(บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง)
ในขณะที่ทุกสายตาพุ่งไปสนใจหนังสยองขวัญจากยุโรป (ทั้งฝรั่งเศสและสเปน) ที่เฉียบคมกว่า รุนแรงกว่า และสร้างสรรค์กว่า หนังสยองขวัญอเมริกันยังคงวนเวียนอยู่กับกรอบเนื้อหาเดิมๆ และการรีเมค จนราวกับว่ามันได้ผ่านจุดสูงสุดของตัวมันเองมานานแล้ว
Deadgirl ผลงานของ 2 ผู้กำกับหนุ่มหน้าใหม่ มาร์เซล ซาร์มิเอนโต้ และ เกดี้ ฮาเรล ถือเป็นแสงสว่างเล็กๆ ตรงปลายอุโมงค์ที่อาจจะมาแก้ต่างว่า หนังสยองขวัญอเมริกันคงจะไม่ได้ถึงจุดจบเสียทีเดียว ด้วยทุนรอนที่ไม่น่าจะสูงนัก (อันจะเห็นได้จากการออกแบบงานสร้าง) ทั้งซาร์มิเอนโต้และฮาเรล ใช้ประโยชน์จากมันสมองของพวกเขาอย่างเต็มที่
ผลลัพธ์ที่ได้ คือหนังสยองขวัญวัยรุ่นเรื่องหนึ่งที่เต็มไปด้วยความวิตถารและบรรยากาศอันหลอกหลอน รวมทั้งเป็นหนึ่งในงานที่แปลกประหลาดที่สุดในรอบหลายปี เมื่อเทียบกับหนังในตระกูลเดียวกัน
แต่เดิม ขนบที่แน่ชัดของหนังสยองขวัญอเมริกัน มักเกี่ยวพันกับตัวละครวัยรุ่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนังเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความเมามันของกลุ่มคนดูซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย (พวกเขาอายุเกิน 15 ปี และสามารถรับชมหนังเรต R ได้อย่างถูกกฎหมาย) มีตัวละครภาคบังคับประเภท นักฟุตบอลประจำโรงเรียนที่รูปร่างกำยำ เชียร์ลีดเดอร์สาวทรงสะบึม ไอ้ขี้แพ้อีก 2-3 คนที่ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา
มองเผินๆ Deadgirl รวมองค์ประกอบดังกล่าวไว้เกือบจะครบถ้วน แต่อะไรหลายๆ อย่างก็ผลักให้มันไปไกลกว่าการพายเรือวนอยู่ในอ่าง บทภาพยนตร์โดย เทรนต์ ฮาก้า ขุดลึกเข้าไปยังจิตใจอันดำมืดของตัวละคร ราวกับกำลังเดินตามรอยหนังของกัส แวน ซองต์ อย่าง Elephant และ Paranoid Park ผนวกเข้ากับความวิปริตแบบที่จะหาได้แต่ในหนังป่วยๆ จากญี่ปุ่นอย่าง All Night Long เท่านั้น
ตัวละครหลักของ Deadgirl คือ ริคกี้ (ชิโลห์ เฟอร์นันเดซ) และ เจที (โนอาห์ เซแกน) หนุ่มมัธยมปลายไม่เอาไหนสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนแรกนั้นดูแหยๆ ไม่กล้าแสดงออก ส่วนคนหลังมีบุคลิกก้าวร้าวเพื่อปกปิดความอ่อนแอภายในของตนเอง
โลกที่พวกเขาอยู่ช่างอ้างว้าง ไร้ที่ยึดเหนี่ยว หนังแทบจะไม่แพนกล้องไปให้เห็นตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่อย่าง พ่อแม่, ครูหรือตำรวจเลย มันเป็นโลกเหงาๆ ราวกับว่าเด็กวัยรุ่นต้องอยู่กันตามลำพัง
เย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน ทั้งคู่แอบเข้าไปเตร็ดเตร่ในโรงพยาบาลร้างที่กำลังรอวันทุบทิ้ง แล้วก็เกิดพลัดหลงเข้าไปในห้องใต้ดินที่คงถูกปิดตายมานาน ที่นั่นเอง เด็กหนุ่มทั้งสองได้พบกับ หญิงสาวคนหนึ่งนอนแน่นิ่งเปลือยกายถูกมัดมือมัดเท้าไว้กับเตียง
ร่างกายของหญิงนิรนามคนนั้นเย็บเยียบราวกับไม่มีลมหายใจแล้ว แต่โนมเนื้อยังเต่งตึงเหมือนสาวรุ่น ปฏิกิริยาของสองหนุ่มแตกต่างกันโดยทันที ในขณะที่ริคกี้เห็นว่าพวกเขาควรจะไปแจ้งตำรวจ เพราะอะไรๆ ดูจะไม่ปกติ เจทีกลับมองต่างออกไป ชายหนุ่มแสดงความเห็นที่แทงใจดำผู้ชายหลายๆ คนว่า “เราน่าจะซัดหล่อนก่อนสัก 1-2 รอบ แล้วค่อยไป”
มันแทบจะเป็นการเปรียบเปรยอย่างทื่อๆ ถึงด้านที่มืดและสว่างในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ไม่นานนัก ความเห็นที่ตรงข้ามกันของริคกี้และเจที ก็เป็นเหตุให้เกิดความบาดหมางระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสอง
แต่แทนที่จะใส่ฉากสยองขวัญผะอืดผะอม ลงในช่องว่างที่หนังได้ปูเอาไว้ Deadgirl กลับหันเหไปสำรวจความรู้สึกนึกคิดของริคกี้แทน เด็กหนุ่มใช้ชีวิตอย่างเปลี่ยวเหงาไม่ว่าจะที่โรงเรียนหรือที่บ้าน เขาสื่อสารกับใครไม่ได้เลย กลายเป็นคนที่อยู่นอกวงโคจรของทุกๆ อย่าง เขาแอบหลงรัก โจแอน (แคนดิซ แอคโคล่า) เด็กสาวข้างบ้านที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่สาวเจ้ามีคนรักอยู่แล้ว เป็นหนุ่มนักกีฬากล้ามโต ที่ออกอาการไม่พอใจริคกี้อยู่ตลอดเวลา
ตามประสาเด็กหนุ่มที่ฮอร์โมนไม่คงที่ ริคกี้ฝันกลางวันถึงการได้ร่วมรักกับนางในฝันของตนเอง พร้อมๆ กับที่เจที ได้ปลดเปลื้องความต้องการทางเพศกับหญิงนิรนามในห้องใต้ดินของโรงพยาบาลร้าง
หนังไม่ได้อธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า หญิงปริศนานางนั้นเป็นใครมาจากไหน เธอหน้าตาสะสวย รูปร่างดีราวกับนางแบบชุดชั้นใน ไม่พูดไม่จา และที่สำคัญ ไม่ว่าเจทีจะลงมือกับหล่อนหนักหนาแค่ไหน หล่อนก็ไม่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวด หนหนึ่งหนังถึงกับให้เจทีทดลองเอาปืนจ่อยิงลงไปบนหน้าท้องของหญิงสาว 2-3 นัด และหล่อนก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยแม้แต่น้อย
เจทีเริ่มต้นผจญภัยทางเพศของตนเองอย่างสนุกสนาน ทั้งแบบ S&M หรือการชักชวนเพื่อนมาชำเราหญิงคนดังกล่าว แล้วตนเองก็แอบมองอย่างมีความสุข
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ผู้ชมที่เสพหนังลักษณะนี้มาพอสมควร คงจะอนุมานได้ว่า หญิงปริศนาคนดังกล่าว ไม่น่าจะใช่มนุษย์ปกติทั่วไป หล่อนแทบจะเหมือนนางเอกหนังเรื่อง Return of the Living Dead ซึ่งฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย และเหยื่อที่โดนหล่อนกัด ก็จะกลายสภาพมาเป็นอย่างเดียวกัน – หล่อนคือซอมบี้!
ด้วยตรรกะนั้นเอง หนังจึงปูทางสู่ความวิตถารที่ไกลกว่าเดิม เจทีและ วีลเลอร์ (เอริค พอดนาร์) เพื่อนขี้แพ้อีกคนของเขา คิดแผนการในการสนองตอบอารมณ์ทางเพศอันพุ่งพล่านของตนเองด้วยการออกไปลักพาตัวหญิงสาวที่ตนเอง “อยากฟัน” แล้วมาทำให้หล่อน “ติดเชื้อ” เพื่อกลายเป็น “วัตถุทางเพศ” ตัวต่อไป
มาร์เซล ซาร์มิเอนโต้, เกดี้ ฮาเรล และ เทรนต์ ฮาก้า สามหนุ่มผู้เป็นกำลังหลักในหนังเรื่อง Deadgirl รู้จักกันเพราะวนเวียนอยู่ในวงการหนังอิสระในเวลาใกล้ๆ กัน ซาร์มิเอนโต้นั้นสนใจหนังฆาตกรรม ส่วนฮาเรลและฮาก้า รู้จักกันมาก่อนแล้ว จากการเป็นหนึ่งในทีมงานของ โทรม่า สตูดิโอ – บริษัททำหนังสยองขวัญทุนต่ำ ที่คอหนังน่าจะรู้จักกันดี
จากบทสัมภาษณ์ ไอเดียเริ่มแรกของ Deadgirl คือการทำหนังว่าด้วยการก้าวผ่านวัย หรือ Coming-of-age แต่ทุกคนเห็นว่ามันจะต้องมีความสยองขวัญเจือปนอยู่ในระดับที่มากกว่าหนังแนวนี้ทั่วๆ ไป พวกเขานึกถึงหนังที่ตนเองชอบอย่าง Over the Edge และ River’s Edge จนได้คำถามที่กลายมาเป็นจุดตั้งต้นของทั้งหมด “จะเป็นอย่างไรหากผู้กำกับ Stand by Me คือ เดวิด โครเนนเบิร์ก”
Deadgirl ดูจะบรรลุเป้าหมายทุกอย่างที่พวกเขาอยากให้มันเป็น ท้ายที่สุดแล้วตัวละครก็ได้เติบโตขึ้นหลังจากเรื่องร้ายๆ ได้ยุติลง แต่อย่างไรก็ดี จุดคลี่คลายของหนังก็ค่อนข้างโหดร้ายและเจ็บปวด แบบที่สตีเฟ่น คิงเองก็คงคาดไม่ถึง