8 ปีที่แล้ว...เด็กน้อยวัย 10 ขวบคนหนึ่ง ขยับเข้าใกล้ความฝันในการเป็นนักร้อง หลังมีโอกาสได้เข้าร่วมเป็นศิลปินฝึกหัดกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่
ใช้เวลาบ่มเพาะความสามารถอยู่ 4-5 ปี เขากับเพื่อนๆ รวม 10 ชีวิต จึงเริ่มเป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนในชื่อของ “จี จูเนียร์”
แต่แล้วชะตาก็หักเห หลังผลงานที่ออกมาไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ประกอบกับอยู่ในช่วงชีวิตของวัยรุ่นที่มักจะตัดสินเรื่องราวต่างๆ ด้วยอารมณ์ (ร้อน) และเพื่อนเป็นหลัก ทำให้เด็กหนุ่มวัย 15 เริ่มเกเร เป็นหัวโจก มีเรื่องราวชกต่อยไม่เว้นแต่ละวัน
หนักสุดคือการก้าวร้าวด่าบุพการีของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ครั้นมีโอกาสได้เข้าสู่แวดวงดนตรีอีกครั้ง เสียงเพลงก็ฉุดให้เขาเริ่มมีสติ มีความมุ่งมั่น ชั่วระยะเวลาเพียงปีเดียวเขาคนนี้ก็กลับกลายเป็นคนละคน จากเด็กอกตัญญูกลายเป็นหนุ่มที่เต็มไปด้วยความกตัญญู, จากเด็กๆ ที่ไม่มีใครใส่ใจมากนัก กลายเป็นหนุ่มหล่อวัย 19 นักร้องระดับซูเปอร์สตาร์ที่สาวๆ ต่างพากันคลั่งไคล้
“ชิน ชินวุฒิ อินทรคูสิน” คือหนุ่มน้อยคนนั้น
“หลังจากจบอัลบั้ม Big 3 ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ เลยรู้สึกแย่นิดหน่อย ก็เลยใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่ครับ เต็มเหนี่ยวเลย อยู่โรงเรียนชายล้วนด้วย ประมาณอายุ 15-16 น่ะครับ ก็ค่อนข้างเปรี้ยว ค่อนข้างที่จะเป็นหัวโจก รุนแรงนิดนึง มีเรื่องตีกันนี่ไม่ต้องพูดเลย สบายๆ ครับ ถ้าเกิดเพื่อนมีปัญหาอะไรอย่างเนี้ยเราก็วิ่งเข้าไปใส่ก่อนเลย ไม่กลัว (หัวเราะ) ก็ค่อนข้างหัวรุนแรงนิดหน่อย”
“แต่พอได้กลับมาทำเพลง มันก็ฉุดเราออกจากวงจรชีวิตแบบนั้น แล้วรู้สึกว่าตัวเราเองก็ดีขึ้น แค่ปีเดียวครับ ภายในปีนั้นก็ค่อยๆ หายจากวงจรชีวิตเลวทรามตรงนั้นไป เพราะว่าการมาทำงานตรงนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น และมารู้สำนึกว่าสิ่งที่ทำแม่ก็เสียใจ เราก็ไม่อยากให้แม่เสียใจอีกแล้ว ก็เลยเลิกจากตรงนั้นไป ก็กลับมาทำงาน ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก พร้อมกับเป็นสิ่งที่ดีด้วยนะครับ”
ยอมรับช่วงเวลาที่ผ่านมาทำไม่ดีไว้เยอะ พร้อมบอกทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตนเองไม่เกี่ยวกับเพื่อน
