xs
xsm
sm
md
lg

ไอ้กล้วย/อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

"อย่าว่าแต่เรือพายเลย เรือยนต์ใหญ่ๆ แม่ก็ขับมาแล้ว..."

แม่ผมมักจะคุยอวดถึงความสามารถของตนเอง (ที่เจ้าตัวยืนยันว่าผู้ชายอกสามศอกหลายคนยังเก่งไม่เท่า) ในลักษณะนี้ให้ฟังทุกๆ ครั้งที่เราพูดถึง แม่น้ำ และเรือ

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะครอบครัวของแม่แก่ หรือว่ายายใบ ซึ่งก็คือแม่ของแม่ของผม มีอาชีพค้าขายทางเรือ แล่นจากท่าที่หน้า อ.เสาไห้ (จ.สระบุรี) เรื่อยไปยังตลาดวัดสะตือ ท่าหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา

ผมเองไม่มีโอกาสได้เห็นการใช้ชีวิตของแม่ในวิถีดีงกล่าวรวมทั้งเรือยนต์ลำนั้นหรอกครับ เพราะพอคลอดผมออกมา แม่ไม่ได้ขับเรือแล้ว แต่ไปสมัครเป็นคนงานของโรงงานทอกระสอบแทน (เป็นโรงงานที่ผมคิดว่ามีมาตรฐานที่คงที่มากๆ เพราะตั้งแต่ที่แม่ผมเริ่มเข้าทำงาน จนถึงวันนี้เป็นเวลา 30 กว่าปีก็ยังคงได้รับเงินเดือนระดับค่าแรงขั้นต่ำอยู่เลย)

จะเห็นก็แต่เรือพายขนาดที่นั่งได้สัก 10 กว่าคน ที่แม่กับแม่แก่(หรืออาจจะเป็นน้า ลุง) เอาไว้พายรับส่งคนข้ามฟาก รวมถึงเอาไว้พายไปเก็บเศษไม้ที่ลอยมาในฤดูน้ำหลากเพื่อนำมาเผาถ่าน (แม่แก่ยกเรือลำดังกล่าวให้กับพระวัดชันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านเมื่อครั้งที่มีการย้ายบ้านออกมา)

เพราะมีบ้าน(หลังเก่า)ติดกับแม่น้ำ(ป่าสัก) นี้เอง ผมในวัยเด็กจึงมีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับแม่น้ำค่อนข้างจะเยอะพอสมควร

นับตั้งแต่การเรียนว่ายน้ำด้วยหลักสูตรเร่งรัดด้วยการถูกน้าๆ จับไปปล่อยบริเวณตรงที่ขายืนไม่ถึง แล้วต้องตะเกียกตะกายลอยตัวเองเพื่อไม่ให้จมน้ำ (เด็กบ้านนอกส่วนใหญ่ที่มีบ้านติดแม่น้ำมักจะถูกฝึกด้วยวิธีนี้)

เคยรู้สึกอิจฉาคันเบ็ดคันเรียวยาวตรงของตาฟื้นข้างบ้านที่นั่งตกเบ็ดได้นิ่งราวกับหุ่นขี้ผึ้งเป็นเวลาเกือบจะครึ่งชั่วโมงก่อนที่แกจะยกเบ็ดขึ้นมาดูความสมบูรณ์ของเหยื่อและย้ายที่ตกสักที (แต่ก่อนกว่าจะได้เฉพาะคันเบ็ดสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะครับ เริ่มจากจะต้องไปหาไผ่ที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไป มีลำ(ต้น)ที่ค่อนข้างจะตรง และเหมาะพอดีมือ จากนั้นก็ต้องเอาไปลนไฟเพื่อดัดแต่ละข้อให้ตรง ใครดัดไม่เป็นใช้แรงมากก็อาจจะหักไปเลย หรือไม่ก็เอาไผ่ที่เราตัดไปห้อยกลางแดด แล้วหาอะไรหนักๆ ถ่วงเพื่อให้มันตรง)

