xs
xsm
sm
md
lg

"กรู๊ฟไรเดอร์ส" บนวันที่ไร้อนาคต!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"เป็นครั้งแรกอันนี้แน่นอน แต่ครั้งสุดท้ายหรือไม่เราคงไม่กล้าให้คำยืนยัน..."

คำบอกเล่าจากมือเบส "กรู๊ฟไรเดอร์ส" "ก้อ ณฐพล ศรีจอมขวัญ" ต่อคำถามของข่าวลือมากมายที่ว่าคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเขาที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 และ 31สิงหาคมใน "Last Call For GR007" นี้ อาจจะเป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกและครั้งสุดท้าย!

"คือหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ชีวิตของเราแต่ละคน ซึ่งมันมีภาระหน้าที่ทำในชีวิตเยอะก็เลยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับมาทำอัลบั้มหรือว่าเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันหรือเปล่า เพราะอย่างเวลาทำอัลบั้มแรก (Discovery 2544) กับที่ 2 (The Lift 2550) เราใช้เวลาห่างกันถึง 6 ปีเพราะฉะนั้นเราเลยไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไร"

"แต่เราไม่ได้อยากจะโปรโมตไปในเชิงว่านี่เป็นคอนเสิร์ตสุดท้ายอะไรนะ เพราะจริงๆ เราก็ยังรวมกันอยู่ คงไม่แยก เพียงแต่ยังไม่มีคำตอบว่าอนาคตของเราแต่ละคนมันจะยังไง เพราะงานแต่ละงานของเรามันใช้เวลานาน ก็เลยไม่รู้ว่าเรา 4 คนจะมีเวลาอยู่หรือเปล่า"

สำทับด้วยคำของ "บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์" นักร้องนำที่ว่า...ไม่กล้าจะตอบรับอะไรสักอย่าง
"คือหลังคอนเสิร์ตใหญ่เราก็ยังมีงานเล่นจนถึงปลายปีเลยนะ เพียงแต่ว่าเราคุยกันแล้วว่าปีนี้เป็นปีที่เราจะตะลุยคอนเสิร์ตเป็นปีสุดท้าย ปีหน้าก็รับอยู่ แต่คงน้อย น้อยกว่าเดิมมากๆ หรือไม่ก็อาจจะรับแต่งานใหญ่ๆ ไปเลย"

ปลุกกระแสของเพลงให้ตื่นขึ้นมานิยมอีกครั้งในวงการเพลงของบ้านเรากระทั่งได้รับฉายา "ก๊อดฟาเธอร์ ออฟ ดิสโก้ " ทว่ามือเบสของกรู๊ฟไรเดอร์ก็ยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่ว่าทำไมถึงหาวงที่เล่นเพลงในแนวดิสโก้ได้น้อยเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับแนวเพลงชนิดอื่นๆ

"จริงๆ เมืองไทยแนวฮิตที่สุดคือร็อก ป๊อปร็อกนะ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้แหกเพื่อสร้างความต่างแต่อย่างใด เพียงแต่มันเป็นแนวที่เราชอบ เราก็อยากทำที่เราชอบ ผมว่าแต่ละคนเขามีจุดยืนของตนเอง เราชอบดิสโก้ฟังก์ แล้วเราก็ทำโดยไม่มีพัฒนาการอะไรเลยก็ไม่ใช่"

"จะเห็นว่าเราไม่ได้เล่นเพลงแบบแนวทางหรืออารมณ์แบบยุค 70 ไปซะทั้งหมดนะ ซึ่งแน่นอนครับเราก็ได้ประโยชน์จากตรงนี้ไปเหมือนกัน แต่มันก็รู้สึกแปลกใจไม่ได้ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเพลงแนวนี้ผมว่าถ้าจะทำให้ดีๆ มันยากนะ ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้ววงเราโชคดีที่มีนักดนตรีที่เก่งอย่างมาตร(ชัย มะกรูดทอง-กลอง) กับกั้ง (อดิศักดิ์ หัตถกุลโกวิท-กีต้าร์) ทำให้เราไม่ต้องห่วงว่าทำออกมาแล้วเล่นไม่ได้"

