แม้อุบัติเหตุบนท้องถนนจะเป็นผลที่มาจากเหตุของความประมาท-ไม่ประมาทเป็นสำคัญ ทว่าการเดินทางโดยรถจักรยานยนต์ในเมืองหลวงแห่งนี้ดูเหมือนมันจะกลายเป็นพาหนะที่ใครหลายคนมักจะมองและรู้สึกว่ามีความ "สูง" มากกว่ายานพาหนะอื่นๆ ในเรื่องของความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทั้งต่อตนเองและต่อคนอื่น
"สูง" ในเรื่องความเสี่ยง ขณะเดียวกันก็ "ต่ำ" ในเรื่องของความปลอดภัย
ว่าไปแล้วมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผิดไปจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่นักหากมองถึงลักษณะทางกายภาพที่เป็นเสมือน "เนื้อหุ้มเหล็ก" รวมถึงรูปแบบของการขับขี่ หรือแม้กระทั่งสถิติจำนวนครั้งในการเกิดอุบัติเหตุของยานพาหนะนี้ในแต่ละปี
แต่ถึงแม้จะเสี่ยง แม้จะไม่ปลอดภัย ถึงกระนั้นรถจักรยานยนต์ หรือที่เรียกกันติดปากคนส่วนใหญ่ว่ามอเตอร์ไซค์ หรือจะเรียกแบบวัยรุ่นแบบยียวนว่า มอร์' ไซค์ (กรุณาปากเบี้ยวๆ และทำเสียงขึ้นจมูกจะได้อารมณ์มาก) ก็ยังคงเป็นพาหนะที่จำเป็นสำหรับคนกรุงบางส่วนซึ่งต้องการเดินทางไปไหนมาไหนด้วยเวลาอันจำกัด
นั่นเองที่ทำให้คนเหล่านั้นจำเป็นต้องพึ่งการใช้บริการของบรรดาวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างทั้งหลาย
...
ด้วยความที่เป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจังในเรื่องของการรักษาเวลาในการนัดหมาย ประกอบกับเป็นเด็กต่างจังหวัดที่มิอาจจะคำนวณระยะเวลาของการเดินทางโดยรถแท็กซี่ รถตุ๊กๆ ได้ เพราะมิอาจจะคาดเดาได้ถึงสภาพการจราจรของเมืองกรุงในแต่ละเส้นทางได้แม่นยำสักเท่าไหร่ ส่งผลให้ผมต้องกลายเป็นคนหนึ่งที่ใช้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ค่อนข้างจะบ่อยครั้ง
และนั่นเองที่ทำให้ได้พบว่า นอกจากจะเป็นเมืองที่มีถนนเอาไว้ให้รถจอด(มีฟุตบาธเอาไว้ตั้งร้านค้า), เป็นถนนที่มีรถติดเป็นอันดับของต้นๆ ของโลก, เป็นถนนที่บรรดาคนขับรถโดยสารบางส่วนมองเห็นเป็นสนามแข่งประลองความเร็ว และเป็นถนนที่อาจจะมีรถแท็กซี่มากสีที่สุดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าสร้างสีสัน เป็นความน่าอัศจรรย์บนท้องถนนในเมืองกรุงก็คือลีลาการวิ่งของมอเตอร์ไซค์รับจ้างนี่แหละ
ในระยะแรกๆ ของการใช้บริการยอมรับเลยครับว่ากลัวทั้งกลัวและเกร็ง
ครั้งหนึ่งผมเคยว่าจ้างมอเคอร์ไซค์จากวินแถวๆ หน้าสนามรัชมังคลาฯ เพื่อมายังถนนพระอาทิตย์ในช่วงเวลาหัวค่ำในสภาพบรรยากาศที่การแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมชาติออสเตรเลียกับทีมชาติไทยเพิ่งจะจบเกม และมีฝนตกโปรยปราย
สภาพแบบนี้ แน่นอนว่าเรื่องรถติดไม่ต้องเขียนถึง
อาจจะเป็นเพราะคำบอกกล่าวของผมที่ว่าไปเร็วๆ เลยนะครับพี่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ที่ทำให้ทันทีที่เครื่องติด ดูเหมือนว่าอุปกรณ์ของรถมอเตอร์ไซค์คันที่ถูกผมว่าจ้างจะถูกใช้งานอยู่เพียง 2 อย่างเท่านั้น
หนึ่งคือแฮนด์บังคับ กับสองคือคันเร่ง
พี่แกขับเร็วมากจนผมเตรียมใจเอาไว้เลยว่าหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
30 นาที บวก-ลบไม่เกิน 5 เป็นเวลาในการเดินทางในครั้งนั้น
...