“ตอนนั้นชินไม่ค่อยฟังแม่ ถ้าทะเลาะกันทีก็ทะเลาะกันหนักเลย หนักมาก แต่ว่าไม่ได้หนีออกจากบ้านนะ คือ ด่ากันตรงนั้นเลย คือ ต่างคนก็ต่างไม่ไหว วัยรุ่นน่ะครับ แล้วตอนนั้นก็หัวรุนแรงด้วย ไม่เอาใคร ไม่สนใคร แต่ว่าก็สำนึกผิดแล้วก็รู้สึกว่าการทำแม่อย่างนั้นมันบาปมาก มันทำให้เรารู้สึกว่าจะทำไปทำไมวะ แม่เขาเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็กจนโต อยากให้สิ่งดีๆ กับเรา สิ่งที่แม่พูดมันคือสิ่งดีๆ ทั้งนั้น ทำไมเราไม่ฟัง ทำไมเราไม่เชื่อเขา”
“ไม่ได้เป็นเพราะเพื่อน เป็นเพราะตัวเองครับ คนที่ไปโทษเพื่อนหรือสิ่งแวดล้อมรอบข้าง โอเคมันมีเอฟเฟค แต่มันอยู่ที่ใจเราที่มันจะแข็งพอที่มันจะห้ามได้รึเปล่า ถึงแม้รอบกายเราจะมียา เราต้องเล่นเหรอ มันไม่ได้เอามายัดปากเรา เอาปืนจ่อหน้าเรานี่ใช่มั้ย มันอยู่ที่เราเองที่เราจะไปเทคมัน มันอยู่ที่เราเองที่เราจะไปจับมันเอาเข้าปากเรา มันอยู่ที่จิตใจเราที่มันจะแข็งพอที่มันจะบอกว่าไม่รึเปล่า แค่นั้นแหละครับ ผมว่ามันอยู่ที่ตรงนั้นเลย”
“ซึ่งช่วงนั้นผมก็คงไม่แข็งพอที่จะห้ามมันได้ แต่ว่าพอโตขึ้นมาแล้วก็เริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น เริ่มมีความรับผิดชอบมากขึ้น มันก็เลยแบบพอล่ะ เราก็เลยหลุดจากตรงนั้นมา และก็จะไม่มีวันกลับไป มองกลับไปอีกทีรู้สึกตลกตัวเองว่า เฮ้ย ทั้งๆ ที่ไม่มีใครบังคับทำไมถึงทำวะอะไรอย่างเนี้ย มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตน่ะครับ”
เผยสิ่งที่หนักหนาที่สุดในชีวิตคือเรื่องครอบครัว แต่ก็สะท้อนให้ทุกสิ่งกลายเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า
“เรื่องที่หนักสุดในชีวิต คือ การหย่าของพ่อแม่ผม คือ เขาก็อยู่ห่างกันมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอะไร แต่พอแม่เราบอกว่าหย่ากันนะ เราก็แบบ เอ๊ะ ทำไมวะ ด้วยความที่เป็นเด็กที่ค่อนข้างชัดเจน และค่อนข้างแรงด้วยน่ะครับ ก็คิดว่าทำไมวะ ทำไมต้องทำแบบนี้ ก็เลยไม่เอาเลย ช่วงนั้นไม่ฟังแม่ ไม่ฟังพ่อ”
“พอมาหลังๆ แม่เขาก็เริ่มคุยกับเรา เริ่มมาบอกว่าถึงแม้พ่อแม่จะไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ ถึงแม้จะหย่ากันแต่เราก็ยังรักกันเป็นเพื่อนสนิทนะ พอโตขึ้นมาเราก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น แล้วจริงๆ ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ ก็แค่อยู่กันคนละบ้าน ผมก็อยู่กับแม่กับน้อง พ่อแม่ชินก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกัน ได้เจอกันบ่อย”
หลุดจากวงจรเสเพล สู่การเป็น “นักร้อง” อย่างที่หวัง
กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับ “ชิน” เพราะเจ้าตัวเผยว่า เพราะความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง ประกอบกับได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ทำให้มีได้อย่างทุกวันนี้ แม้บางทีอาจจะถูกมองว่าโดดเด่นเกินหน้าเกินตาเพื่อนในกลุ่ม “จี จูเนียร์” คนอื่นๆ ก็ตาม
