xs
xsm
sm
md
lg

Serbis : ฉากชีวิตในโรงหนังโป๊ (อายุต่ำกว่า 18 ปีห้ามเข้า!!)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย : อภินันท์ บุญเรืองพะเนา

ไม่อื้อฉาวเท่า Shortbus ไม่เปิดเปลือยหลุดโลกแบบเดียวกับ 9 Songs แต่นี่คือผลงานที่ว่ากันว่าเป็นหนังสุดฉาวโฉ่แห่งเอเชียในรอบหลายปีที่มี Feedback ทั้งเสียงเชียร์และสาปส่ง และจากการเปิดตัวฉายในเทศกาลหนังที่เมืองคานส์ครั้งล่าสุด Serbis ได้รับตำแหน่ง “หนังที่อื้อฉาวที่สุด” ประจำเทศกาล พร้อมกับเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ ของรางวัลปาล์มทองคำ ส่วนที่เมืองไทยบ้านเรา หนังเรื่องนี้ถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดสำหรับผู้ชมที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีไปเรียบร้อยแล้ว...

“บริลลานเต้ เมนโดซ่า” ชื่อนี้คงไม่เป็นที่คุ้นหูสำหรับคนดูหนังชาวไทยส่วนใหญ่ แต่ใครก็ตามที่เอียงข้างไปทางชอบดูหนังนอกกระแส ย่อมจะเคยผ่านหูผ่านตาชื่อนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งถ้าจะให้ introduce กันอย่างรวบรัดที่สุด ก็พูดได้ทันทีเลยว่า เขาผู้นี้คือ Director มือกลั่นสัญชาติฟิลิปปินส์ที่มีความต่อเนื่องทั้งเรื่องของคุณภาพและจำนวนชิ้นงานที่สร้างสรรค์ออกมาสู่สายตาคนดูอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ The Masseur (ปี 2005) หนังที่ซอกซอนเข้าไปเจาะชีวิตและการทำงานของเกย์หนุ่มหมอนวดทุกหลืบทุกมุมที่คุณอาจไม่เคยรู้ แต่อาจจะอยากเห็น?!?! (หนังเรื่องนี้เคยเข้ามาฉายที่เทศกาลบางกอกเวิลด์ฟิล์มเมื่อหลายปีก่อนด้วยกระแสตอบรับที่...ตั๋วขายหมดเกลี้ยง!)

อย่างไรก็ดี หลังจากอยู่กับภาวะ “กระมิดกระเมี้ยน” มาพักใหญ่ บริลลานเต้ เมนโดซ่า ดูจะ “กล้า” ขึ้นมากว่าเดิมอีกหลายช่วงตัว เพราะถึงแม้ว่าผลงานที่ผ่านๆ มาของเขา (อย่างเช่น The Masseur) จะนำเสนอภาพที่ขัดหูขัดตาศีลธรรมพอสมควร แต่ทั้งหมดก็ไม่ถึงกับ “โจ่งแจ้งโจ๋งครึ่ม” จนเกินงาม แต่กับผลงานชิ้นล่าสุดอย่าง Serbis ดูเหมือนเมนโดซ่าจะถอดทิ้งความประนีประนอมออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะนอกจากหนังเรื่องนี้จะเดินเหตุการณ์อยู่ในสถานที่อโคจรอย่างโรงฉายหนังโป๊แล้ว หลายๆ ฉาก หลายๆ ซ็อตยังดูไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับท่านที่ชอบยืนพิงกำแพงแห่งศีลธรรม (นั่นยังไม่นับรวมเสียงครางซี้ดซ้าดเป็นระยะๆ ที่ดังมาจากโรงฉายหนังโป๊ดังกล่าว)

และก็เนื่องมาจากฉากอย่างว่าแบบนี้นี่เอง ทางโรงภาพยนตร์เฮาส์ อาร์ซีเอ ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดฉายหนังเรื่องนี้จึงได้นำเอาระบบการจัดเรตติ้งมาใช้กับหนังเรื่องนี้ (ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดีทัศน์ 2551 ซึ่งเริ่มใช้อย่างจริงจังตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป) โดยจะไม่อนุญาตให้ผู้ชมที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าชมหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็คล้ายกับหลายๆ คน ผมเห็นด้วยนะครับกับวิธีการแบบนี้ เพราะอย่างน้อยๆ ก็น่าจะดีกว่าระบบเซ็นเซอร์ที่ปิดโอกาสคนดูอย่างสิ้นเชิง

