“โชเล่ย์” เปิดใจถึงเหตุที่ต้องมาเร่แจกนามบัตรตามสี่แยกไฟแดง เป็นเพราะงานหด เงินใกล้จะหมดไม่มีเงินผ่อนบ้าน ซ้ำเมียก็ยังมาทิ้ง เผยเครียดจัดจนเกือบจะขับรถดิ่งแม่กลอง
กลายเป็นข่าวฮือฮาเลยทีเดียว เมื่อ “โชเล่ย์ ดอกกระโดน” ดาราตลกชื่อดังลุกขึ้นมาแต่งตัวเลียนแบบ “มาช่า วัฒนพานิช” ควงลูกสาวไปเดินแจกนามบัตรที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อหางานทำ โดยตลกชื่อดังเผยถึงเหตุที่ต้องมาเร่แจกนามบัตรในครั้งนี้ เพราะว่า งานหด ซ้ำยังถูกภรรยาทิ้ง ไม่มีเงินจะส่งบ้าน อุตส่าห์ควักทุนไปทำร้านอาหารก็เจ๊งไม่เป็นท่า จนเจ้าตัวหมดหวังคิดสั้นขับรถไปแม่กลองหวังจะดิ่งสะพานค่าตัวตาย
“ผมไปแจกนามบัตรที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเปิดตัวคณะตลกหลังจากที่ห่างหายไป 7-8 ปี สาเหตุที่ต้องไปแจกก็เป็นเพราะว่า ตอนนี้คาเฟ่ไม่ค่อยมีคนมานั่งกิน เศรษฐกิจไม่ดีเจ้าของร้านไม่ค่อยจ้างตลก จะจ้างแต่วันศุกร์กับวันเสาร์ ผมก็เห็นว่าถ้ามีงานแค่สองวันเราไปหางานนอกดีกว่า ก็เลยคิดว่าควรจะไปแจกนามบัตรให้คนที่ติดไฟแดง เผื่อเขามีงานบวช งานวันเกิด งานเลี้ยงอะไรแบบนี้ ก็เลยตัดสินใจไป”
“ผมหายไปนาน ก็ยังคุยกับเพื่อนและก็ จิ้ม ชวนชื่น อยู่ว่า ถ้าผมจะกลับมาเล่นตลกแล้วเริ่มกับคาเฟ่ก็เล่นไปเหอะกี่สิบปีก็ไม่มีใครรู้หรอก เพราะตอนนี้คนไม่เที่ยวคาเฟ่แล้ว ถ้าโชเล่ย์ต้องการเอาเงินไปใช้หนี้ใช้สินโชเล่ย์ต้องมีงานนอก ก็ถามว่าทำไง เขาก็บอกว่าเดี๋ยวนี้วิทยุชุมชนเยอะนะให้ไปจ้าง แต่ผมเงินจะหมดแล้วนะ เพราะไม่มีงานมา 1 ปี ก็ควักทุนตัวเองเดือนละ 10,000-30,000 ก็เลยคิดว่า งั้นเราไปแจกนามบัตรของตัวเองดีไหมตามสี่แยกไฟแดง ซึ่งเพื่อนในคณะยังไม่กล้ามาเลย ผมก็เลยลองถามลูกดูว่า ถ้าพ่อจะไปแจกนามบัตรจะไปช่วยพ่อไหม ถ้าพ่อเดินคนเดียวเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปพ่อจะทำยังไง เราก็พูดกับเขาแบบนี้เขาก็เลยไป”
“พอลูกรับปากผมก็เลยมาคิดว่า จะทำยังไงแบบไหน ก็เลยไปตัดเสื้อผ้าที่ดาราใส่ขึ้นมาแล้วฮอตๆ ดีกว่าแล้วไปเดินอย่างน้อยก็เป็นจุดเด่นหน่อย ก็เลยตัดเสื้อผ้าให้น้องเบล(ลูกสาว) เป็นชุดของน้องหญิง และก็ของตัวเองใส่แบบมาช่าที่เขาใส่ไปงานสุพรรณหงส์”
“ตอนแรกที่ไปถึงใจไม่ดีเลย เพราะรถโล่งมาก ตอนหลังนักข่าวก็เลยบอกว่าพี่โชเล่ย์ไปที่ศาลาว่าการดีกว่า เขาพักเที่ยงพอดี คนลงทานข้าวเยอะก็เลยได้แจกนามบัตรกัน จากนั้นก็เลยกลับมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พอมาถึงรถติดก็เลยได้แจกนามบัตร ผมประทับใจมากที่หลายๆ คนก็จำผมได้ ผมถามจำคำผมได้ไหม เขาก็บอกจำได้ ผู้ชายหน้ากลัว เขาก็ทำให้ดู” (ยิ้ม)