เริ่มต้นใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วยความกลัวเกร็ง ครั้นพอเริ่มคุ้นความกลัวก็หายไปแต่ความเกร็งยังคงมีอยู่
และจากความเกร็งที่มี พอขึ้นบ่อยครั้งขึ้น ตอนนี้ที่เหลือก็คือปฏิกิริยาทางร่างกายที่กระเด้งกระดอนไปตามจังหวะของโช้คอัพรถซึ่งขยับเคลื่อนขึ้น-ลงตามการบีบบังคับด้วยความต่างของพื้นถนน
ลองมาคิดดูก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่ เมื่อคิดไปถึงบทบาทของผมในการเป็นผู้ซ้อนท้ายซึ่งมิได้บังคับรถ แน่นอนว่าความมั่นใจมันย่อมจะแตกต่างไปหากผมไปเล่นบทของคนขับเอง
ถึงตอนนี้เรื่องของความเร็วก็ยังเป็นเหตุผลหลักในการขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่เหมือนเดิมครับ แต่เมื่อไม่มีความกลัว ไม่มีความเกร็ง มันก็ทำให้สมองผมมีโอกาสสังเกตบรรยากาศต่างๆ ได้มากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำสำหรับคนที่จำเป็นจะต้องใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็คือความเชื่อใจในตัวคนขับ ประการที่สองก็คือกรุณาทำตัวให้เล็กที่สุดและอย่าได้ฝืนตัว อย่าได้เกร็งเป็นอันขาดในยามที่พี่คนขับแกบิดเอี้ยวเบี้ยวตัวจนเอวคนเอวอ่อน เพื่อนำรถแทรกเข้าไประหว่างรถยนต์หลากหลายยี่ห้อและหลากหลายขนาดที่จอดติดเรียงรายกันอยู่
พูดให้เท่ห์ๆ ก็คือคนซ้อนต้องพยายามผสานใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับคนขับและส่งถ่ายไปยังรถที่นั่งคร่อมอยู่ให้ได้
จะว่าไปแล้วผมเองค่อนข้างจะเป็นคนที่ชอบความมีระเบียบวินัย แรกๆ ที่เห็นการขับมอเตอร์ไซค์แบบปาดแซงซ้ายที ขวาสองที ปาดซ้ายสองที ขวาที (บางทีก็ใช้ทางเท้าเป็นถนน และอีกหลายทีที่จอดเลยเส้นที่กำหนด) ก็รู้สึกนึกอดตำหนิไม่ได้ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงได้ขับรถไม่เป็นระเบียบ ไม่เคารพกฏ อันอาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้ง่ายๆ (เชื่อว่าบรรดาคนขับรถยนต์หลายคนเองก็คงจะรู้สึก หรือบางคนก็อาจจะออกอาการรังเกียจคนขับมอเตอร์ไซค์เสียด้วยซ้ำ)
วันนี้ความรู้สึกที่ว่าก็ยังคงอยู่ครับ เพียงแต่พยายามรู้สึกว่า คิดไปก็ไม่ดีกับตัวเอง สู้มามองให้มันเป็นศิลปะดีกว่า
ยามที่บรรดามอเตอร์พาเหรดวิ่งแทรกเข้าไปในช่องว่างของรถที่ติดอยู่ซึ่งมีขนาดกว้างเพียงเมตรกว่าๆ ช่องนั้นที ช่องนี้ที ดูไปดูมามันก็คล้ายกับสายน้ำที่มันค่อยๆ ไหลไปตามรอยแยกของลำธารอย่างไรอย่างนั้นเลยครับ
หลายคันเลือกตัดสินใจผิดเลี้ยวไหลไปตามช่องที่มองข้างหน้าไม่เห็นว่ามันคับแคบเกินกว่าที่จะกระเสือกกระสนไปได้อีกก็ต้องติดแหงกอยู่อย่างนั้น
ในสภาพดังกล่าวบางคันก็อาจจะรอ ขณะที่บางคันพอรู้ตัวทันก็ค่อยๆ ถีบตัวขยับถอยหลังกลับหาช่องทางใหม่ด้วยความระวังว่ากระจกมองหลังจะไปเกี่ยวถลอกสีรถเก๋งคันงามของใครเข้าหรือเปล่า ส่วนบางคันก็กระโจนขึ้นไปบนทางเท้ามันซะเลย