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร พูดกันอย่างถึงที่สุด ผมก็ยังเห็นว่า Serbis ไม่ได้ “โป๊” มากมายสักเท่าไหร่ ขณะที่ “ฉากอย่างว่า” ก็มีอยู่น้อยถึงน้อยมากเมื่อเทียบกับคำโปรโมทหนังที่จัดวางถ้อยคำน้ำเสียงให้รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นหนังโป๊เปลือยอล่างฉ่างสุดลิ่มทิ่มประตู ซึ่งตรงนี้ ผมไม่ได้รู้สึกเสียดายนะครับกับฉากหวิวๆ ที่มีอยู่น้อยนิด (เพราะถ้าคิดจะดูอะไรที่มันเซ็กซ์ๆ ก็ไม่ควรมา Expect จากหนังแบบนี้) ผมเพียงแค่คิดว่า บางที หนังดีๆ ที่คนควรจะได้ดูกันเยอะๆ ก็สามารถจะถูก Spoil ได้เช่นกัน เพราะเรื่องของการโปรโมทที่ชักชวนให้รู้สึก XXX มากเกินไป (ไม่ได้กล่าวโทษทีมโปรโมทของโรงหนังเฮาส์นะครับ เพราะจริงๆ หนังเรื่องนี้ถูกทำให้ดู “ฉาว” มาตั้งแต่ตอนฉายที่เมืองคานส์โน่นแล้ว)

แต่เอาเถอะ ตัดเรื่องฉาวหรือไม่ฉาวออกไปก่อน...ผลงานชิ้นนี้ของบริลลานเต้ เมนโดซ่า พาคนดูเข้าไปสำรวจเรื่องราวชีวิตในช่วงเวลาเพียงหนึ่งวันของครอบครัวชาวฟิลิปปินส์ครอบครัวหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจโรงฉายหนังโป๊ที่นอกจากจะเป็นแหล่งรายได้หลักๆ ของสมาชิกครอบครัวที่รวมกันแล้วนับสิบชีวิต เราจะพบว่า โรงหนังแห่งนี้ยังมีการกั้นห้องแบ่งโซนเพื่อเป็นที่พักอาศัยของพวกเขาด้วยในขณะเดียวกัน

หลังจากเปิดฉากแรกด้วยภาพของตัวละครหญิงสาววัยแรกรุ่นเปลือยกายล่อนจ้อนพร้อมกับพิศเพ่งเรือนร่างของตัวเองในกระจกแล้ว Serbis ค่อยๆ เดินเข้าไปหาความซับซ้อนอย่างเป็นลำดับขั้นด้วยการแนะนำตัวละครอีกหลายชีวิตที่อยู่รวมกันในโรงหนังโป๊ พร้อมกับเปิดเผยให้คนดูเห็นว่า การอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ใช่ว่าจะมีแต่อบอุ่นเสมอไป ซึ่งคำพังเพยที่บอกว่า “มากคนก็มากความ” นั้นก็ดูจะเหมาะสมกันดีกับสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในครอบครัวนี้

อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะมีตัวละครที่หลากหลาย และมากมายด้วยเรื่องราวที่รายล้อมอยู่รอบทิศ แต่ผู้กำกับเมนโดซ่าสามารถจัดวางรายละเอียดเหล่านี้ให้ออกมาดูกลมกล่อม พร้อมกับเฉลี่ยน้ำหนักให้กับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับตัวละครหลักๆ แต่ละตัวแบบเท่าเทียมกันได้อย่างน่าชมเชย และที่สำคัญ แม้ว่าเนื้อเรื่องของงานชิ้นนี้จะใช้ท่วงทำนองการเล่าแบบ “หลายชีวิต” แต่ทุกๆ ชีวิตก็มีจุดร่วมที่ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไรนัก นั่นก็คือ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบจากบางสิ่งบางอย่างที่ตนเองไม่อาจจะ Control ได้ และแต่ละคนก็กำลังมีปัญหา...

คงเหมือนกับอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่หนีไม่พ้นผลพวงของแรงเหวี่ยงแห่งโลกาภิวัตน์ เมนโดซ่าทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมาราวกับจะสะท้อนว่า ฟิลิปปินส์ก็ไม่ต่างจากประเทศเหล่านั้นที่กำลังอยู่ในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” อย่างรุนแรง โรงหนังโป๊โทรมๆ เก่าๆ ที่เราเห็นอยู่ในหนัง (ซึ่งเป็นที่สุมหัวของบรรดากะเทยและเกย์ เหมือนโรงหนังในเรื่อง Porn Theater ของฌาคส์ โนเล็ต ไม่มีผิด) แท้ที่จริงก็คือสัญลักษณ์ที่ทำให้เรานึกโยงใยไปไกลถึงภาพกว้างๆ ของสังคมฟิลิปปินส์ได้เช่นกัน

นั่นจึงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า ธุรกิจโรงหนังของครอบครัวนี้ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงอย่างถึงที่สุดและพร้อมจะถูกทุบทิ้งให้เป็นเศษอิฐได้ทุกเมื่อ ก็เหมือนกับวิถีชีวิตหลายๆ อย่างที่กำลังจะสูญหายด้วยการถูกขบวนรถไฟสายพัฒนาปล่อยทิ้งไว้ในระหว่างทาง เฉกเช่นเดียวกับความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวที่ดูจะเลือนหายลงไปอย่างเห็นได้ชัด ความ Irony (เย้ยหยัน) อย่างร้ายกาจของ Serbis เกี่ยวกับสภาพครอบครัวก็คือ การตั้งชื่อให้โรงหนังโป๊อย่างสวยหรูชวนฝันว่า Family แต่ตลอดทั้งเรื่อง หนังกลับไม่ค่อยจะมีแง่มุมของความเป็นแฟมิลี่ที่อบอุ่นปรองดองให้เราเห็นเลยแม้แต่น้อย

พูดถึงความ Irony แล้ว ผมว่า บริลลานเต้ เมนโดซ่า นับเป็นคนทำหนังที่ใส่แง่มุมในเชิงเย้ยหยันได้เจ็บปวดที่สุดคนหนึ่ง เพราะพ้นไปจากจุดที่เกี่ยวกับชื่อโรงหนังนี้แล้ว ยังมีอีกหลายๆ Point ที่หนังเสียดเย้ยได้อย่างมีกึ๋น เช่น สภาพแวดล้อมในโรงหนังโป๊ที่เราจะเห็นป้ายประกาศห้ามทำโน่นทำนี่เยอะแยะไปหมด ห้ามฉี่ ห้ามทำสกปรก หรือแม้แต่ห้ามมีเซ็กซ์ (No Sex Action) แต่ทุกสิ่งที่ห้าม มีให้เห็นหมดในโรงหนังแห่งนี้จนไม่รู้ว่า แล้วคุณพี่จะมีป้ายประกาศห้ามไว้ทำไมเนี่ย?? และอีกจุดที่ชวนให้รู้สึกขันขื่นเอามากๆ ก็คือ ตอนที่ประชาชนเดินขบวนจุดเทียนบูชาพระแม่มารีเต็มท้องถนน แต่หนังก็ฉายภาพไปที่ตรอกแคบๆ แห่งหนึ่งซึ่งผู้ชายสองคนกำลังเจรจาซื้อขายบริการทางเพศกันอย่างหน้าตาเฉย!! (ขณะเดียวกัน ความช่างคิดแบบซุกซนอีกอันหนึ่งที่ผมชอบและเห็นว่าผู้กำกับเมนโดซ่าเข้าใจเล่นได้อย่างชาญฉลาดก็คือ ตอนที่เด็กหนุ่มไซด์ไลน์นั่งรถไปกับลูกค้าหนุ่มใหญ่ที่ขับรถสวนทางถนน One Way ซึ่งเป็นมุกที่สมาชิกชาวเกย์คงจะ get ได้ไม่ยาก :)

ก็อย่างที่บอกครับว่า ตัวละครแต่ละคนในหนังต่างก็กำลังประสบพบเจอกับปัญหากันคนละอย่างสองอย่าง บางปัญหายืดเยื้อเรื้อรังเหมือนฝีที่ก้นของตัวละครชายหนุ่มอย่าง “อลัน” (มาร์โค มาร์ติน) ซึ่งดูท่าว่าจะหายขาดได้ยาก เปรียบไปก็คงคล้ายปัญหาเศรษฐกิจของครอบครัวนี้ที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นพ่อและดูเหมือนว่ามีแต่จะตกต่ำลงทุกวัน (ครอบครัวนี้เคยมีโรงหนังถึงสามแห่ง ก่อนจะเริ่มเจ๊งและปิดตัวไป เหลือเพียงโรงเดียวอันแสนโกโรโกโส) และจากเทคนิคด้านภาพที่ถ่ายทำด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์ซึ่งทำให้ได้ภาพที่ออกมามองดูส่ายไหว ไม่นิ่ง ก็ให้ความรู้สึกถึงความระส่ำระสายไม่มั่นคงของชีวิตของตัวละครได้ด้วยเช่นกัน

