“ปูไข่” รับ ควง “ตั๊ก” กินข้าวจริง เผย สนิทกันแต่ไม่ได้จีบ ชมอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงสวย เก่ง มีความสามารถ แต่จะให้เป็นแฟนคงยาก เพราะโลกส่วนตัวต่างกันเกินไป ออกปากเสียใจ ที่ทำให้ฝ่ายหญิงโดนด่าเสียหายในอินเทอร์เน็ต หลังมีข่าวกิ๊กกันหลุดออกไป แล้วถูกโจมตีว่าไม่เหมาะสมกัน
ตั้งแต่มีตาดีเห็นว่านักแสดงหนุ่มค่ายเอ็กแซ็กท์ “ปูไข่ พงศ์สิรี บรรลือวงศ์” ตามจีบสาวทรงโต “ตั๊ก บงกช คงมาลัย” และแอบควงกันไปดินเนอร์สองต่อสองที่ร้านอาหารย่านอาร์ซีเอ ทำเอาเจ้าตัวปฏิเสธลั่น เผยว่าไม่เคยจีบ แต่รับว่าไปกินข้าวจริง ในฐานะเพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้น
“ไม่ได้จีบ(หัวเราะ) รู้จักกันนานแล้ว ผมจะเล่ายาวให้ฟังเลยนะ ความสัมพันธ์จะได้ชัดเจน แล้วก็เข้าใจได้ คือสมัยก่อนผมไปเล่นเวทบอร์ด ก็เลยมีเพื่อนกลุ่มเดียวกับเขา พวกจอห์นนี่ พวกพี่ดีดี๊ และก็คือเราสองคนทำงานในวงการเหมือนกัน เราก็จะไปเจอกันตามงานเดินแบบหรือออกงานอะไรพวกนี้ ก็จะได้เจอกัน ก็ได้คุยกัน”
“แล้วเผอิญผมเป็นคนที่ชอบดูหนัง ผมก็เลยได้คุยกับเขา เวลาคุยกับเขาก็จะคุยเรื่องแบบเฮ้ยชอบดูหนัง มันก็เลยสนิทกัน แล้วก็เมื่อวันเกิดเขาก็ไปกินข้าว แต่ไม่ได้ไปอาร์ซีเอก็ไม่รู้ว่าข่าวหลุดว่าไปอาร์ซีเอได้ยังไง แต่ว่าไปกินข้าวกันจริงๆ ไปกินข้าวที่ร้านอาหารเพื่อนผม แต่ว่าไม่ได้ไปกันแค่สองคน คือว่าเขาต้องทำงานด้วย คือเขากำลังจะกำกับหนังก็จะมีทีมงานของเขาไปด้วย แล้วเขาก็ไปคุยกับเพื่อนผมคนนึง ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนเจ้าของร้าน ก็ถามว่าอยากเล่นหนังอะไรอย่างนี้มั้ย ผมก็เลยไปกับเขาด้วย”
“ไม่ได้คบครับ ไม่ได้คบแน่นอน แต่หมายถึงว่าคบเป็นเพื่อนน่ะใช่ แต่ไม่ได้คบกันเป็นแฟนครับ โอกาสพัฒนาเป็นแฟน ตอนนี้ยังไม่ใช่ คือชอบใช้ชีวิตอิสระ เขาก็งานยุ่ง ก็ให้เขาทำงานของเขาไป ผมก็ขอใช้ชีวิตของผมให้เต็มที่ก่อน ผมยังไม่พร้อมจะมีแฟนตอนนี้ครับ”
“โดยส่วนตัวระหว่างสองคนไม่เคยคุยกันในลักษณะนั้น(แฟน) แต่ว่าถ้าเป็นการปรึกษาเรื่องแฟน เมื่อก่อนผมมีแฟนผมก็คุยกับเขา เพราะว่าแฟนผมก็เป็นแบบอาร์ทติสนิดนึง ผมก็จะคุยกับเขาว่าเฮ้ยแฟนเป็นอย่างนี้จะยังไงดี หรือว่าแฟนเขาเป็นแบดบอยนิดนึงอย่างเนี้ย เขาก็เคยมาปรึกษาผมว่าผู้ชายคิดอะไรอย่างนี้ เคยคุยในประเภทอย่างนั้น แต่ว่าถามว่าคุยกันเกี่ยวกับสองคนมาเป็นแฟนกันมั้ย ยังไม่มีครับ”
