โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
หลังจากอยู่ยืนบนพื้นที่ฟรีทีวีมานานนับทศวรรษ รายการโทรทัศน์ที่ “หนุกหนาน” กับการ “อำ” คนนั้นทีคนนี้ทีอย่างสาระแนก็ขยับตัวเองขึ้นสู่จอหนัง พร้อมสรรพคุณที่บอกว่าจะ “แรง” และ “แตกต่าง” อย่างที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนในรายการ
แต่พูดก็พูดเถอะ ในฐานะของคนที่ติดตามรายการของทีมสาระแนมาบ้าง ผมมีคำสรุปสั้นๆ ว่า ที่เห็นในหนัง มันก็ไม่ได้ต่างไปจากที่เคยดูๆ อยู่ทางทีวีสักเท่าไหร่เลย พูดง่ายๆ ก็คือ มันไม่ได้ “ห้าวเป้ง” เจ๋งป้าบอย่างที่ชื่อของหนังต้องการจะสื่อจริงๆ (“ห้าว” เป็นคำที่วัยรุ่นใช้พูดกัน มีความหมายในทำนองว่า กล้า เจ๋ง เก่ง แน่ อะไรทำนองนั้น ส่วน “เป้ง” เป็นคำสร้อยที่ห้อยท้ายคำอื่นๆ เพื่อเน้นความหนักแน่นของคำ อย่างห้าวเป้ง ก็หมายถึง เจ๋งโคตรๆ ซึ่งหนังเอามาใช้เพื่ออธิบายความกล้าและเจ๋งของตัวเองในการ “ต้ม” คนดังๆ ที่หลอกได้ยากๆ คือ ยิ่งคนดังๆ เหล่านั้น หลอกได้ยากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งนับเป็นความเจ๋งของสาระแนมากเท่านั้น ถ้าหลอกได้สำเร็จ)
สิ่งที่แตกต่างก็อาจจะมีเพียงแค่ว่า หนังนั้นรวบรวมเอาเหตุการณ์ที่คนดังหลายๆ คนถูกแคนดิด มารวมไว้ให้เราดูภายในระยะเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงในโรงหนัง ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของผู้ชมว่า ทุกเรื่องที่ได้เห็นใน “สาระแนห้าวเป้ง” นั้น มันผ่านการเตรียมการหรือเตี๊ยมกันมาแล้วหรือเปล่า?
อันที่จริง จะเตี๊ยมหรือไม่เตี๊ยม คงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าทีมสาระแน แต่ที่แน่ๆ จากข่าวคราวซึ่งมีออกมาก่อนหน้าที่หนังเรื่องนี้จะเข้าฉาย มันย่อมทำให้ใครต่อใครอดคิดไปไม่ได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันผ่านการวางแผนมาแล้วอย่าง “ไม่ค่อยเนียน”...ไม่ค่อยเนียน เพราะว่า จะมีใครสักกี่คนหรือที่เชื่อว่า การที่คุณหม่ำ จ๊กม๊ก ตกไปเป็นตัวละครในหนังของทีมสาระแนโดยไม่ได้รับการบอกกล่าวมาก่อน จนต้องออกมาโวยวายผ่านสื่อนั้น เป็นเรื่องจริง หรือแค่มุกตื้นๆ ของการโปรโมตหนัง?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่วงการบันเทิงชอบทำมาหากินด้วยการ “รักกัน-เลิกกัน-ทะเลาะกัน” เพื่อให้ตัวเองเป็นข่าวด้วยแล้ว กรณีความขัดแย้งระหว่างทีมสาระแนกับตลกเงินล้าน ยิ่งอ่อนความน่าเชื่อถือมากลงไปอีก (“มีเรื่อง” กันบ้าง จะเป็นไรไป เพราะเดี๋ยว “มีเงิน” ก็จูบปากกันเหมือนเดิม จริงมั้ย??)
อย่างไรก็เถอะ ถ้าจะจับโกหกว่าความขัดแย้งนี้เป็นการสร้างสถานการณ์หรือไม่ ผมคงไม่สามารถไปตัดสินชี้ขาด แต่ดูจากสีหน้าท่าทางและอารมณ์ของคุณหม่ำในหนังตอนรู้ว่าตัวเองโดนอำแล้ว ผมคิดว่า ความสมจริงและความน่าเชื่อถือ (คือเชื่อว่าไม่ได้เตี๊ยมกันมา) มันลดลงไปเยอะเลย
เพราะอะไรน่ะหรือ?
ก็เพราะการด่าไป ยิงมุกไป ของตลกเงินล้านนั่นล่ะครับ มันทอนความน่าเชื่อถือของหนังลงไปอย่างมากมายโดยไม่อาจปฏิเสธ เพราะว่ากันตามจริง เวลาคนเราโกรธน่ะ เขาไม่มัวมาเล่นมุกตลกอะไรแบบนี้หรอกครับ โกรธคือโกรธครับ เป็นฟืนเป็นไฟไปเลย เอาให้เหมือนกับว่าบ้านจะแตกสาแหรกจะขาดกันไปเลย แต่นี่พี่หม่ำ เล่นด่าไป ตบมุกไป แล้วใครหรือครับ เขาจะเชื่อว่า นี่คือสถานการณ์ที่ไม่ได้ผ่านการเมค?
