xs
xsm
sm
md
lg

ว่าที่ 1 ใน 5 หนังห่วยแห่งปี : กระสือฟัดปอบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา

จริงหรือไม่จริง แต่ผมก็เห็นด้วยค่อนข้างมากกับถ้อยคำของรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งพูดออกมาในทำนองว่า เดี๋ยวนี้ หนังทุกๆ เรื่องที่มีคำว่า “ไทย” ลงท้าย (ซึ่งก็คือ หนังไทย นั่นแหละท่าน) ถือเป็นหนังที่ต้อง “ใช้วิจารณญาณ” ก่อนการควักกระเป๋าซื้อตั๋วเข้าไปดูมากที่สุด

ไม่ใช่เพราะอคติกับหนังไทย และยิ่งไม่ใช่เพราะไม่เชื่อว่า คนไทยต้องดูหนังไทย หรือต้องสนับสนุนของไทย แต่ถ้อยคำของรุ่นน้องคนนั้น ผมเชื่อว่า มันคือทัศนะความเห็นของคนที่คลุกคลีอยู่กับการดูหนังไทยมาโดยตลอด จนเกิดพุทธิปัญญาความเห็นแจ้งว่า เกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของหนังไทยที่ทำออกมาขายกันนั้น มันมีเปอร์เซ็นต์แนวโน้มสูงมากที่จะออกมา “ห่วย” มากกว่า “ดี”

โอเคล่ะ หลายๆ คนอาจจะคิดว่า ที่หนังไทยมันห่วย เพราะมันมีแต่หนังปัญญาอ่อนไร้สาระ อย่างหนังตลก หนังผี หรือไม่ก็หนังบู๊และกะเทยตุ๊ดแต๋ว ซึ่งคิดอย่างนั้นก็ถูกต้องครับ แต่ไม่ทั้งหมด เพราะอันที่จริง ผมไม่เคยตั้งการ์ดคิดอคติอะไรกับแนวทางของหนังเลย นั่นหมายความว่า คุณจะทำหนังตลก หนังผี หรือหนังตุ๊ดแต๋วอะไรก็ทำกันไป ไม่มีใครห้าม แต่เวลาทำออกมาแล้ว ให้มันได้ “อรรถรส” อย่างที่มันควรจะเป็นบ้างได้ไหม คือ ถ้าจะทำหนังตลกก็ให้มันตลกจริงๆ ไม่ใช่ตลกฝืด หรือจะทำหนังผี ก็เอาให้คนดูกลัวอกสั่นขวัญแขวนกันไปเลย หรือถ้าแอ็กชั่นก็บู๊ให้มันเหมือน Die-Hard หรือคนเหล็กไปโน่นเลย (พูดถึงคนเหล็ก ล่าสุด ผมแฮปปี้มากๆ เลยครับกับการดู Terminator ภาค 4 ที่ Non-Stop แอ็กชั่นมันระห่ำแทบไม่มีเว้นวรรคให้หยุดพักหายใจหายคอกันเลยทีเดียว)

และสังเกตกันหรือเปล่าครับว่า เวลาที่หนังไทยเราเอา “หนังตลก” มาผสมพันธุ์กับ “หนังผี” ทีไร ส่วนใหญ่มักจะกลายเป็น “หนังด้อยคุณภาพ” ไปซะทุกเรื่อง แปลกไหมล่ะครับ ทั้งๆ ที่เราหัดทำหนังตลกบวกผีมาตั้งหลายสิบปีแล้ว อย่างที่เป็นตำนานสุดๆ ก็คือ “บ้านผีปอบ” แต่จนถึงทุกวันนี้ คุณภาพของหนังแบบนี้ก็ยังดูเหมือนจะไปไม่ถึงไหน และซ้ำร้ายไปกว่านั้น หนังผีตลกยุคใหม่หลายๆ เรื่องยังแพ้บ้านผีปอบอยู่เลย

ซึ่งก็แน่นอนที่สุดครับว่า หนังเรื่องใหม่ของค่าย 5-4-3-2 แอ็กชั่นฟิล์ม อย่าง “กระสือฟัดปอบ” ก็เป็นผลงานอีกชิ้นที่ทำให้ผมรู้สึกว่า กลับไปดูคนวิ่งหนีผีจนป่าราบใน “บ้านผีปอบ” ยังโอเคกว่าเป็นไหนๆ

