“ต้อย แอ็คเนอร์” ขอโทษ นศ.คดีลวนลาม สารภาพโอบกอดจริง แต่อ้างตาใสเป็นเพราะจะหกล้ม จึงถลาเข้าไปหาหลักยึด แต่ไม่มีความต้องการทางเพศ ยันไม่มีการเรียกเงินจ้างให้ยอมความ ส่วนที่เคยให้ร้ายอีกฝ่ายว่าจัดฉากสร้างสถานการณ์ เพราะทนายเขียนบทให้ ด้าน นศ.คู่กรณียอมจับมือยอมความ
ในที่สุดก็จบลงด้วยการยอมความ สำหรับคดีที่ “ต้อย แอ็คเนอร์” หรือ “เกรียงศักดิ์ สกุลชัย” บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มายาแชนแนล ถูก “โอ๋ เพชรคัมภรณ์ งามชอชัยพฤกษ์” อายุ 25 ปี นักศึกษาปี 4 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งเป็นนักศึกษาฝึกงาน เข้าแจ้งความข้อหากระทำอนาจาร ลวนลามพยายามปลุกปล้ำโอบกอดและหอมแก้ม ในคอนโดส่วนตัว ย่านลาดพร้าว
ล่าสุด วันนี้ (16 มี.ค.) ทั้งสองฝ่ายได้เดินทางมาที่ สน.สุทธิสาร เพื่อเข้าไกล่เกลี่ยหาข้อยุติคดีดังกล่าว โดยสุดท้าย ต้อย แอ็คเนอร์ ได้ยอมขอโทษนักศึกษาสาว สารภาพถลาเข้าไปกอดจริง แต่เพราะสะดุดล้มจึงหาที่ยึด ไม่มีเจตนาทางเพศอย่างที่คู่กรณีเข้าใจ อ้าง กรณีที่เคยให้ข่าวอีกฝ่ายจัดฉากเพื่อแบล็กเมล์ตน เพราะทนายเขียนสคริปต์ให้ ด้านนักศึกษาสาวเผย ยอมความเพราะอีกฝ่ายยอมขอโทษ อีกทั้งไม่อยากให้กระทบธุรกิจของมารดา ยันไม่ได้โดนจ้างให้จบคดี
หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้ออกมาแถลงข่าวต่อหน้าพนักงานสอบสวน และสื่อมวลชน พร้อมกับจับมือยอมจบคดีดังกล่าวด้วยดี
ต้อย : “ตั้งแต่วันแรกทุกคนก็พยายามถาม ว่า ทำไมผมไม่ค่อยพูดคุยกับสื่อเลย มันเหมือนโดนอัดอยู่ข้างเดียวตลอดเวลา เพราะเราเองก็ไม่ค่อยอยากพูด แต่วันแรกที่มีข่าวออกไป ทางทนายก็เตรียมจะฟ้องเลย ผมก็เห็นด้วยกับทนายเหมือนกัน เพราะเราก็เข้าใจว่า ทนายเขาก็มีหน้าที่ของเขา ผมก็มีความรู้สึกว่า มันต้องไปในทิศทางเดียวกัน เพราะทนายว่ายังไงผมก็ว่าไปผมตามนั้น ก็เลยไม่ได้พูดคุยกับทางน้องเขาเลย”
“ความจริงเรื่องนี้ควรจะจบที่กระบวนการของตำรวจ ผมก็มีความรู้สึกกับข่าวที่ออกไป ว่าเราก็เสียหายนะ เพราะมันยับเยินเลย กับทางน้องโอ๋ก็เหมือนกัน เพราะมันเหมือนกับเราไปข่มขืนกระทำชำเลา ซึ่งจริงๆ มันไม่ถึงขนาดนั้น การถูกเนื้อต้องตัวลวนลามอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ทางตำรวจเขาจะตั้งไป แต่ว่าโดยเจตนาของเราจริงๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นเราก็เลยเฉยๆ ปล่อยให้เลยตามเลยไป ทางตำรวจก็ส่งสำนวนไปทางอัยการ หาหลักฐานพยานที่ได้ไปยื่นกับอัยการ อันไหนที่ยังไม่ครบอัยการก็สอบเพิ่ม”
