“นุก สุทธิดา” สุดทน เผยแต่งงานมาแล้ว 4 ปี สามีไม่เคยช่วยอะไร ขนาดท้องยังต้องมานั่งต่อโต๊ะ ต่อเตียง เอง หลุดปากแฉฝ่ายชายไร้ความรับผิดชอบ เตรียมเคลียร์เรื่องโดนซ้อม และทรัพย์สินในชั้นศาล
ออกมาประกาศข่าวเตียงหักกลางรายการทีวีไปเมื่อครั้งก่อน พร้อมกับยื่นคำขาดว่าจะหย่ากับ “ป้อ บุญสิทธิ์ ธรรมโรจน์พินิจ” ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า "นุก สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา" ทนการถูกซ้อมทำร้ายร่างกายไม่ไหว จึงตัดสินใจแยกทาง ซึ่งนุกเองก็ปฏิเสธมาตลอด ล่าสุดก็มีข่าวว่า ทางฝ่ายชายไม่ให้นุกเอารถและชุดเครื่องทองเครื่องเพชรของตัวเองออกมาจากบ้าน เป็นเหตุให้ต้องเดินออกมามือเปล่า
ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร วันนี้นุกพร้อมจะเปิดใจถึงชีวิตคู่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ส่วนเรื่องโดนซ้อม สามีคบชู้ และเรื่องถูกฮุบทรัพย์สินนั้น เจ้าตัวยินดีจะเปิดเผยในชั้นศาล
“ชีวิตของนุกตอนนี้นุกก็ดีขึ้นเรื่อย นุกดีใจที่มีโอกาสได้กลับเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงอีกครั้ง ซึ่งนุกไม่เคยคาดหวังไม่คิดว่าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้แล้วใครจะให้โอกาส ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าเราพูดเรื่องครอบครัวออกไปต้องโดนด่าเละแน่ แต่อยากจะให้เรื่องมันจบสักที ยังไงก็ต้องสู้ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น ปรากฏว่าพอผ่านมันไปจริงๆ กลับมีคนให้กำลังใจเราเยอะและดีใจที่สุดคือ พี่ๆ สื่อมวลชนให้กำลังใจนุกเยอะมากอันนี้ไม่ได้พูดเอาใจมันเป็นเรื่องจริง”
“บางคนอาจจะคิดว่าสื่อมวลชนกับนักแสดงต้องเป็นศัตรูกันตลอดเวลา แต่สำหรับนุกแล้วเชื่อไหมว่างานที่ได้มาเกือบ 50 % มาจากสื่อมวลชน อย่างเวลาที่เขาสัมภาษณ์แล้วเขาจะบอกว่า เดี๋ยวช่วยติดต่อรายการบอกพี่คนโน่นคนนี้ติดต่องานให้ รู้สึกโชคดีที่เขาให้โอกาสมีน้ำใจกับเรา ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนุกไม่เคยคิดร้ายใครให้ความร่วมมือต่างๆ ดีเสมอมา ก็กลายเป็นให้ความช่วยเหลือเอื้ออาทรกันตรงนี้รู้สึกดีมากๆ”
“กับเวลาที่เสียไป นุกไม่รู้สึกเสียดาย จริงๆ นุกเป็นคนที่มีแพลนชีวิตเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะแต่งงานเร็วอยู่แล้วคิดไว้ประมาณอายุ 20 แต่งงานแน่ๆ พอถึงเวลานั้นยังไม่ได้แต่งก็เลยบอกกับตัวเองว่างั้น 25 ก็แล้วกัน พอยังไม่ได้แต่งอีกก็คิดว่าไม่ได้แล้วอายุ 27 ต้องแต่งแล้วเพราะอยากจะมีลูกก่อนอายุ 30 เหมือนถูกสภาพสังคมหลอก(หัวเราะ) เราคิดว่าถ้าอายุสามสิบไปแล้วเป็นวัยที่ไม่ควรมีลูกด้วยเรื่องสุขภาพ อีกอย่างต้องการที่จะเป็นแม่ที่โตไปพร้อมๆ กับลูก คุยภาษาเดียวกับลูกความคิดในตอนนั้นโอเคแต่งก็แต่ง”
