หลังจากกรณีของน้อง "เอมี่ โชติรส" เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมก็ให้เกิดอาการหงุดหงิด งุ่นง่าน เพราะนึกว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตคงไม่มีโอกาสที่จะได้พบเจอเรื่องราวที่เกี่ยวกับ "สาหร่าย" ดาราอีกเป็นแน่แท้
แต่แล้วก็เหมือนฟ้าประทาน (สาบานว่าผมไม่ได้ขอ แต่ถึงขั้นสวดอ้อนวอน)
ไม่รู้ว่าอะไรไปดลใจให้สาวตัวเล็กนัยตาคมอย่างน้อง "หญิง จุฬาลักษณ์" คิดอยากจะสร้างตำนานสาหร่ายภาค 2 ขึ้นมาในงานประกาศผลรางวัลสุพรรณหงส์ครั้งล่าสุดซึ่งถึงวันนี้ผ่านมาได้ราวๆ 1 เดือนพอดิบพอดี
จะแตกต่างกันบ้างก็ตรงที่ตำนานสาหร่ายของน้องเอมี่นั้นเป็นสาหร่าย(ชุด)ดำ ส่วนของน้องหญิงนั้นเป็นสาหร่าย(ชุด)แดง
แรกๆ ที่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดของข่าว ผมคิดในใจโดยไม่ได้แพร่งพรายให้ใครรู้เพราะเกรงว่าถ้าทำแบบนั้นจะไม่ใช่การคิดในใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจจะเป็นซาตาน จอมมารโลกีย์ กามเทพที่มีนิสัยทะลึ่งทะเล้นขี้เล่นสักตัว หรือไม่ก็เป็นเทวดาสักตนที่อาจจะเกิดเมาไวอาก้าขึ้นมาเลยไปดลใจให้น้องหญิงแต่งชุดที่ว่า
แต่พออ่านบทสัมภาษณ์ของน้องหญิงแล้วจึงได้รู้ว่าเป็นความตั้งใจโดยไม่ได้ตั้งใจของเธอเองต่างหาก
สิ่งที่เป็นความตั้งใจก็คือ เธอตั้งใจจะสวมชุดที่ว่านี้ (เธอให้รายละเอียดว่า ซื้อชุดมาจากอิตาลีได้เกือบเดือนแล้ว ในราคาเกือบหมื่นบาท และเป็นนิวคอเลกชันที่มีชุดเดียวของห้องเสื้อของคนที่เธอรู้จัก) ส่วนที่ไม่ได้ตั้งใจก็คือ เธอไม่ได้ตั้งใจจะโชว์ให้เกิดเป็นตำนานสาหร่ายภาค 2 ขึ้นมาแต่อย่างใด
โดยส่วนตัวผมเชื่อนะครับว่าทั้งน้องเอมี่และน้องหญิงคงไม่อยากให้มีภาพหลุดในทำนองนี้ออกมาแต่อย่างใด เพราะต่างก็มีการสวมเครื่องป้องกันพื้นที่อันพึงสงวนเอาไว้แล้ว อย่างชุดของน้องเอมี่ถ้าจำได้ก็คือมันจะมีตะปิ้งสีดำอยู่ ขณะที่ของน้องหญิงนั้นเธอก็สวมจสตริงสีแดงเอาไว้
เพียงแต่ต้องยอมรับว่า รูปแบบของชุดที่เธอสวมนั้นมันมีโอกาสที่จะมีเหตุการณ์อย่างที่ว่าสูงทีเดียว
ในขณะเดียวกันทางฟากของบรรดาช่างภาพ นักข่าวสายบันเทิงทั้งหลายต่างก็จ้องมองหาเหยื่อเนื้อเนียนขาวเหล่านี้ตาเป็นมันอยู่แล้ว กระทั่งในระยะหลัง (ซึ่งถ้าจะระบุให้ชัดเจนถึงช่วงเวลายิ่งขึ้นก็คือ 3-4 ปี ที่ผ่านมา)ได้กลายเป็นธรรมเนียมที่ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติหรือเปล่าไปแล้วว่า เวลามีงานที่มีการปู "พรมแดง" ทีไร เป็นอันรู้กันว่าได้เวลาที่บรรดาสาวๆ ในวงการบันเทิงจะต้องแต่งตัวที่มันโชว์รูปร่างราวกับมาประชันแข่งขันความเด่นกันอยู่ในทีว่าถ้าเรือนร่างของใครถูกแสงแฟลชถี่ๆ มีภาพออกสื่อเยอะๆ คนนั้นเป็นผู้ชนะ