“แต่ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา เราไม่เคยหยุดทำงานเลย เรามีทีมทนายอยู่ประมาณ 6 คน ในส่วนของเว็บไซต์ คอยเช็กกับกระทรวงไอซีที เช็กว่าใครเข้ามาทำให้เราเสียหายบ้าง เราก็เก็บลงข้อมูลไว้ ทั้งเคเบิลทีวี ทั้งฟรีทีวีต่างๆ ด้วย เพื่อเอาหลักฐานเหล่านี้ยื่นฟ้องพร้อมกัน เราถึงไม่ต้องออกมาพูด มีนักข่าวหลายๆ สื่อโทร.เข้ามาหาผม ก็บอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย และเหตุผลที่ผมเชื่อ ก็คือ ถ้าเราฟังมากเราจะได้เปรียบกว่าคนพูดมาก เราก็เลยไม่ต้องพูดอะไร และเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ เพื่อเวลาเราไปสู้ความจริงๆ มันจะได้สู้กนได้เต็มที่”
“อัยการเรียกไปพบ ผมก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง แล้วอัยการก็ถามว่า ระยะเวลาทั้งหมดนี้คุณได้ประโยชน์อะไร เพราะที่สุดของคดีนี้ก็แค่ปรับ ทำไมต้องสู้ต้องฟ้องกลับกันขนาดนี้ ทำไมไม่พูดคุยกันดีๆ ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่เคยพูดคุยกับโอ๋ โอ๋ก็ไม่กล้าโทรมาหาผม เพราะเดี๋ยวก็จะกลายเป็นว่าเขาจะมาแบล็กเมล์ผม โอ๋ก็เลยไม่ได้โทร.มา ผมก็ไม่ได้โทร.ไป เพราะเดี๋ยวจะหาว่าข่มขู่อีก อัยการเลยบอกว่า ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป สื่อต่างๆ ก็จะเขียนกันต่อไปอีก ใครที่ไม่รู้ก็จะต้องคิดว่าเราไปข่มขืนเขาแน่ๆ เลย ต้องมีความผิดแน่นอน”
“ในที่สุดผมก็เลยมานั่งคุยกับพนักงานสอบสวน เขาก็พยายามมานั่งคุยกันทั้ง 4 ฝ่าย มีผม มีอัยการ มีทนาย และ น้องโอ๋ ก็มาพูดในลักษณะความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ว่าทั้งสองคน มีความรู้็สึกในใจที่ไม่ดีต่อกันมั้ย ซึ่งผมก็ไม่เคยมีความรู็สึกที่ไม่ดีกับโอ๋ และโอ๋ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ไม่ดีกับผม แต่ที่เราไม่ได้คุยกัน ก็เพราะเราอาจจะเจอกันไม่ได้เยอะมาก เพราะเจอกันแค่วันสองวันก็มีัเรื่อง เขาอาจจะไม่ได้รู้ถึงพฤติกรรมหรือจิตใจของเรา เพราะปกติแล้วผมเป็นคนที่ให้เกียรตินักศึกษาฝึกงานอยู่แล้ว และก็จบไปจากเราตั้งเยอะแยะหลายหลายคน ทุกคนเขาก็ให้ความรู้สึกที่ดีกับเราหมดเลย”
