"เพชร” ย้ำ ไม่ตอบเรื่องข่าว "ไกรสร" วิปริตทางเพศ แต่รับโดนพ่อกระทำมาตั้งแต่อายุ 12 แต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร สาบานไม่ได้โกหก เผยญาติพุ่มพวงรู้ดีแต่ไม่เคยช่วยอะไร ซ้ำตอนนี้ยังมาเข้าข้างพ่ออีก สุดช้ำออกเทปก็โดนพ่อกับน้าๆ สกัดงาน เจ้าตัววอน ขอยุติเรื่องนี้ทุกอย่างขอเป็นคนรับไว้เอง
ยังคงไม่จบง่ายๆ สำหรับเรื่องราวความบาดหมางระหว่าง “เพชร สรภพ ลีละเมฆินทร์” ทายาทคนเดียวของราชินีลูกทุ่ง “พุ่มพวง ดวงจันทร์” กับผู้เป็นพ่อ “ปุ้ม ไกรสร แสงอนันต์” และญาติพี่น้องฝ่ายแม่ ที่ตอนนี้ประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ หนีไม่พ้นสาเหตุที่ทำให้เพชรหนีออกจากบ้านเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งมีกระแสว่าปมที่แท้จริงเป็นเพราะเรื่องความผิดปกติทางเพศของผู้เป็นพ่อ ที่ทำให้เพชรรับไม่ได้ ถึงขั้นประกาศไม่สามารถจะอยู่กับพ่อได้อีกต่อไป
แม้ว่าก่อนหน้านี้หนุ่มเพชรจะออกมาเคลียร์เรื่องนี้ไปแล้ว ว่าไม่ขอพูดถึง เพราะพูดไปสังคมคงรับไมได้ ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าของวันนี้(19 มิ.ย.) หลังจากที่เจ้าตัวเดินทางไปอัดรายการ “Next station พรหมพร” ทางช่อง5 ก็ได้เปิดใจอีกครั้ง โดยยืนยันไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้อีก แต่รับว่าโดนพ่อกระทำมาตั้งแต่อายุ 12 จนทนไม่ได้ แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นเรื่องอะไร
“ตอนที่บวชก็ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาสู้รบปรบมือกับมารที่ท่านเจ้าคุณบอกว่าการเดินทางในเส้นทางสงฆ์ของผมจะเจอแต่อุปสรรคภายใน 15 วัน ท่านบอกยังบอกอีกว่าการสร้างหุ่นนี่ยากมาก แล้วการที่เราจะผ่านอุปสรรคอะไรต่างๆไปได้คือยากมากไม่ว่าจะเป็นคนที่ใกล้ตัวของเราและท่านก็ยังบอกอีกว่า แล้วผ้าเหลืองของเราก็จะถูกดึงออกให้หลุดโดยผู้หญิง แล้ววันนั้นทุกคนก็คงจะได้เห็นภาพว่าผ้าเหลืองของผมก็เกือบหลุด น้าๆ ผมเกือบจะดึงผ้าเหลืองผมออก คือแทนที่มารจะเป็นคนอื่นคนไกลที่มันไม่ใช่ครอบครัวผม ไม่ใช่ญาติผมแต่มันกลับกลายมาเป็นญาติๆ ของผม”
“คือหลายๆ อย่างในวันนั้นมันทำให้ผมทนไม่ไหว ผมยอมรับผิดในเรื่องที่ผมไม่สำรวมเพราะผมยังเป็นสงฆ์อยู่ หลังจากวันนั้นผมก็ไปปลงอาบัติเรียบร้อยแล้ว คือผมตั้งใจบวชให้แม่ผึ้งไม่อยากให้แม่เขาได้รับผลบุญแค่นิดเดียว อยากให้เขาได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงๆ ชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีก”
“ซึ่งตรงนี้ผมก็เลยบอกว่าผมจะหยุดแล้วก็ขอให้ทุกๆ คนหยุดเพื่อเห็นแก่ดวงวิญญาณของแม่พุ่มพวงบ้าง คือตอนนี้ก็ต้องขอบคุณทางพี่ๆ สื่อมวลชนด้วย 13 วันที่ผมได้บวชมาตอนแรกผ้าเหลืองเกือบจะหลุดแล้ว แต่ขอบคุณที่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นให้ผมมีโอกาสบวชให้แม่ผึ้งเพิ่มอีก 5 วัน ทำให้แม่ผึ้งได้ไปอยู่ในสวรรค์ที่สูงขึ้นกว่านี้อีก”
“ตอนอยู่ในวัดยอมรับว่าผมเหมือนเกือบจะรู้แต่ไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น ตั้งใจไม่รู้ หนังสือพิมพ์มาส่งไม่อ่าน ทีวีทางวัดมีแต่คือเราไม่ไปยุ่ง จะทราบก็จากที่แฟนๆ เพลงมาบิณฑบาตบอกว่ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ยอมรับว่า ณ ตรงนี้สมาธิผมเสียไปเลย 50 เปอร์เซ็นต์คือจิตฟุ้งซ่านคิดไปแต่ถึงเรื่องเหตุการณ์วันนั้น แล้วคิดไปเรื่อยว่าทุกคนคิดยังไง”
