“ต่อพงษ์” บก.บันเทิง ASTVผู้จัดการรายวัน ให้การกับตำรวจกรณีถูกมือมืดตีหัวแตก น่าจะเกี่ยวกับการนำเสนอข่าวบันเทิง แฉ ก่อนถูกทำร้าย “นีโน่” โทร.คุกคามหลายครั้ง หลังเข้าใจว่าตนถูกพาดพิงในคอลัมน์ดังของผู้จัดการออนไลน์ จึงเกิดความไม่พอใจ ผู้เสียหาย เผย ยังไม่ปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นคนกระทำ แต่ยันไม่มีศัตรูที่ไหน
จากรณีที่ “ต่อพงษ์ เศวตามร์” บรรณาธิการข่าวบันเทิง หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวัน และ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้ถูกคนร้ายใช้เหล็กแป๊บหวดที่ศีรษะจนแตกเลือดอาบ ระหว่างเดินทางมายังสำนักงานบ้านพระอาทิตย์ โดยเหตุเกิดในช่วงสายของวันนี้ (16 ก.พ.) ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สน.ชนะสงคราม ไปแล้วนั้น
ล่าสุด เจ้าตัวได้ให้การกับตำรวจ พร้อมทั้งสัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าว โดยเปิดเผยว่า ส่วนตัวไม่เคยมีศัตรูที่ไหน จึงเชื่อว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากการทำงานสื่อมวลชน ซึ่งก่อนหน้านี้ บก.บันเทิง ASTV ได้ถูกพิธีกรชื่อดัง “นีโน่ เมทนี บูรณะศิริ” โทร.คุกคามก่อนถูกคนร้าย รวมถึง “เกรียงศักดิ์ สกุลชัย” หรือ “ต้อย แอ็คเนอร์” บก.หนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับหนึ่ง ก็เคยติดต่อผู้บริหารระดับสูงของหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวัน เพื่อให้งดเสนอข่าวฉาวที่เกี่ยวกับตน
“เหตุเกิดตอนเช้า ผมขับรถเข้ามาจอดที่ตึกวิทยุของทางผู้จัดการ เสร็จแล้วก็จะเดินไปทำงานที่บ้านพระอาทิตย์ ที่สำนักพิมพ์ พอลงมาได้แป๊บเดียว ถึงหัวโค้งก็โดนชายไม่ทราบชื่อ แล้วก็ใส่หมวกกันน็อกวิ่งเอาเหล็กแป๊บตีเข้ามาที่หัว แล้วก็หนีไปเลย ขี่มอเตอร์ไซค์หนีไป”
“ตัวผมไม่ได้มีศัตรูอะไรนะครับ เรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ก็มีแค่มีดาราบางคนโทร.มา แล้วก็โทร.มาโวย คือ คุณนีโน่ แกคิดว่าผมเป็นคนเขียนคอลัมน์ซ้อเจ็ด ใน ASTVผู้จัดการออนไลน์ ซึ่งผมก็บอกแกไปแล้ว ว่า ผมไม่ได้เขียน มันไม่ได้เป็นคอลัมน์ที่ผมจะไปควบคุมอะไรมันได้ คือ ผมได้อย่างเดียวในฐานะเป็นหัวหน้าข่าว แต่ว่าคอลัมน์นั้นมันไม่เกี่ยวกับผมไง”
“แต่หลังๆ ผมก็เข้าใจว่า คุณนีโน่ ไปให้สัมภาษณ์ที่ไหนก็มักจะพูดถึงผมอยู่เรื่อย แล้วก็มีน้องๆ นักข่าวหลายคนก็บอกว่า เขารู้ว่าซ้อเจ็ด นามปากกามีชื่อเล่นว่า ต.ซึ่งมันก็ตรงกับผมนั่นเอง แล้วเขาก็จะจัดการ หลายครั้งที่เขาให้สัมภาษณ์พูดแบบนี้ ซึ่งการคุยกัน เขาก็พยายามบอกว่า เขาไม่ได้เป็นเกย์ และเขาไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่คิด ซึ่งผมก็ไม่ได้อะไร เพราะผมไม่ได้เขียน”