ไม่ใช่เรื่องที่ผิดกาละ-เทศะ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดสำหรับนิสัยของสุภาพสตรีที่ว่ากันว่าส่วนใหญ่เหมือนกันทั่วโลก คือยอมอะไรก็ยอมได้แต่เรื่องเดียวที่จะไม่ยอมเลยก็คือความรักสวยรักงาม ประเภท ใช้น้ำหอมราคาเท่ากับควายเกือบหนึ่งตัว(สำนวน 'รงค์ วงษ์สวรรค์) โบ๊ะแป้งทุกๆ 15 นาที, ไม่เคยใช้ลิปสติกหมดแท่งแต่ก็ช้อปปิ้งอย่างต่ำเดือนละครั้ง เข้าร้านสระผมทุกสัปดาห์ ฯลฯ
เพียงแต่ระยะหลังๆ ผมรู้สึกสงสัยว่าทั้งตัวดาราเอย ทั้งสื่อฯ เอย หรือแม้กระทั่งคนเสพสื่อฯ เอยค่อนข้างจะไปให้น้ำหนัก ให้ค่า กับเรื่องประเภทนี้มากจนเกินไปหรือเปล่า
แทนที่จะมุ่งใส่ใจในตัวของ(เนื้อ)งานที่จัดขึ้น นี่เอะอะอะไรก็ นม Jim ตูด
ไม่เห็นมีใครวิพากษ์วิจารณ์เลยว่า ทำไมรายการนั้นถึงเหมาะสมที่จะได้รางวัล ผู้ประกาศคนนี้โง่-ห่วยจะตายได้รางวัลไปเพราะอะไร หนังเรื่องนั้นนักวิจารณ์บอกว่าดีคนดูส่วนใหญ่ก็บอกว่าสนุกแล้วทำไมไม่ได้สักรางวัล เอ๊ะมันมีการฮั้วกันหรือเปล่า? อ๋อก็นั่นลูกสาวนายทุนเล่นเองจะไม่ได้รางวัลได้อย่างไร ฯลฯ ซึ่งประเด็นต่างๆ ในทำนองเหล่านี้แหละครับที่ผมมั่นใจว่าหากทำกันอย่างมีหลักการ มีมาตรฐาน ทำกันบ่อยๆ มันจะส่งผลไปยังคุณภาพของชิ้นงาน ทำให้มีการแข่งขัน ผู้ผลิตเองก็ต้องเอาใจใส่พิถีพิถันมากยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้บ้านเรามีดารา-นักร้องที่ขายหล่อ-สวยแทบจะเดินเหยียบตาปลากันตาย แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าหาคนที่มีคุณภาพในสายงานของตนจริงๆ ได้น้อยมาก
ถามว่าส่วนใหญ่ขายอะไร ขายฝีมือ ขายบทบาทการแสดง ขายเสียง ใช่มั้ย? คำตอบคือไม่เลย กลายเป็นว่าจะมีงานเข้า หรือไม่มีงาน การให้คนจำได้ด้วยการ "เป็นข่าว" ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด
เอากันง่ายๆ ขนาดบรรดาพวกจัดงานอีเวนท์ทั้งหลาย เวลาอยากจะให้นักข่าวมางานเยอะๆ ก็เพียงแค่จ้างดาราที่เคยรักกัน เป็นคู่กรณีกันมาออกงานด้วยกัน ประเดี๋ยวนักข่าวก็แห่กันมาตรึม