บอกถึงสาเหตุที่ออกมาเปิดใจในครั้งนี้เพราะอยากยุติเรื่องราวทุกอย่าง ต่อไปนี้ตนจะไม่ออกมาให้สัมภาษณ์อะไรอีกต่อไปแล้ว ยอมรับว่าทุกฝ่ายมีส่วนผิดกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ บอกถึงเหตุการณ์จะดีขึ้นก็ไม่ขอกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิมเพราะเชื่อว่าคนเดิมก็ใจเดิม
“แล้วอย่างก่อนหน้านี้ไม่ถึงปีผมมีโอกาสได้พูดคุยกับลุงในวันที่ผมไปวัดทับกระดาน ผมยังคุยกับลุงอยู่เลยว่า ทำไมพ่อเขาถึงทำแบบนี้ลุงเขายังเออออว่าเกลียดพ่อนะ พ่อเป็นคนทำร้ายแม่ แล้ววันที่ 13 มันอะไร ผมงงมากทำไมจู่ๆ ทุกคนรุมว่าผมหมด ผมยอมรับว่าผมตกใจมากทำไมเหตุการณ์ถึงเป็นอย่างนี้ ผมอยากจะบอกว่าผมไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดทางน้าๆ ญาติๆ ไม่ได้คิดที่จะอาฆาตพยาบาทเลย อยากจะบอกว่าผมเสียใจว่า ทุกอย่างทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้แทนที่เราจะคุยตกลงกันดีๆ คือไม่จำเป็นต้องถึงขั้นลงไม้ลงมือขนาดนั้นก็ได้ ผมไม่รู้ว่าชาติปางก่อนเราเคยทำอะไรไว้หรือเปล่ากับทางน้าๆ ญาติๆ อาจจะเป็นเวรเป็นกรรมของผมก็ได้ที่ผมต้องมาเจอกับเรื่องราวแบบนี้ แต่อยากจะบอกว่าขอให้ทุกคนหยุดดีกว่า เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่จะต้องมานั่งทะเลาะกับครอบครัวอีกต่อไป”
“ทุกคนมีส่วนผิดหมด ผมเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ ผมยอมรับว่าผมเองก็วู่วามใจร้อนมาก ถ้าเรื่องอะไรเกี่ยวกับแม่พุ่มพวงผมยอมไม่ได้ ใครจะมาดูถูกดูหมิ่นวิญญาณของแม่ผมยอมไม่ได้เพราะว่าผมเจอมากับตัว คือมันก็ต้องใช้วิจารณญาณ คือเรื่องนี้มันก็แล้วแต่คนด้วย คนเราเหมือนคลื่นวิทยุถ้าจูนไปเจอเมื่อไหร่มันถึงจะเจอมันแล้วแต่เซนส์ของแต่ละคน แต่ผมเจอถ้าใครไม่เชื่อก็เก็บไว้ในใจ ส่วนเรื่องพุทธศาสนาผมไม่ได้กล่าวหาศาสนาอื่นนะ คือทุกๆ ศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีแต่การที่เราพาดพิงถึงพระพุทธศาสนาในทางที่ไม่ดีก็อยากจะให้เก็บใว้ในใจดีกว่า”
“ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ อาจจะสามารถแก้ไขได้ในอนาคตแต่ผมก็ไม่ขอเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องราวตรงนั้นอีกแล้ว ผมเชื่อว่าคนเดิมก็ใจเดิม ผมเชื่ออย่างนั้น”
เผยหลังจากสึกออกมาแล้วได้ทราบข่าวการแถลงข่าวของคนในครอบครัวทำให้ตนรู้สึกสะเทือนใจมาก ลั่นไม่เคยขอซีดีมาจากญาติเพื่อที่จะไปฟ้องทวงมรดกกับพ่อ
“พอสึกออกมาแล้วได้ดูข่าวที่ผ่านมาที่ทางด้านญาติแถลงแล้วผมรู้สึกผิดหวัง คือเสียใจและสะเทือนใจมากๆ กับการที่ทุกคนออกมาแถลงข่าวแบบนั้น คือทุกคนเขาก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร คือสิ่งที่ผมอยากจะขอจากบรรดาญาติๆ ผมคืออย่าได้โกหกกันอีกเลยนะถึงแม้ว่าจะออกไปโกหกคนอื่นผมไม่ว่า แต่ว่าทางในครอบครัวเราสิ่งที่เราควรจะคุยกันความจริงเรื่องนี้มันเป็นเรื่องภายในครอบครัว ผมก็ไม่รู้ความลับมันก็คงแตก เหมือนที่ผมเคยบอกไว้นานแล้วว่าความลับไม่มีในโลกจริงๆไม่ว่าแม่พุ่มพวงจะเสียไป 17 ปีแล้วคนก็ยังไม่เคยลืม ตรงนี้ความจริงมันก็แตกออกมา ผมว่าคงจะเป็นแม่ผึ้งดลใจด้วยแหละที่อยากจะให้ทุกคนรับรู้ว่าอะไรมันคืออะไร”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาทางคุณพ่อพยายามไม่ให้ผมชอบทางฝ่ายแม่ แล้วพอผมหนีออกจากบ้านมาทางฝ่ายน้าๆ ก็ยุยงไม่ให้ผมไม่ชอบทางฝ่ายคุณพ่อแล้วขอเคลียร์นิดนึง คือตรงประเด็นที่น้าจันทน์จวง ดวงจันทร์คือตอนที่ผมไปพึ่งน้าหาว่าผมไปขอน้าเอาหลักฐานเอาซีดีเพื่อจะเอาไปฟ้องมรดกพ่อ คือผมขอบอกเลยว่าวันนั้นที่ผมไป ผมยังไม่เคยรู้เรื่องซีดีลับอะไรเลยทั้งสิ้น น้าเขาบอกว่าน้ารู้แล้วว่าน้องเพชรต้องมาหาน้าแล้วให้ผมฟังซีดีนี้ดูแล้วจะรู้ว่าพ่อเป็นยังไงแต่ ณ วันนี้เขากลับมาบอกผมว่าคือผมจะเอาซีดีเพื่อไปฟ้องมรดกพ่อ”
ส่วนกรณีที่น้าสาวฝากถามว่าเหตุใดถึงไม่ใช้เงินตัวเองสร้างหุ่นพุ่มพวง มาเปิดรับบริจาคทำไม? กับเรื่องนี้เพชรแจกแจงว่าตอนที่ตนออกเทปโดนพ่อและญาติบล็อกงานทำให้ไม่มีเงินเก็บ งานนี้เจ้าตัวถึงกับโพล่งขึ้นมาว่าถ้าอย่างนั้นจะขอตรวจสอบมรดกแม่ที่ควรจะได้เพื่อนำงานมาสร้างหุ่นให้สำเร็จ ส่วนจะฟ้องแบ่งมรดกหรือไม่เป็นเรื่องของอนาคต
“ตรงนี้คือบัญชีของผมที่ทุกคนกล่าวหาว่าเป็นบัญชีของคุณอ้อย ทุกคนดูชื่อได้ ชื่อบัญชีก็คือร่วมทำบุญสร้างหุ่นพุ่มพวง ดวงจันทร์และงานบวชน้องเพชรโดนสรภพ ลีละเมฆินทร์ ผมเป็นคนเปิดเอง คือรายได้ทั้งหมดคือผมเป็นคนที่สามารถจะเบิกออกเอง ตอนนี้คือรายได้ยอดสุดท้ายอยู่ที่ 11,069บาท ตอนนี้ผมเองก็ได้ตั้งตู้รับบริจาคไว้ด้วยเหมือนกันก็เลยยังไม่ทราบจำนวนที่แม้จริงว่าเท่าไหร่ ผมเองก็เพิ่งจะสึกเลยยังไม่ได้ไปนับเงินตรงนั้น”
“และส่วนที่ทางน้าไก่ถามว่าถ้าสร้างหุ่นเสร็จแล้วจะเอาไปไว้ที่ไหน ที่วันนั้นที่ผมไม่ได้บอกจริงๆ ผมก็รู้อยู่แล้วว่าผมจะเอาหุ่นไปวางไว้ที่ไหน ทุกคนที่ไปงานบวชผมทราบหมดแล้วว่าผมจะเอาไปไว้ที่วัดพระพุทธชินราช ตอนผมบวชผมก็เอาใบรายละเอียดไปไว้ว่าหุ่นตัวขนาดไหนยังไง คนที่เขาไม่ได้ไปเขาก็ไม่รู้ คือจริงๆ แล้วผมไม่อยากจะพูดอะไรมากตรงนี้ออกสื่อเพราะเดี๋ยวจะมีมารไปขัดอีก”
“จากที่ผมเคยพูดไว้ในรายการตีสิบเมื่อปีที่ผ่านมาว่า หลังจากที่ได้เป็นนักร้อง คือจะเอาเงินที่ได้มาสร้างหุ่นแม่ผึ้ง แล้วตัวเองก็คิดถึงอยากจะเห็นแม่ผึ้งสวยๆ แล้วก็อยากจะเห็นแม่ผึ้งจริงๆ แต่ทางญาติๆ ผมก็บอกว่าไม่อยากให้สร้าง ก็เอาเป็นว่าให้ประชาชนเป็นคนตัดสินแล้วจากผลโหวตของรายการอาสรยุทธแฟนเพลงโหวตมา 93.88 เปอร์เซ็นต์ว่าให้ผมทำหุ่นต่อไป แล้วผมเองก็มีความตั้งใจอยู่แล้วก็คงจะดำเนินการสร้างหุ่นต่อไป”
“แล้วจากวันที่มีการขัดแย้งกันที่น้าๆ บอกว่าทำไมไม่ใช้เงินตัวเองสร้าง ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยแล้วกันว่าผมจะใช้เงินตัวเองได้ยังไงในเมื่อตอนที่ผมเป็นนักร้องพอผมออกเทปมาปุ๊บคุณพ่อก็ออกข่าวมาแล้วว่าเหยียบหัวพ่อดังบ้างอะไรสารพัด ทางน้าๆ ทุกคนก็พยายามบล็อกงานของผมไว้หมดเพื่อไม่ให้ผมมีงาน นอกจากงานช่วยเท่านั้น ซึ่งเงินที่ได้มามันก็หมดไปกับค่ารถ ค่าเครื่องบินค่าอะไร สำหรับตัวผมเองผมแทบจะไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว”