และสุดท้าย แล้วใครหรือจะเชื่อว่า ที่พวกคุณทะเลาะกันจะเป็นจะตายจนเป็นข่าวใหญ่โตนั้น ไม่ใช่เพราะต้องการจะโปรโมตหนัง?
แต่เอาล่ะ ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง แต่หากมองไปที่ภาพรวมของหนังเรื่องนี้ ผมก็ยังมีความเห็นเช่นเดิมว่า สาระแนห้าวเป้งแทบไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลยกับการนั่งดูสาระแนทางทีวีอยู่ที่บ้าน มากกว่านั้นแล้ว ถ้าจะว่ากันตามจริง ผมว่า สาระแนทางทีวี หลายๆ ตอนยังทำได้ “เนียน” และ “เจ๋ง” กว่าสาระแนห้าวเป้งบางตอนด้วยซ้ำไป (อย่าคิดแบบเข้าข้างตัวเอง แล้วไปเปิดเทปรายการเก่าๆ ของพวกคุณดูได้ครับ)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่หนังอำนักร้องรุ่นใหญ่อย่างแอ๊ด คาราบาว นั้น ผมคิดว่า หลายๆ คนก็คงงงๆ เหมือนกันว่า ประเด็นที่จะอำนั้นมันอยู่ตรงไหน คือมันมีความคลุมเครือว่า หนังจะอำแอ๊ด คาราบาว หรืออำเด็กหนุ่มทดลองงานสองคนนั่นกันแน่ (ผมว่าหนังคิดการใหญ่เกินตัวหรือเปล่าไม่รู้นะที่จะไปอำแอ๊ด คาราบาว เพราะเท่าที่เห็น ก็ดูเหมือนทีมสาระแนก็ไม่ได้อำอะไรคุณแอ๊ดมากมาย คล้ายกับว่า “ฝ่อ” ขึ้นมาดื้อๆ ซะอย่างงั้น กลัวบารมีของแอ๊ด คาราบาว ระเบิดใส่หรือไงไม่รู้ ส่วนคนที่ไปดูเพราะหวังจะได้เห็นคนเพลงรุ่นใหญ่ถูกอำหัวทิ่มหัวตำ ก็อาจจะผิดหวัง เมื่อหนังไม่เป็นอย่างที่โปรโมต เอ๊ะ!! แล้วอย่างนี้ จะเรียกว่า ผู้ชมโดนหลอก ได้หรือเปล่า?)
พูดง่ายๆ ก็คือ มันดูเหมือนจะยังไปไม่ถึงที่สุดแห่งการอำครับ ซึ่งปัญหาแบบนี้ของหนัง เราจะเห็นได้อีกในตอนที่เกี่ยวข้องกับนักร้องสาวๆ จากเกาหลีอย่างเบบี้ ว็อกซ์ ที่ด้านหนึ่ง พวกเธอก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเก็ตกับมุกแคนดิดของทีมสาระแนเท่าไหร่นัก อีกทั้งวิธีการแกล้งก็ดูจะยังไปไม่สุด ขณะที่ทีมงานก็รีบเฉลยเร็วไปหน่อย กลัวสาวๆ สวยๆ เสียใจมากมายหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ความคาใจก็คือ ทำไมไม่ทำให้พวกเธอกรี๊ดกันให้มากกว่านี้ แบบว่า อำให้น้ำตาแตกร้องห่มร้องไห้กันไปเลย อะไรประมาณนั้น (บอกก่อนนะครับว่า ผมไม่ใช่พวกซาดิสต์ที่นิยมเห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นความสุขของตัวเองแน่นอน เพียงแต่ถ้าคุณพรีเซ็นต์ตัวเองว่าเป็นหนังที่แคนดิดคนได้แสบสันต์เจ็บปวดแล้วล่ะก็ ทำออกมาได้แค่นี้ ถือว่าธรรมดาเกินไปครับ)
แต่จะทำให้ใครเจ็บปวดได้มากน้อยแค่ไหน ผมคิดว่ามันเป็นประเด็นที่รองลงไป เพราะว่ากันอย่างถึงที่สุด หลักการพื้นฐานของการแคนดิด อย่างหนึ่งก็เพื่อโชว์ความเป็นเรียลิตี้ (Reality) เพื่อให้คนดูได้สัมผัสกับความเป็นธรรมชาติ (Nature) ของคนแต่ละคนว่า เวลาที่พวกเขาพบเจอกับสถานการณ์แบบหนึ่ง พวกเขาจะตอบสนองต่อสถานการณ์แบบนั้นอย่างไร (วี้ดว้าย โวยวาย หรือเอ๋อรับประทาน) ซึ่งนี่แหละครับที่ถือเป็นความสนุกของเกมแบบนี้ และถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ผมคิดว่าตอนที่สามารถตอบโทจย์นี้ได้ดีที่สุดในสาระแนห้าวเป้งก็คือ ตอนที่แคนดิดคุณโก๊ะตี๋ครับ เพราะมันดูจะเป็นธรรมชาติมากกว่าส่วนอื่นๆ ซึ่งต่อให้มันเป็นการแสดงที่ถูกจัดวางบทมาเรียบร้อยแล้วก็เถอะ แต่การแสดงนั้นมันก็ทำให้เกิดความรู้สึก “เหมือนจริง” มากจนเราทำใจเชื่อได้ว่า คุณโก๊ะตี๋นั้น (อาจจะ) ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรล่วงหน้ามาก่อนเลยจริงๆ (อันที่จริง ถึงไม่แคนดิดแล้วพาคุณโก๊ะตี๋ไปอยู่ในสถานที่อันน่ากลัวแบบนั้น ผมก็เชื่อของผมเองว่า อาการของคุณโก๊ะตี๋ก็คงไม่ต่างจากนี้สักเท่าไหร่ เพราะใครต่อใครก็รู้ๆ กันอยู่ว่า ตลกร่างอวบคนนี้กลัวผีเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว)
ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้าใครจะลองมองหาจุดโฟกัสตัวหนังกันจริงๆ ทั้งผมและคุณก็คงเห็นว่า ไฮไลต์ของหนังนั้นน่าจะอยู่ที่สองหนุ่มชื่อแปลกอย่าง “สตาร์บัคส์” (ไม่รู้ว่า นี่เป็นเทคนิคของ Product Placement อีกรูปแบบหนึ่งหรือเปล่า?) กับ “หลังเลนส์” ที่โดนอำจนหงอยเป็นไก่เหงา และส่วนนี้เองที่ทำให้สาระแนห้าวเป้งไม่ได้เป็นแค่ “เกมแกล้งคน” ไปเรื่อยเปื่อย แต่ยังพอมีประเด็นและเส้นเรื่องให้จับต้องได้บ้าง (นั่นก็คือ ความเป็นเพื่อน และการเสียสละ รวมไปจนถึงหัวจิตหัวใจของเด็กจบใหม่ที่อยากจะได้งานทำ)
พ้นไปจากนี้ คงเป็นเรื่องของความฮาที่ถือว่าพอใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นคนที่พร้อมจะหัวเราะออกมาได้เวลาเห็นคนอื่นตกอยู่ในสถานการณ์โดนหลอกด้วยแล้ว แกล้มป็อปคอร์นกับน้ำอัดลมสักแก้ว บวกกับแอร์เย็นๆ ในโรงหนัง คุณคงไม่รู้สึกว่า เวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมงกับเงินร้อยกว่าบาทเป็นเรื่อง “น่าเสียดาย”
แน่นอนล่ะ เมื่อประเมินจากจำนวนผู้ชมที่แน่นขนัดในรอบที่ผมดู และอีกหลายๆ รอบที่ผมได้ยินได้ฟังมา สาระแนห้าวเป้งอาจจะเป็นหนังทำเงินได้มากพอสมควร แต่ถ้าจะบอกว่า นี่คือหนังดี ยังนับว่าห่างไกล และที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่เพราะมีอคติว่ามันเป็นหนังตลกแนวตลาดอะไรนะครับ (เพราะถ้าคุณตัดสินว่าหนังเรื่องไหนดีหรือไม่ดีเพราะเหตุผลเพียงแค่นี้ ก็ “คับแคบ” มาก) เพียงแต่เมื่อมองในแง่ของจุดหมาย ผมว่าสาระแนในภาคหนังยังทำได้ไม่ถึงที่สุด เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนคุณทำหนังผีก็ต้องทำให้น่ากลัวหรือหลอนประสาทแตกกันไปเลย และถ้าทำหนังแคนดิดคน คุณต้องแคนดิดให้มันสุดๆ เพี้ยนหลุดโลกไปเลยครับ แต่เท่าที่เห็น มันก็ยังเป็นแค่สาระแนแบบเบาะๆ ไม่ได้ถึงขั้นห้าวโป้งห้าวเป้งจนต้องร้องอู้ฮูอะไรขนาดนั้น (ถ้าคิดตามชื่อหนัง ก็คือ หนังนั้นดูเหมือนจะ “ห้าว” (เจ๋ง) ใจใหญ่เหมือนกันที่คิดแคนดิดคนเหล่านั้น แต่ก็เป็นแค่ “ห้าว” ที่ยังไม่ “เป้ง” อย่างที่โปรโมต พูดง่ายๆ คือยังไม่เจ๋งเป้ง)
สุดท้าย ท้ายสุด ถ้าจะให้แนะนำอย่างคนที่รักกันจริง บอกได้เลยครับว่า ถึงแม้คุณจะนั่งดูรายการสาระแนทางทีวีอยู่ที่บ้านโดยไม่ไปดูหนังเรื่องนี้ มันก็คงไม่ถึงกับทำให้คุณต้องมานั่งรู้สึกเสียดายในภายหลังว่า ตัวเองได้พลาดโอกาสสำคัญอะไรไป แต่ประการใด...