“มันอยู่ที่โอกาสครับ แล้วก็ความชัดเจน เพราะว่าชินเป็นคนที่ปักหลักแนวไหนก็แนวนั้นเลยตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็พยายามฝึกฝนตัวเอง ไม่ได้บอกว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นใน จี จูเนียร์ ผมว่าผมได้โอกาสที่ดีและก็เวลาที่เหมาะสม แต่ว่าด้วยการที่ผมโชคดีและได้โอกาสนั้นมา ผมก็เลยไม่หยุดที่จะคว้ามัน ผมก็คว้ามันมาและผมก็ทำให้มันดีที่สุดของผม และก็เชื่อว่าทุกคนที่ได้โอกาสนี้ก็จะคว้ามันหมดแหละ”
“แต่ไม่ใช่ว่าผมทิ้งเพื่อนนะ เพราะว่าถ้าดูงานของผมที่ผ่านมาตั้งแต่ชุดที่แล้วมาถึงชุดนี้ผมก็ได้ร่วมงานกับเพื่อนผมตลอด ก็มีพี่นัทและกายมาร่วมแจมในมิวสิก ในซีดีคาราโอเกะอะไรอย่างเนี้ย ผมก็ไม่เคยทิ้งเพื่อนและก็ทุกวันนี้ก็ยังคุยกัน ไปกินข้าวด้วยกัน คือมันไม่ได้มีอะไร มันอยู่ที่การทำงานน่ะครับ ก็เหมือนกับทำงานกันคนละบริษัท แต่ว่าจริงๆ ก็บริษัทเดียวกัน หมายถึงว่าถ้ายกตัวอย่างก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่”
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับคำว่า “ซูเปอร์สตาร์” และจะได้มีโอกาส “โกอินเตอร์” ไปโด่งดังในต่างประเทศ สำหรับนักร้องหนุ่ม “ชิน” ได้รับโอกาสทั้งสองอย่างนั้น แต่เจ้าตัวไม่ขอเรียกตัวเองว่า “ซูเปอร์สตาร์” แต่เป็นแค่ “นักร้องธรรมดา” คนนึง ที่ตั้งใจทำฝันตัวเองให้เป็นจริง
“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์ครับ ผมทำตรงนี้เพราะผมรัก ผมอยากเป็นนักร้อง ผมอยากทำงานตรงนี้ และผมตั้งใจกับสิ่งที่ผมทำทุกอย่าง คำว่าซูเปอร์สตาร์ยังไกลกับผมมาก โกอินเตอร์ก็เหมือนกัน ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสมากกว่า แค่ตอนนี้มีงานให้ทำ มีโอกาสที่ผมยังได้รับ ผมก็โอเคแล้ว”
“คือ ชินได้ไปถ่ายซีรีย์ละครที่ประเทศมาเลเซีย หนักครับ มันหนักอยู่แล้ว เพราะว่าคุยกันคนละภาษา แต่ที่มาเลย์ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะคนมาเลย์เขาพูดภาษาอังกฤษเยอะ แต่ว่ามีที่ต้องไปถ่ายที่ไต้หวัน ตอนไปถ่ายเนี่ยทั้งกองไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเลย คนที่พูดภาษาอังกฤษก็คือ คนที่มาจากแกรมมี่แล้วก็มาจากมาเลย์ มันเลยยาก”