“เรื่องค่าใช้จ่ายของผมเองก็ยอมรับว่าไม่มีอะไรอยู่แล้ว แต่ว่าช่วงนั้นมาก็พึ่งคุณแม่คุณยายบุญธรรมอยู่ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนมากพวกเขาหมดกับผมมาเป็นล้านๆ แล้วตั้งแต่ผมมาอยู่กับเขาได้ 4-5ปี โดยที่พวกเขารักผมเหมือนเป็นลูกจริงๆ บอกตรงนี้เลยว่าผมไม่ได้เอาเงินจากพ่อหรือทางพวกน้าๆ มาสักบาทนึงไม่มีเลย แล้วขอย้ำนะว่าที่พวกเขารักผมไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นลูกพุ่มพวง แต่เพราะว่าทางคุณแม่คุณยายเองเขาก็มีลูกบุญธรรมอยู่หลายคนไม่ใช่มีผมคนเดียว”
*********
17 ปีแห่งความหลัง - พุ่มพวง ดวงจันทร์ (จบ):ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน
แฟน “เพชร” ฉุน เมียใหม่ “ไกรสร” กล่าวหาเป็นหญิงใจแตก ขู่ฟ้องหากไม่ขอโทษ ท้าสาบานถ้าโกหกให้ตายภายในสามวันเจ็ดวัน
17 ปีแห่งความหลัง "พุ่มพวง ดวงจันทร์"(3):เขย่าติ้ว เสี่ยงเซียมซี
“เพชร” สึกแล้ว กราบขอโทษครอบครัว วิงวอนขอให้ปล่อยตนไป เผย อยู่กับพ่อไม่ได้จนเคยคิดฆ่าตัวตาย ส่วนสาเหตุเป็นเพราะเรื่องผิดปกติทางเพศของพ่อหรือไม่? ขอไม่ตอบ
17 ปีแห่งความหลัง "พุ่มพวง ดวงจันทร์"(2):พิสูจน์รักไกรสร
ฟังกันจะๆ "แฟนพระเพชร" แอบอัดเสียง "น้องพุ่มพวง" กรณีไม่ยอมพูดความจริงว่า หลานหนีไปอยู่ด้วย
17 ปีแห่งความหลัง "พุ่มพวง ดวงจันทร์"(1):ย้อนรอยริ้วแห่งอดีต
ญาติ“พุ่มพวง” ร้องไห้ยกบ้าน กราบขอโทษ “พระเพชร” ยันไม่ได้ฆ่าแม่ ด้าน “ไกรสร” ไม่รับไม่ปฏิเสธกรณีลูกชายเตรียมแฉเรื่องความผิดปกติทางเพศ
ศึกวันพุ่มพวง ดูกันแบบเต็มเหนี่ยว “พระเพชร” ก้าวร้าว หรือฆราวาสอาละวาดกันแน่!!
แฟนโต้ เหตุที่เอา “พระเพชร” มาอยู่ด้วย ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เพราะเจ้าตัวรับเรื่องทางเพศของพ่อไม่ได้ แต่ไม่ยอมบอกว่าเรื่องอะไร
ครอบครัวยันไม่ได้ฆ่า “พุ่มพวง” โต้ไม่เคยคิดเกาะ “เพชร” กิน
“ไกรสร” หวั่น “เพชร” โดนของ! สุดช้ำโดนลูกด่า บ่น “ผึ้ง” ก็กตัญญูทำไมลูกเป็นแบบนี้
เปิดเทปลับ ใครกันแน่ที่ฆ่า "พุ่มพวง ดวงจันทร์"?
รำลึก 17 ปี "พุ่มพวง" ลูก-ญาติหวิดฟาดปาก
“แล้วที่ทราบว่าเขามาบล็อกงานผมเพราะว่ามีผู้ใหญ่หลายท่านที่เขารับงานให้ผมบอก คือเขาไม่อยากจะยุ่ง ตอนแรกๆ ที่ผมได้ฟังเรื่องราวในซีดีผมยังไม่เชื่อสนิทใจเท่าไหร่ว่ามันจะเป็นความจริงหรือเปล่า แต่พออยู่ไปนานๆ พอพ่อเขาเริ่มออกข่าวมาเรื่อยๆ ยิ่งทางน้าๆ มาทำอย่างนี้อีกยิ่งทำให้ผมเชื่อสนิทใจเลยว่าสิ่งที่แม่ผึ้งพูดมันเป็นความจริง แล้วผมก็มาคิดว่าถ้าผมบวชก็ต้องมีคนมาทำบุญให้ผมอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้ที่คนเขาทำบุญกับผม ผมก็จะเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปสร้างหุ่นแม่ผึ้งอยากจะถามว่ามันผิดตรงไหน”
“ก็ถ้าทางน้าๆ บอกว่าผมไม่บริสุทธิ์ใจที่จะเอาเงินของประชาชนมาผมก็เพิ่งนึกได้ว่าผมก็ควรจะใช้เงินของตัวเอง ซึ่งเงินของตัวเองนั้นผมก็คงมีสิทธิ์ที่จะใช้มันจริงไหมครับ ซึ่งผมมีสิทธิ์ที่จะใช้เงินที่แม่ผมได้สร้างมาให้กับผมก็ต้องขอขอบพระคุณทางน้าไก่ที่เขาช่วยจุดประเด็นตรงนี้ทำให้ผมนึกได้ น้าไก่เขาพูดว่าอยากจะให้ผมใช้เงินของตัวเองสร้างหุ่น แล้วก็มาพูดบล็อคไม่ให้ประชาชนเขาทำบุญร่วมสร้างหุ่นกับผมผมก็คงจะต้องใช้เงินของผมเอง แล้วไม่ต้องห่วงว่าส่วนที่ทุกคนได้บริจาคมามีแน่นอนอยู่ในหุ่นของแม่ผึ้งแน่นอน ทุกคนจะมีรายชื่อหมดมีส่วนร่วมกันหมด”