“เขาสวย เขาไม่มีอะไรไม่ดีนะ เขาเป็นคนมีความสามารถ หน้าตาดี ทุกอย่างดีหมด เพียงแต่ว่าเขาก็มีโลกของเขา ผมก็มีโลกของผม ซึ่งตอนนี้โลกของผมกับโลกของเขามันเอามารวมกันไม่ได้หรอก แล้วผมก็ยังไม่คิดว่าเวลาอันใกล้นี้มันจะมารวมกันได้ แล้วก็ไม่คิดว่ามันจะพัฒนาได้ในเร็ววันนี้ครับ”
“ผมว่ามันไม่ได้เรียกว่าศึกษาดูใจหรอก ผมว่าการที่คนสองคนจะดูใจกันเนี่ย มันต้องมีอะไรที่ค่อนข้างเหมือนกันมากๆ โลกของเขากับผมมันต้องใกล้เคียงกันมากๆ มันถึงจะดูใจกันได้ แต่ว่าตอนนี้โลกของผมกับโลกของเขามันยังไม่ลงตัว ผมก็ว่าด้วยความเป็นเพื่อน มันสามารถคุยกันได้เยอะ เพราะว่ามีความคิดบางอย่างที่คล้ายๆ กันแต่ว่ามันก็ไม่ได้แปลว่าเราต้องมาเป็นแฟนกันครับ”
“กับคนอื่นก็มีคุยบ้าง ก็มีเข้ามาในชีวิตบ้าง แต่ว่ามันก็ยังไม่เจอคนที่รู้สึกว่าเราจะสามารถเป็นแฟนกับเขาได้ แต่ว่าถ้ามีแฟนผมจะไม่มีการปิดบังอะไร เพราะผมเคยมีแฟน แล้วผมก็มีคนถามผมว่าผมมีแฟนมั้ย ผมก็บอกว่ามีแฟน แต่ว่าเลิกกันไปแล้ว ปัจจุบันนี้ไม่มีก็คือไม่มี”
เผยว่าไม่สนใจอดีตที่สาว “ตั๊ก” เคยถูกมองมุมลบเรื่องผู้ชายมาตลอด และรู้สึกสงสารฝ่ายหญิงมากกว่าที่โดนโจมตีเรื่องนี้อย่างหนัก
“มองมุมลบเนี่ยผมไม่กลัว คือโชคดี หมายถึงว่าข่าวพวกนี้มันมาจากอินเตอร์เน็ตใช่มั้ย ผมก็อ่านพวกแสดงความคิดเห็น ผมรู้สึกสงสารตั๊กมากกว่านะ ที่มาเป็นข่าวกับผม แล้วโดนวิจารณ์รุนแรงว่าเป็นคนอย่างนู้น อย่างนี้ อย่างนั้น ซึ่งถ้ามาคบหรือรู้จักเขาจริงๆ เนี่ย เขาก็ไม่ใช่คนอย่างนั้นนะ เขาเป็นคนเก่งมีความสามารถ แล้วบางทีเขามาเปรียบเทียบ ผมกับตั๊กเหมือนผมเป็นเทวดา แล้วตั๊กเป็นอะไรก็ไม่รู้ ผมก็รู้สึกว่าแบบเฮ้ยจริงๆ แล้วเนี่ยถ้าคุณรู้จักเขา คุณอาจจะคิดตรงกันข้ามก็ได้ ผมอาจจะไม่ดีพอสำหรับเขาก็ได้ด้วยซ้ำ”
“แต่ว่าถามว่าผมรู้สึกอะไรกับข่าวนี้มั้ย ผมไม่รู้สึกหรอก เพราะว่าผมเป็นผู้ชายยังไงผมก็ไม่เสียหายไง แต่ผมรู้สึกว่าบางทีวิจารณ์ผู้หญิงก็น่าจะให้เกียรติเขานิดนึง เขาเป็นผู้หญิงเก่งและมีความสามารถจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในวงการนี้แค่หน้าตาดี และตอนนี้เขาก็เป็นผู้กำกับ มีใครบ้างที่อายุเท่านี้แล้วเป็นผู้กำกับหนังได้ใช่มั้ยล่ะ ก็อยากให้ดูที่ผลงานของเขามากกว่า อย่าไปว่าเขาในข่าวที่มันเกิดขึ้น เพราะว่าชีวิตคนเรา เราเรียนรู้จากการที่จะต้องทำผิดเพื่อจะปรับปรุงให้มันถูกต้องจริงมั้ย คือการทำผิดบ่อยๆ มันก็ดีใช่ แต่ว่ามันก็ทำให้เขาเรียนรู้อะไรได้มากขึ้น ก็ให้โอกาสเขาดีกว่า”