“นุกตัดสินใจแต่งงานทั้งๆ ที่ป้อไม่ใช่ผู้ชายในสเปคเลย นุกเป็นคนที่ชอบคนตัวสูงมองคนจากภายนอกรูปร่างหน้าตามาก่อน(หัวเราะ)ไม่ค่อยจะดีนะ แต่ก็ไม่ชอบคนหล่อมากอยู่แล้วด้วย ด้วยความที่นุกอยู่วงการมานานเจอคนหล่อเยอะจนรู้สึกธรรมดา นุกจะชอบผู้ชายหน้าบ้านๆ ตัวสูงตาไม่โต แต่ทุกอย่างกลับกันหมดได้มานี่ตาโตตัวเตี้ย”(หัวเราะ)
“ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อกหักที่สุดในชีวิต เป็นช่วงชีวิตที่เป๋มาก พอมีใครสักคนเข้ามาเลยโอเค ป้อเข้ามาในลักษณะเป็นเพื่อนเราเข้ากันได้ดีเหมือนเป็นเพื่อนกัน นุกคบเขาแบบเพื่อนจะไปไหนมาไหนได้สนิทใจกว่าไม่ได้คิดอะไร เขาเป็นคนน่ารักเอาใจเก่งมากจะไม่ใช่ลักษณะสุภาพบุรุษ หรือ ว่าพ่อบุญทุ่ม เพราะเราทุ่มกว่า(หัวเราะ)เขาจะเป็นแนวพูดคุยสนุกเฮไหนเฮนั่น”
“จำได้ว่าคบหาดูใจกันประมาณสองปีถึงได้แต่งงาน แต่ความรู้สึกในวันนั้นไม่ถึงขนาดว่าฉันต้องฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้ เพราะเป็นคนที่ไม่คิดว่าจะฝากชีวิตไว้กับใครแม้กระทั่งพ่อแม่เราเอง วันหนึ่งทุกคนต้องจากเราไปไม่มีใครที่จะมาอยู่กับเราได้ตลอดชีวิตหรอก แต่ขอยืนยันว่าเราแต่งงานกันเพราะความรักจริงๆ ไม่ใช่เหตุผลเรื่องธุรกิจหรือเรื่องเงินก็ไม่ใช่ เพราะตัวป้อเองเขายังไม่มีเงินเลยด้วยซ้ำ ยังต้องขอเงินจากคุณพ่อเขาใช้อยู่จะเป็นทางนุกซะมากกว่า”
“หลังแต่งงานทุกอย่างยังเหมือนเดิมไปเที่ยวเฮฮาพูดจาแบบเพื่อนกันเหมือนเดิม จนบางครั้งเพื่อนๆ แซวว่าอย่าทะเลาะกัน จนกระทั่งมีลูกคนแรกทุกอย่างเริ่มเปลี่ยน นุกมีความรับผิดชอบมากขึ้นลูกสำคัญที่สุด จากที่เคยเฮไหนเฮนั่นจะนอนตื่นเมื่อไหร่นั้นมันไม่ได้แล้ว ต้องมีการกำหนดเวลานอนก่อนสามทุ่มตื่นตีห้า เราไม่ได้ไปไหนอยู่บ้านเลี้ยงลูกในขณะที่เขายังทำตัวปกติไปเที่ยวทุกวันเหมือนเดิม”
“ซึ่งความรู้สึกในตอนนั้นนุกไม่เคยคิดน้อยใจแฮปปี้มาก เพราะอยากเลี้ยงลูกเองด้วยสันชาติญาณความเป็นแม่อุ้มท้องดูแลเขาตั้งแต่ยังไม่คลอด รู้สึกว่าอยากที่จะทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุดไม่ได้คิดอะไร ส่วนป้อเขาอยากจะออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ว่าอะไร ช่วงนั้นเราจะติดลูกมากๆ ทำทุกอย่างให้เขาเองหมด แต่พอมีลูกคนที่สองเริ่มมีความรู้สึกน้อยใจเข้ามาบ้าง ความเหนื่อยมันมาเยือน ช่วงนั้นเราท้องด้วยมีลูกเล็กอีก และยังต้องมานั่งแพ็คของย้ายกลับไปอยู่บ้าน เพราะคอนโดที่เราอยู่มันไม่พอแล้ว”
