xs
xsm
sm
md
lg

รู้จัก “เจี๊ยบ ลลนา” หัวใจเธอมันน่ากราบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"เจี๊ยบ ลลนา" กับความฝันเพื่อมวลชน หวังสร้างฟรีคลีนิกช่วยเหลือคนยาก หาสถานที่เลี้ยงสัตว์จรจัด เผยเคยเล่าความฝันให้ "โอ๊ค พานทองแท้" ฟัง แต่ยังไม่ได้คุยรายละเอียด

ท่ามกลางกระแสสังคมที่มีแต่คนเลวโกงกิน เห็นแก่ตัวรักพวกพ้องจนทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ แต่ก็ยังมีนิสิตปี 3 มหาวิทยาลัยมหิดล “เจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์” อดีตนางสาวไทยปี 2549 ที่ยังคงมีจิตใจที่จะสร้างความดี ข่าวการรับอุปการะส่งเสียให้ “ปกรณ์พล มงคลวงศ์” เรียนคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจนจบ ทำให้หลายๆ คนยกย่องให้ "เจี๊ยบ" เป็นนางฟ้าตัวจริงของเด็กๆ ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์นางงามเหมือนที่พูดกัน

อะไรที่ทำให้นิสิตที่ยังเรียนไม่จบกล้าที่จะรับผิดชอบชีวิตคนอื่นอีกคนหนึ่ง วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับ "เจี๊ยบ ลลนา" ให้มากขึ้น ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ช่วยเหลือเด็กที่ไม่มีเงินเรียนเท่านั้น หากแต่เจี๊ยบยังมีความฝันอยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อีกหลายคนชนิดที่ผู้ใหญ่โกงชาติฟังแล้วน่าจะเอาปี๊บคลุมหัวเลยทีเดียว

“ตั้งแต่แรกเจี๊ยบยังไม่ได้ทราบข่าวอะไรเลย คุณแม่เป็นคนมาเล่าให้ฟังว่า ลูกรู้มั้ยมีเด็กฆ่าตัวตายไปแล้วสองคน และมีอีกหนึ่งคนที่เขาสอบติดหมอแต่ไม่มีเงินเรียน คุณแม่กะว่าจะโอนเงินให้เขาเอาไปลงทะเบียนเรียนก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที พอเจี๊ยบฟังแล้วแว๊บแรกเรารู้สึกเสียดายแทนน้องเขาการที่จะสอบเข้าหมอได้มันยาก และถ้าน้องเขาเรียนจบไปแล้วสามารถช่วยคนได้อีกเยอะอยากให้น้องเขาได้เรียนเลยบอกคุณแม่ว่าเดี๋ยวเจี๊ยบส่งน้องเขาเรียนเองส่งเรียนจนจบเลย”

“ที่เจี๊ยบตัดสินใจช่วยเพราะเราคิดว่าเราช่วยเขาได้จริงๆ ถึงกล้ารับปาก ถ้าเราคิดว่าช่วยไม่ได้จะไม่กล้ารับปาก เจี๊ยบมั่นใจน่าจะส่งน้องเขาไหวเงินในตำแหน่งนางสาวไทยก็ยังพอมีอยู่(หัวเราะ) แต่ก็อาจจะต้องรับผิดชอบมากขึ้น ทุกวันนี้เจี๊ยบส่งเสียตัวเองเรียนอยู่แล้ว เราสามารถทำงานหาเงินเองได้ก็อยากที่จะแบ่งเบาภาระคุณพ่อคุณแม่บ้าง เจี๊ยบเป็นคนที่ชอบทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่าแล้วเราจะภูมิใจ”

“เราช่วยเขาในวันนี้เหมือนเป็นการให้โอกาสคน เจี๊ยบเชื่อว่าวันหนึ่งที่น้องเขาเรียนจบครอบครัวเขาจะดีขึ้น และน้องเขาจะได้ไปเป็นหมอรักษาคนอีกเยอะเลย มีคนเคยบอกเจี๊ยบว่าหมอหนึ่งคนสามารถช่วยคนได้ประมาณแสนคน แล้วคิดดูการที่เราช่วยน้องเขาไปในวันนี้เราสามารถช่วยคนได้อีกเป็นแสนมันเป็นอะไรที่ดีและสุขใจที่เราได้ทำ”