“หลังจากข่าวออกไปก็ได้คุย แต่ว่าเขาก็ตลกโปกฮาของเขาไป ผมก็บอกว่าเฮ้ยตั๊กขอโทษว่ะ แบบมีข่าวด้วยอย่างเนี้ย เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ตั๊กเสียมานานแล้ว เขาพูดกับผมอย่างนี้ ผมก็เลยแบบมันยิ่งทำให้รู้สึกแย่จริงมั้ย มันทำให้รู้สึกแบบ เหรอ นี่คุณโดนขนาดนี้เลยเหรอ ผมก็เลยยิ่งรู้สึกแย่ ผมก็เลยได้แต่บอกว่าเราขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่มันไม่ได้เป็นครั้งแรกนะที่ผมไปกินข้าวกับเขาน่ะ แต่ผมก็ไม่รู้นะว่ามันเป็นข่าวยังไง เพราะครั้งแรกที่ไปก็ไม่เห็นเป็นข่าวเลย ครั้งที่สองไปก็ไม่เห็นเป็นเลย แต่ครั้งที่สามมันกลายเป็นข่าวมา แล้วผมก็กลัวเขาจะเสียหาย”
“รู้จักกันมา 2-3 ปีแล้วครับ รู้จักกันค่อนข้างนานมากแล้วครับ 2 ปีขั้นต่ำน่ะครับ คือเท่าที่ผมคุยกับเขา เขาเป็นคนที่จริงจังกับความรักมาก แต่ว่าเรื่องเวลาก็ดี อายุก็ดี ความคิดก็ดี มันยังหาคนที่ใช่ไม่ได้มั้ง แต่ผมเข้าใจเขานะ เขาก็มีโลกส่วนตัวของเขาค่อนข้างสูง ทุกคนก็รู้ว่าเขามีโลกส่วนตัวของเขาสูง แล้วคนที่จะเข้าไปอยู่กับเขาได้ มันต้องมีความที่ใกล้เคียงกับเขา แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเห็นผู้ชาย เอาพูดตรงๆ ผู้ชายที่สามารถมีความเป็นศิลปินหรือมีความคิดอะไรที่ใกล้เคียงกับตั๊กขนาดนั้น มันไม่ใช่สังคมไทยในปัจจุบัน ผมก็เลยคิดว่ามันก็คงเป็นเรื่องยากนิดนึง ที่เขาจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน”
“ผมกับเขาก็เป็นเหมือนเพื่อนรักกันมากกว่า มันไม่ได้ตัดความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนได้ง่าย ผมว่าเขามีความไม่เข้าใจในความเป็นผู้ชายเยอะ เมื่อก่อนที่คุยกัน เขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าผู้ชายคิดอะไรอยู่ เขาจะมีคำถามว่าทำไมไม่อย่างนู้น ทำไมไม่อย่างนี้ ผมเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนเป็นนะ คิดว่าทำไมผู้ชายเราไม่ละเอียดอ่อน ผู้ชายมันก็เหมือนสากกะเบือน่ะครับ มันก็มีหน้าที่เป็นผู้ที่เข้มแข็ง หมายถึงว่าต้องเข้มแข็งไง มันก็เลยไม่ค่อยอ่อนไหวไปตามความคิดของผู้หญิง ชาตินี้ยังไงผู้ชายก็ไม่มีทางมีความละเอียดอ่อนเท่าผู้หญิงแน่นอน”