ตอนนี้นอกจากได้เล่นซีรีย์แล้ว ยังเป็นนักร้อง-นักแสดงต่างประเทศคนแรกที่ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของมาเลเซียด้วย...“จริงๆ แล้วชินเริ่มจากไปร้องเพลงประกอบโฆษณาให้เขาครับ และตอนนี้ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ไปแล้ว เป็นกล้องยี่ห้อนึงครับ ซึ่งที่ได้ไปเล่นซีรีย์ก็เพราะโฆษณาตัวนี้แหละครับ ร่วมกับค่ายเพลงที่เราทำเป็นสปอนเซอร์ให้แล้วเขาก็ให้ชินเป็นพระเอก เพราะเราเคยไปถ่ายเอ็มวีให้เขาแล้วครั้งนึง แล้วเขาก็ชอบ ก็คิดโปรเจ็กต์เป็นละครขึ้นมา ซึ่งก็เป็นนางเอกคนเดิม ก็เลยทำต่อ”
“พอเสร็จเราก็ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ต่อของมาเลเซีย เป็นศิลปินต่างประเทศคนแรกที่ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์บ้านเขาด้วย รู้สึกดีใจครับ รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่เขาเลือกเรา เพราะว่าก่อนหน้านี้เป็นศิลปินที่ค่อนข้างดังเลยในมาเลเซีย ของผมก็เข้าไปต่อยอด เราก็ทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ครับ”
ตอนนี้ดังไกลไปถึงประเทศจีน มีแฟนคลับชาวจีนทำเว็บไซต์ส่วนตัวให้ แถมฟีดแบ็กจากแฟนคลับยังล้นหลามจนน่าตกใจ
“ฟีดแบ็กดีครับ ดีเกินที่ผมคิดไว้ เราก็เป็นศิลปินต่างประเทศด้วย ก็ไม่ได้รู้สึกว่าคนจะรู้จักเราหรือว่าชื่นชมเราอะไรขนาดนั้น แต่ก็พอแข่งกับศิลปินบ้านเขาได้เลย เขาก็ร้องเพลงตามเราได้ เดินผ่านคนก็เรียก “ชิน” เราก็ เฮ้ย ก็งงนะ ตกใจ เพราะไม่ได้คิดว่าเราจะมีแฟนๆ มีคนรู้จักขนาดนั้น มีกรี๊ด มียกป้ายด้วย (หัวเราะ) ก็ดีใจครับ”
“ตอนนี้ก็มีเป็นเว็บไซต์ในประเทศจีนด้วย เป็นแบบแฟนชาวจีนทำให้ ไม่ว่าจะเป็นมาเลย์ ไต้หวัน ก็มี 700 เมมเบอร์ ก็โอเคนะครับ ก็รู้สึกว่าโห 700 เมมเบอร์ต่างประเทศสำหรับเรา เราก็รู้สึกว่ามันเยอะแล้วนะ เพราะว่าเราก็เป็นศิลปินไทย ไม่ใช่ศิลปินอเมริกาที่แบบว่าเพลงมันโกลบอลซะขนาดนั้น เพลงเราส่วนมากก็ขายในประเทศไทย อย่างชินก็โชคดีที่ได้ไปร่วมงานที่มาเลด้วย ก็เริ่มมีแฟนคลับมากขึ้น”
แม้เจ้าตัวไม่เคยเพ้อฝันว่าจะมาไกลถึงจุดนี้ แต่ก็คิดว่าสักวันนึงความพยายาม ความตั้งใจและโอกาสจะสามารถพาตนไปถึงจุดทยานขึ้นได้
“เคยคิดครับ แต่ว่าก็ไม่ได้เพ้อฝันในความคิดอันนั้นว่าเราจะมาถึงจุดนี้รึเปล่า เพราะว่าก็ทำให้ดีที่สุดของผมน่ะ เพราะว่ามันก็มาเองครับ โอกาสมันก็มาเรื่อยๆ เราก็คว้ามันเรื่อยๆ โชคดีที่ทางแกรมมี่เขาไว้วางใจในตัวชินด้วย ให้ชินได้ทำหลายๆ อย่าง แล้วก็ให้ชินได้ดูแลโปรเจกต์ของตัวเองด้วย เหมือนกับว่าเขาให้โอกาสเรา เขาไม่ได้เป็นแค่ป๋าดันให้เราน่ะ เขาให้โอกาสเราทำงานของเราเองด้วยครับ”
ยอมเปิดใจว่า มีคนครองหัวใจทั้ง 4 ห้องไว้เรียบร้อย แม้จะไม่ได้คาดหวังอะไรกับรักครั้งนี้มากนัก เพราะผ่านความผิดหวังมาเยอะ แต่สำหรับสาวคนนี้เจ้าตัวพร้อมจะทุ่มสุดๆ