ว่าไปแล้วก็เหมือนชีวิตคนเรานั่นแหละครับ ทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่จะแสวงหาทางที่สร้างความสะดวกสบายให้กับตนเองเป็นหลัก โดยบางคนก็ไม่เคยคิดเลยว่าเส้นทางบางเส้นทางที่เลือกนั้นนับวันจะกร่อนกินสิ่งที่เรียกว่า "น้ำใจ" ที่มีอยู่ให้เหือดแห้งลงไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันก็หล่อหลอม "ความเห็นแก่ตัว" มากขึ้นเรื่อยๆ จนบดบัง กฏ ระเบียบ และสิทธิของผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆ
"สูง" ในเรื่องความเสี่ยง ขณะเดียวกันก็ "ต่ำ" ในเรื่องของความปลอดภัย
ว่าไปแล้วมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผิดไปจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่นักหากมองถึงลักษณะทางกายภาพที่เป็นเสมือน "เนื้อหุ้มเหล็ก" รวมถึงรูปแบบของการขับขี่ หรือแม้กระทั่งสถิติจำนวนครั้งในการเกิดอุบัติเหตุของยานพาหนะนี้ในแต่ละปี
แต่ถึงแม้จะเสี่ยง แม้จะไม่ปลอดภัย ถึงกระนั้นรถจักรยานยนต์ หรือที่เรียกกันติดปากคนส่วนใหญ่ว่ามอเตอร์ไซค์ หรือจะเรียกแบบวัยรุ่นแบบยียวนว่า มอร์' ไซค์ (กรุณาปากเบี้ยวๆ และทำเสียงขึ้นจมูกจะได้อารมณ์มาก) ก็ยังคงเป็นพาหนะที่จำเป็นสำหรับคนกรุงบางส่วนซึ่งต้องการเดินทางไปไหนมาไหนด้วยเวลาอันจำกัด
นั่นเองที่ทำให้คนเหล่านั้นจำเป็นต้องพึ่งการใช้บริการของบรรดาวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างทั้งหลาย
...
ด้วยความที่เป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจังในเรื่องของการรักษาเวลาในการนัดหมาย ประกอบกับเป็นเด็กต่างจังหวัดที่มิอาจจะคำนวณระยะเวลาของการเดินทางโดยรถแท็กซี่ รถตุ๊กๆ ได้ เพราะมิอาจจะคาดเดาได้ถึงสภาพการจราจรของเมืองกรุงในแต่ละเส้นทางได้แม่นยำสักเท่าไหร่ ส่งผลให้ผมต้องกลายเป็นคนหนึ่งที่ใช้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ค่อนข้างจะบ่อยครั้ง
และนั่นเองที่ทำให้ได้พบว่า นอกจากจะเป็นเมืองที่มีถนนเอาไว้ให้รถจอด(มีฟุตบาธเอาไว้ตั้งร้านค้า), เป็นถนนที่มีรถติดเป็นอันดับของต้นๆ ของโลก, เป็นถนนที่บรรดาคนขับรถโดยสารบางส่วนมองเห็นเป็นสนามแข่งประลองความเร็ว และเป็นถนนที่อาจจะมีรถแท็กซี่มากสีที่สุดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าสร้างสีสัน เป็นความน่าอัศจรรย์บนท้องถนนในเมืองกรุงก็คือลีลาการวิ่งของมอเตอร์ไซค์รับจ้างนี่แหละ
ในระยะแรกๆ ของการใช้บริการยอมรับเลยครับว่ากลัวทั้งกลัวและเกร็ง
ครั้งหนึ่งผมเคยว่าจ้างมอเคอร์ไซค์จากวินแถวๆ หน้าสนามรัชมังคลาฯ เพื่อมายังถนนพระอาทิตย์ในช่วงเวลาหัวค่ำในสภาพบรรยากาศที่การแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมชาติออสเตรเลียกับทีมชาติไทยเพิ่งจะจบเกม และมีฝนตกโปรยปราย
สภาพแบบนี้ แน่นอนว่าเรื่องรถติดไม่ต้องเขียนถึง
อาจจะเป็นเพราะคำบอกกล่าวของผมที่ว่าไปเร็วๆ เลยนะครับพี่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ที่ทำให้ทันทีที่เครื่องติด ดูเหมือนว่าอุปกรณ์ของรถมอเตอร์ไซค์คันที่ถูกผมว่าจ้างจะถูกใช้งานอยู่เพียง 2 อย่างเท่านั้น
หนึ่งคือแฮนด์บังคับ กับสองคือคันเร่ง
พี่แกขับเร็วมากจนผมเตรียมใจเอาไว้เลยว่าหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
30 นาที บวก-ลบไม่เกิน 5 เป็นเวลาในการเดินทางในครั้งนั้น
...