“ถ้าสมมติเจี๊ยบไม่มีตำแหน่งเป็นนางงามเราก็อาจจะไม่มีศักยภาพในการที่จะรับผิดชอบเขาได้เหมือนวันนี้ แต่ถึงอย่างไรเจี๊ยบก็จะบอกให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยส่งน้องเขาเรียน เราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นข่าวครั้งแรกตอนแรกไม่รู้จะติดต่อน้องเขายังไงก็เลยโทรไปที่บั๊ก(หัวเราะ) แต่ไม่สำเร็จเลยโทรไปที่เนชั่น เพราะเป็นคนเอาข่าวนี้มาลง ก็เลยกลายเป็นข่าวใหญ่โต”

“เราจะคุยกันทางโทรศัพท์ยังไม่มีโอกาสเจอหน้าน้องเขาเลย เพราะน้องเขาอยู่ไกลถ้ามาหาเราจะลำบากไหนจะค่ารถอีก เจี๊ยบไม่ได้หวังอะไรแค่อยากให้เขาเรียนจบเป็นหมอไปช่วยคนเยอะๆ ก็พอ ซึ่งน้องเขาก็พูดว่า ผมจะตั้งใจเรียนให้สุดความสามารถเลยครับ เราได้ยินแล้วรู้สึกชื่นใจมากๆ ไม่เคยชื่นใจแบบนี้มาก่อน”

“รู้สึกดีที่เราตัดสินใจช่วยเขา มันบอกไม่ถูกเขาไม่ได้บอกขอบคุณครับ แต่เขาบอกว่าผมจะตั้งใจเรียนจนสุดความสามารถน้ำเสียงเขาแสดงความดีใจมาก มันทำให้เรารู้สึกว่าเราคิดถูก ทีแรกเจี๊ยบไม่อยากให้เป็นข่าว เพราะเดี๋ยวคนอื่นจะมาหาว่าสร้างภาพ เราอยากที่จะช่วยเขาเงียบๆ เจี๊ยบคิดว่าการทำดีเราบอกหรือไม่บอกใครมันก็มีค่าเหมือนกันเขาก็ได้ผลที่ดีจากเราไป แต่พอนักข่าวรู้เขาโทรไปคุยกับแม่น้องเขาเลยเป็นข่าวขึ้นมา”

“หลังจากที่เป็นข่าวผลที่ตอบกลับมามีคนเขามาพูดกับเราว่า ใจดีจังเลยเรารู้สึกดีและชื่นใจนะที่คนเข้าใจในสิ่งที่เราทำไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น โดยส่วนตัวเจี๊ยบก็ไม่ใช่คนที่จะไปนั่งเฟคอยู่แล้วสบายๆ มากกว่า พอได้รับเสียงชมมันทำให้เรารู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่ดีเหมือนเป็นกำลังใจให้เราทำ ต่อไป ไม่ได้มีใครมาคิดในแง่ร้ายว่าทำไปเพราะต้องการสร้างภาพแน่ๆ”

“แต่ก็มีบางคนที่เข้ามาถามว่า ไม่กลัวเขามาหลอกเหรอ เจี๊ยบเชื่อว่าเราตัดสินใจที่จะทำแสดงว่าเชื่อใจเขาแล้ว แต่ถ้าเกิดภายหลังเขาหลอกเราก็ไม่เป็นไร เพราะเราตัดสินใจทำไปแล้ว แต่ถ้ามาหลอกจริงๆ นั่นก็แปลว่าเขาเดือดร้อนมากๆ ถึงได้มาหลอกเราไม่เป็นไรก็ช่วยๆ กันไป”

จริงๆ เรื่องการทำบุญช่วยเหลือคนอื่นไม่ใช่ครั้งแรก เจี๊ยบเห็นคุณแม่ส่งคนอื่นมาเยอะแล้ว เมื่อตอนเด็กๆ คุณแม่จะมาเล่าให้ฟังตลอดว่า เออคนตาบอดที่แม่ส่งเรียนเขาเรียนจบแล้วนะ และได้เป็นครูสอนหนังสือให้คนตาบอดด้วยกันอีกด้วยเราก็ดีใจกับเขาด้วย”

“แล้วก็มีอีกคนที่คุณแม่ส่งเสียให้เรียน ตอนนั้นคุณแม่ไปต่างจังหวัดแล้วไปเจอเขาตีผึ้งอยู่เขาบอกว่าต้องตีผึ้งไปขายเพื่อเอาเงินมาเรียนหนังสือ คุณแม่ก็เลยสงเสียให้เขาเรียน เจี๊ยบเคยถามอยู่นะว่า ไม่กลัวเขาหรอกเหรอ คุณแม่บอกว่าเขาไม่น่าที่จะหลอกเขาต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงกับการตีผึ้งขนาดนี้ แสดงว่าเขาเดือดร้อนจริงๆ”