หรือจะเป็นในรายของคุณโชเล่ ดอกกระโดน ที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงจูงมือน้องเบลล์ลูกสาวไปเดินแจกนามบัตรตามสี่แยกนั่นก็ไม่ต่างกันมากนัก จริงอยู่ที่ว่าจุดประสงค์หลักของการกระทำดังกล่าวก็เพื่อต้องการหางาน-คืนวงการ แต่เจ้าตัวคงไม่ปฏิเสธว่าการได้เป็นข่าวก็เป็นสิ่งที่ตนเองสามารถคาดการณ์ไว้แล้วล่วงหน้าเช่นกันและเป็นส่วนเสริมสำคัญในการบรรลุวัตถุประสงค์ที่ว่า
พูดถึงคุณโชเล่แล้วต้องบอกว่ามีหลายคนเหมือนกันที่ค่อนข้างจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไปในประเด็นของเรื่องค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจ บ้านที่ยังติดหนี้ร่วม 3 ล้านบาท หรือแม้กระทั่งการเลี้ยงลูก ที่เป็นเหตุให้เจ้าตัวต้องออกมาเดินแจกนามบัตรดังกล่าว
"จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ลำบากหรือว่าอดอยากอะไรนะ แต่ที่ต้องออกมาเพราะว่าเงินมันใกล้จะหมดแล้ว การกินอยู่ของลูกๆ ก็ยังเหมือนเดิม แต่ในส่วนของผมจะลดการกินสิ่งไหนที่ผมชอบก็ไม่ซื้อ เสื้อผ้าจะใส่ผมยังแทบจะไม่มีเลย ผมลดทุกอย่างไม่ซื้ออะไรเลย ผมเป็นคนประหยัดกับตัวเองแต่กับลูกเต็มที่เลย ผมไม่เคยบอกให้ลูกรู้เลยว่าลำบาก กางเกงผมมีไม่กี่ตัวใส่ตัวละ 100 มีแค่ 2-3 ตัว”
เข้าใจครับว่าพ่อย่อมจะต้องรัก และอยากให้ลูกตัวเองได้สิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่ผมเชื่อว่าสิ่งทีดีที่สุดที่จะให้นั้นหาได้ขึ้นอยู่กับบ้านหลังละล้าน เสื้อผ้าสวยๆ รถคันโต หรือเงินที่จำเป็นต้องมีใช้อย่างมือเติบทุกๆ เดือนเสมอไป
มีแล้วใช้ไม่แปลก แต่ไม่มีแล้วยังอยากจะใช้อันนี้สิแปลก
เชื่อว่าคุณโชเล่เองก็คงจะรู้ดี เมื่ออะไรมันเปลี่ยนไปสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของการปรับตัวให้อยู่ได้อย่างมีความสุข ที่ไม่น่ารังเกียจหรอกครับหากจะใช้คำว่าตามอัตภาพ
การขวนขวาย ความพยายามสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวด้วยการทำธุรกิจต่างๆ (ที่ถูกกฏหมายไม่ขัดศีลธรรม)เป็นเรื่องที่ดี และน่าชื่นชมสรรเสริญครับ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือต้องพิจารณาด้วยว่าจริงๆ แล้วพื้นฐานความถนัด ความชำนาญของเรานั้นคืออะไรกันแน่
อย่างคุณโชเล่นั้นผมว่าฝีมือในการเล่นตลกนั้นมีคุณภาพที่ไม่เป็นรองใครอยู่แล้วในบรรดาตลกด้วยกัน
มีคนที่ใช้ชื่อว่า pop up ได้แสดงความคิดเห็นผ่านข่าว “โชเล่ย์” เผยชีวิตรันทด เมียทิ้ง-งานหด เกือบขับรถดิ่งน้ำฆ่าตัวตายแล้วผมรู้สึกว่าใช่เลย