“พอมีนักศึกษาฝึกงานเข้ามา มันก็ไม่ใช่แค่ใช้เขาให้ไปซื้อน้ำซื้อข้าวมาให้ เราก็ต้องสอนงานเขาด้วย ผู้บริหารองค์กรลองถามตัวเองดูสิ ว่าให้เกียรติเด็กฝึกงานขนาดไหน ผมยังถามโอ๋เลยว่ามีความสามารถด้านไหน เขาก็บอกว่าเรื่องความสวยความงาม ผมก็โอเคให้เขาค้นคว้าแล้วเขียนมา เพื่อที่ฝึกงานเสร็จจะได้ทำงานได้เลย นี่คือจุดประสงค์ของเรา และผมก็ให้โอ๋ไปดูงานกับผม ซึ่งเขาก็ไม่ได้ไปคนเดียวมีเพื่อนไปด้วย แล้วผมก็ค่อยๆ เทรนเขาไป เพราะดูแววแล้วเขาเป็นคนพูดเก่ง เป็นคนที่ใส่ใจในเรื่องของการทำงานพอสมควร และนี่คือสิ่งที่ผมเล่าให้อัยการฟัง”
“อัยการก็อยากให้มาคุยกัน ในสิ่งที่มันไม่ถูกไม่ควร และสิ่งที่ไม่สบายใจที่สุดคือ มันเป็นเรื่องที่บอกว่าเป็นการแบลคเมล์หรือเปล่า ถ้าไม่ต้องการเงินแล้วจะฟ้องไปทำไม ซึ่งถ้าฟังตามหลักแล้วมันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้นะ อยู่ที่ว่าผมฉวยโอกาสจากน้องโอ๋หรือเปล่า ซึ่งมันก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่เรื่องเงินแม้แต่บาทเดียวเขาก็ไม่เคยพูดกับผม ไม่เคยพูดผ่านกับใครที่ไหน อันนี้ก็ยืนยันได้ว่า ไม่มีใครที่จะมาขู่ผมเพื่อเอาเงิน และอันที่สองที่ว่าเด็กคนนี้คงอยากดัง มีข่าวมีสื่อออกมาเยอะแยะมากมาย และถ้าไม่ใช่กับ ต้อย แอ็คเนอร์ สื่อคงไม่ใส่ใจเยอะขนาดนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เหมือนกัน เพราะโอ๋เองเขาก็ไม่ได้มีจิตใจที่จะเข้าไปอยู่วงการบันเทิง ผมเองก็ไม่มีอำนาจที่จะส่งใครเข้าวงการได้ ผมว่าเขาคงไม่คิดที่จะมีชื่อเสียงในทางเสียหายแบบนี้หรอก ผมยืนยันแทนโอ๋ได้ว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ”
“ในส่วนของการถูกเนื้อต้องตัว จริงๆ แล้วคนคุยกันมันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา แต่บางครั้งอาจจะแปลเจตนาผิดกันได้ ซึ่งผมก็ยอมรับว่าถูกตัวโอ๋จริง แต่มันไม่ใช่เจตนาที่ผมจะต้องมีความต้องการทางเพศกับคุณ ไม่อย่างนั้นผมจะไปนัดทนายทำไม ประตูก็เปิดอยู่ คนขับรถก็นั่งอยู่ เพื่อนเขาก็อยู่ด้วย มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก ซึ่งถ้าเขาเข้าใจผิดอย่างนี้ผมก็ขอโทษ เราก็ไม่อยากให้มันออกมาไม่ดี ถ้าเราต่างคิดไม่พูดกันมันก็ไม่เคลียร์ แต่ถ้าผมได้พูดคุยกับโอ๋เหตุการณ์นี้ก็ไม่เกิดขึ้น ซึ่งผมก็มีทิฐิของผมเหมือนกัน ว่าตัวเองไม่ผิดก็พยายามจะสู้ และเราก็เรียนกฎหมายมาเหมือนกัน คือ หลักฐานพยานคือหัวใจสำคัญของกฎหมาย ไม่ใช่สื่อ ไม่ใช่ความคิดเห็นและจะมาตัดสินตรงนั้น เราถึงต้องตั้งทีมกฎหมาย”