“ครับ ก็ดีนะ คุยกันมาปีกว่าแล้ว ก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นแฟน เขาก็มีความสุขที่อยู่กับเรา เราก็มีความสุขที่อยู่กับเขา ผมว่าแค่นี้มันก็สำคัญพอแล้ว เพราะว่า 19 เองครับ ไม่ได้คิดถึงว่าจะแต่งงานกับใครหรือจะมีลูกอยู่แล้ว ก็ช่วยกันแบ่งเบาภาระ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้กันและกันก็โอเคครับ”
“เจอกันงานเต้นงานนึงครับ เขาเรียนเต้นแล้วก็ไปเจอ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คุย ไปเจออีกทีในไฮไฟว์ ก็เริ่มคุยกัน เริ่มรู้สึกดี ก็คุยมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนนั้น แต่เรื่องเวลายอมรับว่ามีให้เขาน้อยครับ แต่อย่างที่ผมบอกว่าอย่างน้อยเขาก็ยังเข้าใจเรา เป็นกำลังใจให้เรา ก็ดีตรงนี้ ผมไม่ต้องการคนง้องแง้ง พอเหอะ แค่นี้ผมก็แบกรับภาระ ชีวิตผมจะไม่ไหวอยู่แล้ว ยังมาเจออะไรอย่างนั้นอีกคงไม่ไหว แต่โชคดีที่เขาเข้าใจเรา ก็ดีครับ”
มุมมองความรักเผยเป็นคนโรแมนติกทีเดียว และไม่เคยปิดบังซ่อนเร้น มีแฟนไม่ใช่เรื่องผิด ยิ่งแฟนคลับยิ่งไม่มีปัญหา...“มันก็มีโรแมนติกบ้าง มีเซอร์ไพรส์บ้าง ส่วนมากจะเป็นความเข้าใจ สำหรับความรักของชินนะ ชินว่าความเข้าใจ ความเอาใจใส่ ความที่ไม่เคยเลิกต้องการกันและกันน่ะ ผมว่านั่นมันก็จะทำให้ความรักเราไปได้เรื่อยๆ วันใดที่คนนึงไม่ต้องการอีกคนนึงเนี่ย หมายถึงว่าไม่ต้องก็ได้อะไรอย่างเนี้ย แต่ถ้าวันไหนที่เรายังรู้สึกต้องการกันและกันก็ยังโอเค”
“แต่ไม่หวังอะไร ผมไม่เคยคาดหวังอะไรกับความรักอยู่แล้ว เพราะเจอแต่อะไรไม่ดีกับความรักมาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าให้มันไปเรื่อยๆ ดีกว่า ให้ชีวิตและเวลาพามันไปดีกว่าว่ามันจะไปในทิศทางไหน มันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ ไม่ได้หวังว่าคนนี้จะต้อง she’s the one หรือว่าจะต้องเป็นคนที่จะต้องอยู่กับเราตลอดชีวิต”
“แฟนคลับชินเข้าใจดีมาก แฟนคลับบางคนก็รู้จักเขา แฟนคลับเขาก็อยู่ในวัยเดียวกันกับเราน่ะ อีกอย่างนึงเวลาชินให้เวลากับแฟนคลับ เวลาชินไปโชว์ชินก็ให้เต็มที่ ชินถวายเต็มที่ เราไม่เคยเอาความรักของเราไปปนกับความรักของเขา ไม่เกี่ยวกัน ชินให้เขาเต็มที่ ให้ครอบครัวเต็มที่ แน่นอนให้แฟนคลับเต็มที่อยู่แล้ว”
แอบโวตัวเองว่าไม่ใช่คนเจ้าชู้ แค่ชอบโปรยเสน่ห์ให้สาวหลงก็เท่านั้น แต่ก็มีแอบหวงแฟนสาวเหมือนกัน เพราะไม่ค่อยมีเวลาว่างให้ แถมสาวเจ้ายังสวย น่ารักอีกต่างหาก