“ย้ายบ้านไปขนาดท้องอยู่ก็ต้องไปต่อตู้ต่อโต๊ะเอง นุกทำเองหมดทุกอย่าง ป้อก็นั่งดูทีวี เขาเป็นปกติแบบนี้อยู่แล้วไม่เคยรับผิดชอบอะไรจะแตกต่างจากเราที่ชอบทำเอง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเราทำงานตั้งแต่เด็กๆ ต้องมีความรับผิดชอบเยอะ เคยบอกให้เขาช่วยเหมือนกัน ตอนนั้นกำลังเจาะผนังบ้านอยู่แล้ว มันจะสะเทือนมากกลัวว่าจะมีผลกับลูกในท้อง ก็บอกให้เขาช่วยจับสว่านหน่อย แต่พอเห็นท่าทางเขาคิดว่าทำบ้านพังแน่เดี๋ยวทำเองดีกว่า เมื่อเราทำทุกอย่างเองหมด นุกรู้สึกว่าทำไมมันเหนื่อยจังเลย ลูกก็ต้องเลี้ยงเอง บ้านก็ต้องมาจัดมาทำเองอีก มันเลยเกิดความรู้สึกประท้วงในใจ”
“บางทีเราก็เข้าใจอยู่กันมาเขาเป็นอย่างนี้แหละ เป็นคนที่หยาบกระด้างไม่ได้ละเอียดอ่อน บางครั้งเราพูดด้วยความรู้สึก แต่เขาไม่ได้ฟังด้วยความรู้สึก พูดไปเขาฟังแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรอย่างท่องแท้ เขาคงคิดว่าทุกวันนี้มีทุกอย่างพร้อมถึงไม่ได้ทำอะไรไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเขาก็ยังมีทุกอย่างพร้อมใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม ทุกครั้งที่นุกพูดไปเขาไม่เคยโวยวายและมีปฏิกิริยาอะไรเลย ไม่ว่าจะพูดดีหรือพูดไม่ดีก็เฉยๆ”
“สุดท้ายนุกเองที่ต้องทำความเข้าใจกับตัวเองมากกว่า เมื่อพูดไปแล้วเขาก็ทำตัวเหมือนเดิมเราก็ทำใจมีบางช่วงที่เราสังเกตเห็นรู้ว่าเขามีคนอื่น แต่พูดไปก็เท่านั้น เพราะพูดไปเขาก็เฉยๆ ไม่ยอมรับและยังออกไปเที่ยวเหมือนเดิม เคยรู้สึกไหมอยู่บ้านหลังเดียวกันห้องเดียวกัน แต่เรารู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวเหงาจับหัวใจ มันเหมือนอยู่ห้องเดียวกันแต่ทำคนละอย่าง เราไม่ได้ดูหนังเรื่องเดียวกันไม่ได้นอนเตียงเดียวกันมาสองสามปี ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ”
“นุกจะพยายามทำทุกอย่างให้มันปกติจนกระทั่งออกงานอีเว้นท์ให้สัมภาษณ์นักข่าว มีพี่นักข่าวคนหนึ่งทักเมื่อต้นปีว่า ดูนุกไม่ค่อยมีความสุขนะ แต่เรารู้สึกว่าทุกอย่างเป็นปกติเลี้ยงลูกไม่ได้คิดอะไร คิดว่าที่พี่เขาพูดเพราะว่าเขาพยายามสร้างข่าวให้เป็นประเด็นหรือเปล่า เพราะตอนนั้นดาราเลิกกันเยอะ”
“จนปลายปีมีนักข่าวอีกคนพูดประโยคเดียวกัน พอมีคนที่สองพูดในเวลาห่างกันไม่นาน กลับมาบ้านเริ่มมานั่งคิดแล้วว่า เราดูไม่มีความสุขเหรอ เราเป็นอย่างนั้นจริงไหม คนทักสองคนแล้ว แต่สถานการณ์ตอนนั้นด้วยธรรมชาติตัวเราจะพยายามทำให้มีความสุขอยู่ภายใต้การควบคุม”
“มาวันนี้มองย้อนกลับไปถึงได้รู้ว่า ที่ผ่านมาตัวเราอยู่อย่างไม่มีความหวัง ไม่มีวันพรุ่งนี้ ไม่มีฝันซึ่งก่อนที่จะแต่งงาน เราจะมีฝันอยากเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่พอแต่งงานเราไม่มี แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร ไม่มีความรัก ไม่มีแฟน เหมือนเราอยู่คนเดียว เพราะเขาไม่ได้มาใช้ชีวิตกับเรา เขากลับมาเรารอเปิดประตู พอเปิดประตูเสร็จ เรามานอนเขาก็นั่งทำอะไรก๊อกแก๊กไป ตอนนั้นเรายังไม่หลับจังหวะนั้นล่ะที่เหงามากๆ”