คุณ pop up เขียนไว้ว่า...ผมไม่อยากให้เราเสียนักแสดงตลกฝีมือดีไปหนึ่งคน แล้วได้พ่อค้าที่ไม่ประสพความสำเร็จมาแทนหนึ่งคน
ขอเอาใจช่วยก็แล้วกันครับ
แต่แล้วก็เหมือนฟ้าประทาน (สาบานว่าผมไม่ได้ขอ แต่ถึงขั้นสวดอ้อนวอน)
ไม่รู้ว่าอะไรไปดลใจให้สาวตัวเล็กนัยตาคมอย่างน้อง "หญิง จุฬาลักษณ์" คิดอยากจะสร้างตำนานสาหร่ายภาค 2 ขึ้นมาในงานประกาศผลรางวัลสุพรรณหงส์ครั้งล่าสุดซึ่งถึงวันนี้ผ่านมาได้ราวๆ 1 เดือนพอดิบพอดี
จะแตกต่างกันบ้างก็ตรงที่ตำนานสาหร่ายของน้องเอมี่นั้นเป็นสาหร่าย(ชุด)ดำ ส่วนของน้องหญิงนั้นเป็นสาหร่าย(ชุด)แดง
แรกๆ ที่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดของข่าว ผมคิดในใจโดยไม่ได้แพร่งพรายให้ใครรู้เพราะเกรงว่าถ้าทำแบบนั้นจะไม่ใช่การคิดในใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจจะเป็นซาตาน จอมมารโลกีย์ กามเทพที่มีนิสัยทะลึ่งทะเล้นขี้เล่นสักตัว หรือไม่ก็เป็นเทวดาสักตนที่อาจจะเกิดเมาไวอาก้าขึ้นมาเลยไปดลใจให้น้องหญิงแต่งชุดที่ว่า
แต่พออ่านบทสัมภาษณ์ของน้องหญิงแล้วจึงได้รู้ว่าเป็นความตั้งใจโดยไม่ได้ตั้งใจของเธอเองต่างหาก
สิ่งที่เป็นความตั้งใจก็คือ เธอตั้งใจจะสวมชุดที่ว่านี้ (เธอให้รายละเอียดว่า ซื้อชุดมาจากอิตาลีได้เกือบเดือนแล้ว ในราคาเกือบหมื่นบาท และเป็นนิวคอเลกชันที่มีชุดเดียวของห้องเสื้อของคนที่เธอรู้จัก) ส่วนที่ไม่ได้ตั้งใจก็คือ เธอไม่ได้ตั้งใจจะโชว์ให้เกิดเป็นตำนานสาหร่ายภาค 2 ขึ้นมาแต่อย่างใด
โดยส่วนตัวผมเชื่อนะครับว่าทั้งน้องเอมี่และน้องหญิงคงไม่อยากให้มีภาพหลุดในทำนองนี้ออกมาแต่อย่างใด เพราะต่างก็มีการสวมเครื่องป้องกันพื้นที่อันพึงสงวนเอาไว้แล้ว อย่างชุดของน้องเอมี่ถ้าจำได้ก็คือมันจะมีตะปิ้งสีดำอยู่ ขณะที่ของน้องหญิงนั้นเธอก็สวมจสตริงสีแดงเอาไว้
เพียงแต่ต้องยอมรับว่า รูปแบบของชุดที่เธอสวมนั้นมันมีโอกาสที่จะมีเหตุการณ์อย่างที่ว่าสูงทีเดียว
ในขณะเดียวกันทางฟากของบรรดาช่างภาพ นักข่าวสายบันเทิงทั้งหลายต่างก็จ้องมองหาเหยื่อเนื้อเนียนขาวเหล่านี้ตาเป็นมันอยู่แล้ว กระทั่งในระยะหลัง (ซึ่งถ้าจะระบุให้ชัดเจนถึงช่วงเวลายิ่งขึ้นก็คือ 3-4 ปี ที่ผ่านมา)ได้กลายเป็นธรรมเนียมที่ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติหรือเปล่าไปแล้วว่า เวลามีงานที่มีการปู "พรมแดง" ทีไร เป็นอันรู้กันว่าได้เวลาที่บรรดาสาวๆ ในวงการบันเทิงจะต้องแต่งตัวที่มันโชว์รูปร่างราวกับมาประชันแข่งขันความเด่นกันอยู่ในทีว่าถ้าเรือนร่างของใครถูกแสงแฟลชถี่ๆ มีภาพออกสื่อเยอะๆ คนนั้นเป็นผู้ชนะ