“ทีนี้พอได้เจอ แม่เขายังบอกกับผมตลอดว่า ไม่เคยมีแนวความคิดที่ไม่ดีกับคุณต้อยเลย ซึ่งผมก็ยืนยันต่อหน้าอาจารย์ที่ศรีปทุมด้วย ว่า ถ้าใครรู้็จักผม ก็จะไม่มีใครคิดแบบนี้เลย และวันนี้ก็เป็นไอเดียของผมเองที่จะต้องมาแถลงข่าว เพราะปกติแล้วถ้าให้เรื่องจบก็จบกันแบบเงียบๆ แต่ผมบอกว่าไม่ได้มันต้องเคลียร์ เพราะอย่างน้อยที่สุด ข่าวที่ออกไปผมก็เสียหาย น้องโอ๋ก็เสียหาย เวลาเขาไปไหนมาไหน ก็จะมีคนเข้ามาถามตลอดว่า ต้อยจ่ายเงินให้แล้วละสิ แล้วโอ๋เขาก็เป็นผู้หญิง ซึ่งเราอยู่ตรงนี้เราก็ไม่สามารถไปเคลียร์กับชาวบ้านได้ว่า มันไม่เป็นความจริง”
“ดังนั้น ผมจึงต้องออกมาแถลงข่าวแบบนี้ ซึ่งผมก็โทร.ไปนัดนักข่าวเอง ซึ่งจริงๆ มันเป็นกระบวนการของตำรวจ แต่พอมีข่าวออกมาเยอะๆ มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องของเราคนเดียวแล้ว ทุกคนก็จะคิดแต่ว่า ต้องรักษาศักดิ์ศรีของตัวเอง เราไม่ได้คิดว่าผลกระทบที่ตามมาจะมีผลยังไงบ้าง ซึ่งพอเขาเสียหายทุกคนก็เข้าใจเราผิด แต่วันนี้เราก็สบายใจมากขึ้น เพราะเราได้คุยกันและบรรลุข้อตกลงได้ จนตอนนี้ผมยังยืนยันนะว่า ไม่ได้ไปจ่ายเงินให้เขาเพื่อมายอมความกับผม ไม่ได้จ่ายแม้แต่บาทเดียว สลึุงเดียวก็ไม่มี”
“แต่สิ่งที่ผมต้องขอบคุณ ก็คือ อัยการกับตำรวจ ซึ่งเป็นตัวกลางคอยประสานให้ ไม่อย่างนั้นทนายก็ทำหน้าที่ของเขาต่อไป พอออกมาอย่างนี้ ก็ถือว่าเคลียร์ทุกอย่าง ที่สังคมเคยมองว่าเราทำจริง และเราออกมาพูดความจริงอย่างนี้แล้ว มันก็คือเป็นการเคลียร์ทั้งหมด เพราะทุกคนมีสิทธิ์เข้าใจผิดกันได้ ก็เหมือนกับที่ผมปฏิเสธผู้สื่อข่าวทุกสำนักที่โทรมา ทุกรายการที่เชิญผมไปออก ผมก็ขอโทษด้วย ซึ่งถ้าเป็นเรื่องของเราคนเดียวก็เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะติดคดียังไงหรือเปล่า เราก็ต้องเชื่อฟังทนายไว้ก่อน ในส่วนของน้องโอ๋ก็เหมือนกัน ในส่วนน้องก็เหมือนกัน ไปไหนก็มีแต่คนสนใจตลอดเวลา เขาก็เกิดความไม่สบายใจ ผมก็เลยอยากจะบอกว่า ไม่ว่าจะเรื่องที่ว่าน้องโอ๋อยากดัง หรือเรียกเงินอะไรต่างๆ จริงๆ แล้วไม่มีเลย ไม่ได้มีคนติดต่อมาหาผมเพื่อเรียกร้องอะไรทั้งสิ้น”
“เรื่องจับเนื้อต้องตัวมีจริง แต่ไม่ใช่ทำลามกอนาจาร ผมก็ขอโทษละกัน ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง เพราะวันนั้นเราต้องหารไปทำงาน ก็แต่งตัวผูกไทด์ใส่สูทปกติทุกอย่าง ประตูก็เปิดเอาไว้ จะไปมีเจตนาอย่างนั้นได้อย่างไร ตอนนี้ก็ยังอยู่ในรูปของคดี ยังอยู่ในกระบวนการของตำรวจ ถ้าเกิดผมพูดอะไรมากกว่านี้มันจะไม่เป็นผลดี ให้พนักงานสืบสวนเป็นคนเคลียร์ดีกว่า”
ถึงตรงนี้ ต้อย แอ็คเนอร์ ได้ส่งให้ ร.ต.ท.สันติ ผิวทองคำ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน เป็นคนแถลงต่อ โดยเปิดเผยว่า จากการสอบสวนทั้งสองฝ่าย เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดใจ
พนักงานสอบสวน : “เรื่องนี้เกิดจากความไม่เข้าใจระหว่างคุณต้อยและน้องโอ๋ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสืบสวนสอบสวน ข้อเท็จจริงต่างๆ ได้ยุติแล้ว วันเกิดเหตุทางคุณต้อยและน้องโอ๋ได้ไปที่เกิดเหตุจริง แต่ไปเพื่อต้องการประสานงานตามที่คุณต้อยกล่าวไปแล้้ว หลังจากที่มีการพูดคุยกันในห้องเสร็จ พี่ต้อยกับน้องโอ๋กำลังจะเดินไปขึ้นรถ ที่มีฝ่ายกฎหมายและคนขับรถรออยู่ บังเอิญช่วงก่อนเดินออกจากห้อง พี่ต้อยได้สะดุดล้มไปโดนน้องโอ๋ ซึ่งกำลังก้มใส่รองเท้าอยู่พอดี แกก็เลยคว้าตัวน้องโอ๋ไว้เพื่อไม่ให้ล้ม มันก็เลยมีการถูกเนื้อต้องตัวกันเกิดขึ้นจริงตามที่น้องโอ๋ให้การเอาไว้ พอถูกตัวแล้วพี่ต้อยก็คิดว่า มันเป็นเรื่องเล็กไม่ได้ตั้งใจ ก็เลยไม่ได้ขอโทษไม่ได้พูดอะไร แต่โอ๋คิดว่าเขาเป็นผู้หญิงมาถูกเนื้อต้องตัวแบบนี้แล้วทำเฉยแบบนี้ได้ยังไง มันก็เลยเป็นความเข้าใจผิดทำให้เกิดเป็นที่มาของคดีนี้”
“เมื่อน้องโอ๋ไม่พูดอะไร พี่ต้อยก็ไม่ได้พูดอะไร ต่างคนต่างไม่พูด น้องโอ๋ก็เลยคิดว่าพี่ต้อยมาทำอนาจาร ส่วนพี่ต้อยก็คิดว่าไม่ได้ทำอะไร เพราะว่าตัวเองกำลังจะล้มก็เลยไปคว้าตัวไว้เฉยๆ ก็เลยไม่ได้ขอโทษหรืออะไร พอน้องโอ๋มาแจ้งความแล้วสื่ออกข่าว ว่าน้องโอ๋มาแจ้งเพื่อต้องการแบลดเมล์คดี พี่ต้อยก็แถลงตอบว่าบ้านเป็นหนี้สิน อยากแบล็คเมย์ก็ดี ที่เขาแถลงไม่ใช่ความคิดของเขา เขาไปปรึกษาผู้รู้ (ทนาย) แล้วผู้รู้บอกให้แถลงอย่างนี้ มันก็เลยเละเลย”
“พอไม่มีการพูดคุยกันมันก็เลยกลายเป็นเรื่องต่างคนต่างจะเอาชนะกันให้ได้ จึงเป็นที่มาของการสอบสวน และส่งตัวพี่ต้อยไปยังพนักงานอัยการ พอไปถึง และข้อเท็จจริงมัันเป็นแบบนี้ทางพนักงานอัยการเห็นว่าน่าจะคุยกันได้ เพราะมันเป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างติดกันอยู่นิดเดียว เลยเรียกมาคุยกัน พอคุยกันก็ชัดเจน น้องโอ๋ก็เข้าใจแล้วว่า เหตุการณ์วันนั้นพี่ต้อยไม้ได้ตั้งใจ เป็นการสะดุด พี่ต้อยก็เข้าใจน้องโอ๋ พอต่างฝ่ายต่างเข้าใจแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจ คือมีการสะดุดล้มไปโดนน้องโอ๋จริง แต่พี่ต้อยไม่ได้ตั้งใจ น้องโอ๋เข้าใจแล้วว่าสาเหตุที่พี่ต้อยมาโดนตัว ไม่ได้มีเจตนาทางกามารมณ์หรือความใคร่ทางเพศ พี่ต้อยก็ยินดีที่จะขอโทษน้องโอ๋”
ต้อย : “อย่างที่คุยว่าเราไม่ได้มีเจตนาจริงๆ แต่ถ้าเขาเข้าใจอย่างนั้นเราก็ขอโทษเขา”