“อย่างเวลาไปตามด่านเก็บทางด่วนคุณแม่จะมาเล่าให้ฟังว่า พี่คนนี้ที่คอยเก็บบัตรเงินทางด่วนเขาน่ารักมากคุณแม่เลยซื้อแฮมเบอร์เกอร์ไปฝากเขา เพราะคิดว่าเขาคงเหนื่อยนั่งอยู่ในตู้ทั้งวัน ตอนนี้เจี๊ยบขับรถไปมหาลัยเองจะมีเพื่อนแบบแม่บ้าง(หัวเราะ)เริ่มรู้จักพี่ๆ เขาแล้ว ก็ทักทายกันเรารู้สึกว่าเขาคงเหนื่อยที่ต้องมานั่งอยู่ในตู้แคบๆ บางที่ต้องอยู่เวรดึกเราอยากคุยยิ้มแย้มให้เผื่อเขาจะสบายใจขึ้น บางทีก็ทักไม่เจอกันนานนะคะคิดถึง(หัวเราะ)”

“มันเหมือนเป็นช่วงเวลาแค่สองสามวินาทีแค่นี้ก็มีความสุขดี บางทีเราไม่จำเป็นต้องให้เงินหรือสิ่งของแค่คำพูดการทักทายยิ้มแย้มให้กันแค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว อย่างวันไหนที่เจี๊ยบกลับบ้านดึกเจอพี่เขาก็จะถามวันนี้เหนื่อยมั้ยแค่นี้ก็มีความสุขกันทั้งคู่”

“เจี๊ยบว่ามันก็เป็นแรงที่ทำให้เขาชื่นใจและมีแรงที่จะทำงานต่อไป การทำดีไม่จำเป็นต้องให้เป็นสิ่งของเราให้เป็นน้ำใจก็ได้ แต่บางคนอาจจะคิดแค่เรื่องเงิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจี๊ยบไปงานแล้วได้นมมา พอดีมีพี่ที่รู้จักกันเขาจะไปทำบุญอะไรเกี่ยวกับนม เจี๊ยบก็เลยเอานมนี้ฝากเขาไปทำบุญต่อเลย คือเราสามารถทำดีได้ตลอดเวลาเท่าที่ศักยภาพเราทำได้”

“การที่เจี๊ยบเห็นคุณแม่ทำบุญช่วยเหลือคนมาตลอด เจี๊ยบว่ามันเป็นส่วนหลักๆ เลยที่ปลูกฝังทำให้เราทำตาม เวลาเจี๊ยบเห็นใครลำบากแล้วอยากที่จะช่วยเขาบ้าง ตอนนี้เจี๊ยบมีโอกาสที่พอจะช่วยเหลือใครได้บ้างก็เลยอยากที่จะช่วย พอทำแล้วก็รู้สึกดีเราสามารถส่งใครได้เหมือนกัน เราอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้มีสมาคมอะไรเหมือนกับว่า พอเราเจอโอกาสที่สามารถช่วยเขาได้ก็จะช่วย ขึ้นอยู่กับว่าเรามีศักยภาพที่จะช่วยตรงจุดนั้นได้หรือเปล่า”

“ทุกครั้งถ้าเกิดเราให้อะไรใครไปแล้วมันเกิดประโยชน์กับคนที่รับเราจะรู้สึกอิ่มใจทุกครั้ง ไม่ว่าครั้งนั้นหรือครั้งไหนจะเป็นอะไรก็ตามและเจี๊ยบไม่เคยที่จะคาดหวังว่า เขาจะต้องมาทำอะไรมาขอบคุณเราเป็นการตอบแทนด้วยซ้ำ แค่เรารู้ว่าเขามีความสุขรู้สึกดีก็พอแล้ว ถ้าเกิดเราทำเพื่อหวังที่จะให้เขามาทำโน่นทำนี้ให้ เจี๊ยบว่ามันไม่ใช่การให้ที่แท้จริง มีครั้งหนึ่งเจี๊ยบได้กระเช้ามาจากงานหนึ่งก็เอาไปให้คนที่เขาคุ้ยขยะ เรียกพี่ๆ แล้วบอกว่า หนูให้ เขาก็งงๆ แต่พอเห็นเขายิ้มดีใจเรารู้สึกอิ่มใจมาก”