“เรื่องหึงหวงก็มีบ้าง แหม ผู้หญิงก็ต้องมีอยู่แล้ว แต่เขาเข้าใจและเขาก็เชื่อใจชิน เพราะว่าชินจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนเจ้าชู้อะไร แต่เป็นคนที่ชอบคุย เป็นคนที่ชอบโปรยเสน่ห์มากกว่า(หัวเราะ) ชอบคุย ชอบทำความรู้จักอะไรอย่างเนี้ยครับ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ไม่ได้เจ้าชู้นะ มีคนเดียวก็คนเดียวครับ ไม่ได้มีหลายคนพร้อมกัน ไม่ไหว บริหารไม่ไหว เหนื่อย”
“ส่วนเขาก็น่ารักดีครับ มองไปก็สวย ก็หน้าตาดีนะ โอเคเลย ผมเป็นคนรักคนแรกของเขาด้วยมั้ง เราก็เก๋าเกมกว่า(หัวเราะ) มีประสบการณ์มากกว่าเรื่องพวกนี้ แต่ว่าเราก็แคร์เขานะ เราก็เอาใจใส่กับเขาจริงๆ แล้วก็ตรงนี้แหละคือสิ่งที่เขาต้องการคือความมั่นคง เพราะว่าตัวเขาก็เป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ เขาก็คงรู้สึกว่าชินทำให้เขามั่นใจขึ้นอะไรอย่างเนี้ย”
“กลัวว่าเขาจะมีคนอื่นมั้ยเหรอ นั่นน่ะซิ(หัวเราะ) ช่วงนี้เดี๋ยวเขาก็กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย แต่ผมก็เชื่อใจเขาแหละ ผมเชื่อว่าเขาคงไม่มีคนอื่นหรอก แต่เอาจริงๆ นะถ้าเขามีผมก็ไม่ว่าอะไร แต่รักเราคนเดียวก็พอ จะคุยกับใครคุยไปเลย เราไม่อะไรอยู่แล้ว แต่ว่าตราบใดที่ความรักยังมีให้เราคนเดียวก็โอเค”
เผยไม่กลัวมีภาพหลุด เพราะไม่นิยมถ่ายหวือหวากันอยู่แล้ว และที่สำคัญคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นแบบอย่างของวัยรุ่น เพราะฉะนั้นจะไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีเด็ดขาด
“เราว่าเราก็เป็นคนของประชาชน คนก็มองเรา เอาแบบอย่างเรา เพราะฉะนั้นถึงแม้จะไปกับใครเราก็ต้องทำตัวให้ดี ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหาเรื่องนั้นอยู่แล้ว เพราะว่าผมก็ไม่เคยกอดจูบกันกลางสาธารณะ เพราะผมรู้ว่าตัวเองก็เป็นตัวอย่างให้กับเยาวชนหลายคน"
"แล้วก็รู้ว่าหลายคนเอาเราเป็นไอดอล เพราะฉะนั้นเราทำผิดพลาดขึ้นมาเขาก็ทำเอาเป็นแบบอย่าง พอเอาแบบอย่างปุ๊บเขาก็อาจจะเป็นคนที่ไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่ ซึ่งผมคิดถึงตรงนั้นมาก เพราะผมผ่านอะไรไม่ดีมาเยอะ ผมก็รู้ว่าสายตาของผู้ใหญ่เวลามองเด็กมันเป็นยังไง เพราะฉะนั้นผมจะไม่ทำตัวให้เด็กทำตามอะไรที่มันไม่ดีแน่นอน”
“ชินไม่กลัวภาพหลุดนะ เพราะว่าชินไม่เคยถ่ายรูปอะไรอย่างนั้น ถ้าถ่ายก็ถ่ายรูปคู่หน้าใกล้ๆ กัน ถ่ายกับแฟนคลับทุกคนก็ถ่ายอย่างนั้น ก็อาจจะมียิ้ม เคยมีหอมแก้มบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับแบบว่า โอ้โห หวือหวาอะไรขนาดนั้น เพราะว่าไม่นิยมถ่ายอะไรอย่างนั้นอยู่แล้ว(หัวเราะ) ไม่ชอบเลยครับ เพราะฉะนั้นเราก็จะดูแลตัวเอง แต่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปอะไรกันมากมายหรอก”
มาถึงวันนี้แม้จะจบวุฒิแค่ ม.6 แต่หนุ่ม “ชิน” ก็ยังฝันที่อยากจะเรียนต่อ แต่ไม่ใช่ในมหาวิทยาลัยอย่างคนอื่นเขา ไม่ได้คิดว่าใบปริญญาบัตรเป็นสิ่งสำคัญ เพราะตั้งใจว่าจะเรียนให้ตรงกับสายงานที่ทำนี้มากกว่า และเชื่อว่าแม้จะไม่ได้ทำงานเบื้องหน้า ก็ยังมีงานเบื้องหลังให้ทำอยู่ ซึ่งครอบครัวก็สนับสนุนในการทำงานเต็มที่
“ไม่ได้เรียนครับ จบ ม.6 แล้วก็ดรอปมา 2 ปีแล้ว ตอนแรกก็อยากเรียนซาวน์เอ็นจิเนีย แต่ยังไม่มีเวลา จริงๆ ก็จะเริ่มเรียนแล้ว แต่ว่าพอดีปีนี้มันงานเข้าอย่างแรง ก็เลยไม่ได้เรียน ก็ดรอปไว้ก่อน มีเวลาเรียนเมื่อไหร่ก็เรียนน่ะครับ”
“ชินไม่ค่อยอยากเข้ามหา'ลัย เพราะชินรู้สึกว่าถ้าชินเข้ามหาลัยชินจะปวดหัวกับมหา'ลัย แล้วชินจะปวดหัวกับงานด้วย ทั้งๆ ที่เรียนที่มหาลัยเนี่ยเราก็ไม่ได้ใช้อะไรกับการทำงานของเราอยู่แล้ว เพราะชินเชื่อว่าเนี่ยเป็นอาชีพของชิน และจะเป็นอาชีพของชินไปตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำเบื้องหน้า สักวันก็ต้องเป็นเบื้องหลัง ซึ่งตอนนี้ชินก็ทำเบื้องหลังแล้ว ก็คงไม่หนีจากวงการบันเทิงไปหรอกครับ”
“ครอบครัวเข้าใจ สนับสนุนดีมาก ครอบครัวชินสุดยอดมาก แล้วก็เขาก็รู้ว่าชินทำงานหนักมาก เขาไม่เคยบ่นเรื่องการเรียนอะไรเลย แม่ชินคือคนบอกเองว่าไม่ต้องเรียนหรอกชิน เรียนไปก็ปวดหัวเปล่าๆ ฝรั่งครับสบายๆ ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ตราบใดที่ไม่ทำร้ายใคร”
จากที่เคยถูกเรียกว่าเป็นเด็กมีปัญหา ครอบครัวแตกแยก เป็นเด็กเกเร หนักถึงขั้นด่าแม่ แต่ทุกวันนี้ “ชิน” กำลังจะกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว เตรียมซื้อบ้านหลังใหญ่ให้กับแม่ นี่คือสิ่งที่ภูมิใจที่สุด
“ภูมิใจตรงที่ว่าเราสามารถฉุดตัวเองมาจากสิ่งที่ไม่ดีได้ครับ แล้วก็ภูมิใจที่เราได้การสนับสนุนจากครอบครัว จากคนรัก จากพี่ๆ ทีมงานทุกคนที่ดีมาก ไม่เคยจะท้อถอยกับชิน ไม่เคยจะไม่สนับสนุนชิน ไม่เคยจะเลิกผลักดันชิน ภูมิใจในตัวเองครับที่เราก็สู้มาจนถึงทุกวันนี้ได้ แล้วก็ไม่เคยท้อ ก็มีท้อบ้างแต่ข้ามตรงนั้นมาได้ก็ดีใจครับ ดีใจมาก”
“แต่ก็ยังไม่ได้ถึงกับเลี้ยงดูครอบครัวหรอก แม่ชินก็ยังเป็นเสาหลักของครอบครัวอยู่ แต่ก็ใกล้ๆ ปี สองปี สามปีนี้จะพยายามเป็นเสาหลักบ้าง เพราะว่าอยากให้แม่หายเหนื่อยบ้าง ช่วงกำลังหาซื้อบ้านให้แม่อยู่ แต่ตอนแรกก็ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้อยากอะไรหรอกครับ"
"แต่ตอนนี้อยากซื้อบ้านแล้ว แม่อยากได้บ้าน น้องอยากเลี้ยงหมา อยู่คอนโดฯมันเลี้ยงไม่ได้ ก็อยากมีที่วิ่งเล่น น้องอยากเล่นกับหมา ก็ซื้อหมาตัวนึง น้องก็ออกมาเล่นได้ เลิกเรียนกลับมาก็ได้เจอหมาอะไรอย่างเนี้ย ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แล้วก็ทำให้เราสบายใจ ทำให้เราภูมิใจได้ยิ่งกว่า”
