“ทรนง” เปิดใจเหตุอยากจะฆ่าตัวตาย เผยไม่ใช่ครั้งแรกที่คิดสั้น ก่อนหน้านี้ก็เคยสติแตกตัดนิ้วตัวเองมาแล้ว ด้านหมอไม่อยากรับรักษา แนะให้ส่งไปโรงพยาบาลบ้า สุดเครียดคนไม่ให้การตอบรับหนังทั้งที่ทุ่มทุนไป 160 ล้านเพื่อเตือนภัย ไหนจะเรื่องจัดกิจกรรมคนอึดให้คนอดข้าวอดน้ำชิงเงิน 5 แสน หวั่นผู้เข้าแข่งขันตาย
มีปัญหาตั้งแต่เริ่มทำเรื่อยมาจนถึงช่วงโปรโมตเลยทีเดียว สำหรับภาพยนตร์ “2022 สึนามิวันโลกสังหาร” ของผู้กำกับ “ทรนง ศรีเชื้อ” ก่อนหน้านี้ก็นำรูปศพผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี พ.ศ.2547 มาทำเป็นป้ายโฆษณาจนโดนวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว
จากนั้นหนังก็เกาะกระแสความขัดแย้งทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้น ด้วยการนำภาพด้านหลังของชายคนหนึ่ง (ที่ผู้กำกับรุ่นใหญ่บอกว่าคือ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) พร้อมด้วยข้อความ “หรือจะรอให้ภัยพิบัติมาล้างสองสีออกจากแผ่นดิน 2022 สึนามิ ลูกหลานจะมีชีวิตอยู่อย่างไร” มาติดแทน
และเมื่อไม่กี่วันก่อนหนังจะเข้าฉายก็มีมือดีลอบเข้าไปวางเพลิงโรงถ่ายที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ทำเอาหลายๆ คนสงสัยว่า เป็นการโปรโมตหนังหรือไม่ ซึ่งทรนงก็ได้ออกมาแก้ข่าวแล้วว่าน่าจะเกิดจากความไม่พอใจของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ตนทำหนังเชิดชูนายกรัฐมนตรี
ล่าสุดหลังหนังเข้าฉายได้ไม่กี่วันก็มีกระแสข่าวมาว่าทรนงเครียดรายได้สึนามิไม่เข้าเป้า ถึงขั้นตัดสินใจจะใช้ปืนยิงตัวตายลาโลก แต่โชคดีเลขาเข้ามาห้ามปรามไว้ได้สำเร็จ และขณะนี้อยู่ในการควบคุมของแพทย์ที่โรงพยาบาลรามคำแหง กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้หลายๆ คนข้องใจว่า “เรื่องจริง” หรือ “แค่โปรโมตหนัง”
หลังจากทราบเหตุการณ์ดังกล่าว ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ทรนง ศรีเชื้อ ถึงขอบเตียง “จริง” หรือ “แหกตา” ตัดสินกันเอาเอง
“มันเครียดจริงๆ นะ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ในชีวิตผมเจอปัญหาหนักๆ มาเยอะ แล้วก็เข้าโรงพยาบาลในสภาพนี้น่าจะอยู่ประมาณ 7 - 8 ครั้ง ครั้งที่รุนแรงที่สุดก็คงเป็นครั้งที่ตัดนิ้วเข้าโรงพยาบาลเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว และครั้งที่สองที่เข้ามาในสภาพที่มาหาจิตแพทย์ก็เป็นช่วงเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ถล่ม ญาติพี่น้องผมก็ไม่มีใครอยู่ในอเมริกาหรอกช่วงนั้น แต่ผมเครียดจนผมอยู่ไม่ได้ ผมต้องมาอยู่ที่นี่ คือผมมีความรู้สึกวิตกกังวล นั่นคือตัวตนของผมจริงๆ ที่วิตกกังวลไปทั้งโลก”