“แล้วที่เขาบอกว่าผมเอาเงินมรดกของแม่ผึ้ง 50 ล้านไปใช้ที่เมืองนอกผมบอกเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย คงจะต้องมีการตรวจสอบกันสักหน่อยว่าตัวผมไม่ได้เอามาใช้จริงๆ ผมจะตรวจสอบทุกอย่างตั้งแต่ตอนแม่ผึ้งเสียว่าทุกอย่างมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ยังไงก็ต้องของไปเคลียร์ก่อนว่าจะอะไรยังบ้าง ดูว่าทางนั้นเขาจะเอายังไงจะยอมคุยหรือเปล่า”
“แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเองก็ไม่เคยทวงถามเรื่องมรดกตรงนี้เลย พ่อเขาบอกว่าถ้าผมอยากได้มรดกตรงนั้นก็ต้องไปฆ่าเขาเสียก่อน คือเขาคิดได้ยังไงว่าผมจะไปฆ่าเขา คือผมไม่ได้เป็นคนไปเรียกร้องหรือทำอะไรสักอย่าง แต่จู่ๆ ทำไมพ่อเขาถึงหาว่าผมจะไปเอามรดกของเขา ซึ่งเงินของพ่อผมไม่ยุ่งแน่นอน ผมเองก็คงจะต้องดำเนินการต่อไปเอาไว้เป็นเรื่องของอนาคตดีกว่า”
ยืนยันไม่ขอพูดถึงกระแสความผิดปกติทางเพศของผู้เป็นพ่อ แต่เผยโดนกระทำตั้งแต่อายุ 12 จนทนไม่ไหว สุดทนเคยขอเปิดใจกับพ่อแต่โดนสวนกลับ “เป็นเรื่องธรรมชาติ” รับญาติทุกคนทราบเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอดแต่นิ่งเฉย
“กับประเด็นนี้ผมขอไม่พูดถึงเลย ที่ผมไม่พูดเพราะผมไม่อยากจะให้ใครต้องมาเสียหายอีกแล้ว คือผมกลัวว่าเดี๋ยวพูดไปเดี๋ยวมันก็จะเกิดเรื่องขึ้นมาอีก เดี๋ยวมันก็จะกลายเป็นว่าผมไปหาเรื่องจุดประกายประเด็นอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา คือเอาเป็นว่าผมเงียบดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นความลับอะไรก็แล้วแต่ผมขอไม่พูด”
“ที่ผมมาวันนี้อยากจะบอกกับทุกๆ คนว่าต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นปีหน้าหรือปีไหนๆ ก็แล้วแต่ถึงแม้ว่าพ่อจะออกมาพูดอะไรยังไงก็ตาม คือผมก็คงจะไม่โต้อะไรอีกแล้ว เพราะว่าถึงจะโต้ไปมันก็จะมีสังคมบางส่วนที่ยังมองว่าการที่ผมออกไปพูดความจริงเป็นสิ่งที่ก้าวร้าวเหมือนกับผมเป็นลูกแล้วออกมาแฉพ่อ ซึ่งตรงนั้นผมก็อยากจะเอาให้เข้าใจเลยแล้วกันคือผมขอไม่พูดอะไรแล้วถึงแม้ว่าทางฝ่ายไหนก็แล้วแต่จะออกมาพูดมาโต้ คือผมยอมรับไว้คนเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่หวังว่าคนที่เขารู้จักผมเขาก็จะรู้จักว่าผมเป็นยังไง”
“ความจริงเรื่องนั้นเป็นเรื่องของครอบครัว เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ไม่นึกว่าความลับในครอบครัวมันจะแตกออกมา ผมยอมรับว่าหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับที่บ้านที่ผมอยู่กับพ่อมา 18 ปีถ้าใครไม่ใช่ผมทุกคนก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง เพราะทุคนก็ไม่ได้มาอยู่กับผม แล้วตัวผมเองก็คงจะไม่มีหลักฐานที่จะเอาออกยืนยันในคำพูดผมแน่นอนเพราะผมเองก็ไม่ได้คิดที่จะเอากล้องวงจรปิดมาติดเพื่อจะสร้างหลักฐานขึ้นมา”
“สภาพจิตใจที่ผ่านมาของผม ผมบอกใครไม่ได้ คือผมพูดตรงๆ ว่ามันเป็นอะไรที่ยอมรับว่ามันโหดร้ายและเป็นอะไรที่มันสะเทือนใจ เราเคยเปิดอกคุยกับระหว่างพ่อกับผมในหลายๆ เรื่องแต่พ่อเขาก็หาว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วพ่อเขาก็ไม่รับฟัง ไม่มีใครที่จะยอมรับฟังผม ผมยอมทนเจ็บปวดคนเดียวดีกว่าทำให้หลายๆ คนเขามาเจ็บปวดกับเรื่องราวแบบนี้ ใครไม่เป็นผมก็ไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“เอาเป็นว่าหลายๆ คนเขาก็รู้เรื่องนี้กันแล้วทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย คือผมขอไม่พูดจากปากผมเองดีกว่าความลับไม่มีในโลกนี้อยู่แล้ว ใครจะพูดอะไรก็แล้วแต่ผมจะอดทน สิ่งที่เกิดกับผมมันเกิดตั้งแต่ผมอยู่เมืองนอก ผมเองก็เริ่มที่จะโตด้วย ตอนนั้นผมไปเมืองนอกประมาณอายุ 12 ปี ผมยอมรับว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้สึกหลอน เหตุการณ์เลวร้ายพวกนี้มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเรื่อยๆซ้ำๆ เขาเคยบอกว่าเขาจะหยุด เขาจะเลิกแต่เขาก็ไม่หยุด (รู้สึกรังเกียจพ่อไหม) ผมไม่รังเกียจเขาแต่ผมรู้สึกกลัวเขา ผมยอมรับว่าผมรักพ่อนะ แต่ว่าผมกลัวขอไม่เข้าใกล้ดีกว่า ตอนที่ผมอยู่กับเขาอะไรที่ทำให้เขามีความสุขผมยอมหมด ไม่ว่าพ่อจะให้ผมทำอะไรผมยอมหมดทุกอย่าง”
บอกที่พ่อสาบานว่าถ้าล้วงละเมิดทางเพศเพชรจริงก็ขอให้ตายอย่างทุเรศนั้นตนก็สาบานได้เหมือนกัน เชื่อเวรกรรมมีจริงยังไม่เจอตอนนี้แต่ชาตินี้ได้เจอแน่นอน ลั่นไม่กลัวทางฝ่ายญาติตามเก็บ
“พ่อสาบานผมก็สาบานเหมือนกันว่าคือยังไงจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามคือเวรกรรมคนเรามีจริง คือคำสาบานของแต่ละคนยอมรับว่ามันอาจจะยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่สักวันหนึ่งต้องเจอไม่ต้องรอชาติหน้าหรอกได้เจอชาตินี้แน่”
“ปัญหาเรื่องนี้ผมก็เคยได้ไปปรึกษากับใครหลายๆ คน แต่เขาก็บอกกันว่าคือยังไงเราต้องเก็บเงียบนะเรื่องนี้เพราะสังคมไทยบางคนก็คิดว่า คนที่เขาอาวุโสกว่าเขาจะพูดยังไงเขาก็มีน้ำหนักมากกว่า เพราะการที่เราพูดออกไปมันก็จะเสีย เพื่อสนิทผมบางคนเขาก็รู้ คนที่เมืองไทยเขาก็รู้เมืองนอกเขาก็รู้แต่ว่าพวกเขาก็น้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ได้ บางคนเขาก็เชื่อในสิ่งที่ผมพูดแต่บางคนเขาก็ไม่เชื่อก็แล้วแต่นานาจิตตัง ผมเองก็ไม่กล้าไปปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้เพราะกลัวเรื่องราวทั้งหมดจะบานปลาย”
“ผมยอมรับนะว่าผมมีปัญหา ถือว่าเป็นปมด้อยของผมเลยก็ได้ หลายๆ คนเขาจะรู้กันว่าตอนเด็กผมมีนิสัยยังไงตอนเด็กๆผมจะมีอารมณ์ที่แปรปรวน คือบางครั้งจู่ๆ ก็จะหงุดหงิดขึ้นมา จู่ๆก็เงียบ จู่ๆก็ร่าเริง บางคนหาว่าผมป่วยเป็นอะไรหรือเปล่า คือผมยอมรับว่าผมมีปัญหาแต่ผมปรึกษาใครไม่ได้ อายที่จะปรึกษา”
เผยดังกล่าวทางญาติทราบมาโดยตลอดแต่ไม่มีใครคิดที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย มีแต่ด้านครอบครัวบุญธรรมเท่านั้นที่หยิบยื่นมือมาช่วย
“แล้วเรื่องนี้ตรงนี้ผมก็เคยบอกกับทางญาติๆไปแล้ว ผมเคยบอกกับคุณลุง เขาเอง ณ เวลานั้นเขาก็มีท่าทีดูโมโหคุณพ่อ ว่าทำไมทำแบบนี้ ทำไมเป็นแบบนี้ แล้วผมก็ฝากบอกกับคุณลุงให้เขาไปบอกพ่อว่าให้ลองไปคุยกับคุณพ่อให้หน่อย เขาก็รับปากว่าเขาจะไปคุยให้แต่ไม่รู้ว่าคุยหรือเปล่า คุณพ่อเองเขาก็บอกว่าอย่าไปเล่าให้ใครฟัง ทุกอย่างปัญหาทั้งหมดคนที่ช่วยแก้มีอยู่สามคน คือคุณแม่บุญธรรม คุณยายบุญธรรมแล้วก็คุณอ้อยแค่นั้นเอง ญาติๆ ทุกคนไม่มีใครช่วยอะไรเลย แล้ว ณ เวลานี้ทุกคนมาแถลงข่าวหาว่ารักหลานอย่างนั้น รักหลานอย่างนี้ทำไมไม่ไปหาพวกเขา ทุกคนก็น่าจะเห็นแล้วว่าการที่ไปหาเขาแล้วมันเป็นยังไง”