“คอลัมน์นี้ผมไม่ได้เขียน คือ จริงๆ แล้วมันมีหลายครั้งแล้ว ที่ผมก็เห็นภาพฟอร์เวิร์ดเมลของผมเอง แล้วก็มีคนไปแปะว่าผมเป็นตัวจริงของซ้อเจ็ด ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ แต่ผมไม่รู้ว่าจะไปแก้ข่าวกับใคร ว่า ใช่หรือไม่ใช่ มันไม่ใช่หน้าที่ของคนทำข่าวอย่างเรา”
เผย นอกจากนีโน่แล้ว ยังมี “ต้อย แอ็คเนอร์” ที่เคยติดต่อมาทางผู้บริหารระดับสูงของหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวัน ขอให้งดเสนอข่าวฉาวของตน แต่ก็ยังได้มีการนำเสนอต่อไปตามหน้าที่สื่อมวลชน
“ทางตำรวจถามว่า เราเคยขัดแย้งกับใครหรือไม่ แล้วก่อนหน้านี้ พี่ต้อยเขาเคยโทร.มาคุยกับเจ้านายผม บอกว่า เราอย่าไปลงข่าวเขานะ เท่านั้นเอง แต่ว่าทางเจ้านายผมก็บอกไปว่า เราก็ต้องลงไปตามที่มันเป็นจริง เพราะฉะนั้นถามว่าอันนั้นจะเป็นสาเหตุของความขัดแย้งหรือเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“แต่ถามว่าอันนั้นมันคือหนึ่งในความรู้สึก ว่า เราอาจจะถูกคุกคามได้เท่านั้นเองครับ ผมว่าอันนี้มันก็มีสิทธิ์เหมือนกัน และก็เคยมีการขู่ทำร้าย เป็นลักษณะฝากมาบอก แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนฝาก”
บอกเป็นแค่การตั้งข้อสงสัย ยังไม่ได้ปักใจเชื่อหรือปักปำว่าเป็นฝีมือใคร
“ผมยังไม่ปักใจเชื่อหรอก คือ เรื่องแบบนี่มันไม่น่าจะมาทำอะไรกันได้ แต่ถามว่าเราเคยขัดแย้งกับใครไหม แล้วถึงขนาดเขาโทร.มาหาเราเป็นสิบๆ ครั้งเนี่ย ก็มีคุณนีโน่คนเดียว คนอื่นไม่เคยโทร.มาหาเรา สาเหตุอื่นผมนึกไม่ออกถ้าประมาณปี 48 ผมอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของการเมืองนะ เพราะว่าตอนนั้นเป็นช่วงพีค แต่ว่าหลังจากไม่ได้จัดรายการ”
“หลังเกิดเหตุผมก็ไม่ได้โทร.ครับ อย่างที่บอกผมถือว่า ผมบริสุทธิ์ ผมไม่เกี่ยวข้อง แล้วผมก็ไม่คิดว่าใครจะลุกขึ้นมาตีหัวผม ส่วนหลักฐานผมลบไปหมดแล้ว แต่ว่าเบอร์ผมจำเบอร์ท้ายของคุณนีโน่ได้ จะลงท้ายด้วย 5050 เบอร์มือถือครับ โทร.มาเมื่อสัก 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา โทร.มาบ่อยมาก แต่ผมไม่ค่อยได้รับ แต่ก็จะโทร.มา 5 ครั้งติด มันจะขึ้นมิสคอลตลอด”
“เรื่องฟ้องกลับ คือ ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะฟ้องผมเรื่องอะไร หนึ่งมันก็คือมีหลายครั้ง ผมคิดว่านักข่าวก็เคยได้ยิน ว่า เขาข่มขู่ผมนะครับ จากการที่เขาคิดว่าผมเป็นซ้อเจ็ด ทีนี้ถ้าถามว่าจะมาฟ้องผมเนี่ย ผมก็ยังๆ อยู่ เพราะว่าตำรวจถามผมว่า คุณคิดว่าคุณมีเรื่องกับใคร ผมก็ตอบไปตามที่มันมีเท่านั้นเอง และคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้ เพราะยังไม่เคยมีศัตรูนี่ครับ”
“ถามว่ากลัวมั้ย คือ มันมีคนบนโลกนี้ที่มันตายโดยไม่รู้ว่าโดนอะไรตาย ทำไมถึงมีคนมาฆ่าเรา มันก็อาจจะเสียขวัญบ้างนิดหน่อย แต่ถามว่าถึงตอนนี้กลัวมากขนาดไหน ก็คงไม่กลัวมากขนาดนั้น คือ เราก็เชื่อในคุณงามความดีครับ”