ไม่ใช่เรื่องที่ผิดกาละ-เทศะ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดสำหรับนิสัยของสุภาพสตรีที่ว่ากันว่าส่วนใหญ่เหมือนกันทั่วโลก คือยอมอะไรก็ยอมได้แต่เรื่องเดียวที่จะไม่ยอมเลยก็คือความรักสวยรักงาม ประเภท ใช้น้ำหอมราคาเท่ากับควายเกือบหนึ่งตัว(สำนวน 'รงค์ วงษ์สวรรค์) โบ๊ะแป้งทุกๆ 15 นาที, ไม่เคยใช้ลิปสติกหมดแท่งแต่ก็ช้อปปิ้งอย่างต่ำเดือนละครั้ง เข้าร้านสระผมทุกสัปดาห์ ฯลฯ
เพียงแต่ระยะหลังๆ ผมรู้สึกสงสัยว่าทั้งตัวดาราเอย ทั้งสื่อฯ เอย หรือแม้กระทั่งคนเสพสื่อฯ เอยค่อนข้างจะไปให้น้ำหนัก ให้ค่า กับเรื่องประเภทนี้มากจนเกินไปหรือเปล่า
แทนที่จะมุ่งใส่ใจในตัวของ(เนื้อ)งานที่จัดขึ้น นี่เอะอะอะไรก็ นม Jim ตูด
ไม่เห็นมีใครวิพากษ์วิจารณ์เลยว่า ทำไมรายการนั้นถึงเหมาะสมที่จะได้รางวัล ผู้ประกาศคนนี้โง่-ห่วยจะตายได้รางวัลไปเพราะอะไร หนังเรื่องนั้นนักวิจารณ์บอกว่าดีคนดูส่วนใหญ่ก็บอกว่าสนุกแล้วทำไมไม่ได้สักรางวัล เอ๊ะมันมีการฮั้วกันหรือเปล่า? อ๋อก็นั่นลูกสาวนายทุนเล่นเองจะไม่ได้รางวัลได้อย่างไร ฯลฯ ซึ่งประเด็นต่างๆ ในทำนองเหล่านี้แหละครับที่ผมมั่นใจว่าหากทำกันอย่างมีหลักการ มีมาตรฐาน ทำกันบ่อยๆ มันจะส่งผลไปยังคุณภาพของชิ้นงาน ทำให้มีการแข่งขัน ผู้ผลิตเองก็ต้องเอาใจใส่พิถีพิถันมากยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้บ้านเรามีดารา-นักร้องที่ขายหล่อ-สวยแทบจะเดินเหยียบตาปลากันตาย แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าหาคนที่มีคุณภาพในสายงานของตนจริงๆ ได้น้อยมาก
ถามว่าส่วนใหญ่ขายอะไร ขายฝีมือ ขายบทบาทการแสดง ขายเสียง ใช่มั้ย? คำตอบคือไม่เลย กลายเป็นว่าจะมีงานเข้า หรือไม่มีงาน การให้คนจำได้ด้วยการ "เป็นข่าว" ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด
เอากันง่ายๆ ขนาดบรรดาพวกจัดงานอีเวนท์ทั้งหลาย เวลาอยากจะให้นักข่าวมางานเยอะๆ ก็เพียงแค่จ้างดาราที่เคยรักกัน เป็นคู่กรณีกันมาออกงานด้วยกัน ประเดี๋ยวนักข่าวก็แห่กันมาตรึม
หรือจะเป็นในรายของคุณโชเล่ ดอกกระโดน ที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงจูงมือน้องเบลล์ลูกสาวไปเดินแจกนามบัตรตามสี่แยกนั่นก็ไม่ต่างกันมากนัก จริงอยู่ที่ว่าจุดประสงค์หลักของการกระทำดังกล่าวก็เพื่อต้องการหางาน-คืนวงการ แต่เจ้าตัวคงไม่ปฏิเสธว่าการได้เป็นข่าวก็เป็นสิ่งที่ตนเองสามารถคาดการณ์ไว้แล้วล่วงหน้าเช่นกันและเป็นส่วนเสริมสำคัญในการบรรลุวัตถุประสงค์ที่ว่า