“ผมดีใจมากบางคนก็เอาช่อดอกไม้มาให้ผม มีผู้ชายคนหนึ่งเห็นผมยืนอยู่ก็ไปซื้อน้ำมาให้ผม 5 ขวด มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกจะทำไงดีอยากช่วยโชเล่ย์มากเลยจะให้ตังค์ เปิดกระเป๋าตังค์จะล้วงตังค์ให้ ผมก็พูดว่าที่มาเดินนี่มาเดินแจกนามบัตร ไม่ได้มารบกวนขอเงิน ซึ่งผมก็พูดดีนะ ก็ขอบคุณมากที่มีน้ำใจให้ผม แต่ผมมาเดินแจกนามบัตร เพราะผมมาของาน ถ้าพี่อยากให้ผมได้เงินพี่ก็ขอให้งานผมนะ ผมจะไปรับใช้ผมจะแสดงให้ดีที่สุด แต่ถ้าวันนี้พี่ให้เงินผม ผมขอบคุณมากแต่ผมยังไม่รับ”
“โชเล่ย์” เผยเหตุที่หายหน้าไป 7-8 ปี เพราะงานหดประกอบกับน้อยใจวงการบันเทิง
“ในช่วงเวลา 7-8 ปีที่หายไป ตอน 2 ปีแรกผมยังมีงานทีวีอยู่นะ ตอนนั้นผมพอจะมีชื่อเสียงบ้างงาน ผมมีงานเยอะทั้งกลางวันกลางคืน กลางวันก็ไปถ่ายละครถ่ายหนัง กลางคืนก็ไปเล่นคาเฟ่ แต่ทีนี้สุขภาพผมไม่ดี ตื่นเช้ามามันปวดเมื่อยล้าลุกขึ้นมามันน่ามืด ก็เลยคิดว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมก็เลยเลือกทำกลางวันตัดงานตลกคาเฟ่ไปเลย สุดท้ายผมก็เลยมาทำงานกลางวันแต่งานมันก็หายไปทีละชิ้นสองชิ้นจนกระทั่งหายไปหมดเลย”
“พองานกลางวันไม่มีผมก็รู้สึกน้อยใจมากๆ เลย ทำไมล่ะเราก็ทำงานดีมากๆ เลยนะ เอาเราไปแสดงเราเต็มที่ให้เราทำอะไรเราก็ทำสุดๆ เลยนะแต่ทำไมงานเราไม่มี หรือว่ามันเป็นสัจธรรมอย่างที่เขาว่า คลื่นเก่าไปคลื่นใหม่มามีขาขึ้นขาลง วงการนี้มันหยั่งถึงยาก ผมก็น้อยใจพองานกลางวันหยุดปุ๊บผมก็ไม่มาคาเฟ่ก็หยุดไปเลย”
“จากนั้นผมก็เลยตัดสินใจมาทำธุรกิจของตัวเองเปิดร้านอาหารแถวพุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งตอนแรกๆ ก็ดีมาก พอเราขึ้นชื่อว่าเป็นโชเล่ย์ 4 โมงเย็นเขาก็มารอแล้วให้การต้อนรับดีมากๆ แต่พอนานๆ เข้ามันมีปัญหาจุกจิกเกี่ยวกับพนักงาน เงินขาดมั่ง ให้จ่ายตลาด 5 กก.ก็ซื้อมา 4 กิโลครึ่ง ราคา 500 ก็บอก 550 อะไรแบบนี้ จนกระทั่งสุดท้ายทั้งกุ๊กทั้งเงินหายไปไม่กลับมาเลย”
“จริงๆ แล้วร้านผมลูกค้าเยอะมากเลยแต่มันมามีปัญหาตรงนี้ สุดท้ายก็เลยปิดร้านแต่ผมก็เสียดายทำเล ก็ควักเงินจ่ายค่าเช่าอยู่เกือบ 2 ปี ตอนหลังก็เลยเอาญาติมาขายข้าวแกงถุงแต่กลับไม่ดีเพราะมีเจ้าอื่นอยู่แล้ว จากนั้นผมก็เลยหาที่ตัวใหม่มาขายเป็นแบบรถเข็นอาหารตามสั่ง มันก็พอได้แต่รายได้ไม่เยอะ ก็เลยเปลี่ยนจากรถเข็นมาเป็นแกงถุง ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นขายหนังสือ”