“นุกมีความรู้สึกว่า สู้เขาไม่อยู่บ้านเลยยังจะดีซะกว่า อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกเหงา แต่พอเขากลับมาเราเหมือนอยู่คนเดียว ไม่ได้รู้สึกว่าใจเราไม่อยู่ที่เขา แต่รู้สึกว่าใจเขาไม่ได้อยู่ที่เรา มีบ่อยครั้งที่ต้องนอนร้องไห้คนเดียว เวลาเจอคนอื่นที่เขาอยู่พร้อมหน้ารู้สึกเศร้า จุกๆเหมือนกันนะ แต่นุกจะพยายามมองและคิดปลอบใจตัวเองว่ายังมีอีกหลายครอบครัวที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แถมยังต้องมานั่งทะเลาะกับสามีต่อหน้าลูกอีก”
“เรื่องทะเลาะกันถ้าไม่ถึงขั้นสุดๆ จะไม่ค่อยมี แต่ก็นานๆ จะมีขั้นสุดบ้าง นุกเป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกันนะแต่จะเป็นแค่วูบหนึ่ง ส่วนมากถ้าปรี๊ดมากๆ จะนิ่งและพยายามควบคุมตัวเราเอง อาจเป็นเพราะนุกได้อ่านหนังสือฝึกสมาธิมาบ้าง คนเราเมื่อควบคุมตัวเราเองได้เวลาเกิดสถานการณ์บางอย่างเราจะมีสติสามารถควบคุมมันได้”
กับข่าวคราวที่หลายๆ คนสงสัยว่า “นุกถูกซ้อมจริงหรือเปล่า ?“ เจ้าตัวไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ แต่กลับบอกได้แค่ว่า “ไม่รู้”
“ไม่รู้.....ตอบไม่ได้ ไม่รู้จะตอบอะไร ปกติเป็นคนไม่สู้คน แต่จะดูความถูกต้องถ้าเราผิดก็ต้องปล่อยให้เขาด่าไป เพราะเราผิด แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่ผิดหรือว่าเขามาเอาเปรียบเราเอาเปรียบคนอื่นก็จะพุ่งไปด่าดังๆ ให้อาย แต่ถ้าเป็นคนที่รักจะไม่ค่อยตอบโต้ นุกจะเงียบอย่างมากเถียงบ้างคำสองคำเหมือนทำอะไรไม่ลงกับคนที่เรารัก”
“ไม่อยากที่จะพูดอะไรมาก หรือพูดอะไรไม่ดีไปถึงเขาหรอก ที่เราไม่อยากพูดไม่ใช่เพราะกลัวความมีอิทธิพลของพ่อเขานะ นุกไม่รู้ว่าใครจะว่ายังไง แต่สิ่งที่นุกมองเห็นเขาเป็นอากงที่น่ารักเป็นผู้ชายที่รักครอบครัว รักลูก รักหลานมาก แต่ก็อาจมีความน่าเกรงกลัวจากรอบนอกบ้าง แต่ตรงนั้นเราไม่เคยสัมผัสไม่เคยเห็น เราเห็นแค่ความรักที่เขามีต่อลูกมีความรู้สึกที่ดีกับลูกหลานเหมือนผู้ใหญ่คนอื่นทั่วไป”
“ทางตัวป้อเองที่เขาเป็นแบบนี้ เรามองว่าเขาอาจจะไม่ค่อยได้คุยกับตัวเองมากนัก ไม่ใช่คนละเอียดอ่อนทำอะไรก็ลวกๆ ไม่เคยรับผิดชอบอะไร ในชีวิตเขาความทุกข์ ความสุข อาจผ่านไปเร็วจนทุกวันนี้ยังไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่ามีความสุขตอนไหน มีความทุกข์ตอนไหน หรืออาจจะจำได้แต่ความทุกข์หรือเปล่าไม่รู้ นุกไม่ได้โทษเขาไม่ได้โทษตัวเอง เพียงแต่ว่าเราอยู่กันไม่ได้”
