บอกโห ป๊าเขาไปบอกกับคุณครูแล้ว คุณครูก็หาให้เรียบร้อยแล้ว แล้วปาป๊ามาเบี้ยวก็เหมือนเขาจะเสียหน้าว่า ให้ครูไปหาโรงเรียนแล้ว แล้วผมไม่ให้ลูกเรียนทางอินเตอร์เน็ตอย่างเนี้ย เขาก็เสียหน้า”
“ผมก็บอกเอาน่าอดทนอีกนิดเดียวน่า อยู่ที่นี่แหละแล้วเดี๋ยวไปเรียนต่อกรุงเทพฯ ต่อยังไงก็ได้ มหาวิทยาลัยจะไม่เรียนก็ได้ผมก็บอกลูกไป แต่เพชรเป็นคนดีไงครับ ไม่เถียงอะไร ไม่ได้ดื้อตาใสอะไรอย่างเนี้ย ผมก็คิดว่าตรงนี้เขาคงจะมีอะไรอยู่ในใจเขาบ้างเหมือนกันนะ”
เผยถึงวันที่เกิดเหตุ “เพชร” หนีออกจากบ้านยังคุยกันอยู่ดีๆ และไม่คิดว่าจะไปไหนไกล เพราะไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลย
“ความจริงมันเกิดเหตุการณ์ โดยที่จะขอเริ่มเล่าตั้งแต่น้องเพชรออกจากบ้าน แต่ที่ผมจะพูด ณ ที่นี้ในฐานะที่เป็นพ่อของลูก พ่อของเพชร และก็มีหลักฐานบางประการและก็มีพยานบุคคลบางคนที่สามารถยืนยันได้ ไม่ใช่ผมพูดเพียงคนเดียวอีกเหมือนกัน เพชรหนีออกไป ผมใช้คำว่าหนี เพราะหนีคือการออกจากบ้าน เพราะว่าการออกจากบ้านโดยไม่บอกกล่าว ก็คือการหนีใช่ไหมครับ ถ้าจะถามย้อนไปย้อนมาก็คงมีเหตุการณ์ทำนองว่า ทำไมเพชรจึงหนีออกจากบ้าน หนีออกไปได้อย่างไร จริงแล้วมันมีปัญหาต่างๆ มากมายนะครับ”
“ก็วันที่เกิดเหตุ วันนั้นกลางวันผมพาเขาไปทานก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้าน เขาก็ถามผมคำสุดท้ายก็คุยกันปกตินะ ว่าป๊าตกลงจะให้เพชรไปเรียนกรุงเทพฯ มั้ย ผมมองหน้าเขาก็บอกให้ซิลูก ให้จบก่อนนะอีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ตอนนี้ทางอาร์เอสฯพ่อก็ติดต่อว่าเขายังไม่ทำเพลงตอนนี้หรอก จบปั๊บเขาลุยแน่นอน โธ่ลูกพุ่มพวงร้องเพลงเก่งขนาดนี้ใครจะไม่เอา ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวป๊าวางแผนให้เรียบร้อย เขาก็เงียบเลยนะ”
“ผมก็ไปส่งเขาที่บ้าน ก็ออกไปธุระสัก 2-3 ชั่วโมงมั้ง กลับมาไม่อยู่แล้ว หายแล้ว หายไปเลย ทุกอย่างเสื้อผ้าข้อมูลส่วนตัวอะไรต่างๆ ผมก็มาค้นเขาก็ไม่ได้เอาอะไรไปนี่นา ผมก็คิดว่าเขาคงจะกลับมา แต่เพชรไม่เคยเป็นอย่างนี้นะ เพชรไม่เคยหายไปจากบ้านโดยที่ไม่บอก เป็นครั้งแรก เมื่อก่อนจะไปที่ไหนยังไงผมไปส่ง และน้องเพชรไม่รู้จักใครเลย เชียงใหม่รู้จักบ้างเพราะเป็นนักเรียน แต่ถ้าไปกรุงเทพฯ แต่อันนี้ผมก็ยังไม่คิดนะ ไม่คิดนะว่าเพชรจะไปที่ไหน ก็คิดว่าตามบ้านเพื่อนแถวเชียงใหม่นี่แหละ”