พนักงานสอบสวบ : “วันนี้ต่อหน้าสื่อมวลชนและพนักงานสอบสวน เหตุการณ์วันนั้นที่พี่ต้อยสะดุดหกล้มแล้วไปโดนตัวน้องโอ๋ มีการโดตัวจริิง แต่ไม่ได้มีเจตนา แต่เป็นเรื่องของอุบัติเหตุไม่ได้ตั้งใจ”
ต้อย : “ไม่อย่างนั้นเราจะตั้งทนายสู้ทำไม ถ้าเราไม่มั่นใจตัวเอง วันนั้นออกไปปุ๊บก็ยังไปกินข้าวด้วยกันเลย”
พนักงานสอบสวบ : “วันนี้ต่อหน้าสื่อและพนักงานสืบสวน จากความไม่ตั้งใจนั้น พี่ต้อยยินดีขอโทษน้องโอ๋ใช่มั้ยครับ”
ต้อย : “เมื่อกี้ก็พูดไปแล้วไง”
พนักงานสอบสวบ : “จะขอโทษใช่มั้ยครับ”
ต้อย : “ครับ”
พนักงานสอบสวบ : “ประเด็นที่สองน้องโอ๋มีผลกระทบมาก จากกรณีที่พี่ต้อยแถลงข่าวว่า ที่น้องโอ๋แจ้งความเพราะบ้านมีหนี้สิน และต้องการแบลคเมล์ ทางพี่ต้อยยืนยันว่า สาเหตุที่แถลงไปนั้นเพราะต้อยปรึกษาผู้รู้ (ทนาย) ผู้รู้สั่งให้แถลงอย่างนั้นจึงต้องแถลงอย่างนั้น มันเป็นไปตามสคริป ที่ผู้รู้บอกมา ซึ่งจริงๆ แล้วบ้านน้องโอ๋ มีตังค์นะ ไม่ได้เป็นแบบนั้น บ้านเขาเพิ่งจะซื้อโชว์รูมศูนย์รถยนต์ ที่จำหน่ายรถนำเข้าจากต่างประเทศตั้ง 300 ล้านบาท”
“ส่วนประเด็นที่สาม จากที่บอกว่าที่พี่ต้อยออกมาขอโทษน้องโอ๋จะเรียกเงินมั้ย หรือมีการให้เงินก่อนที่จะมานั่งวันนี้หรือเปล่า ทางพนักงานสอบสวนก็ยืนยันไปแล้ว ว่าไม่มีผลประโยชน์อื่นใดซับซ้อนด้วย เช่น พี่ต้อยไม่ให้เงินแล้วจะรับน้องโอ๋ทำงานต่อมั้ย ยืนยันว่าไม่มีเรื่องแบบนั้น”
“ในส่วนของคดีพ้นมือพนักงานสอบสวนไปแล้ว ตอนนี้ไปอยู่กับอัยการ วันนี้ถ้าพี่ต้อยขอโทษ และน้องโอ๋ไม่ติดใจเพราะเห็นว่าไม่ตั้งใจ น้องโอ๋สามารถมาถอนคำร้องทุกข์กับผมได้ ผมก็จะรับถอนคำร้องทุกข์นั้นไว้ และส่งเรื่องไปให้อัยการ ถ้าอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า มีองค์ประกอบทางกฎหมายครบ ก็จะมีผลทางคดีทำให้เรื่องนี้ระงับไป”
ด้าน สาวโอ๋ ผู้เสียหายได้เปิดใจบ้าง โดยยอมรับในคำขอโทษ และไม่ติดใจใดๆ แต่ปฏิเสธที่จะกลับไปฝึกงานกับ ต้อย แอ็คเนอร์ อีก
โอ๋ : “พอเกิดเรื่องโอ๋กับเขาก็ไม่ได้พูดคุยกันเลย ในความคิดโอ๋คือเขามาโดนตัวเรา เพราะคิดว่าจะมาทำอะไร แต่เรื่องนี้มีการพูดคุยกันแล้วก็เป็นไปตามนั้น วันนี้เขาก็มาขอโทษตามที่ให้ข่าวไปจริง โอ๋คงจะยอมความเพราะไม่ติดใจอะไรแล้ว เขาเป็นลูกผู้ชายกล้ามาขอโทษโอ๋ ก็ให้เป็นไปตามนั้น”