“แต่ที่ผมเครียดตรงนี้ เครียดจนรับอะไรไม่ได้ มันก็มีหลายเหตุผล เหตุผลแรกก็คือว่าช่วง 4 ปีที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้นะ 4 ปีที่ผ่านมาผมเหนื่อยกับการทำงาน เหนื่อยแบบไม่มีวันหยุด ชีวิตผมไม่เคยมีเสาร์-อาทิตย์ ผมนอนนี่หมายความว่าผมหมดสภาพผมถึงนอน ตื่นขึ้นมาหัวสมองผมก็ทำงาน มันเป็นอย่างนี้มา 4 ปีเต็มๆ เป็น 4 ปีที่เข้มที่สุด ก็ช่วงอายุ 53 ถึงวันนี้ 58 ปี”
“ถามว่าผมทำอะไรบ้าง 4 ปีนี่ผมสร้างโรงถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งเป็นภาระที่หนักอึ้ง ตั้งแต่การเอาที่ดินวิ่งหาเม็ดเงิน เพื่อจะเอาเงินเป็นพันล้านมาทำงาน สองระหว่างที่สร้างโรงถ่ายเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่แล้ว ผมยังต้องสร้างหนังสึนามิ ซึ่งเป็นหนังที่ผมมีความตั้งใจอย่างสูง เมื่อผมสร้างสึนามิผมก็ค่อยทำค่อยไป ตอนแรกกะจะเอาภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายภายใน 2 ปี คนก็ตำหนิกัน หาว่าผมโหนกระแสสึนามิ ก็ไม่เป็นไรผมก็เลยชะลอ เพราะเราไม่มีเจตนาที่จะไปโหนกระแส”
“ทีนี้เราก็สร้างสึนามิมา 3 ปี 6 เดือนจนเสร็จ โดยผมทำงานใหญ่อยู่สองอย่าง ก็คือทำเรื่องโรงถ่ายกับเรื่องสึนามิโดยที่ไม่ได้หยุดเลย แล้วก็มีการเดินทางไปทั่วโลก เพื่อไปแนะนำหนังขายถึง 4 รอบไปด้วยตัวเองถึง 4 ครั้ง แล้วทีนี้เมื่อหนังมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยเม็ดเงินซึ่งอย่างที่ทราบดีประมาณ 160 ล้านบาท มีคนถามว่า 160 ล้านบาทมันแพงขนาดนั้นมั้ย ผมคิดแค่ตัวเลขไม่เกี่ยวกับโปรดักชั่นนะ คุณไปกู้ดอกเบี้ยขั้นต่ำร้อยละ 2 ต่อเดือนแล้วกัน ร้อยละ 2 ต่อเดือน ปีหนึ่ง 12 เดือนก็ร้อยละ 24 3 ปีก็ร้อยละ 72 คุณกู้เงินมา 100 ล้านคุณต้องจ่ายดอกเบี้ยเขาร้อยละ 12 ล้านอย่างต่ำ นี่เป็นตัวเลขจริงๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสร้างหนัง แล้วเป็นตัวเลขจริงๆ ที่ชดใช้”
“แต่ว่าเม็ดเงินทั้งหมดที่ผมเอามามันมีดอกเบี้ยร้อยละ 6 หรือร้อยละ 10 หรือร้อยละ 5 ล่ะฉะนั้นถัวเฉลี่ยแล้วหนังเรื่องนี้ตัวเลขจริงๆ เกิน 160 ล้านไม่ต้องไปพูดถึง อันนั้นก็เป็นแรงกดดันอันหนึ่งในการทำงาน ทีนี้เมื่อผมสร้างสึนามิเสร็จ ผมตั้งใจเอาเข้าฉายครบรอบ 4 ปีสึนามิ แต่มันก็เกิดมีปัญหาทางการเมือง ตอนแรกคือจะเข้าฉายภายใน 2 ปีคือมันมีปัญหาหาว่าโหนกระแสสึนามิ ก็เลื่อนมาเข้า 4 ปี ก็มีเรื่องปิดสนามบิน ปิดอนุสาวรีย์ชัย มีปัญหาเรื่องเหลืองแดง ก็ร่นจะมาเข้าที่ 30 เมษา พอเข้า 30 เมษาก็มามีปัญหาเรื่องวันสงกรานต์ ผมก็เลื่อน”