“ผมเป็นห่วงลูกก็ไม่ให้ข่าวใคร เพราะว่าไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ลูกไกรสรหนีออกจากบ้าน สาเหตุทุกคนไม่รู้ว่าเพราะอะไรทั้งนั้นน่ะ และหนีไปนี่มันเป็นเรื่องธรรมดา ก็ปิด คิดว่าลูก 2-3 วันก็คงจะกลับมา แต่อันนี้ผมเล่าข้ามไปนะว่าตอนเกิดเหตุที่เพชรโทรศัพท์ ที่เพชรมีอะไรผู้หญิงคนนี้เขาทำอะไรเดี๋ยวผมจะย้อนกลับมาเล่าอีกทีนึง อันนี้เล่าว่าเพชรไปแล้วผมเป็นห่วง”
“จนกระทั่งมีข่าวว่าเพชรหนีออกจากบ้านไป หลังจากนั้นประมาณอาทิตย์นึงมั้ง เพราะคงไปถึงกรุงเทพฯ แล้วก็คงเป็นเรื่องของเพชร ว่าคงจะไปอยู่กับน้าเขาหรือจะไปอยู่กับแฟนเขา หรือว่าไปอยู่กับใครอันนี้หลายท่านก็คงจะต้องไปสืบเสาะกันเอาเอง และน้าๆ ก็ได้พูดมาบ้างบางส่วนแล้ว แต่ผมมีความรู้สึกอยู่นิดนึงตรงที่ว่า เพชรจะต้องไม่อยู่ที่เชียงใหม่แน่นอน เพราะว่าก่อนหน้านั้นมันจะมีปัญหาที่ว่าเพชรคุยโทรศัพท์กับใครเนี่ยผมรู้ เพราะว่าเพชรยังเอาประวัติของผู้หญิงคนนี้มาให้ผม บอกว่าป๊าคนชื่อน้ำอ้อยติดต่อเขา”
“ผมก็รู้แล้วว่าเพชรตอนนี้ติดต่อกับคนชื่อน้ำอ้อย ถ้าฟ้องก็ฟ้องผม ไม่ต้องฟ้องคุณหมอ ไม่ต้องฟ้องใคร ก็บอกป๊าดูซิมีอย่างนั้นอย่างนี้นะ เขากำลังเรียนปริญญาตรีได้เก่งมาก หรือว่าเขาทำงานที่อาร์เอสฯ หรือแกรมมี่เนี่ย ดูรูปสิเขาสวยมั้ย อะไรอย่างเนี้ยตลอดเวลานะครับ เอาเป็นว่าหลังจากนั้นผมก็รู้ว่าลูกผมต้องไปอยู่กับผู้หญิงคนนี้แน่นอน ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้น ข้อความในนี้จะเห็นว่าเขารู้จักกันยังไงว่า “ตัวเองเค้าเปิดเอ็มตั้งหลายวันแล้วไม่เจอตัวเองเลย” ตอนนั้นเขายังไม่เจอหน้ากันเลยนะ ว่าเขามีเรื่องอยากจะปรึกษา”
“หลังจากนั้นผมก็โทร.ไปหาน้ำอ้อยว่ายังไง เพชรมาหามั้ยลูก เขาก็ปฏิเสธตลอดว่าป๊าไม่ได้มา คุณพ่อคะไม่มา ไม่มี ไม่อยู่ไม่อะไร ก็แล้วแต่เขาปฏิเสธไปแล้วกัน ไม่เป็นไร ก็เชื่ออยู่นะว่าจริง แต่มันก็นึกเอะใจว่าเพชรไม่รู้จักใครนะ แล้วอยู่คนเดียวจะไปที่ไหนยังไง ถ้าไปหาน้าเขาน้าเขาก็ต้องโทร.มา”
“แต่ปรากฏว่ามารู้ความแล้ว เป็นข่าวแล้ว น้าเขาถึงโทร.มาว่าตอนนั้นเพชรมาอยู่กับเขาจริง น้าก็คือน้องพุ่มพวงทั้ง 3 คน แต่คนที่สนิทที่สุดกับผมกับเพชรก็คือ จันทร์จวง เพราะจันทร์จวงนี่ผมก็เลี้ยงมาตั้งแต่อายุ 13-14 เหมือนกัน มาอยู่กับพุ่มพวงแล้วเขาก็เลี้ยงน้องเพชรมาเหมือนกันนิดๆ หน่อยๆ อยู่ด้วยกันร่วมกัน”