“อีกครั้งหนึ่งที่เจี๊ยบรู้สึกแบบนี้เมื่อตอนที่ไปทัศนะศึกษากับเพื่อนเจอสามีภรรยาคู่หนึ่ง ผู้ชายแก่แล้วนะเข็นรถเข็นมีตระกร้าเป็นสานๆ เหมือนถังขยะแล้วให้แฟนที่เป็นผู้หญิงนั่งข้างในนั้น แล้วเขาก็เข็นคุ้ยหาขยะตามข้างถนนเห็นน่าสงสารมาก เจี๊ยบกับเพื่อนๆ ก็เลยหุ้นเงินเอาให้เขา ไปทริปนั้นรู้สึกว่าเราอิ่มใจจากการทำบุญมากกว่าการเที่ยวไปเลย เพราะถึงจะเป็นเงินไม่เยอะแต่น่าจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขามาก”


“ไม่รู้จะบอกยังไงดี แต่เจี๊ยบว่าการที่เราได้มีโอกาสได้ช่วยเหลือใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ก็ทำให้เรารู้สึกดี เจี๊ยบบอกตรงๆ เลยนะ สาเหตุหลักที่ทำให้เจี๊ยบตัดสินใจประกวดนางสาวไทย ก็เพราะเจี๊ยบอยากเปิดฟรีคลินิก”

“ความคิดอยากจะเปิดฟรีคลินิกเกิดขึ้นตอนที่เจี๊ยบไปฝึกงานตอนม.6 ก่อนเอ็นทรานซ์ ตอนนั้นยังไม่คิดที่จะเป็นหมอ เพราะเป็นเด็กขี้เกียจ (หัวเราะ) ไม่ชอบเรียนหนังสือออกแนวไร้สาระนิดๆ แต่พอได้มีโอกาสไปร่วมโครงการฝึกงานดูงานก่อนที่จะเป็นหมอ มันทำให้ความคิดเจี๊ยบเปลี่ยนไป”

“วันแรกที่เขาให้เราไปฝึกงานไม่ได้จินตนาการโรงพยาบาลว่าจะเป็นยังไง เคยเห็นโรงพยาบาลที่เราเคยไปหามันจะเป็นโรงพยาบาลที่เป็นห้องแอร์ แต่ว่าโรงพยาบาลที่เจี๊ยบไปแถวสมุทรปราการจะมีโรงงานเยอะไม่เจริญเหมือนในกรุงเทพ ที่นั่นจะเป็นแบบมีที่นั่งเยอะๆ แล้วมีหมอแค่สองคนเอง แต่คนรอคิวตรวจเป็นร้อย”

“ขนาดเราแข็งแรงดี แต่พอเห็นใบคิวถืออยู่ในมือเลขหนึ่งร้อยยังเหนื่อย ตอนนั้นมันเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่ชุลมุนหมอมีน้อย คุณหมอก็ไม่ได้ทานข้าว เพราะต้องตรวจคนตลอดเลยเป็นเหตุการณ์ที่วุ่นวายพอสมควร ตอนแรกที่ไปลั่นล้ามากไม่มีอะไรหรอก แค่มาฝึกเล่นๆขำๆ แต่พอมาถึงจริงๆ มันไม่ใช่อย่างที่คิด”

“มีคนไข้คนหนึ่งเขาป่วยหนักมากต้องไปนอนรออยู่ที่ห้องปิดม่านก็ไม่ถึงคิวเขาซักที อยู่ดีๆ เขาก็ตะโกนมาว่า กูจะกลับไปตายที่บ้าน เราฟังแล้วแบบว่ามันเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดเฮ้ย...ทำไมเราทำอะไรให้ใครไม่ได้เลยสักคน แต่ถ้าเราเป็นหมอจะวิ่งไปถามน้องเป็นอะไรคะช่วยตรวจคนโน้นคนนี้ได้”

“ตรงนั้นมันเป็นการจุดประกาย ทุกอย่างมันพลิกชีวิตเจี๊ยบทำให้เปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนชีวิตมาจนถึงวันนี้ ทำให้เจี๊ยบอยากที่จะเป็นหมอทั้งที่ตอนแรกเราไม่ได้อยากที่จะเป็นหมอเลย พอกลับบ้านมาเล่าให้แม่ฟังบอกเขาว่า เราจะเป็นหมอและเริ่มคิดอยากเปิดฟรีคลีนิค”