เหนืออื่นใด ผมไม่อยากจะคิดแบบที่หลายๆ คนคิดนะครับว่า หนังเรื่องนี้ไปได้ไอเดียมาจาก Freddy vs. Jason ทั้งใน “ทาง” ของหนัง รวมไปจนถึงโปสเตอร์หนังที่ดูคล้ายคลึงกันมาก แต่ที่ผมคิดก็คือ หนังเรื่องนี้ “เข้าใจ” ที่หามุกมาเล่นได้ดี เพราะมันไปหยิบเอา 2 ตำนานความสยองของไทย คือ “ปอบ” กับ “กระสือ” มารวมไว้ในเรื่องเดียวกันในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหนังตั้งธงเรียกน้ำย่อยคนดูว่านี่คือการฟาดปากกันระหว่างกระสือกับปอบด้วยแล้ว มันก็คือจุดขายอย่างหนึ่งซึ่งสร้างความสนใจให้คนดูได้ด้วยว่า กระสือที่มีแต่หัวกับไส้ กับผีปอบที่มีร่างกายครบทุกส่วน มันจะสู้กันอีท่าไหน (วะ) ?

ด้วยบทหนังที่เขียนขึ้นมาอย่างหลวมๆ เพียงเพื่อจะลากตัวละครไปเล่นมุกตลกฝืดๆ เรื่องราวของ “กระสือฟัดปอบ” เริ่มต้นต้นขึ้นที่ห้องเรียนของมหาวิทยาลัย (ด้านศิลปะ?) แห่งหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยอาจารย์ติ๊งต๊องและนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่กำลังคิดโปรเจคต์มองหาสถานที่เพื่อจะสร้าง “ผลงานชิ้นเอก” (วาดภาพ) ไว้อวดรุ่นน้อง และในที่สุด จุดหมายของพวกเขาก็ไปจบลงตรงบ้านทรงไทยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งได้กลายเป็น “สนามรบ” ระหว่างปอบกับกระสือในเวลาต่อมา

แต่เอาล่ะ ไม่ว่าเนื้อเรื่องของหนังจะดีหรือห่วยยังไง ผมว่าที่สุดแล้ว มันไม่สำคัญเท่ากับว่าหนังต้องการจะขาย “อารมณ์” แบบไหนให้คนดู ซึ่งก็ชัดเจนว่า จุดขายของกระสือฟัดปอบคือความขำฮา แต่พูดก็พูดเถอะ หนังเรื่องนี้ตอบโจทย์ตัวเองผิดหมดเลย

เพราะอะไรน่ะหรือ?

อันดับแรก ความตลก ทั้งผมและคุณ (ที่ดูมาแล้ว) ก็คงมีความเห็นคล้ายๆ กันว่า มันไม่ได้ฮากระจายอย่างที่หนังบอกไว้ในโฆษณา มุกตลกส่วนใหญ่ก็ดู “ฝืด” เหมือนๆ จะบังคับให้คนดูขำมากกว่า และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ตอนที่สมาชิกตลกขึ้นนั่งอาสนะจับตาลปัตรสวดหน้าศพ (แทนพระ) นั่นล่ะครับ “น่าอนาถใจ” สุดๆ เพราะหนังย้ำๆ อยู่นั่นนานมาก (เกือบ 7-8 นาทีได้มั้ง) จนน่าอึดอัด และผมก็เชื่อนะครับว่าหลายๆ คนก็คงแอบด่าในใจเหมือนกันว่า ผ่านไปซะทีเห้อะ...

อย่าเข้าใจกันแบบผิดๆ นะครับ ว่าการมีดาราตลกในหนังเยอะๆ (ทั้ง ค่อม ชวนชื่น นุ้ย เชิญยิ้ม โก๊ะตี๋ อารามบอย ถั่วแระ เชิญยิ้ม ฯลฯ) แล้วจะเป็น “จุดขำ” ให้กับหนังได้ เพราะอันที่จริง จะขำหรือไม่ขำ มันอยู่ที่การดีไซน์มุกตลกครับว่าจะสามารถทำออกมาได้เจ๋งหรือไม่ เพราะไม่อย่างงั้น มันจะถือเป็นการใช้ดาราตลกเปลืองโดยใช่เหตุ (และจะมีใครสังเกตกันบ้างหรือเปล่าว่า มุกตลกที่เกี่ยวกับอุจจาระนี่ดูจะเป็นที่หลงใหลของผู้กำกับนะติ พันธุ์มณี มาก เพราะหลังจากให้โก๊ะตี๋ “เล่นกับขี้” มาแล้วในหนังเรื่อง “แซ่บ” มาถึงกระสือฟัดปอบ คุณนะติก็เปลี่ยนมาเล่นกับ “ขี้” ของคุณค่อมแทน ไม่รู้ติดอกติดใจอะไรนักหนากับ “สิ่งนี้”?)