“หลังจากน้าเขามาเปิดเผยว่าเขาอยู่กับน้าเขาแค่ 6 ชั่วโมงนะครับ 6 ชั่วโมงเอง และตอนที่ไปหาน้า เพชรพาผู้หญิงคนนี้ไปด้วย มันก็อะไรไม่รู้ล่ะนะ จนกระทั่งเกิดเรื่องเกิดราวว่าน้าให้เทปลับไป และผู้หญิงคนนี้ก็มาเกี่ยวพัน แต่น้าเขามาพูดกับผมทีหลังว่ามาอยู่กับเขาแค่ 6 ชั่วโมงแล้วจากไปเลย แล้วเพชรก็อ้างกับผมและอ้างกับสื่อมวลชนว่าอยู่กับน้าตลอดเวลา นี่น้าเขามาเปิดเผยนะครับ เพื่อให้ผมได้สบายใจว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้อง เขาอยู่กับน้าเขานะ เขาบริสุทธิ์ เขาไม่ได้โกหกพ่อที่ว่าเขาหนีมาจากบ้านตั้งกี่วัน แล้วมาอยู่กับเขา ความจริงอยู่กับน้า ผู้หญิงไม่เกี่ยวข้องประมาณนี้นะครับ”
“ก็ผ่านไปจนมีเรื่องมีราว มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องจนอะไรก็แล้วแต่ น้องเพชรอัดเทปไปชุดนึง ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรจะเหตุผลอะไรผมก็ไม่รู้ ผมก็ปล่อยล่ะนะ หมายถึงว่าลูกเราถ้ารักเขาจริง เขาตอนนั้นก็เริ่ม 20 แล้วเป็นตัวของตัวเองแล้ว จนกระทั่งมีการจะฟ้องผม จนกระทั่งไปเลิกสัญญาที่อาร์เอสฯ จะหาคนดูแลใหม่ ไม่เอาพ่อแล้ว อาร์เอสฯก็โทรมาถามผม ถ้าไม่มีคุณพ่อผมก็ไม่ทำ เด็กอะไรถ้ามายกเลิกสัญญาแบบนี้ผมก็ไม่ทำ อันนี้ความจริงมันมีอยู่ไปถามกันเอาเองแล้วกัน”
เผยว่าถ้าครอบครัว “อ้อย” ดีจริง ทำไมไม่พูดความจริงกับตนว่า “เพชร” มาอยู่ด้วย และทำไมถึงต้องเสี้ยมสอนลูกให้เป็นอย่างนี้
“ผู้หญิงคนนี้ถ้าดี ทุกท่านพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน ถ้าเป็นคนดี 3-4 ปีนี้ผมเจอผู้หญิงคนนี้แค่ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือตีสิบเมื่อปีที่แล้ว จากที่ไปเคลียร์กัน ครั้งที่ 2 เมื่อ 13 มิถุนายนที่ผ่านมานี่ 4 ปีผมเจอแฟนเขาหรือลูกสะใภ้อะไรผมก็ยังไม่พูดถึง เพราะผมไม่รู้ใช่มั้ย 4 ปีที่เขาบอกว่ารักเพชรหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาอยู่กันโดยที่ผมไม่รู้จัก เห็นหน้าเห็นตาเลย รู้จักแค่ 2 ครั้ง”