“มันแย่ตอนที่เราลุงทุนร้านอาหารครั้งแรกนี่แหละ เพราะตอนนั้นผมลงทุนไปกว่าล้านกว่าบาท เอาเงินเก็บมาลงทุนแต่ก็ยังพอมีเงินอยู่ เพราะร้านข้าวแกงก็ยังพอมีเงินจุนเจือ ส่วนร้านหนังสือกำไรมันน้อยหนังสือพิมพ์ได้เล่มละ 2 บาท 100 ได้ 20 บาทกำไรก็ได้ประมาณนั้น แผงหนึ่งขายได้ 1,000 ก็ได้ 200 กว่าบาท ถ้าขายได้ 1,200 ก็ได้ 240 รายได้ก็ประมาณนี้ 2 แผงรวมกันก็ได้ประมาณวันละ 500-600 ถามว่าพอกินไหม พอกินถ้าผมไม่มีภาระ ถ้ามีแต่ลูกมีแต่ผมมันพอกิน แต่นี่เรามีภาระ”
“ค่าเช่าร้านอาหารนี่ก็ 15,000 ต่อหนึ่งเดือน ร้านหนังสือก็ 7,000 ต่อเดือน ซึ่งตัวร้านหนังสือนี่ผมเปิดเป็นโต๊ะสนุกด้วยแต่ไม่ได้เก็บค่าเกมส์เราเอามาวางไว้เฉยๆ ใครมาฝึกเกมส์กีฬาก็มายอดค่าไฟให้เรา สรุปแล้วค่าเช่าร้านเดือนละ 22,000 และก็ยังมีค่าบ้านอีกผมซื้อมาร่วม 4 ล้าน ผ่อนเดือนละ 29,400 รวมค่าใช้จ่ายเดือนหนึ่งก็ 50,000 กว่าบาท นี่เป็นค่าใช้จ่ายยังไม่ได้คิดค่ากินเลย แล้วรายได้ผมจากร้านสองร้านรายได้ก็ประมาณเดือนละ 20,000 กว่าบาท ซึ่งถ้าผมไม่ได้เป็นหนี้บ้านรายได้เดือนละเท่านี้ก็กินสบายแล้ว”
“รายรับมันไม่พอตอนนี้ผมก็ควักทุนมาๆ จะเป็นปีแล้ว จนกระทั่งเงินมันใกล้จะหมดแล้ว พอมันใกล้จะหมดก็เลยมาคิดว่า เราคิดผิดไปหรือเปล่าที่เราไม่มาเล่นตลกตั้งแต่แรก พอไม่มีงานก็มาน้อยใจวงการ พอคิดได้ก็เลยคิดว่ากลับมาดีกว่า เพราะตอนนั้นตลกทำให้เรามีทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งบ้านมีทั้งรถมีทั้งชื่อเสียง ลูกได้รับการศึกษาสูงๆ ก็เพราะตลกทั้งนั้น”
“จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ลำบากหรือว่าอดอยากอะไรนะ แต่ที่ต้องออกมาเพราะว่าเงินมันใกล้จะหมดแล้ว การกินอยู่ของลูกๆ ก็ยังเหมือนเดิม แต่ในส่วนของผมจะลดการกินสิ่งไหนที่ผมชอบก็ไม่ซื้อ เสื้อผ้าจะใส่ผมยังแทบจะไม่มีเลย ผมลดทุกอย่างไม่ซื้ออะไรเลย ผมเป็นคนประหยัดกับตัวเองแต่กับลูกเต็มที่เลย ผมไม่เคยบอกให้ลูกรู้เลยว่าลำบาก กางเกงผมมีไม่กี่ตัวใส่ตัวละ 100 มีแค่ 2-3 ตัว”
“ลูกผมก็พึ่งจะมารู้วันนี้ เขาพึ่งมารู้ตอนที่นักข่าวสัมภาษณ์ เขาก็ยืนฟังๆ แล้วก็น้ำตาไหล คือเขาไม่เคยรู้เรื่องเลย เขาคิดว่าเราแค่มาหางานเฉยๆ แต่ไม่รู้ว่าเราลำบาก แม้กระทั่งเรื่องแม่เขาลูกก็ไม่เคยรู้ว่าผมไปง้อแม่เขาก็ร้องไห้เลย”
“เรื่องแม่เขาเราเลิกกันมา 5 ปีกว่าแล้วแต่ลูกไม่เคยรู้ เพราะแม่เขาก็บอกว่าไปทำงาน คือเราสองคนรู้กันแต่ลูกๆ ไม่เคยรู้ แรกๆ ผมก็ง้อเขามากง้อจนหมดกำลังใจที่จะไปอีกแล้ว จริงๆ แล้วช่วงที่ผมตกต่ำจนกระทั่งเอาที่เหลืออยู่ไปจุนเจือ ถ้าผมมีแฟนอยู่มันก็มีกำลังใจ ซึ่งที่ผ่านมาตอนที่แฟนอยู่เขาจะเป็นกำลังใจให้ตลอด ลูกเอาใจเราก็ไม่เหมือนที่แม่เขาเอาใจ คงเป็นเพราะเราก็ไม่ได้บอกความจริงเขาด้วยแหละมั๊ง เขาถึงไม่ได้มาดูแลใส่ใจเราเป็นพิเศษ”