“การเลื่อนแต่ละครั้งทำให้ผมสูญเสียงบโฆษณาอีกประมาณ 4 - 5 ล้านบาทที่ลงไปแล้ว อย่างเช่นเราจองโฆษณาเดลินิวส์จ่ายตังค์ไปแล้ว เขาลงให้แล้ว เราก็ต้องระงับ แต่เราต้องจ่าย เสียหาย เราขึ้นบิลบอร์ททั่วประเทศไปหลายจุด ใช้เงินเป็นล้าน เราพิมพ์แผ่นพับเป็นแสนๆ แผ่นแจกไว้เรียบร้อยแล้ว วันที่ 30 เราต้องเลื่อนมา 28 ทั้งหมดเป็นเรื่องเสียหายที่ยกตัวอย่างให้เห็นชัด”
“เราลงในเอนเตอร์เทนเม้นท์ในนิตยสาร เราลงในสตาร์พิคว่าหนังเราเข้าวันนี้ ผลสุดท้ายโฆษณาทั้งหมดมันทิ้งน้ำ การที่เลื่อนหนังมันก็เครียด เมื่อเราเลื่อนหนังเสร็จเราก็ไม่สามารถเลื่อนไปได้มาก เราก็เลื่อนมาเจอ Terminator เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะมันเป็นกรรมมันเป็นเวรที่ต้องเผชิญหน้า เพราะทุกคนก็เตือน ทีนี้ภาพยนตร์ที่เราลงทุนไป 160 ล้านดูมันมากมายมหาศาล แต่จริงๆ แล้วถ้าเราเอาไปเทียบกับ Terminator ของเขาลงทุน 3,000 ล้าน ซึ่งเราอยู่ที่ 2.5% ของงบสร้างของเขา เมื่อเข้าฉายบริษัทสร้างหนังฝรั่งเขาก็ต้องอัดโฆษณา อัดโรง ซื้อมากกว่าเราหลายเท่ามาก”
“ทีนี้เราล่นมา 4 ปีเมื่อเราเข้า แล้วหนังเรื่องนี้ผมทำเพื่อให้คนไทยทั้งประเทศได้ดู ซึ่งคนที่ชมหนังของผมแล้วจะติผมไม่ได้ ว่าผมทำหนังเรื่องนี้เพื่อสุขเอาเผากิน 4 ปีไม่ได้สุกเอาเผากิน และขณะเดียวกันผมก็หวังว่าคนจะมาดูหนังเรื่องนี้ เพราะผมทำทั้งหมดเพื่อคนกรุงเทพฯ 10 กว่าล้านคน เตือนภัยเรื่องสิ่งแวดล้อมโลกกับเรื่องสึนามิ ผมทำทุกอย่างเพื่อให้คนไทยทั้งประเทศได้ตระหนักถึงการเมือง เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม”
“แต่พอผมทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเปิดรอบพรีเมียร์ผมก็ยอมหมดเงิน 7 - 8 แสนเพื่อจะทำงาน ทุกอย่างผมหว่านเงินลงไปทั้งหมดเพื่อหวังผลให้คนได้ชมหนังเรื่องนี้โดยที่รายได้เราประกาศไว้ตลอดเวลา ทรนงประกาศตลอดเวลาว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำไม่ได้หวังผลกำไร หวังแค่ได้คืนครึ่งหนึ่งก็ดีใจแล้ว ตอนนี้เมื่อวันที่หนังเข้าวันแรก ผมก็ไปยืนดูโดยตั้งเป้าในใจแล้ว ยอดรายได้ต่ำสุดจาก 54 โรงผมกะได้วันละ 3 ล้าน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำ”
“แต่เมื่อผมไปยืนที่หน้าโรง ผมบอกทุกคน ทีมงานรู้ดี บอกสื่อมวลชนว่าผมทำหนังเพื่อให้คนไทยได้รู้จักสิ่งแวดล้อม ได้ดูหนังแนวทางเลือกใหม่ ผมอยากให้คนกรุงเทพฯ รู้จักเรื่องสึนามิ แล้วก็รู้จักการเตือนภัย ดร.สมิทธ์ ยืนอยู่ข้างเหตุผลเดียวกับผม ดร.อาจอง วิเคราะห์ว่าสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาเนี่ยถูกทางแล้ว ไม่เกิน 20 ปีน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ พระมหาสมปอง มาดูหนังผม รัฐมนตรีช่วยอลงค์กร มาดูหนัง นักการเมืองหลายท่าน คนในวงการธุรกิจมาดูแล้วยอมรับว่าหนังผมอยู่ในสภาพที่ดูดีและฉายได้ ไม่ใช่หนังน้ำเน่าแน่นอน แต่ไม่ใช่หนังที่ดีเลิศเลอถึงจะต้องได้รับรางวัลอะไรสูงส่ง”