“ผู้หญิงเขาจะบอกว่ายังไง จะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ถ้าครอบครัวเขาดี อันนี้ผมก็พูดได้เลยว่า ถ้าแม่ของผู้หญิง ตัวผู้หญิง ตัวคุณยาย ถ้าดี ถ้าลูกผมอยู่กับคนดีๆ ทำไมผมจะไม่ส่งเสริมล่ะครับ ลูกรักใครผมก็ต้องรักด้วย เพราะผมรักลูกจะตายอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมอย่างนั้นมันกลับกลายเป็นว่า เพชรพูดเองให้เขาเห็นใจ หรือว่าเพื่อให้เขามาด่าพ่อ หรือให้เขาสงสารจากการที่หนีออกจากบ้านมาแล้วไปอยู่กับเขา เขาก็ควรจะถาม ถ้าเป็นครอบครัวดี เป็นคนดีมีจริยธรรม มีศีลธรรมอยู่ในหัวใจ ก็ควรจะถามผมสักคำว่าลูกผมเนี่ย เพชรอยู่กับเขานะ ทำไมด้วยเรื่องอะไรกันเหรอ ก็ควรจะถามสักคำ แต่ไม่เคยถามแล้วมาใส่ร้ายผมอีกต่างหาก”
“โดยเพชรไปพูดอะไรหรือเขาไปพูดอะไรผมไม่รู้ อันนี้เป็นเรื่องของเขาผมไม่รู้แล้ว ก็ผ่านมาจนมีเหตุการณ์ทั้งหมด เอาล่ะลูกจะด่าพ่อมากี่ปี 3-4 ปีตลอดเวลา ไม่เป็นไร ก็ทนกล้ำกลืนกันสองคน เอาน่ะ ลูกเราเคยดีมา แต่ว่าถ้าไม่เลวร้ายอยู่กับเขาได้ก็ไม่เป็นไร”
รับว่าเรื่องที่หนักสุดคือวันที่ “เพชร” ระเบิดอารมณ์ใส่ตนขณะอยู่ในผ้าเหลือง และที่ว่าตนตุ๋ยลูกนั้นคือสาเหตุที่ต้องฟ้องลูก ด้าน “นที” เสริมชัดเจน “ไกรสร” ไม่ได้เป็นเกย์แน่นอน
“แต่มาหนักๆ คือ ตอนเมื่อคราวนี้แหละครับ หนักขึ้นจนกระทั่งภาพหลุดออกมา แสดงระเบิดอารมณ์ออกมาโดยที่อยู่ในผ้าเหลือง ความก้าวร้าว ดวงตาหรืออะไรก็ตาม อันนี้ถ้าฟังคุณหมอ ผมก็ไม่ได้วินิจฉัยเอง คุณหมอหลายๆ ท่านก็คงดู นักจิตวิทยาหลายๆ ท่านก็คงรู้ แต่ว่าเป็นเรื่องทางกฎหมาย อาจจะรอมาว่ากันทีหลัง ผมก็มองแล้วเพชรไม่ใช่เป็นคนแบบนี้ คุณนทีอาจจะยังไม่เจอเพชรโดยตรง แต่เขารู้จักผม รู้จักคุณโอ๊ต รู้จักคนใกล้เคียง รู้จักนิสัยผมดีพอสมควร ในฐานะคุณนทีก็เป็นนักจิตวิทยา มองคนทะลุใช่มั้ยครับ ผมเป็นเกย์รึเปล่า”
นที “ไม่(เสียงดังฟังชัด) ใครไม่เป็นก็ไม่ควรมาแกล้งว่าเป็น ใครที่เป็นก็ควรจะบอกว่าตัวเองเป็น”
ไกรสร “ก็จะว่าผมยังไง ลูกผม ผมยอมมาทุกอย่าง พ่อฆ่าแม่อะไรก็แล้วแต่ เรื่องพ่อฆ่าแม่มันมีเหตุการณ์ที่สรุปกันแล้วว่ามันไม่จริง เขาจะพูดระเบิดอารมณ์อะไรก็ตามเป็นทางการแพทย์แล้ว แต่ว่าผมไม่ถือนะ ผมโกรธ แต่ผมไม่ถือ ลูกจะมีเหตุผลอะไรของเขา จะเอาใจแฟน จะเอาใจแม่ยาย จะเอาใจใครเขามีเหตุผลของเขาแล้วล่ะ”