“เราเก็บอะไรคนเดียวมาตลอดมันอึดอัดมากจนอยากจะฆ่าตัวตาย ขับรถไปถึงแม่กลองกะว่าจะขับรถลงน้ำไปด้วยซ้ำ ผมรู้สึกเหนื่อยและก็ล้า ผมโทรไปหาแม่ที่ปักษ์ใต้ก็บอกแม่ว่า ผมไม่ไหวแล้วแม่ ผมหมดกำลังใจทุกอย่าง แกก็เลยถามว่าแฟนยังไม่กลับมาอีกเหรอ ผมก็บอกว่า เขาไม่มาแล้วล่ะ 5 ปีกว่าแล้ว ผมเหนื่อยเหลือเกินผมทำจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน ไม่รู้สิแม่ผมบอกไม่ถูก ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ ยังไงก็ฝากลูกด้วยนะ ถ้าเกิดผมเป็นอะไรไปบ้านนี้ผมไม่อยากให้แบงค์ยึดผมอยากให้เป็นของลูกผม ฝากลูกด้วยนะแม่นะ”
“แม่ก็บอกว่า แม่ไม่รับหรอก ลูกอยู่กับคนอื่นก็ไม่ดีเท่าอยู่กับพ่อแม่หรอก เขาคงพูดไม่อยากให้เราคิดมาก ผมก็ขับรถไปคิดไปเรื่อยๆ จะขับรถลงสะพานแล้ว แต่มานึกถึงคำที่แม่พูดว่า กูไม่รับหรอกลูกมันต้องอยู่กับพ่อกับแม่ เราก็เลยมาคิดขนาดแม่เรายังไม่รับแล้วคนอื่นจะมาดูแลลูกเราเหรอ ผมก็เลยรีบขับรถกลับมาหาลูก ก็เปิดประตูดูลูกๆ ก็เห็นเขานอนกัน ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ดูสิขนาดเรามาเปิดห้องลูกยังไม่รู้สึกตัวเลย แล้วถ้าเราเป็นอะไรไป ใครจะเข้าไปใครจะบุกเข้าบ้านมันก็เป็นอันตรายกับลูก เราก็เลยคิดได้อยู่กับลูกต่อไป”
“ตอนนี้ลูกคนโตกับคนเล็กก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ มีแต่คนกลางที่ไปด้วยวันนี้เขารู้ เขาก็บอกว่า เขาไม่รู้ว่าพ่อลำบากแบบนี้ เขาก็ขอโทษถ้าเขารู้ว่า พ่อลำบากแบบนี้เขาจะไม่ทำตัวเลวไหล เราก็ไม่เป็นไรขอแค่ลูกเป็นเด็กดีของพ่อ พ่อก็จะเป็นพ่อที่ดีของลูกเหมือนกัน”
วางอนาคตวงการบันเทิง หวังจะรับงานแสดงไปเรื่อยๆ เผื่อหาเงินมาผ่อนบ้าน แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องขายทิ้ง
“ตอนนี้ก็กะว่าจะสู้เรื่องงานแสดงต่อไป ก็จะสู้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะเราก็ได้กำลังใจจากประชาชนทั่วไป พี่ๆ นักข่าวและก็ลูกๆ แต่ถ้าสู้ไม่ไหวจริงๆ ก็คงต้องขายบ้านไปเพราะปัญหาหนักตอนนี้ก็คือเรื่องบ้าน ผมค่อนข้างวางตัวลำบาก เพราะเดี๋ยวคนนั้นก็มาให้เป็นประธาน เดี๋ยวก็งานแต่ง แล้วคิดดูผมเคยใส่ซองละ 1,000 เขาเคยมองผมแบบนั้นแล้วผมจะให้ผมไปใส่ซองละ 200 เหรอ การที่เราออกมาแบบนี้ก็ดีเหมือนกันทุกคนจะได้รู้ว่าเราเป็นยังไง และตอนนี้ก็มีหลายๆ คนโทรมาให้งานเพราะเขาสงสาร ซึ่งตอนนี้ก็ดีนะครับพอเราไปแจนามบัตรก็มีงานเข้ามาหลายงาน มีงานบวช งานแต่งงาน งานเอนเตอร์เทนลูกทัวร์ แต่ว่าบอกตรงๆ ของานที่ผมถนัดเถอะ อย่างงานแสดงเราถนัด บางคนบอกจะให้เราไปขายตรงเครื่องสำอางแบบนั้นเราก็ไม่ถนัด”
สำหรับใครอยากจะจ้าง “โชเล่ย์ ดอกกระโดน” ไปแสดงตลก สามารถติดต่อได้ที่ 081-5559257