7 ปีที่ผ่านมาแม้จะมีงานเพลงเพียงแค่ 2 อัลบั้ม ทว่าเมื่อถามถึงการพัฒนาโดยรวมทางด้านนักร้องนำอย่างบุรินทร์บอกว่าโดยส่วนตัวคิดว่าค่อนข้างจะมีเยอะในหลายๆ ส่วน
"ผมว่าทุกอย่างนะ ทั้งพัฒนาการของนักดนตรี การร้อง การทำงานทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปหมด เยอะมาก เพราะว่ามันต้องเติบโตขึ้นตามอายุของเรา พออายุมากขึ้นก็อยากทำงานให้มันละเอียดยิ่งขึ้นมีโปรดักชั่นที่ใหญ่ขึ้น จากเสียงที่มันสังเคราะห์เราก็เอาคนมาเล่นอัดมากขึ้น ใช้บุคลากรมากขึ้น ก็ได้ทีมงานที่ผมคิดว่ามืออาชีพมากขึ้น"

ขณะที่ก้อมองว่า..."อย่างอัลบั้มที่สองนี่เราไปทำอเมริกาเลยนะ แล้วคนที่ทำให้เรากับเราก็ทำให้ศิลปินดังๆ หลาย คนอย่างวงคูล แอนด์ เดอะ แก้งค์ เราโชคดีที่ได้ร่วมงานกับคนที่มีมาตรฐานที่ค่อนข้างเยอะ แล้วของเราค่อนข้างใช้เวลาในการคิดและทำนาน"

"ของเราผมกล้าพูดว่าถ้ามันไม่สมบูรณ์แบบ ไม่พอใจหรือภูมิใจกับมันเราจะไม่ปล่อยออกมา อย่างคอนเสิร์ตเราก็อยากจะมีมานานแล้ว แฟนเพลงของเราก็ถาม แต่มันก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ จนปีนี้ เราคิดว่าเรามีเพลงเพียงพอ แต่ละคนมีประสบการณ์มากพอจากการไปทัวร์พอที่จะมาทำคอนเสิร์ต"

"ถึงแม้มันจะช้าไป 7 ปีแต่เราก็คิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่สมบูรณ์ทั้งในเรื่องของเพลง เรื่องของโปรดักชันส์ คือเราอยากจะทำคอนเสิร์ตที่ไม่เหมือนใครในเมืองไทย ซึ่งทุกอย่าเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคอนเสิร์ตนี้โดยเฉพาะ"

แม้พื้นฐานของดิสโก้จะตั้งอยู่บนความสนุก เนื้อหาพื้นฐานส่วนใหญ่โดยทั่วไปจะเป็นการชักชวนคนออกมาดื่ม กิน เที่ยว เต้น ฯ ทว่าดิสโก้วงนี้ค่อนข้างจะแปลกออกไปซึ่งแม้จะไม่มากแต่ก็พอที่จะสัมผัสได้ในระดับหนึ่ง
"จริงๆ งานของเรา เราตั้งใจที่จะให้คนได้สัมผัสง่ายๆ นะ แต่ขณะเดียวกันคนที่เขาจะฟังเอาเรื่องก็ไม่เสียอารมณ์ ผมยกตัวอย่าง เพลงในชุดที่ 2 แต่ละเพลงเนี่ยมันจะเกี่ยวกับเรื่องของความหลงใหล เกี่ยวกับอารมณ์ลึกๆ ของคน ซิกมันด์ฟรอยด์บอกไว้ว่าการกระทำที่ออกมาของมนุษย์นั้นเพราะมีเซ็กซ์ไดรฟ์เป็นจุดเริ่มต้นให้ทำอะไรต่ออะไร"