“และมีคอยู่วันหนึ่งคุณแม่ก็เข้ามาบอกว่า มีการประกวดนางสาวไทยจะลองประกวดมั้ยถึงเราแพ้ก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าเราชนะคนจะรู้จักเรามากขึ้นเขาจะได้ช่วยโครงการที่เราคิดไว้ด้วย นั่งคิดอยู่นานว่าจะตัดสินใจยังไงดี เพราะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่เหมาะเดินก็เดินขาถ่าง(หัวเราะ) แต่ก็แบบว่าเออลองดูสักตั้งเกือบวันสุดท้ายแล้วที่ไปสมัครเข้าประกวด”

“ถามว่ามั่นใจมั้ยตอนที่ไปประกวด ไม่มั่นใจเลยเสียวจะตาย คือเราไม่เคยเดินก็ตื่นๆ ใจสั่นตลอดเวลาแล้วเราก็ไม่ใช่นางง๊ามนางงามอะไรแบบนั้นที่จะมาเดินแอ็คท่า ตอนแรกมีไปเรียนเดินก่อนวันหนึ่งด้วยเพราะรู้ว่าตัวเองเดินน่าเกลียดมากเลย พอไปเดินแล้วรู้สึกว่า มันเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองจะต้องหันมาแล้วจิกหน้า พอเราทำแบบนั้นแล้วยิ่งน่าเกลียดเข้าไปใหญ่ ก็เลยไม่เอาดีกว่าเลิกเรียนเราเดินเป็นแบบตัวเราดีกว่า แต่ลดดีกรีความห้าวลง(หัวเราะ)เอาให้เป็นธรรมชาติที่สุด”

“พอได้ตำแหน่งมามันเหมือนเป็นก้าวแรกที่จะเปิดให้คนรู้จักไอเดียความคิดที่จะทำฟรีคลินิกของเจี๊ยบ ซึ่งเจี๊ยบทำคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว เพราะการที่เราจะไปช่วยชีวิตใครหรือว่าทำอะไรที่เกี่ยวกับชีวิตคนเราต้องทำให้ดีที่สุด และมันอาจที่จะต้องใช้ทุนเยอะ ตอนแรกที่ยังไม่ได้ประกวดนางสาวไทยก็คิดว่าจะทำคนเดียวด้วยซ้ำ(หัวเราะ) แต่ว่าพอเรามาคิดลึกๆ ดูแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่นะ ถึงแม้ว่าเราจะเปิดแค่สองวันเสาร์-อาทิตย์ ถ้าเปิดทุกวันอาจจะไม่มีเวลาทำมาหากินอาจจะอดตายได้”

“ฟรีคลินิกที่เจี๊ยบบอกจะเป็นลักษณะรักษาคนฟรีไม่มีการคิดเงินและอยากที่จะเลี้ยงอาหารฟรีในวัน เสาร์-อาทิตย์ที่เปิดให้บริการด้วย เพราะเจี๊ยบเคยไปฝึกงานที่โรงพยายบาลแถวๆ บ้านก่อนจะมาเรียนหมอ เห็นคนมารอเยอะมากพยาบาลก็จะบอกคนไข้ที่รอคิวอยู่ว่าอีกนานกว่าจะถึงคิวให้ไปหาอะไรทานก่อนได้”

“มีพี่คนหนึ่งเขาก็อุ้มลูกไปซื้อไส้กรอกตามรถเข็นมาทาน ซึ่งเจี๊ยบเห็นแล้วแบบว่าเฮ้ย!..กินได้ยังไง เพราะว่ามันเป็นไส้กรอกสีเขียวชนิดที่เขียวมากๆ ไม่น่าจะปลอดภัยเวลาทานไปแล้ว ไม่ค่อยดีกับสุขภาพแน่ๆ เลย นึกเอาไว้ว่าถ้าเรามีคลินิกระหว่างที่เขาต้องรอคิวเราอาจจะไปหาร้านที่ดีๆ มาเหมาแล้วแจกข้าวให้เขากินฟรีในช่วงระหว่างรอตรวจดีกว่าไปกินอะไรที่มันไม่ปลอดภัยแบบนั้น”