เริ่มต้นใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วยความกลัวเกร็ง ครั้นพอเริ่มคุ้นความกลัวก็หายไปแต่ความเกร็งยังคงมีอยู่
และจากความเกร็งที่มี พอขึ้นบ่อยครั้งขึ้น ตอนนี้ที่เหลือก็คือปฏิกิริยาทางร่างกายที่กระเด้งกระดอนไปตามจังหวะของโช้คอัพรถซึ่งขยับเคลื่อนขึ้น-ลงตามการบีบบังคับด้วยความต่างของพื้นถนน
ลองมาคิดดูก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่ เมื่อคิดไปถึงบทบาทของผมในการเป็นผู้ซ้อนท้ายซึ่งมิได้บังคับรถ แน่นอนว่าความมั่นใจมันย่อมจะแตกต่างไปหากผมไปเล่นบทของคนขับเอง
ถึงตอนนี้เรื่องของความเร็วก็ยังเป็นเหตุผลหลักในการขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่เหมือนเดิมครับ แต่เมื่อไม่มีความกลัว ไม่มีความเกร็ง มันก็ทำให้สมองผมมีโอกาสสังเกตบรรยากาศต่างๆ ได้มากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำสำหรับคนที่จำเป็นจะต้องใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็คือความเชื่อใจในตัวคนขับ ประการที่สองก็คือกรุณาทำตัวให้เล็กที่สุดและอย่าได้ฝืนตัว อย่าได้เกร็งเป็นอันขาดในยามที่พี่คนขับแกบิดเอี้ยวเบี้ยวตัวจนเอวคนเอวอ่อน เพื่อนำรถแทรกเข้าไประหว่างรถยนต์หลากหลายยี่ห้อและหลากหลายขนาดที่จอดติดเรียงรายกันอยู่
พูดให้เท่ห์ๆ ก็คือคนซ้อนต้องพยายามผสานใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับคนขับและส่งถ่ายไปยังรถที่นั่งคร่อมอยู่ให้ได้
จะว่าไปแล้วผมเองค่อนข้างจะเป็นคนที่ชอบความมีระเบียบวินัย แรกๆ ที่เห็นการขับมอเตอร์ไซค์แบบปาดแซงซ้ายที ขวาสองที ปาดซ้ายสองที ขวาที (บางทีก็ใช้ทางเท้าเป็นถนน และอีกหลายทีที่จอดเลยเส้นที่กำหนด) ก็รู้สึกนึกอดตำหนิไม่ได้ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงได้ขับรถไม่เป็นระเบียบ ไม่เคารพกฏ อันอาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้ง่ายๆ (เชื่อว่าบรรดาคนขับรถยนต์หลายคนเองก็คงจะรู้สึก หรือบางคนก็อาจจะออกอาการรังเกียจคนขับมอเตอร์ไซค์เสียด้วยซ้ำ)
วันนี้ความรู้สึกที่ว่าก็ยังคงอยู่ครับ เพียงแต่พยายามรู้สึกว่า คิดไปก็ไม่ดีกับตัวเอง สู้มามองให้มันเป็นศิลปะดีกว่า
ยามที่บรรดามอเตอร์พาเหรดวิ่งแทรกเข้าไปในช่องว่างของรถที่ติดอยู่ซึ่งมีขนาดกว้างเพียงเมตรกว่าๆ ช่องนั้นที ช่องนี้ที ดูไปดูมามันก็คล้ายกับสายน้ำที่มันค่อยๆ ไหลไปตามรอยแยกของลำธารอย่างไรอย่างนั้นเลยครับ
หลายคันเลือกตัดสินใจผิดเลี้ยวไหลไปตามช่องที่มองข้างหน้าไม่เห็นว่ามันคับแคบเกินกว่าที่จะกระเสือกกระสนไปได้อีกก็ต้องติดแหงกอยู่อย่างนั้น
ในสภาพดังกล่าวบางคันก็อาจจะรอ ขณะที่บางคันพอรู้ตัวทันก็ค่อยๆ ถีบตัวขยับถอยหลังกลับหาช่องทางใหม่ด้วยความระวังว่ากระจกมองหลังจะไปเกี่ยวถลอกสีรถเก๋งคันงามของใครเข้าหรือเปล่า ส่วนบางคันก็กระโจนขึ้นไปบนทางเท้ามันซะเลย
ว่าไปแล้วก็เหมือนชีวิตคนเรานั่นแหละครับ ทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่จะแสวงหาทางที่สร้างความสะดวกสบายให้กับตนเองเป็นหลัก โดยบางคนก็ไม่เคยคิดเลยว่าเส้นทางบางเส้นทางที่เลือกนั้นนับวันจะกร่อนกินสิ่งที่เรียกว่า "น้ำใจ" ที่มีอยู่ให้เหือดแห้งลงไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันก็หล่อหลอม "ความเห็นแก่ตัว" มากขึ้นเรื่อยๆ จนบดบัง กฏ ระเบียบ และสิทธิของผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