“ตอนนั้นทางด้านแม่บุญธรรมเขาก็สงสารผมบอกว่ามันคงเป็นกรรมของผม แต่เขาไม่ได้แนะนำให้ผมออกจากบ้านมาหรอกนะครับ ยอมรับว่าเหตุผมตรงนี้ก็มีส่วนที่ทำให้ผมหนีออกจากบ้าน ผมยอมรับว่าที่ผ่านมาผมมีบาดแผลในใจ แต่ตอนนี้มันได้บรรเทาเบาบางลงแล้วตั้งแต่ผมได้ออกจากที่นั่นมา แต่ว่ามันก็คงยังเป็นแผลเป็นอยู่”
“เขาให้กำลังใจผมเยอะ เขาบอกว่าช่วงนี้ให้ทำบุญเยอะๆ เพราะว่าชาติที่แล้วผมอาจจะทำกรรมมา ช่วงนี้ก็เลยต้องมาสู้รบปรบมือกับทางญาติๆ ทางด้านอ้อยเองเขาก็เป็นกำลังใจให้ผมตลอด พยายามไม่ให้ผมเครียด”
รับโมโหที่แม่เลี้ยงใส่ความ “อ้อย” แฟนสาวว่าเคยโดนข่มขืน ซ้ำยังเป็นผู้หญิงใจแตก ท้าหาความจริงมาพิสูจน์ พร้อมบอกถึงเรื่องนี้ว่าจะจริงหรือไม่ก็ยังคงรักแฟนสาวเหมือนเดิม
“ขอเคลียร์นิดนึงแล้วกันว่าตอนนี้มีข่าวที่คุณโอ๊ตออกมาพูดให้ร้ายทางครอบครัวบุญธรรมของผมว่าทางคุณถูกข่มขืนมาก่อนผมก็เลยโมโห ก็อยากจะบอกไว้ตรงนี้เลยว่าถึงแม้ว่าคุณจะพูดอะไรยังไงก็ตาม คือคุณมีหลักฐานตรงนั้นไหม ถ้ามีคุณก็เอามาดีกว่าถ้าคุณไม่มีหลักฐานผมขอให้คุณไปขอโทษทางนั้น ถ้าไม่ขอโทษทางคุณอ้อยเองเขาก็คงจะต้องดำเนินคดีตามกฏหมายเพราะการพูดอย่างนี้เท่ากับเป็นการหมิ่นประมาท คือไม่ว่าคุณจะว่ายังไงก็ตาม ถึงแม้ว่าคุณอ้อยเขาจะเป็นอะไรยังไงจะมาว่าสาดเสียเทเสียอ้อยเขายังไงก็ตาม ผมก็ยังยืนยันว่าผมรักเขาอยู่เหมือนเดิมไม่มีทางเปลี่ยนใจผมได้ ความรักของผมกับคุณอ้อยไม่มีทางลดลง ไม่ว่าคุณจะมาพูดยังไงผมก็รักเขา”
“คือการที่คุณให้ข่าวอย่างนี้ซึ่งมันทำให้คนอื่นเขาเสียหายแน่นอน ตัวผมเองไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะออกมาพูดทำไม ผมยอมรับว่าผมโมโหแต่อยากจะบอกเลยว่าการที่คุณออกมาพูดอย่างนี้มาให้ร้ายเขาเสียๆ หายๆ สมมติว่าถ้าคุณเป็นแม่คนแล้วคุณมีลูกสาวแล้วมีคนมาว่าให้ร้ายลูกสาวคุณแบบนี้ ผมถามหน่อยว่าคุณจะรู้สึกยังไง”
บอกที่รักครอบครัวบุญธรรมมากเพราะคอยช่วยเหลือตนมาตลอด พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมาตนเป็นเด็กมีปัญหาแต่ตนก็ได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวนี้ทำให้ตนมีชีวิตที่ดีขึ้น
“หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผมอยู่กับพ่อมา 18 ปีผมดูไม่มีความสุขเท่าไหร่ผมยอมรับว่าเมื่อก่อนเวลาที่ผมออกรายการกับคุณพ่อ คนอาจจะมองว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเป็นครอบครัวที่น่ารักแต่ผมยอมรับตรงนี้เลยนะครับว่า อันนั้นมันก็เป็นเพียงแค่ละครที่เล่นออกมา แต่เบื้องหลังใครที่เป็นผมเขาก็ไม่ได้มารับรู้กับเรื่องตรงนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในบ้านหลังนั้น คือเขาไม่ทราบกันว่าผมไปเจออะไรมาบ้าง ผมไม่ขอพูดดีกว่าเอาแค่ว่าผมไม่สบายใจที่จะอยู่กับคุณพ่อและทางแฟนคุณพ่อ”
“คือครอบครัวของด้านแม่บุญธรรมและคุณอ้อยไม่ใช่ครอบครัวที่เป็นดารามาตั้งแต่เกิด คือทุกคนลำบากมาหมดขวนขวายดิ้นรนทุกอย่างกว่าจะมีกินมีใช้ทุกวันนี้ พวกเขาไม่ใช่ลับหลังอีกแบบหนึ่งต่อหน้าอีกแบบหนึ่งคือมันไม่ใช้ ทุกคนเข้าใจความจริงใจ และผมได้พิสูจน์มาแล้วว่าทุกคนจริงใจจริงๆ ผมยังเคยแอบดูพวกเขาหลายๆ ทีว่าพวกเขารักสัตว์จริงหรือเปล่า ผมลองไปแอบดูเขาก็รักจริงๆ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือว่าลับหลัง แล้วอย่างผมไม่ใช่เป็นลูกบุญธรรมคนเดียวในบ้านหลังนั้น ยังมีอีกหลายคนที่เขาเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรม ตอนนี้เขาก็โตๆ กันแล้วเป็นตำรวจเป็นทหารกันหมด”