“แต่มาสุดท้ายของสุดท้ายจริงๆ ก็คือ ลูกว่าผมทางเพศวิตถาร ตุ๋ย โอ้โห อันนี้มันเป็นอะไรที่เจ็บปวด เจ็บอย่างมากๆ แต่ก็นั่นแหละเมื่อถึงเวลานั้นก็ยังคิดอีกเหมือนกันว่า ผมรักเขาขนาดที่ว่าไม่เป็นไรน่ะ ไม่เป็นไร ลูกอาจจะมีเหตุผลทำให้ทุกคนเกลียดพ่อ เพื่อให้ทุกคนมารักลูก นี่ผมคิดของผมเองนะ ผมจะกลับมาเชียงใหม่โดยที่พอแล้ว เรื่องราวมันจบแล้ว ก็คิดว่าหมด ผมเสียลูกผมไปแล้ว เสียพุ่มพวงไปก็เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับผม”
“แต่มา 2-3 วันสุดท้าย คุณหมอหลายๆ ท่านทั้งจากที่กรุงเทพฯ ก็โทร.มาบอกว่าเพชรไม่ปกตินะ ถ้าคุณไกรสรไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยก็ไม่มีใครสามารถที่จะมาช่วยตรงนี้ได้ คุณไกรสรจะต้องเป็นผู้หยุด คือหยุดน้องซะก่อน ก็เพชรทำอย่างนี้หรือใครที่อยู่ข้างๆ เพชรจะมาพูดแบบนี้ ทำให้สมองเพชรไม่ได้คิดด้วยตัวเอง ถูกการเสี้ยมสอนมาพูดแบบนี้ เพชรไม่ปกติ”
“แล้วคุณหมอก็บอกว่าอันตราย 3-4 ปียังเป็นขนาดนี้ แล้วต่อไปล่ะ คำว่าอันตรายนี้ผมก็ไม่ทราบว่าอันตรายขนาดไหน เพชรจะฆ่าตัวตาย หรือเพชรจะฆ่าผม ผมไม่รู้ ด้วยคำนี้หนึ่งที่ผมมาฟ้องร้องต่อเพชรเมื่อวานนี้ ออกรายการคุณสรยุทธว่าฟ้อง ออกสื่อว่าฟ้อง ก็ขอชี้แจงว่าผมฟ้องเพชรในฐานะที่ต้องการเอาเพชรเข้าสู่กระบวนการแพทย์ เพื่อที่จะพิสูจน์อะไรก็แล้วแต่ ผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้ ให้คุณหมอผู้ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบทีเถอะ มาดูแลเพชรทีเถอะ ผมสงสารลูก และต้องการจะช่วยลูก”
“และประเด็นแรกก็คือ ผมต้องเคลียร์ตัวเองเหมือนกัน บางคนบอกว่าปล่อยลูกไปเถอะ ปล่อยมันเถอะ ปล่อยมันไป มันก็จะพูดอะไรก็ปล่อยมันไป ก็กลายเป็นว่าผมตุ๋ยลูกจริงๆ ผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นอะไรที่เจ็บมากๆ แต่ที่ผมกล้ามายืนยันว่าที่ลูกพูดแบบนี้ไม่ใช่เป็นความคิดของลูก และสอดคล้องกับที่คุณหมอบอกว่าเพชรไม่ปกติ ผมถึงดำเนินการฟ้องครับท่านสื่อมวลชน พี่น้องทั้งหลาย ผมจะฟ้องเพชรเพื่อนำเพชรกลับมาสู่สังคม”
อ้อนวอนหมอทั้งน้ำตาขอร้องให้ช่วยลูกชายตนให้ได้
“(ร้องไห้) นี่คือความเจ็บปวดอีกครั้งนึงที่จำเป็นต้องฟ้องลูก เกิดมา 52 ปีเนี่ย ไม่รู้ลูกคนอื่นเป็นยังไง พ่อคนอื่นเป็นยังไง เคยฟ้องลูกมั้ย แต่ผมเนี่ยต้องฟ้องลูกนะ ต้องฟ้องเพราะอะไรจะเป็นจริงไม่เป็นจริง ตุ๋ยไม่ตุ๋ยช่างมัน แต่ว่าผมต้องการลูกผมคืนมา ต้องการลูกผมคืนมาสู่สังคมให้เป็นคนเดิม ผมขอร้องคุณหมอผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดช่วยลูกผมด้วยแล้วกัน นี่คือสิ่งที่อยากจะพูดแค่นั้นเองว่าคุณหมอผู้เกี่ยวข้องช่วยลูกผมด้วยแล้วกันนะครับ ผมคงพูดอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะขณะนี้ผมเจ็บปวดมากครับ ไปเซ็นชื่อในการฟ้องร้องนั้นเจ็บปวดขนาดไหน”