เคยเห็นน้าไทพนันว่ายน้ำข้ามฟากในช่วงที่น้ำเชี่ยวกับน้าหนอมด้วยเหล้าขาว 1 ขวด จนเกือบจะเอาอีดาบฟันกันตายเพราะต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ชนะพนัน (ทั้งๆ ที่คนชนะก็คือน้าไท)

เคยรู้สึกว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ เมื่อครั้งอยู่ในเรือที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำกับน้าตอนที่ฝนตกหนัก และลมแรงมากๆ, เคยรู้สึกสนุกสนานไปกับการลากหม้อตราจระเข้ตามแม่ไปซ้อนกุ้ง งมหอย เก็บผักบุ้งแถวๆ ริมตลิ่ง,เคยนั่งเรือไปกับแม่แก่เพื่อเอาสุนัขไปปล่อย แต่พอกลับมาถึงบ้านเจ้าสุนัขตัวเดียวกันกลับนั่งยิ้มเผล่ กระดิกหาง ยิกๆ ด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอนคอยท่าอยู่แล้ว

หรือถ้าเป็นพฤติกรรมห่ามๆ หน่อยก็คือเคยปีนขึ้นไปอึบนต้นชมพู่ที่มีลำต้นยื่นไปในแม่น้ำเพื่อเป็นอาหารให้กับบรรดาปลาซิว-ปลาสร้อยทั้งหลาย (คนบ้านนอกนิยมปลูกต้นไม้ประเภท มะม่วง ชมพู่ มะพร้าวฯ ไว้ริมตลิ่ง เพราะรากของมันนอกจากจะชวยกันตลิ่งพังแล้ว แม่น้ำยังเป็นฟูกรองรับ "ผล" ที่ตกลงไปโดยสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นน้อยมาก)

ช่วงที่สนุกอีกช่วงหนึ่งก็คือช่วงที่ฤดูน้ำท่วม ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทศกาลท่องเที่ยวของบรรดาเด็กๆ ในหมู่บ้านเลยทีเดียว(ส่วนผู้ใหญ่คงจะไม่มีใครสนุกด้วย)

เมื่อไรที่น้ำเริ่มปริ่มตลิ่ง ผมจะไปนั่งมองน้ำที่มันค่อยๆ สูงขึ้นๆ และไหลเข้าสู่ตัวบ้าน (บ้านแม่แก่ผมจะเป็นบ้านหลังแรกของหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วม) ครั้นพอน้ำเริ่มสูงได้ที่ ต้นกล้วยในสวนก็จะถูกผมและลูกพี่ลูกน้องโค่นลง 4-5 ต้น นำมาเสียบกับไม้ไผ่ผูกติดกันเป็นแพ จากนั้นก็ช่วยกันแจวไปเรื่อยๆ โดยมีเสียงผู้ใหญ่ร้องเตือนให้ระวังสัตว์มีพิษจำพวกตะขาบ แมงป่อง งู

ในอดีตเมื่อครั้งน้ำในลำน้ำยังใสอยู่ต้องยอมรับครับว่าเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะแยกวิถีชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ออกจากแม่น้ำ จนหลายคนอดเปรียบสายน้ำว่าเป็นเสมือนกับเส้นเลือดใหญ่ของมนุษย์ซึ่งก็คงจะจริงเพราะมันเป็นทั้งออฟฟิศของคนวางเบ็ด คนลงข่าย คนซ้อนกุ้ง คนงมหอย คนเลี้ยงปลา คนปลูกผักบุ้ง ฯ เป็นเส้นทางคมนาคมของพ่อค้า แม่ค้า และคนที่ต้องเดินทาง เป็นห้องน้ำของชาวบ้าน ฯลฯ