"จริงๆ มันก็ตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้วละ แต่ชุดที่ 2 มันจะยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น มีทั้งเสียดสีสังคม ซึ่งถ้าฟังสนุกๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าฟังดีๆ จะพบว่า โอ้โห มันเป็นอีกด้านของมนุษย์เราที่ไม่น่าเลียนแบบ เราหยิบยกมาแต่เราไม่ต้องการให้เรื่องมันซีเรียส หรือว่ามาห้ามๆ ว่าหนูๆ อย่าทำนะ"

"อย่างเพลงฮอร์โมนในชุดแรก เราเอาสิ่งที่ตรงกันข้ามมารวมกัน เพราะเพลงดิสโก้จะเป็นเพลงที่ชวนมาสนุกกันมาเสียตัวกัน แต่ของเราเอามาเตือนให้สะกิดใจ สนุกได้ แต่ก็นึกถึงหน้าพ่อแม่ไว้อะไรทำนองนี้"

เคยคิดที่จะเปลี่ยนแนวทาง เช่น เป็นดิสโก้ร็อก หรือว่า ดิสโก้แร็พ มั้ย?
มาตร "แค่คิดก็เหนื่อยแล้วครับ ผมว่าเราเอาความเป็นตัวเรา เอาที่เราถนัดง่ายๆ ไว้ก่อนดีกว่า ผมเคยเห็นบางคนเขาที่เขาฝืนตัวเอง สุดท้ายก็ไม่รอด เพราะมันไม่ไปถึงที่ฝันของเขา"

บุรินทร์ "จริงๆ การโซโล่ของพี่กั้งบางส่วนมันก็เหมือนยุค 80 แระเภทกีต้าร์ฮีโร่นะ แต่มันก็อยู่ในคอร์ดของดิสโก้อยู่"

หนึ่งในคนที่คลุกคลีอยู่กับวงการเพลงมานานอย่าง "สุกี้ กมลสุโกศล แคลปป์" เคยให้สัมภาษณ์ในทำนองที่ว่า ณ เวลาปัจจุบันวงการเพลงถึงคราวล่มสลายแล้วในเรื่องยอดขายแล้วหลังมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่ทำให้คนฟังเพลงไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อซีดีซื้อเทป

ส่งผลให้ค่ายเทปต่างๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเชื่อเรื่องนี้ต้องหันมาเน้นที่ธุรกิจการโชว์ของศิลปินในสังกัดมากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ก้อมองว่าเป็นเรื่องจริง แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีอย่างหนึ่งเพราะนั่นหมายความว่าของแท้เท่านั้นที่จะยืนอยู่ได้

"มองในแง่ก็คือศิลปินแต่ละคนจะต้องแสดงความสามารถของตนเองให้มากยิ่งขึ้น รอบด้านมากขึ้น ไม่ใช่แค่ออกเทปอย่างเดียว เพราะการทำเพลงสมัยนี้มันง่ายกว่าแต่ก่อนเยอะ คอมพิวเตอร์ตัวเดียว ร้องห่วยๆ ก็ปรับแต่งเอาได้หมด แต่การจะพิสูจน์ว่าคนไหนคือตัวจริงก็ต้องดูจากการแสดงสดว่าทำออกมาได้ดีแค่ไหน"

"และเราก็โชคีอีกนั่นแหละที่ว่าจุดเด่นของเรานั้นคือการแสดงมันเลยทำให้วงเรามีงานตามที่ต่างๆ ค่อนข้างจะเยอะ อย่างผมมองนะมีศิลปินหลายคนเลยที่เกือบจะมาแล้ว แต่การแสดงสดไม่ดีเท่าไหร่ก็แย่"