***
“เพชร” เสียใจพ่อหาว่าบ้า เผย ยอมตรวจแต่พ่อต้องตรวจด้วย เปรยอยากเปลี่ยนนามสกุล
ทนายชี้ "หมอ" ไม่มีสิทธิ์แถลงว่าใครบ้า ส่วน "ไกรสร" ถ้าใช้มรดกหมดเตรียมหามาคืน "เพชร" ได้เลย
“ไกรสร” โต้ข่าวเข้าแก๊ง “เกย์นที” ยันไม่ได้เป็นตุ๊ด รับไม่ได้สังคมรังเกียจ ต้องฟ้องลูกเอาไปรักษา
“ไกรสร” ร้อง OH MY GOD ยันไม่เคยทำอะไรลูก บอกที่ "เพชร" พูดแบบนั้นเพราะอยากให้คนสงสาร
“เพชร” รับ โดนพ่อกระทำตั้งแต่อายุ 12 แต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร เหลืออด ขอตรวจสอบมรดกแม่
17 ปีแห่งความหลัง - พุ่มพวง ดวงจันทร์ (จบ):ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน
แฟน “เพชร” ฉุน เมียใหม่ “ไกรสร” กล่าวหาเป็นหญิงใจแตก ขู่ฟ้องหากไม่ขอโทษ ท้าสาบานถ้าโกหกให้ตายภายในสามวันเจ็ดวัน
17 ปีแห่งความหลัง "พุ่มพวง ดวงจันทร์"(3):เขย่าติ้ว เสี่ยงเซียมซี
“เพชร” สึกแล้ว กราบขอโทษครอบครัว วิงวอนขอให้ปล่อยตนไป เผย อยู่กับพ่อไม่ได้จนเคยคิดฆ่าตัวตาย ส่วนสาเหตุเป็นเพราะเรื่องผิดปกติทางเพศของพ่อหรือไม่? ขอไม่ตอบ
17 ปีแห่งความหลัง "พุ่มพวง ดวงจันทร์"(2):พิสูจน์รักไกรสร
ฟังกันจะๆ "แฟนพระเพชร" แอบอัดเสียง "น้องพุ่มพวง" กรณีไม่ยอมพูดความจริงว่า หลานหนีไปอยู่ด้วย
17 ปีแห่งความหลัง "พุ่มพวง ดวงจันทร์"(1):ย้อนรอยริ้วแห่งอดีต
ญาติ“พุ่มพวง” ร้องไห้ยกบ้าน กราบขอโทษ “พระเพชร” ยันไม่ได้ฆ่าแม่ ด้าน “ไกรสร” ไม่รับไม่ปฏิเสธกรณีลูกชายเตรียมแฉเรื่องความผิดปกติทางเพศ
ศึกวันพุ่มพวง ดูกันแบบเต็มเหนี่ยว “พระเพชร” ก้าวร้าว หรือฆราวาสอาละวาดกันแน่!!
แฟนโต้ เหตุที่เอา “พระเพชร” มาอยู่ด้วย ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เพราะเจ้าตัวรับเรื่องทางเพศของพ่อไม่ได้ แต่ไม่ยอมบอกว่าเรื่องอะไร
ครอบครัวยันไม่ได้ฆ่า “พุ่มพวง” โต้ไม่เคยคิดเกาะ “เพชร” กิน
“ไกรสร” หวั่น “เพชร” โดนของ! สุดช้ำโดนลูกด่า บ่น “ผึ้ง” ก็กตัญญูทำไมลูกเป็นแบบนี้
เปิดเทปลับ ใครกันแน่ที่ฆ่า "พุ่มพวง ดวงจันทร์"?
รำลึก 17 ปี "พุ่มพวง" ลูก-ญาติหวิดฟาดปาก