“แต่เมื่อ 4 วันที่แล้วผมไปยืนอยู่หน้าโรงฉายภาพยนตร์ ผมกดดันมาก ผมเห็นคนเดินเข้าโรงหนังโรงอื่น หนังฝรั่ง หนังซึ่งเหล็กเดินได้ หนังซึ่งมีใบมีดโกนโผล่มาจากมือ หนังผี หนังตลก คนไปดูหนังเหล่านั้น 4 วันเขาเก็บเงินได้เป็นสิบๆ ล้าน ขณะที่ผมเก็บได้ 2 ล้านกว่าบาท ถามว่าผมเสียใจมั้ย ผมเสียใจว่าผมทำทั้งหมดเพื่อคนกรุงเทพฯ สิบกว่าล้านคนได้รู้ ได้เห็นภาพสึนามิถล่มกรุงเทพฯ ผมทำทั้งหมดเพื่อให้คนไทยได้รู้เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คนที่ผมทำทั้งหมดซึ่งไม่ใช่โคตรพ่อ โคตรแม่ผมเลยกลับสนใจหนังซึ่งไม่ได้ให้อะไรเขาเลย”
“แต่ผมก็ไปตำหนิไม่ได้ มันเป็นเรื่องความคิดใครความคิดมัน ผมถึงเข้าใจ ดร.สมิทธ์ ที่เตือนว่าจะเกิดภัยสึนามิ แต่ผลสุดท้ายก็ไม่มีใครเชื่อ ทุกคนกลับตำหนิ ดร.สมิทธ์ แต่พอสึนามิเข้ามาจริงก็กลายเป็นพูดถูกต้อง แต่นั่นมันก็สูญเสียไปเรียบร้อยแล้ว ผมมีความรู้สึกว่าความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีกับสังคมไทย มีต่อสังคมคนกรุงเทพฯ มีต่อประชากร 60 ล้านคนทำร้ายจิตใจผม”
“ผมแคร์เขาตลอด 4 ปีที่ผมทำหนัง ทุกวินาทีที่ผมหายใจ ผมสนใจ แต่เขากลับไม่ได้สนใจว่าผมได้ทำอะไรเพื่อพวกเขาเลย เขาสนใจที่ไปดูอะไรที่เพื่อความบันเทิง เพื่อความตลก นั่นเป็นสิ่งแรก ประเด็นอื่นๆ เมื่อหนังเป็นอย่างนี้ตัวเลขผมมองเห็นแล้วผมจะต้องขาดทุนเกิน 100 กว่าล้าน ซึ่งผมทำใจไว้ที่ 50 ล้าน โดยจะแก้ปัญหาที่ว่าทำยังไงให้ได้คืน 50 ล้าน”
นอกจากนั้นยังเผยว่าได้ไปกราบทูลต่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ว่าจะถวายเงินรายได้ของหนังให้เข้ามูลนิธิคุณพุ่ม เจนเซ่นด้วย
“ผมได้ไปกราบทูลฟ้าหญิงอุบลฯที่ฝรั่งเศส เมื่อปีกว่าว่าจะทูลเกล้าฯ กำไรส่วนหนึ่งให้กับมูลนิธิคุณพุ่มเพื่อทำบุญ ซึ่งมันเป็นอย่างนี้ขึ้น ผมกำลังหาวิธีการดำเนินการจัดการให้ได้ เพื่อไม่ให้เสียคำพูดที่ได้กราบทูลองค์ท่านไว้แล้ว สามผมได้ประกาศตลอดเวลาว่าผมจะสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกปางห้ามสึนามิ ผมได้ประกาศผ่านสื่อซึ่งก็ไม่ได้รับการตอบสนอง เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองว่ามีผู้ชายคนหนึ่งตัวเล็กๆ อย่างผมเนี่ย ซึ่งไม่ใช่คนรวยด้วย แต่พยายามจะสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุด อยู่ที่ปากอ่าว”