พนักงานสอบสวน : “น้องโอ๋เคยพูดผ่านสื่อว่า ถ้าพี่ต้อยยอมขอโทษจะยอมความให้ จะไม่มีการเรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ วันนี้เขาก็มาทำตามคำพูดครบครับ (ยืนยันว่าแค่หกล้มไปโดนตัวแค่นั้น?) ในส่วนของรายลละเอียดลึกๆ มันจะมีผลกับทางคดี แต่ขอยืนยันว่ามีเหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นจริง จริงๆ เจตนามันเป็นเรื่องภายในใจพี่ต้อย ทำไปเพราะกามารมณ์หรือเจตนาน้องโอ๋ก็ไม่รู้ พอหลังเกิดเหตุพี่ต้อยก็ไม่ได้พูดอะไร น้องดอ๋ก็เลยเข้าใจไปอย่างนั้น ถ้าพี่ต้อยมาขอโทษแล้วน้แงโอ๋ถอนคำร้องทุกข์ คดีนี้ก็มีแนวโน้มจะยุติ”
ต่อคำถามที่ว่า ยืนยันว่า เป็นการเข้าใจผิดกันใช่หรือไม่? สาวโอ๋กลับเงียบ จนพนักงานสวบต้องถามย้ำให้อีกรอบ ว่า บก.คนดังเข้ามาจับเนื้อต้องตัวจริงใช่หรือไม่ เจ้าตัวถึงยอมเอ่ยปากตอบรับว่าใช่
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ยอมความแล้ว จะถอนฟ้องวันนี้เลยหรือไม่? ถึงตรงนี้สาวโอ๋กลับมีอาการอึกอัก พนักงานสอบสวนจึงพูดแทรกขึ้นมาว่า “วันนี้สามารถถอนได้เลย”
ต้อย : “มีอยู่เรื่องนึงที่อัยการกลัว คือ เรื่องที่ผมจะไปฟ้องกลับ ยืนยันว่า ไม่ฟ้องกลับ จริงๆ เราเตรียมหลักฐานอะไรไว้เรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ทนายทั้งหมด ผมก็จะไปขอสำนวนต่างๆ กับทนายคืน จะไม่ดำเนินคดีใดๆ แล้ว มันจบก็ให้จบไป”
ส่วนกรณีที่ ต้อย แอ็คเนอร์ เคยให้สัมภาษณ์พาดพิงคู่กรณีว่า บ้านจนก็เลยต้องการแบล็กเมล์ กับเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เผยว่า ไม่มีความผิดทางกฎหมาย
พนักงานสอบสวน : “ยังไม่มีความผิดทางกฎหมาย มันไม่ใช่ความผิด ว่าแจ้งความเท็จ ก็เขาไม่ได้มาแจ้งกับผม การที่เขาให้สัมภาษณ์ไปอย่างนั้น ถามว่ามีผลกระทบต่อโอ๋มั้ย ถ้าโอ๋เสียหายที่เขาว่าเราจนแล้วต้องการแบลคเมล์ ก็มีสิทธิ์มาร้องทุกข์และดำเนินคดีได้ในส่วนนั้น แต่เรื่องนี้คู่กรณีทั้งสองฝ่าย ยอมยุติทุกเรื่อง”
ต้อย : “ผมไม่ได้พูดว่าบ้านจนนะ มันอยู่ในสคริป บอกว่าแค่บ้านมีปัญหาเท่านั้นเอง”
โอ๋ : “ตอนที่โอ๋ออกรายการตาสว่าง เคยพูดว่า ขอให้เขามาขอโทษผ่านสื่อ แล้วเขาก็พูดโต้ว่าฐานะครอบครัวหนูมีปัญหายากจน ตอนนี้อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ไม่มีการแบลคเมล์ ไม่มีการรับเงิน บ้านหนูไม่ได้เดือดร้อน อีกอย่างพี่เขาก็เป็นลูกผู้ชายคนนึงพอ ที่ได้มาขอโทษโอ๋ผ่านสื่อแล้ว โอ๋คิดว่าการที่เขากล้ามาขอโทษก็น่าจะพอแล้ว ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามที่แถลง”