“ตลอด 4 ปี ที่อยู่ด้วยกันมานุกไม่เคยคิดที่จะเลิกกันเลย แต่ว่าปัญหามันค่อยๆ เริ่มเกิดขึ้นทีละวันๆมากกว่า ความรู้สึกอึดอัดมันเป็นความรู้สึกไม่มีความสุขมากกว่า มีเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ทำให้นุกรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้แล้ว มันเป็นเรื่องของมุมมองทัศนคติมันไม่เหมือนกัน”
“สาเหตุที่เราอยู่ด้วยไม่ไหวไม่เชิงเป็นเพราะเขามีคนอื่นซะทีเดียว เพราะทุกครั้งที่จับได้นานๆ จะพูดขึ้นมาทีเขาจะเลิกแล้วไปหาใหม่ เจ้าชู้ไหมระดับหนึ่ง เท่าที่จับได้ก็มีเยอะนะ ทุกครั้งที่จับได้ต้องมีหลักฐานถึงจะมาพูด อย่างเห็นเป็นเอกสารเป็นตัวหนังสือเล่นเอ็มคุยกัน แต่เขาก็เหมือนเดิมไม่พูดไม่เถียงไม่ยอมรับ”
“ถามว่าที่ผ่านมาเป็นเพราะนุกตัดสินใจเลือกคนผิดไหมคงไม่หรอก แต่ดีใจมากกว่าที่เป็นคนเลือกเองและไม่ว่าเราจะอยู่ด้วยกันหรือไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราต้องยอมรับมันให้ได้ เพราะเราเป็นคนเลือก ดีกว่าคนอื่นเลือกให้แล้วมานั่งเสียใจว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ”
“และหลังจากวันที่นุกตัดสินใจก้าวออกมา นุกรู้สึกสบายใจกว่าแต่ก่อน ไม่ต้องอยู่รอเปิดประตูให้ใคร ตอนกลางคืนไม่ต้องเอาใจของเราไปอยู่กับอีกคนครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ใจเราอยู่กับเรามันเลยรู้สึกสบายอยากจะทำอะไรก็ไม่ต้องรอ หรืออยากให้อีกคนไปกับเราด้วย ตอนนี้กลายเป็นว่าเราต้องมาทำหน้าที่เป็นเสาหลัก แต่รู้สึกดีเพราะว่าเราได้ตัดคานที่มันผุพังออกไปแล้ว มันก็เลยทำให้เสาต้นนี้รับน้ำหนักน้อยลงไม่ต้องไปแบกภาระความทุกข์อะไรไว้”
“ส่วนกับลูกตอนนี้ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขา เพราะคิดว่าเขายังอยู่ในวัยที่ไม่น่าจะรับรู้ แต่จะบอกแค่ว่าปาป๊าไปทำงาน นุกไม่ได้ตั้งใจโกหกแต่เด็กเขาจะเรียนรู้ได้ธรรมชาติของเขาเอง และเมื่อถึงจุดที่เขาเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองก็โอเค ตอนนี้เราไม่อยากที่จะไปทำลายจินตนาการของเด็กด้วยการไปบอกเขาว่าเราไม่มีบ้านแล้ว”
“ลูกๆ เองก็ไม่ได้ถามถึงคุณพ่อเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยมีความผูกพันตื่นมาก็น้อยครั้งที่จะเห็นกันจะเป็นในเรื่องของการบังคับให้ขับรถไปส่งจะเจอแค่นั้น พอถึงที่เขาก็แยกออกไปเราก็อยู่กับลูกกลับมาก็ขับรถกลับจะมีช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันในรถเท่านั้น นอกนั้นไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย เพราะปกติกว่าเขาจะกลับมาลูกก็หลับแล้ว เพราะฉะนั้นน้องๆ จะไม่ค่อยได้เจอ”
ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะไม่ค่อยมีความผูกพันกันมากมาย แต่ปัญหาระหว่างสามีภรรยา “นุก สุทธิดา” กับ “ป้อ บุญสิทธิ์” ดูเหมือนจะไม่จบง่ายๆ ยืดเยื้อและกลายเป็นเรื่องใหญ่ซะแล้ว เพราะการยื่นฟ้องหย่าในครั้งนี้ อาจมีรายการเปิดโปงข้อเท็จจริงที่หลายๆ คนตั้งข้อสงสัย
“เรื่องนี้นุกไม่อยากจะพูด ขอคุยนอกรอบได้ไหม ลึกๆ แล้วนุกก็ไม่อยากที่จะลุกขึ้นมาฟ้องหรอกมันไม่ได้ดีกับลูกเราเท่าไหร่ แต่คุณพ่อคุณแม่อยากที่จะให้ฟ้องโดยที่ไม่ต้องคุยอะไรแล้ว ตอนนี้มีการคุยกับทนายเรื่องรวบรวมเอกสารหลักฐานที่นุกมีอยู่ตอนนี้คิดว่าน่าจะมีเพียงพอ แต่จะเป็นหลักฐานอะไรนั้นคงบอกไม่ได้จะเป็นหลักฐานเรื่องที่เขามีบุคคลที่สามมันคงไม่เข้มแข็งเท่าหลักฐานที่เรามีอยู่แน่นอน นุกคิดว่าแค่หลักฐานนี้ก็น่าจะมีน้ำหนักเพียงพอสำหรับการฟ้องหย่า”
และแน่นอนหากกระบวนการฟ้องหย่าขึ้นสู่ชั้นศาล มันคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเปิดเผยความจริงทั้งหมดในชั้นศาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโดนซ้อม ถูกยึดทรัพย์ ซึ่งนุกบอกว่า เมื่อถึงเวลานั้นก็ยินดีที่จะพูด
“ถ้าสมมุติว่ามีการฟ้องเกิดขึ้นก็จะมีการนัดไกล่เกลี่ยก็คงจะไปคุยกันก่อน แต่ถ้าสามครั้งแล้วไม่ลงตัวก็คงจะต้องขึ้นศาล แล้วตอนนั้นหลายๆ คนคงจะรู้กันแล้วล่ะว่ามันเป็นอะไร ที่ผ่านมาเราไม่อยากที่จะพูดอะไรมากมายหรือพูดอะไรไม่ดีไปถึงเขาหรอก ขนาดทะเลาะกับเพื่อนเรื่องโกงเงินยังไม่เคยเอาไปด่ากับชาวบ้านเลย เรื่องจบเราก็รู้กันไปว่าเพื่อนคนนี้ราคาแค่สามแสน ส่วนใหญ่เราจะคิดแบบนี้แล้วต่างคนต่างจบกันไปเลยดีกว่า”
“แต่ตอนนี้ที่มันไม่จบก็เพราะเขาไม่ยอมหย่า การฟ้องนี้นุกไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากความเป็นอิสระ และให้เขารับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายค่าเทอมลูก ส่วนเรื่องความดูแลลูกนุกว่าตกลงกันได้ นุกเชื่อว่าลูกสองคนนี้เขาต้องมีกันและกัน คิดว่าเราไม่จำเป็นต้องแยกเขาออกจากกัน นุกพร้อมที่จะดูแลลูกทั้งสองคนร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ที่ผ่านมานุกอดทนมามากแล้ว แต่ว่าพอปัญหามันนานๆ เข้า นุกรู้สึกว่ามันไม่จบสักทีมันก็ต้องมีหลุดบ้างแล้ว นุกเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเยอะเวลาที่ชนกับปัญหาอะไรใหม่ๆ บางที่ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง บางทีแค่สัมภาษณ์กันแบบนี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว พี่ปิดเทปขอเล่าหน่อย”
พูดจบเจ้าตัวก็ขอให้นักข่าวออฟเรคคอร์ด พร้อมกับเปิดเผยเรื่องจริงแบบนอกรอบ ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นศาลเมื่อไหร่ความจริงคงถูกเปิดเผยในเร็วๆ นี้