“เมื่อไม่มีใครตอบสนอง ผมก็ประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์โดยจะเอารายได้ที่ผมทำได้ทั้งหมดกับกำไรที่ได้จากหนังเรื่องนี้ คุณไปตรวจดูได้โฆษณาทุกอันจะพูดประโยคนี้คือเพื่อนำมาสร้างพระพุทธรูป ผมสร้างหนังสึนามิ ผมพยายามจะสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเป็นสิ่งรวมจิตใจของประชาชนคนไทย ผมพยายามจะเอารายได้จากหนังทั้งหมดทูลเกล้าฯ เพื่อทำกุศลให้กับองค์กรที่มีประโยชน์ต่อสาธารณะสุขกับสาธารณะชน”
“แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมได้รับจากสังคม ผมยอมรับว่าผมช็อค ผมอาจจะไม่ได้หวังว่าผมต้องได้ 100 บาท แต่ผมหวังว่าผมอยากได้ 50 บาท แต่สิ่งที่ผมได้รับตอนนี้ผมได้รับ 3 บาท หนี้สินเป็นสิ่งที่ผมรับได้อยู่แล้ว ผมสามารถแก้ปัญหาพวกนี้ได้ แต่สิ่งที่ผมผิดหวังคือว่า ผมกำลังทำให้กับสังคม แต่สังคมไม่ได้ยินดีเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมรู้ว่าข้างหน้าคือความหายนะเกิดขึ้น”
“แต่สิ่งที่ผมได้รับตอบทางสังคม ผมบอกได้เลย ผมเรียนกับหมอจิตแพทย์ที่นี่ เขาบอกว่าผมจิตตกและช็อค เขาบอกว่าสิ่งที่ผมอธิบายให้เขาฟังทั้งหมดเขารับรู้ เพราะเขาติดตามข่าวมาตลอด ซึ่งหมอก็ยอมรับเป็นหมอก็ต้องช็อคเหมือนกัน”
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ทรนงเครียดก็คือ การกิจกรรม “คนอึดวันโลกสังหาร” เพื่อโปรโมตหนังสึนามิ โดยการรับสมัครผู้คนมาร่วมกิจกรรมอดข้าว อดน้ำและใครสามารถอึดได้นานสุด มีเงินรางวัลให้ถึง 5 แสนบาท เพราะกลัวว่าผู้เข้าแข่งขันจะเสียชีวิต
“อีกส่วนหนึ่งที่ผมเครียดก็คือก่อนที่จะมีหนังเข้า ผมได้จัดโปรโมตคนอึด ผมต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นว่าถ้าเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯ แล้วมีคนไปติดบนหลังคาตึก ไปติดอยู่โดยไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำจะทำยังไง ผมก็ใช้ทดสอบด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีการเมคขึ้นมา ก็ประกาศไปทั่วประเทศทางหนังสือพิมพ์กับทางวิทยุ มีคนมาสมัครประมาณ 75 คน เราก็ให้มาอดข้าว อดน้ำ 4 วันเขาอดข้าว อดน้ำ เขาไม่ได้เข้าส้วมอะไรเลย เขาทนเพื่อจะเอาเงินรางวัล 1 แสนบาท แล้วก็เงินสมทบอีก 4 แสนบาทเป็น 5 แสนบาท”
“ทุกคนมีรายได้เดือนละ 3 พันบาท 5 พันบาท ปีหนึ่งเขายังหาเงินไม่ได้ 4 หมื่นเลย แต่เมื่อผมตีรางวัลเงินเป็นแสนเนี่ย ทุกคนยอมทิ้งทุกอย่าง ยอมเสี่ยงชีวิตมานั่ง ผมไปยืนดูเขาอยู่ 3 วันผมก็กดดัน ไหนจะเงินถวายองค์กรการกุศล ไหนจะลงทุนทำหนังเป็นร้อยๆ ล้านเพื่อสังคม ไหนจะต้องสร้างพระพุทธรูปประกาศไปเรียบร้อยแล้ว พระพุทธรูปที่มูลค่า 5 - 6 ร้อยล้านบาทที่ตัวเองเป็นคนตัวตั้งตัวตี ซึ่งทั้งหมดผมต้องทำให้ได้ ไหนจะต้องมารับผิดชอบชีวิตมนุษย์อีก 70 คนซึ่งตอนนี้เหลืออยู่ 4 คน ซึ่งเขาไม่ได้กินข้าวมา 4 วันแล้ว”