“ตอนแรกที่ไม่ยอม เพราะไม่ได้มีการพูดคุยกันก่อน แต่คดีไปถึงศาลแล้ว และหนูก็ได้คุยกับอัยการ เขาก็ให้คำแนะนำว่า ถึงจะฟ้องกันไปคดีนี้ก็มีโทษแค่ปรับ และจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และรอลงอาญา แต่ชีวิตเราต้องดำเนินต่อไป แต่ถ้าถามว่าจะกลับไปฝึกงานที่เดิมมั้ย คงไม่กลับแล้วค่ะ หนูไปฝึกงานที่มูลนิธิเพื่อนหญิงแล้ว”
หลังจากจบการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวได้ขอให้ทั้งสองฝ่ายจับมือกับยุติคดีด้วยดี โดยทางฝ่ายของนักศึกษาสาวผู้เสียหาย มีอาการไม่เต็มใจอย่างเห็นได้ชัด ด้าน ต้อย แอ็คเนอร์ พอจับมือให้ผู้สื่อข่าวถ่ายรูปเสร็จ เจ้าตัวก็รีบชิ่งออกจากโรงพักทันที ซึ่งภายหลังสาวโอ๋ได้ให้สัมภาษณ์สั้นๆ เผยโล่งใจที่ได้เคลียร์ตัวเอง
โอ๋ : “ที่ออกสื่อไปว่าเขาลวนลาม ก็คือ เขามาโดนตัวเราจริง แต่เจตนาเราไม่รู้เขาคิดยังไง เขาบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับเรา แต่เซล้มมาโดน ก็คงปล่อยให้เป็นไปตามนั้น ตอนนี้สบายใจแล้วค่ะ พี่เขาออกมาเคลียร์ทุกอย่าง ในสิ่งที่เขาออกมาโต้ตอนแรกที่แถลงข่าว”
“ส่วนจะถอนฟ้องเลยหรือเปล่า ขอปรึกษาคุณแม่ก่อน (เหมือนเราไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่?) ถ้าเราไม่ถอนแจ้งมันจะมีผลต่อรูปคดี พอดีเดือนหน้าที่บ้านจะเอารถนำเข้ามาจากจีน แล้วการที่เขามาบอกว่าบ้านเราเดือดร้อน ไม่มีเงิน จะมาแบล็กเมล์มันจะมีผลกระทบ หนูก็ไม่อยากให้มีผลกระทบไปถึงธุรกิจของคุณแม่”
“วันนี้ก็ถือว่าเขาเป็นลูกผู้ชายคนนึง กล้าทำกล้ารับ ขอโทษแบบนี้ถือว่าไม่ติดใจอะไรแล้ว ให้จบไป ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ผลกระทบที่ผ่านมา ก็มีคนเข้ามาถาม อย่างงตอนที่แม่ไปซื้อที่ดินก็มีคนมาถามว่าได้เงินจากคุณต้อยแล้วหรอ ซึ่งถ้ารับเงินมาจริงก็ไม่พอที่จะไปซื้อที่ดินใครได้หรอกค่ะ มันเป็นการมองต่างมุม บางคนก็มาถามว่าขึ้นไปห้องเขาทำไม ทำไมไม่ร้องไม่ตะโกน แต่ในแง่ดีก็มี แต่ส่วนใหญ่จะออกมาในแง่บวก ซึ่งเราเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว สิ่งที่คนออกมาวิจารณ์ก่อนหน้านี้ ทำให้เราเครียดพักหนึ่ง สิ่งที่เราพูดเป็นเรื่องจริง แต่คนมองว่าไม่จริง บางคนก็มองว่าเราแบล็กเมล์หรือเปล่า”
***
“ต้อย” มาแปลก บอกให้อภัย “นศ.” ยันไม่ได้ปล้ำ ด้าน “ติ๋ม” โดดป้องสับผู้หญิงอยากดัง
“ติ๋ม” งดวิเคราะห์ข่าว “ต้อย” เผยรถหรูที่แท้ยืมมาขับ สุดอายไล่ไปเปลี่ยนนามสกุล
"ต้อย แอ็คเนอร์" ส่งทนายแจงปฏิเสธทุกข้อหา เตรียมแฉกลับ ด้านนศ.ไม่หวั่น มั่นใจบริสุทธิ์
“ต้อย แอ็คเนอร์” เก็บตัวเงียบ หลัง นศ.ฝึกงานแจ้งความโดนลวนลาม