พูดถึงคุณโชเล่แล้วต้องบอกว่ามีหลายคนเหมือนกันที่ค่อนข้างจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไปในประเด็นของเรื่องค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจ บ้านที่ยังติดหนี้ร่วม 3 ล้านบาท หรือแม้กระทั่งการเลี้ยงลูก ที่เป็นเหตุให้เจ้าตัวต้องออกมาเดินแจกนามบัตรดังกล่าว
"จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ลำบากหรือว่าอดอยากอะไรนะ แต่ที่ต้องออกมาเพราะว่าเงินมันใกล้จะหมดแล้ว การกินอยู่ของลูกๆ ก็ยังเหมือนเดิม แต่ในส่วนของผมจะลดการกินสิ่งไหนที่ผมชอบก็ไม่ซื้อ เสื้อผ้าจะใส่ผมยังแทบจะไม่มีเลย ผมลดทุกอย่างไม่ซื้ออะไรเลย ผมเป็นคนประหยัดกับตัวเองแต่กับลูกเต็มที่เลย ผมไม่เคยบอกให้ลูกรู้เลยว่าลำบาก กางเกงผมมีไม่กี่ตัวใส่ตัวละ 100 มีแค่ 2-3 ตัว”
เข้าใจครับว่าพ่อย่อมจะต้องรัก และอยากให้ลูกตัวเองได้สิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่ผมเชื่อว่าสิ่งทีดีที่สุดที่จะให้นั้นหาได้ขึ้นอยู่กับบ้านหลังละล้าน เสื้อผ้าสวยๆ รถคันโต หรือเงินที่จำเป็นต้องมีใช้อย่างมือเติบทุกๆ เดือนเสมอไป
มีแล้วใช้ไม่แปลก แต่ไม่มีแล้วยังอยากจะใช้อันนี้สิแปลก
เชื่อว่าคุณโชเล่เองก็คงจะรู้ดี เมื่ออะไรมันเปลี่ยนไปสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของการปรับตัวให้อยู่ได้อย่างมีความสุข ที่ไม่น่ารังเกียจหรอกครับหากจะใช้คำว่าตามอัตภาพ
การขวนขวาย ความพยายามสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวด้วยการทำธุรกิจต่างๆ (ที่ถูกกฏหมายไม่ขัดศีลธรรม)เป็นเรื่องที่ดี และน่าชื่นชมสรรเสริญครับ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือต้องพิจารณาด้วยว่าจริงๆ แล้วพื้นฐานความถนัด ความชำนาญของเรานั้นคืออะไรกันแน่
อย่างคุณโชเล่นั้นผมว่าฝีมือในการเล่นตลกนั้นมีคุณภาพที่ไม่เป็นรองใครอยู่แล้วในบรรดาตลกด้วยกัน
มีคนที่ใช้ชื่อว่า pop up ได้แสดงความคิดเห็นผ่านข่าว “โชเล่ย์” เผยชีวิตรันทด เมียทิ้ง-งานหด เกือบขับรถดิ่งน้ำฆ่าตัวตายแล้วผมรู้สึกว่าใช่เลย
คุณ pop up เขียนไว้ว่า...ผมไม่อยากให้เราเสียนักแสดงตลกฝีมือดีไปหนึ่งคน แล้วได้พ่อค้าที่ไม่ประสพความสำเร็จมาแทนหนึ่งคน
ขอเอาใจช่วยก็แล้วกันครับ