“ผมก็ได้ไปขอเชิญโรงพยาบาลเดชาให้เอารถพยาบาล เอาหมอกับนางพยาบาลมา เมื่อมาอยู่ได้ 3 วันแล้วก็รับไม่ได้ เขาบอกทุกคนอาจจะตับวาย ไตวายหรือเสียชีวิตได้ หมอยอมถอนตัวกลับ ซึ่งผมเข้าใจว่าหมอเขาไม่อยากจะเข้ามาเสี่ยงตรงนี้กับชื่อเสียงของเขา แต่ยังไงก็แล้วแต่ผมก็ต้องกราบเท้าหมอทุกท่าน นางพยาบาลทุกคนที่มาช่วยดูแลตรงนั้น”
“แต่ตอนนี้เมื่อผมมองเห็นรายได้ของผมตกต่ำหรือต่ำต้อย แล้วผมมีความรู้สึกไม่ดีกับฝูงชนเลยว่า ฝูงชนไม่แยแสผมเลยขณะที่ผมแยแสเขา ขณะที่คนทำมาหากินเพื่อจะเอาผลประโยชน์ใส่ตัวทุกคนกลับฮือไปให้ ผมถึงเข้าใจว่าคนเลวทำไมถึงอยู่ได้ในสังคมแบบนี้ ทำไมคนที่ทำสิ่งดีๆ แล้วทำไม่ได้ สุดท้ายคนที่ทำสิ่งดีๆ แล้วทำไม่ได้ก็กลับกลายไปสู่คนเลว แล้วเลวได้ยิ่งกว่าคนเลวที่เลวอยู่ ทำให้เข้าใจปัญหา”
“แต่เมื่อคืนนี้ผมหมดความอดทน ผมสารภาพนะ ผมคิดฆ่าตัวตาย เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ผมเอาปืนจ่อปากผม แต่ทันทีที่ผมทำประมาณตี 3 ตี 4 ผมเห็นแต่ภาพพระที่ขึ้นมาจากน้ำ ภาพพระพุทธรูปที่ผมจะสร้างใหญ่ที่สุดในโลกโผล่ขึ้นมาจากน้ำปากอ่าว ซึ่งเป็นภาพที่เกิดขึ้นในหนังของผมที่ผมทำแล้วผมอยู่กับภาพนี้มา 3 ปีเต็มๆ ที่คอมพิวเตอร์กราฟฟิกทำ ผมเห็นพระพุทธรูปโผล่ขึ้นมาจากน้ำ โผล่ขึ้นมาดังตู้มๆ ๆ ทำให้ผมมีความรู้สึกว่าผมยังไม่ได้สร้างท่านเลย เพียงแต่คิดแล้วก็ยังรวบรวมเงินอยู่ทำให้ผมมีสติ”
“พอมันมีสติก็มีคนรอบข้างที่รู้ว่าผมจะทำอะไรที่มันไม่ดี คิดร้ายกับตัวเองและคิดร้ายกับคนทั่วไป เขาก็หาทางกล่อมผมมาที่นี่ นี่คือเรื่องทั้งหมด ถามว่าตอนนี้ผมเป็นอะไร ตอนนี้ผมสติแตก แล้วกำลังรวบรวมสติ อย่างผมมาพักโรงพยาบาล หมอก็ไม่พร้อมที่จะรับผมบอกว่าผมควรจะไปอยู่โรงพยาบาลที่มั่นคงกว่านี้ ก็คือมียามอยู่ตลอดเวลา อยู่ในห้องที่กักขังได้พร้อมที่จะควบคุมได้เพื่อชีวิตผมเอง แล้วผมบอกผมไม่ได้บ้านะหมอ คนบ้าสร้างหนังอย่างผมไม่ได้ คนบ้าสร้างโรงถ่ายภาพยนตร์ไม่ได้ ไม่มีคนบ้าที่ไหนคิดจะสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีคนบ้าคนไหนที่พร้อมจะอุทิศตัวเองเพื่อสังคมเพื่อทำให้สังคมดีขึ้น”
“ผมเรียนเชิญท่านนายกฯ มาดูหนังผม เรียนเชิญรัฐมนตรีมาดูหนังผม ถ้าผมเป็นคนบ้าผมควรจะไปเดินแก้ผ้าอยู่ข้างถนนแล้ว ซึ่งเมื่อผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนบ้า แต่ตอนนี้จิตมันตก คือผมมองคนรอบๆ ตัวผมเวลานี้ผมมองเหมือนเขากับผมอยู่คนละโลก”
เผยต่อด้วยอารมณ์สิ้นหวัง และหมดกำลังใจว่าตอนนี้พยายามจะทำให้ตัวเองกลับมาให้เร็วที่สุด