“ก็เวลาก็ไปหาดู ให้เพื่อนๆ พี่ๆ เขาช่วยดูด้วย ราคาก็ไม่ได้อะไรมากหรอก ก็เป็นบ้านเดี่ยวธรรมดา สบายๆ ก็โอเคแล้ว ก็อยากได้บ้านที่ห้องนอนเยอะๆ นะ เพราะว่าชินก็อยากอยู่บ้านเดียวกับครอบครัวด้วย เพราะเขาก็ต้องการซัพพอร์ทจากเราด้วย"
"แต่ถ้าเราไปหาบ้านที่แบบไม่ถึงกับออกนอกเมือง แต่ก็ไกลจากที่ทำงานนิดนึง ก็อาจจะมาดูซื้อคอนโดฯแถวนี้ เพื่อแบบวันไหนเรางานยุ่งติดกัน งานเช้าเราจะได้ไม่ต้องตื่นเช้ากว่าเดิม เราก็มาอยู่คอนโดฯแถวนี้ก็ได้ บ้านจะถือว่าเป็นสมบัติชิ้นใหญ่ที่สุดที่ชินซื้อ ณ ตอนนี้”
ผ่านช่วงร้ายๆ ของชีวิตมาเยอะ ทุกวันนี้ดูเหมือนเส้นทางของนักร้องหนุ่มอนาคตไกลคนนี้จะถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เจ้าตัวปฏิเสธเสียงแข็งว่า ยังไงกุหลาบก็ยังมีหนาม และตนขอเลือกเดินเหยียบหนามเพื่อเตือนใจตัวเองดีกว่า
“อนาคตของชิน ชินไม่มีวันรู้ครับ แต่ว่าพี่ๆ เขาแพลนอนาคตของชินไว้ก็ดีครับ หมายความว่าพี่ๆ เขาก็ตั้งความหวังกับตัวชินไว้ก็เยอะ แต่เราก็บอกพี่ๆ เขาว่าผมขอบคุณที่พี่มั่นใจในตัวผมขนาดนี้ และผมก็จะพยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุดของผม"
"เพราะในที่สุดแล้วผลตอบรับจะดีไม่ดีมันก็โดนตัวชิน แล้วก็พยายามจะให้มันดีที่สุด เพราะว่าแต่ละคนไม่มีใครรู้อนาคตอยู่แล้ว เรารู้แต่ปัจจุบัน เพราะฉะนั้นคติสอนใจของชินอยู่ตลอดเวลา ก็คือทำทุกวันให้มันดีที่สุด แล้วหวังว่าอนาคตมันจะดีเอง เพราะว่าถ้าเกิดเราไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่เคยทำไม่ดี ผมเชื่อว่ามันก็จะมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเราครับ”
“ไม่ถึงกับกลีบกุหลาบหรอกครับ กลีบกุหลาบมันก็มีหนาม กุหลาบมันก็มีหนาม เราเดินผิดเราก็เหยียบหนามเราก็เจ็บ เพราะฉะนั้นมันก็อยู่ที่ว่าเราก็ต้องระวังในการเดินด้วย ไม่ใช่ว่าเดินนุ่นสวยสลวยตลอดเวลา ตลอดทางไม่มีหรอกครับชีวิตใครเป็นอย่างนั้นนะน่าเบื่อครับ ผมไม่ชอบ ผมชอบเหยียบหนามบ้าง เพราะว่ามันจะสั่งสอนเราว่าเราไม่ควรทำอย่างนี้อีก”
“ผมไม่เคยกลัวความผิดหวังนะ แต่ก่อนหน้านี้เคยกลัว เคยผิดหวังครั้งที่หนักมาแล้วตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวผิดหวังแล้ว เพราะผมไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากขนาดนั้น อย่างที่บอกผมทำทุกวันให้มันดีที่สุดน่ะ แล้วหวังเล็กๆ น้อยๆ ว่าอนาคตมันก็จะดีให้เราเอง"
"แต่ผมเชื่อว่าทำทุกวันให้มันดีที่สุดเราก็ไม่ต้องหวังอะไรแล้ว เพราะว่าเราก็มั่นใจว่ามันดีที่สุดของเราแล้ว”