เป็นอะไรอีกมากมายรวมทั้งเป็นสนามเด็กเล่นของเด็กๆ ทั้งหลาย
...
ระหว่างที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดตะเฆ่ (ม่วงงามนุเคราะห์ ต.ม่วงงาม อ.เสาไห้ จ.สระบุรี) ตั้งแต่ ป.1 - ป.6 ผมมีเพื่อนผู้ชายที่สนิทๆ ด้วยกันราวๆ 6-7 คน ประกอบไปด้วย ไอ้ไก่ (ตัวผมเอง) ไอ้หนุ่ม, ไอ้เล็ก, ไอ้กล้วย, ไอ้กล้า, ไอ้พัฒน์, ไอ้เก่ง

กิจกรรมที่นิยมทำกันมากในวันหยุด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำกันเป็นประจำหลังวันสอบเสร็จ) ของพวกผู้ชายทั้งรุ่นพี่ รุ่นผม รุ่นน้อง ก็คือวิ่งออกจากประตูโรงเรียน พร้อมกับแกะกระดุมเสื้อ ถอดเข็มขัด กางเกง เหลือกางเกงในสายรุ้ง แล้วพุ่งลงน้ำที่ "ท่าโรงเรียน" (สภาพภูมิศาสตร์ของท่าโรงเรียนที่ว่าก็คือ พื้นที่หญ้าค่อนข้างจะเรียบ แต่เทราดเอียงลงสู่แม่น้ำ และมีบริเวณที่ค่อนข้างจะยาว (ผิดกับพื้นที่บริเวณอื่นที่ค่อนข้างจะชัน) ทำให้ช่วงเวลาเย็นๆ จะมีคนมาอาบน้ำ ตักน้ำ เล่นน้ำ เอาวัวควายมาลงแช่น้ำในบริเวณนี้ค่อนข้างจะเยอะ)

การ "เล่นน้ำ" มีหลายวิธีครับ ไม่ว่าจะเป็นการสู้กัน, ซ่อนแอบ (บริเวณที่ท่าโรงเรียนมีกอบัวค่อนข้างจะกว้าง) หรือไม่ก็เอาสายบัวมาทำเป็นเครื่องช่วยหายใจ (เลียนแบบตี๋ใหญ่)

แต่ถ้าวันไหนใจกล้ากันหน่อยก็ว่ายน้ำข้ามฟากไปยังอีกฝั่ง เพื่อไปกระโดดน้ำเล่นจากต้นมะขามฉา (หรือต้นก้ามปู หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าต้นจามจุรี) ซึ่งผมเองไม่ค่อยจะกล้าไปเท่าไหร่ หนึ่งเพราะกลัวจมน้ำก่อนจะว่ายถึง สองพื้นที่บริเวณดังกล่าวค่อนข้างจะมืดครึ้ม ดูน่ากลัวว่าจะมีตัวอะไรใต้น้ำ(อาทิราหู)มาดูดเราลงไป

แต่ที่ฮอตฮิตมากที่สุดก็คือสงครามโคลน กติกาก็ไม่มีอะไรมาก แบ่งคนออกเป็นสองฝ่ายแล้วก็ลุยกันเลยด้วยการควักโคลนเลนที่ไม่เหลว หรือแข็งจนเกินไปมาปั้นเป็นก้อนๆ จากนั้นก็ปาใส่กัน (หลับตานึกภาพที่เด็กๆ เมืองนอกเล่นปาหิมะจะได้บรรยากาศและความรู้สึกที่ไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก...หรือเปล่า ไม่รู้ครับ เพราะผมไม่เคยเล่น 555)

แม้จะมีข้อกำหนดคร่าวๆ ว่าพยายามอย่าปาที่หน้า แต่หลายครั้งเกมก็ต้องหยุดลงกลางครันเหตุเพราะขี้โคลนเข้าตาผู้เล่นนั่นเอง

สงครามโคลนส่วนใหญ่มักจะจบลงโดยที่ไม่มีผู้ชนะหรอกครับ เพราะผู้เล่นถ้าไม่หมดแรงจนรู้สึกเบื่อด้วยสภาพที่ตัวป่วย ผิวดำเมี่ยมไปเสียก่อน เกมก็อาจจะจบลงด้วยเสียงเอ็ดตะโรของพ่อ-แม่ที่มีไม้เรียวอยู่ในมือ