“ตอนนี้ผมพยายามเอาตัวเองกลับคืนมาให้มากที่สุด อายุผม 58 ปีผมไม่เคยหยุดพักเลย ผมเขียนหนังสือมามากกว่า 2 - 3 ร้อยเรื่อง ผมถึงสร้างหนังมาได้ 21 เรื่อง ผมทำอะไรมาเยอะ แต่นี่คือสิ่งที่ผมได้ ผมรู้ว่าผมจะทำยังไงให้อยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุข ก็คือทำอะไรก็ได้ที่มันเอาแต่ใจตัวเองยังงั้นน่ะได้ แต่ยังไงก็แล้วแต่ผมไม่เปลี่ยนนโยบาย”
“ผมยืนยันว่าผมจะทำในสิ่งที่ผมทำต่อไป แม้ว่าสังคมจะไม่ให้ความใส่ใจในสิ่งที่ผมทำ ผมอยากสร้างพระพุทธรูปเพื่อคนไทยทั้งประเทศ ผมสร้างพระพุทธรูป ผมสร้างหนังเรื่องสึนามิ ผมเขียนหนังสือผมไม่ได้กำไรหรอกครับ ผมทำอะไรผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะได้กำไร ผมเอาทุนสร้างหนังสึนามิ 160 ล้านไปสร้างหนังตลกเรื่องละ 20 ล้านผมทำได้ตั้ง 8 เรื่อง หนังตลกเรื่องหนึ่งได้กำไร 40 ล้าน 8 เรื่องผมได้กำไรตั้งกี่ร้อยล้าน ทำไมผมไม่คิดได้ ผมคิดได้ครับ แต่ที่ผมไม่ทำเพราะว่านั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา”
“ทุกอย่างต้องแก้ปัญหาด้วยการพูดความจริง แล้วก็ทำความจริง แต่ผมไม่ใช่หมอดู ถ้าผมเป็นหมอดู ผมทำนายสังคมผมก็จะทำนายด้วยน้ำลาย ผมพูดสิบนาทีผมทำนายว่าโลกจะแตกก็จบแล้ว แต่ผมเป็นผู้กำกับหนัง ผมต้องใช้เงินที่ผมกู้เขามา ร้อยละ 2 ร้อยละ 10 ร้อยละ 5 เป็นสิบๆ ล้าน ร้อยล้านเนี่ยเพื่อสร้างหนังแล้วบอกว่านี่คือคำทำนายของทรนง แต่เมื่อสังคมไม่ตอบรับ ถามว่าสังคมผิดมั้ย สังคมไม่ผิดเลยครับ ผมผิดเองที่ผมเลือกทางนี้ แต่ช่วยไม่ได้ผมก็เลือกมาแล้ว”
“วันหนึ่งผมมีสิทธิตัดสินชีวิตของผมเอง ผมเลือกทุกอย่างด้วยตัวผมเอง ผมมีสิทธิตายเมื่อผมกำหนดวันตายตัวเองได้ ผมยังขอบคุณตัวเองว่าผมไม่คิดทำร้ายใครนาทีนี้ แต่ผมคิดทำร้ายตัวเอง ทำไมที่อเมริกาถึงมีคนถือปืนเข้าไปแล้วกราดยิงคน 20 คน ผมมองเห็นภาพเหล่านั้น รู้สึกเป็นตัวเอง แต่ผมไม่ทำ ผมโกรธสังคมในหลายๆ จุด แต่ผมไม่เคยคิดทำแบบนั้น”
“ผมบริหารเงินเป็นร้อยล้าน พันล้าน ผมรู้ผมเครียดกับอะไร แต่สิ่งที่ผมเสียใจมากกว่าธุรกิจการเงินคือผมกำลังเสียใจอยู่กับสังคมที่ผมพยายามกราบตีนเขา สังคมที่ผมพยายามจะเอื้อกับคนทั้งประเทศ ผมเดินไปไหนในกรุงเทพฯ ผมบอกเลยเนี่ยผมทำหนังเพื่อคนกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว เขามองผมแบบเย้ยหยันและหัวเราะ แค่นั้นก็จบ”
“ตอนนี้ผมไม่ต้องการขอความเห็นใจจากใคร ผมมาไกลเกินไปที่จะไปขอความเห็นใจจากใคร ใครไม่อยากดูหนังผมก็ไม่ต้องดู คุณก็ไปเสพในสิ่งที่คุณต้องการ การค้าเสรีทำได้เต็มที่ แล้วผมก็พร้อมที่จะเผชิญในสิ่งที่ผมเป็นอยู่ แต่ถ้ามีใครเข้าใจผมและเห็นใจผม ผมขอกราบขอบคุณ โดยเฉพาะคนที่ไปดูหนัง ตั๋วทุกใบผมขอบคุณมาก ถ้าคุณไม่พอใจดูแล้วไม่มีคุณเอาขั้วตั๋วหนังมาแลกเงินคืนจากผมได้เลย ผมยินดี คนอย่างผมขายชีวิตได้เพื่ออุดมการณ์ตัวเอง เพราะฉะนั้นเรื่องตัวเลขเม็ดเงินหรืออะไรอย่างอื่นเป็นเรื่องเล็กสำหรับผมมาก”