โดยรวม ผมว่าหนังประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการพาคนดูเข้าไปสัมผัสกับสุขทุกข์ของตัวละครซึ่งสะท้อนเป็น “ภาพจำลอง” หลายๆ ด้านของสังคมฟิลิปปินส์อีกต่อหนึ่ง และแน่นอนที่สุด ผมว่าหนังเรื่องนี้คือ Case Study ที่ดีเลยทีเดียวสำหรับคนทำหนังที่คิดจะสร้างสรรค์ผลงานในเชิงสะท้อนความเป็นไปของสังคม หนังเล่าเรื่องอย่างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่สะท้อนถึงแง่มุมทางสังคมได้อย่างมีพลังและชั้นเชิง และที่โดดเด่นมากๆ ก็คือการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ไล่ตั้งแต่รูปภาพพระเยซู ภาพพระแม่มารี ไปจนถึงภาพถ่ายครอบครัวเมื่อครั้งยังไม่แตกแยก หรือแม้กระทั่ง “แพะ” ที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาเดินในโรงหนังโป๊ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมให้เนื้อหาที่หนังต้องการสื่อ มีความ “แข็งแรง” ขึ้นมาอย่างมากมาย

ดังนั้น ถ้าหากไม่ไปยึดติดอยู่กับแค่ฉากเปลือยๆ ไม่กี่ฉาก ผมว่า Serbis คือหนังชีวิตที่บอกเล่าเรื่องราวเศร้าๆ หม่นๆ ในวิถีชีวิตของชาวฟิลิปปินส์ได้อย่างเห็นภาพ มันคือภาพของความทุกข์ยากและความคาดหวัง...คาดหวังว่าจะผ่านพ้นไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น...

มีฉากหนึ่งช่วงท้ายเรื่องซึ่งผมคิดว่าหนังคล้ายๆ จะส่งเสียงปลอบโยนและให้ความหวัง หลังจากที่นำเสนอแต่เรื่องเจ็บปวดและพ่ายแพ้มาทั้งเรื่อง คือตอนที่หญิงหม้าย (เนย์ด้า) สบสายตากับเด็กหนุ่มคนฉายหนัง (โรนัลด์) ซึ่งยืนชะเง้อหน้ามองลงมาจากราวบันไดชั้นบน มันอาจจะดู “ผิดที่ผิดทาง” และห่างไกลเอื้อมไม่ถึง แต่ก็ดูมีความหวังอยู่ในที

ไม่รู้ว่า ผู้กำกับบริลลานเต้ เมนโดซ่า จะคิดอย่างไรกับฉากที่ว่านี้ แต่จากรอยยิ้มบางๆ ที่แทรกแซมอยู่บนใบหน้าของหญิงหม้ายลูกหนึ่งนั้น ก็ทำให้ผมแอบคิดไปไกลถึงขั้นที่ว่า ปัญหาที่สุมอยู่ในโรงหนังโป๊แห่งนี้ คงจะหาทางคลี่คลายไปได้ในทางที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า

คิดไปไกลขึ้นอีกนิด ชีวิตของชาวฟิลิปปินส์ส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเช่นนั้น...

*** หนังเรื่องนี้เข้าฉายเฉพาะที่โรงหนังเฮาส์ อาร์ซีเอ และไม่อนุญาตสำหรับผู้ชมที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งจะมีการตรวจบัตรประจำประชาชนทุกรอบฉาย แต่ที่น่าแปลกใจอยู่สักหน่อยก็คือ วันที่ผมไปดู หญิงสาวคนขายตั๋วกลับไม่ขอตรวจบัตรผมเลย ผมมองโลกแง่ดีไว้ก่อนว่าสาวเจ้าคงลืม และไม่น่าจะเกี่ยวกับใบหน้าของผมที่บ่งบอกอายุเลยเลข 18 มาแล้วหลายปี หึหึ...)
กำลังโหลดความคิดเห็น