ถึงตรงนี้ก็พอสรุปได้ครับว่า นอกจากจะแยกไม่ออกระหว่างวิถีชีวิตของคนไทยกับสายน้ำแล้ว เด็กกับน้ำก็เป็นสิ่งที่แยกจากกันได้ยากเช่นกัน

ร่ายยาวย้อนไปถึงวันวานเมื่อครั้งวัยเด็กที่มีบ้านติดแม่น้ำก็เพราะมาสะดุดเอากับข่าว 2 ข่าวที่เกิดขึ้น

หนึ่งก็คือเหตุการณ์การแจก "กล้วย" กลางสภาสถานที่ซึ่งผมรู้สึกว่าช่างอุดมไปด้วยบุคคลที่ทรงไว้ซึ่งความน่ารังเกียจ และสองก็คือรายงานข่าวที่ว่าตั้งแต่วันแรกที่ปิดเทอมถึงตอนนี้มีเด็กนักเรียนหลายคนแล้วที่ต้องเสียชีวิตไปเพราะจมน้ำตาย!

ผมเองมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งสองอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าของผมเป็นเรื่องตลกๆ หาใช่เรื่องอัปยศอดสูอย่างที่เกิดในสภาฯ หรือเรื่องเศร้าจากการที่เด็กๆ ต้องมาเสียชีวิตเพราะจมน้ำตาย

อย่างที่เรียนไปแล้วครับว่าหนึ่งในเพื่อนเรียนเพื่อนเล่นน้ำของกลุ่มผมมีคนที่ชื่อว่า "กล้วย" อยู่ด้วย

บ้านไอ้กล้วยเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งครับที่อยู่ติดกับแม่น้ำ

ในช่วงปิดเทอม วันหนึ่งพวกเรา 4-5 คน ไปเล่นน้ำที่ท่าบ้านไอ้กล้วย ก่อนจะครึ้มอกครึ้มใจว่ายข้ามฟากไปอีกฝั่ง ขณะที่ไอ้กล้วยเองขอไม่ตามไปเพราะต้องช่วยพ่อตำข้าว

ด้วยความที่แม่น้ำหน้าบ้านไอ้กล้วยค่อนข้างจะกว้างนี้เอง ทำให้เราไม่มีแรงที่จะว่ายกลับ สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจเรียกให้ไอ้กล้วยพายเรือมารับ

"กล้วย ไอ้กล้วย วู้ไอ้กล้วยโว้ย พายเรือมารับหน่อยโว้ย..."

พวกเราช่วยกันตะโกนเรียกไอ้กล้วยข้ามแม่น้ำเสียงดังโหวกเหวก โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าศาลาน้ำถัดไปจากที่พวกเราอยู่ประมาณ 50 เมตร มีวัยรุ่นกำลังกินเหล้ากันอยู่

จะด้วยความเมามาย หูที่เพี้ยนของวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าว หรือเสียงสำนวนที่ไม่ชัดของพวกเราก็ไม่ทราบได้ แต่ที่รู้ๆ ก็คือ "กล้วย" ของพวกเราได้กลายเป็นคนละพันธุ์กับความเข้าใจของวัยรุ่นกลุ่มนั้นไปเสียแล้ว

"กล้วย!! พวกมึงให้กล้วยใครวะ!..." พวกนั้นตะโกนให้กล้วยที่เป็นกล้วยพันธุ์เดียวกับที่ ส.ส.จังหวัดพระนครีอยุธยาแจกให้กับเพื่อนส.ส.ในการอภิปรายครั้งล่าสุดสวนกลับมาหลายหวีเล่นเอาพวกเราหน้าซีดกลัวจะโดนรุมกระทืบ

โชคยังดีที่มีผู้ใหญ่อยู่แถวนั้น ก็เลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เกือบซวยเพราะ(ไอ้)กล้วยซะแล้วมั้ยล่ะ
กำลังโหลดความคิดเห็น