“ชีวิตผมไม่เคยสมหวังนะ มันก็ผิดหวังมาตลอด ถ้าถามว่าผมผิดหวังครั้งนี้ครั้งที่เท่าไหร่มันก็คงตอบไม่ได้ มันก็ผิดหวังเช้า เที่ยง เย็นเป็นเรื่องปกติของผม แต่ครั้งนี้ผมช็อค นี่คือผมไปยืนอยู่หน้าโรงหนัง 3 วันเต็มๆ ยืนโดยไม่ทำอะไร ยืนเหมือนคนบ้า ยืนเหมือนเสาต้นหนึ่งหน้าโรงหนัง ยืนดูคนเป็นพันๆ คนไหลๆ เข้าไปดูหนังหลายโรงซึ่งเป็นหนังที่เหล็กเดินได้ และขณะที่หนังที่ผมทำเพื่อให้คนที่ไปดูเหล็กเดินได้เนี่ยเขากลับไม่สนใจผมเลย”
“ผมสร้างมา 160 ล้านเอาก๊อปปี้ไปสายละ 6 ก๊อปปี้ๆ รับไปเลยครับ จ่ายตังค์ก็ได้ไม่จ่ายก็ได้ มาถึงนี่แล้วผมไม่มีอะไรจะเสียนอกจากชีวิตตอนนี้ ถ้าผมลุกออกจากโรงพยาบาลผมก็เปิดเรื่องใหม่ อาจจะลงทุนมากกว่าเก่าด้วย ถามทำไมผมไม่แคร์เรื่องเงิน เงินทองเป็นของนอกกาย กู้เขามาก็ต้องใช้เขาต้องรับผิดชอบ”
“ผมทำนี่ผมไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าทำหนังอยากได้กำไรก็คงไม่สร้างสึนามิ คงไม่สร้างอมนุษย์ ผมสร้างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชดำเมื่อปี 2524 เมื่อ 28 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นท่านมุ้ยเอามาสร้างเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อุดมการณ์ของผมพิสูจน์ตลอดเวลาว่าผมอยากทำหนังเพื่อชาติและแผ่นดินผม ก็คือเมื่อผมอายุ 27 ปีเมื่อปี 2524 ผมสร้างหนังสมเด็จพระนเรศวรทั้งๆ ที่ผมเป็นเด็ก กำลังเป็นเด็กหนุ่ม ผมใช้เงินสร้างหนังเรื่องนั้นอยู่ที่ 11 ล้านบาท”
“ชีวิตผมก็ทำอย่างนั้นมาตลอด สร้างหนังสงครามมามากที่สุดในโลก 7 เรื่องคนไม่ดู พอทำหนังโป๊แห่กันดูโรงแตก 5 ทุ่มยังนั่งดูกันเต็มโรง แต่ผมก็จะไม่ประชดด้วยการกลับไปทำหนังโป๊อีก เพราะผมอ่านทางหมดแล้วว่าสังคมต้องการอะไร แต่เราจะขายตัวเองเพื่อให้ตัวเองอยู่ดีกินดีงั้นเหรอ ผมมีเงินหมื่นล้านผมก็กินข้าวไข่เจียว ผมมีหนี้เป็นพันล้านผมก็กินข้าวไข่เจียว ตัวผมเล็กเท่าลูกหมา ผมก็นอนบนเตียงที่บ้านผมก็เตียงเท่านี้ แค่นั้นเองไม่มีอะไรมากกว่านี้”
“คุณจะรอให้นักการเมือง 500 คนมาแก้ปัญหาของคน 65 ล้านเป็นไปไม่ได้ นักเขียน กวี ศิลปิน ผู้กำกับหนัง คนอีกหลายอาชีพก็ต้องเข้ามาช่วยกัน สังคมต้องช่วยกันครับ ถ้าตราบใดยังมีคนเหล่านั้นอยู่ผมก็ต้องทำงานของผมต่อไป ผมนี่แหละเขาเรียกคอมมิวนิสต์หนังหรือผมเรียกตัวเองว่าซ้ายคาเมร่า คือซ้ายในวงการภาพยนตร์ ผมพร้อมที่จะใช้ให้ภาพยนตร์ของผมเป็นเครื่องมือที่จะทำให้สังคมดีขึ้นเท่าที่จะทำได้”