ข้อที่สอง ที่หนังหลงโจทย์...ฟังแค่ชื่อ “กระสือฟัดปอบ” คนดูก็คงจะคาดหวังว่าคงได้เห็นผีสองตัวนี้ไล่บี้กันมันหยด แต่ที่สุดแล้ว ก็มีอยู่แค่ฉากเดียวที่ผีสองตัวนี้สู้กันจริงๆ (แถมสู้กันแบบหน่อมแน้มมากๆ คือผีปอบกัดไส้กระสือแค่เนี้ยะ) นอกจากนั้น ก็มีทำถลึงตาใส่กันบ้างประปราย พูดง่ายๆ ดูยังไงก็ไม่โหดสมกับที่ชื่อของหนังต้องการสื่อ

อย่างไรก็ดี พูดกันอย่างถึงที่สุด ผมว่าหนังเรื่องนี้ค่อนข้างมี “ต้นทุนดี” ในหลายๆ ด้าน คือถ้าไม่นับรวมนักแสดงตลกที่ขนมาล้นเรื่องแล้ว (ยังไม่ต้องพูดถึงการเอาปอบมาปะทะกับกระสือ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของหนังไทย) นักแสดงสาวอย่างอินทิรา (ทราย) เจริญปุระ ก็คือสินค้าดีอีกชิ้นหนึ่งของหนัง แต่ก็น่าเสียดายที่บทหนังไม่เปิดโอกาสให้เธอได้แสดงอะไรมากนัก คือเห็นเธอทุ่มเททำท่าทำถมึงทึงถลึงตาเหมือนๆ จะให้เป็น “นางนาก 2” แล้ว ก็ชื่นชมนะครับ แต่มันไปกันกับหนังไม่ได้เลย เพราะในเมื่ออารมณ์โดยรวมของหนังมาแนวเฮฮาปาร์ตี้ แต่คุณมาซีเรียสจริงจังอยู่คนเดียว มันเลยดูขัดแย้งกันยังไงชอบกล (ผมถือว่าการมารับบทของเธอในเรื่องนี้ “เสียเครดิต” นักแสดงมากฝีมือไปเยอะเลยครับ แล้วที่มีข่าวออกมาว่า ทรายจะกลับมาทวงตำแหน่งแชมป์นางเอกหนังผีจากงานชิ้นนี้ ผมว่ามันไร้สาระสุดๆ เข้าใจนะครับว่าเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ค่อยดี แต่คราวหน้าคราวหลัง คุณทรายควรระมัดระวังในการเลือกงานให้มากกว่านี้ครับ...ด้วยความหวังดีอย่างสุดซึ้ง)

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ไม่น่าเศร้าใจเท่ากับบทหนังที่หลงทางสะเปะสะปะ ไม่รู้จะเอาอะไรเป็นประเด็นหลัก หรือเป็นประเด็นรอง มันมีความนัวเนียกันอยู่ระหว่างหลายๆ ประเด็น เช่น ความขัดแย้งระหว่างคนในครอบครัว ความขัดแย้งของปอบกับกระสือ ความรักระหว่างกระสือกับหนุ่มนักศึกษาที่ดูเหมือนจะพัฒนาต่อไปได้อีก อย่างไรก็ดี หนังก็ไม่แตะประเด็นอะไรจริงๆ จังๆ และที่สำคัญ หลังจากปล่อยผีวิ่งไล่ตัวละครจนเมื่อยแข้งเมื่อยขาแล้ว จู่ๆ หนังก็ไปสรุปตัวเองลงตรงที่ความรักระหว่างพ่อลูกอย่างงงๆ