ส่วนนักร้องประจำวงมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
"ผมคิดว่ามันถึงเวลาของมันนะ อย่างสมัยหนึ่งก็เล่นแผ่นเสียง พอมีเทปแผ่นเสียงก็ตาย ปัจจุบันคนเปลี่ยนมาฟังจากคอมพิวเตอร์ วิธีการบริโภคต้องเปลี่ยนไปเพราะฉะนั้นในเชิงธุรกิจค่ายเพลงจะต้องหาอะไรมาซัพพอร์ตตรงนี้ให้ได้ กรู๊ฟไรเดอร์เราไม่เคยคำนึงถึงยอดขาย เราทำเพราะอยากทำ เพื่อควาสมสะใจ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือผลพลอยได้"

"ยอดขายก็เป็นที่น่าพอใจนะ ตัวเลขเราก็อาจจะไม่เปรี้ยงปร้าง แต่ก็น่าพอใจ"

ด้วยรูปแบบของธุรกิจในวงการเพลงที่เปลี่ยนไป เวลานี้ นักร้อง วงดนตรีที่เล่นเจ๋งๆ ยังต้องพึ่งค่ายเพลงในการทำงานอยู่มั้ย?
ก้อ
"ทั่วโลกถ้าเป็นคนดังๆ ก็ไม่จำเป็นนะ หลายคน มาดอนน่า เรดิโอเฮดทุกคนก็ออกมาจากค่ายใหญ่กันหมด เพียงแต่ออกมาแล้วเขาจะมีหนทางอะไรกันหรือเปล่า อย่างมาดอนน่า ออกมาก็ไปเซ็นสัญญากับบริษัทที่ทำทัวร์คอนเสิร์ต คือมันมีอะไรออกมาใหม่ๆ เยอะ ไม่จำเป็นที่จะต้องเหมือนเดิม"

"แต่นั่นเพราะเขามีคอนเน็กชั่น แต่ถ้าศิลปินเล็กๆ ผมว่าก็ยังต้องพึ่งค่ายใหญ่ๆ อยู่ เพาะเขาอาจจะเก่งแค่ทำเพลงเรื่องอื่นไม่รู้เลยก็ไม่ไหว อย่างเราก็เคยคิดนะที่จะทำค่ายเองแต่พอคิดว่าต้องทำทุกอย่างแล้วมันเหนื่อยเกินไป เพราะแค่ทำเพลงก็เหนื่อยแล้ว จะต้องไปเก็บเงิน ไปวุ่นเรื่องอื่น แต่ผมก็ถือว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ได้ลองอะไรใหม่ๆนะ"

บุรินทร์ "ผมว่าอย่างหนึ่งตอนนี้ที่ค่ายเพลงคิดก็คือ เขาก็คงไม่ได้หวังยอดขายจากศิลปินเพียงอย่างเดียวหรอก เขาจะมองว่าวงหนึ่งมันคือโปรดักหนึ่งที่เจ้าของค่ายเพลงจะสามารถหาผลประโยชน์จากสินค้าตัวนี้ได้มากน้อยเพียงใด"

ปิดท้ายกันที่คำยืนยันจากนักร้องหนุ่มว่าในส่วนของคอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นนี้รับรองว่าจะเป็นอะไรที่ประทับใจสำหรับผู้ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ตอย่างแน่นอน
"อยากจะให้มันเป็นอะไรที่ทุกคนที่ได้เข้ามาสัมผัสจดจำมันไปจนแก่เฒ่า แล้วก็อยากให้คนดูนึกถึงตลอด อยากให้เดินออกมาจากงานแล้วบอกว่ามันเป็นคอนเสิร์ตที่สนุกมาก เวลาคิดถึงคอนเสิร์ตดิสโก้ก็ต้องนึกถึงคอนเสิร์ตนี้ เป็นสิ่งที่น่าจดจำที่สุด"

"ซึ่งเราเชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้นนะ อยากให้มาสนุกด้วยกัน เราทำโปรดักชั่นให้มันแหวกแนว เป็นศิลปะ แสง สี เสียง มันจะไปด้วยกันเป็นภาพรวมภาพเดียว"

ก้อ "ไม่เหมือนใครแน่นอน ผมกล้าพูดครับ"


กำลังโหลดความคิดเห็น