“ผมยอมรับว่าที่ผ่านมาผมเป็นเด็กมีปัญหา ผมอยากออกจากบ้านไปพึ่งเพื่อน สูบบุหรี่บ้าง ไปเที่ยวบ้าง แต่ ณ วันนี้ก็ออกมาแล้ว ผมงดอบายมุขทุกอย่าง มันทำให้ผมดีขึ้น สมองจากที่เคยตื้อๆก็ดีขึ้น เพราะพวกเขาช่วยกันดูแลผม แล้วทุกคนมาหาว่าพวกเขาทำของใส่ผม ผมอยากจะถามว่า ณ ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีมันไม่ดีเหรอครับ”
ยอมรับว่าตนทำให้บ้านฝ่ายแฟนสาวเดือดร้อน ส่วนเรื่องที่อ้อยปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วย เจ้าตัวบอกขอให้เวลาพิสูจน์บอกตนเป็นคนรักเดียวใจเดียว
“ยอมรับว่ากับเรื่องนี้ถ้าสมมติพี่ๆ ทุกคนมาเจอกับทางฝ่ายญาติของสามีวุ่นวายแบบนี้ก็คงนึกเหมือนกัน แล้วก็ต้องหยุดชะงักเหมือนกันว่าทางฝ่ายเขาไม่รับเรา ทางฝ่ายเขาเป็นอย่างนี้ ผมยอมรับนะว่าการแต่งงาน คือผมเป็นคนที่รักเดียวใจเดียวแน่นอน คือแต่งงานก็ต้องแต่งกับคุณอ้อย เพราะผมรักเขามาก แล้วถ้าคุณอ้อยเขาจะปฏิเสธยังไงก็แล้วแต่คุณอ้อยเขา ตอนนี้ในใจผมรักคุณอ้อยคนเดียว”
“ระหว่างผมกับคุณอ้อยจะเรียกว่าเป็นสามีภรรยาคงไม่ได้เพราะว่าเราไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน คือสำหรับผมเองอ้อยเขาก็คือแฟนผม อ้อยเขาเป็นมากกว่าแฟนเขาเป็นได้ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ทั้งน้อง ทุกๆ อย่างเป็นได้ทั้งครอบครัวได้อย่างรวดเร็วซึ่งอันนี้คือสิ่งที่สำคัญสำหรับการครองคู่ ก็คงต้องดูดีๆค่อยๆศึกษากันไปดีกว่า เอานิสัยจริงๆออกมา อย่างตอนแรกๆเราอาจจะแอ็คว่าเราเป็นอย่างนี้ๆ พออยู่กันไปนานๆ นิสัยจริงจะออกมา แต่กับคุณอ้อยผมเจอครั้งแรกปุ๊บคือเขาเป็นยังไงตอนนี้เขาก็ยังเป็นอย่างนั้น นี่คือสิ่งแรกที่ผมปะทับใจ แล้วเขาไม่ได้เป็นฝ่ายมาจีบผม ผมไปจีบเขา(หัวเราะ) ผมยอมรับว่าตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่เคยจีบใคร คนก็จะวิ่งเข้ามาหาผมเพราะรู้ว่าผมเป็นลูกพุ่มพวงบ้างหาผลประโยชน์บ้าง แต่คุณอ้อยนี่จีบยากมาก แต่เราก็พยายามอยู่หลายวิธี จากที่เป็นเพื่อนก็ค่อยๆเริ่มพัฒนา เริ่มห่วงใยกันมาขึ้นก็ดีครับ”
ขอร้องทางญาติและพ่อให้ปล่อยตนเป็นอิสระ บอกตอนนี้ตนมีความสุขดีแล้วเพราะได้รับการเติมเต็มจากครอบครัวบุญธรรม
“ผมขอบอกตรงนี้เลยว่ายังไงก็ตามคือผมขอให้คุณพ่อหรือทางญาติๆของผมปล่อยผมไปเถอะนะ ผมเองถ้าทุกคนเขารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผม 18 ปีที่ผ่านมา คือผมขอไม่พูดตรงนั้น (ยกมือไหว้เสียงสั่นเครือ) เอาเป็นว่าผมขอไม่พูดแต่ว่าขอไม่อยู่กับทางนั้นแล้วดีกว่าเพื่อความสบายใจของผมด้วย ต่อจากนี้ไปก็ขอให้ทุกคนอย่ามาพูดอย่ามาว่าอะไรกันดีกว่า ขอให้มีแต่สิ่งที่ดีๆเข้ามา”
“ตอนนี้ผมมีทุกอย่างครบสมบูรณ์แล้วครับ เพราะว่าทางด้านคุณแม่ คุณยายบุญธรรมและคุณอ้อยเองได้เติมเต็มสิ่งที่ผมขาดหายไป คือทุกคนเต็มเต็มให้ผมทุกจุด อย่างที่ผ่านมาผมอาจจะขาดแม่ไปก็มีแม่บุญธรรมมา คุณอ้อยเองก็เป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อนซึ่งตอนนี้ผมเองรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกแล้ว ตอบได้เต็มปากเลยครับว่าผมมีความสุขแล้ว”