จริงๆ ผมว่าหนังมีประเด็นเล็กๆ เหมือนเป็นซัพ-พล็อต (Sub-Plot) ของเรื่องที่น่าสนใจและน่าหยิบยกขึ้นมาเป็น Main idea ได้เลยนะครับ ซึ่งประเด็นที่ว่านั้นก็คือแง่มุมของการคุกคามท้องถิ่นโดยนายทุนเงินหนาที่จะเข้ามากว้านซื้อที่ดิน (ประเด็นนี้ คุณนะติเคยแตะแบบผ่านๆ มาบ้างแล้วในหนังเรื่อง “แซ่บ”) ซึ่งถ้าหนังใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ ความหนักแน่นของเนื้อหาจะเพิ่มขึ้นมาแน่ๆ และมันร่วมสมัยด้วยครับ เพราะคุณคิดดูสิ เดี๋ยวนี้ ปัญหาระหว่างชาวบ้านกับนายทุนก็อินเทรนด์ใช่ย่อย มิใช่หรือ?

(ส่วนเนื้อเรื่องก็อาจเป็นทำนองว่า นายทุนบางคนต้องการไล่ที่ชาวบ้าน จึงว่าจ้างหมอผีให้ปลุกผีมาหลอกหลอนชาวบ้าน ขณะเดียวกัน หมอผีคนนั้นก็มีลูกสาวอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นกระสือ อีกคนเป็นปอบ (เป็นได้ยังไง เดี๋ยวค่อยเฉลย) คนแรกเห็นด้วยที่พ่อทำแบบนั้น แต่อีกคนคัดค้าน เลยนำไปสู่สงครามระหว่างสองผี แต่ผีปอบโชคดีหน่อยที่มีอาจารย์กับนักศึกษากลุ่มหนึ่งมาช่วยอีกแรง...จากนั้น คุณจะใส่รายละเอียดที่เป็นความฮาอะไรก็ใส่ไป แต่ที่หนังจะมีแน่ๆ ก็คือ แก่นเรื่องที่พูดถึงการต่อสู้ขัดขืนกันระหว่างนายทุนกับชาวบ้านที่ต้องการรักษาผืนแผ่นดินของตัวเอง แถมยังมีพล็อตรองที่เป็นความขัดแย้งระหว่างพ่อลูกที่พอจะบิดไปสู่บทสรุปที่อบอุ่นหัวใจได้ด้วย...อย่างนี้ น่าจะเวิร์กกว่าไหม?)

ไม่ว่าจะอย่างไร โดยภาพรวมทั้งหมด ผมว่า คุณนะติ พันธุ์มณี กำกับหนังเรื่องนี้ยังไม่มีอะไรแตกต่างหรือพัฒนาไปจากหนังเรื่องแรกอย่าง “แซ่บ” เลยครับ หรือบางที ผมว่าคุณนะติอาจจะต้องลองไปทำหนังแนวอื่นๆ ดูบ้างนะครับ เพราะเคมีของคุณอาจจะไม่เหมาะกับหนังตลก หรือไม่อย่างงั้น คุณอาจจะเหมาะกับหนังในแนวๆ “ห้าแถว” ก็ได้นะครับ (หนังเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับคนนี้ที่แม้จะไม่ได้รับคำชมเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ถูกวิจารณ์แรงๆ อะไรมากมาย)

พูดกันตามเนื้อผ้า “กระสือฟัดปอบ” ผมให้ 3 เต็ม 10 คะแนนครับ (ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าการให้คะแนนเป็นวัฒนธรรมขยะแบบหนึ่ง แต่ผมก็จะฝืนให้ดูสักที) เพราะเห็นว่าคุณอยู่ในวงการหนังมาหลายปี ทำหนังมา 3 เรื่อง แต่ฝีมือยังคงที่ เหมือนนักเรียนที่เรียนมาถึงประถม 3 แต่ยังได้เกรดหนึ่งไม่เกินนี้ และที่สำคัญ 3 คะแนนที่ให้นั้น ไม่เกี่ยวกับหนังนะครับ แต่เกี่ยวกับทักษะส่วนตัวของคุณเองที่ยังคงสามารถโน้มน้าวนายทุนมาจ่ายเงินให้คุณทำหนังได้จนถึงทุกวันนี้

และไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือเห็นแย้งอย่างไรก็ตาม แต่นี่ก็คือหนังอีกเรื่องที่มีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่จะติดอันดับ “1 ใน 5 หนังห่วยแห่งปี” ของผม (ส่วนอีก 4 เรื่อง กรุณาอย่าเพิ่งถาม เพราะเรากำลังพูดถึง 1 ใน 5 ครับ)

กำลังโหลดความคิดเห็น