วันนี้เจี๊ยบได้เป็นนางสาวไทยอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แล้ว แล่ะยังสานฝันในการเปิดฟรีคลีนิกต่อไป
“การเป็นนางสาวไทยทำให้เจี๊ยบรู้จักคนมากขึ้น ทำให้เราสามารถถ่ายทอดความคิดของเราไปยังคนอื่นๆ เวลาที่เจี๊ยบไปออกรายการเจอพี่ๆ ที่อยู่ในวงการบันเทิงอย่างพี่ท็อป ดารณีนุช พี่ก้อง ปิยะก็จะคุยให้เขาฟัง เขารู้เรื่องโครงการฟรีคลินิกที่เราจะทำ พี่เขาก็บอกว่าเรียนจบเมื่อไหร่มาเอาสำลีกับพลาสเตอร์ยาฟรีกับพี่ เจี๊ยบได้ยินแบบนั้นแล้วรู้สึกดีใจทุกคนสามารถให้ความช่วยเหลือได้”

“มันดูเป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่เจี๊ยบยังเรียนไม่จบเราจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่เจี๊ยบคิดไว้เรียนจบปีหกเมื่อไหร่จะเริ่มหาทุนไปเรื่อยๆ และต้องขอให้ทุกคนช่วยกันด้วยเพราะเรื่องนี้มันเป็นอะไรที่ทำคนเดียวไม่ได้ ทางคุณแม่ก็บอกว่าจะเขียนหนังสือแล้วเอาเงินรายได้ทั้งหมดใส่เข้าเป็นกองทุนในการทำโครงการฟรีคลินิก ถือเป็นเงินก้อนแรกในการเริ่มโครงการ”

ครอบครัวของสาวเจี๊ยบสนิทสนมกับครอบครัวชินวัตรพอสมควรถึงขนาดมีข่าวออกมาว่า “โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร” มีการพูดคุยหมั้นหมายกับน้องสาวของสาวเจี๊ยบเรียบร้อยแล้ว และถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะออกมาปฏิเสธข่าวทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองครอบครัวมีความสนิทสนมกันพอสมควร มันก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วทำไมตระกูลชินวัตรที่มีเงินล้นฟ้า ไม่สนับสนุนโครงการดีๆ แบบนี้

“ก็รู้จักกันมีเล่าให้พี่เขาฟังบ้าง แต่เจี๊ยบก็บอกทุกคนใครอยากที่จะช่วยก็ช่วยได้หมด ทุกคนรู้ว่าเราอยากมีฟรีคลีนิกเท่านั้นเอง แต่ยังไม่คุยถึงรายละเอียดตรงนั้นเจี๊ยบว่าต้องรอให้จบก่อนดีกว่า ถ้าจะพูดเรื่องโครงการดีที่สุดเมื่อตอนเราเรียนจบแล้วมันเหมือนเป็นหลักประกันก้าวแรก แต่เราอยากที่จะทำมันเหมือนเป็นเป้าหมายในชีวิตก็ว่าได้”

“เจี๊ยบเป็นนางสาวไทยมาตั้งแต่ปี 49 กว่าจะจบก็อีก 3 ปีถึงเวลานั้นก็ไม่รู้คนยังจะจำเจี๊ยบได้หรือเปล่าแต่ถ้าลืมก็ไม่เป็นไร เพราะเจี๊ยบก็ไม่ใช่คนดังอะไรมากมาย แต่ขอว่าอย่าลืมไอเดียของเจี๊ยบก็แล้วกัน หรือว่าถ้าลืมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเจี๊ยบไปเสนอแล้วช่วยก็จะดีมาก เจี๊ยบเชื่อว่าถ้าใครรู้ว่ามีไอเดียแบบนี้ ก็คงอยากจะให้ความช่วยเหลือ”

นอกจากฝันอยากจะเปิดฟรีคลินิกหลังเรียนจบแล้ว เจี๊ยบก็ยังอยากช่วยเหลือสัตว์จรจัด
“นอกจากโครงการฟรีคลินิกแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่เจี๊ยบอยากจะทำก็คือ หาสถานที่เลี้ยงสัตว์ เจี๊ยบคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เพราะเจี๊ยบเป็นคนรักสัตว์ บ้านเจี๊ยบจะเลี้ยงสัตว์ไว้เยอะแยะไปหมด เราเคยคิดเว่อร์ๆ อยากมีเกาะทั้งเกาะแล้วให้หมาแมวจรจัดไปอยู่ แต่มันก็เว่อร์ไปนะใครเขาจะให้ไปอยู่ ถ้ามีโอกาสก็อยากที่จะทำให้มันสำเร็จเอาพวกหมาจรจัดมาเลี้ยงแทนที่จะปล่อยให้มันไปคุ้ยขยะกิน”

กำลังโหลดความคิดเห็น