xs
xsm
sm
md
lg

10 หนังขึ้นหิ้งของ "สตีเวน สปีลเบิร์ก"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถ้าสิ่งที่แฟนลูกหนังรอคอยกันทั่วโลกไม่พ้นศึกนัดชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนลีคระหว่าง "ปีศาจแดง" และ "สิงโตน้ำเงินคราม" 2 ยอดทีมจากอังกฤษที่จะฟาดแข้งกันในคืนวันที่ 21 พ.ค.นี้ สิ่งที่แฟนหนังทั่วโลกต่างเฝ้าคอยไม่แพ้กันคงหนีไม่พ้นการกลับมาอีกครั้งในรอบเกือบ 2 ทศวรรษของบุรุษที่มีแส้เป็นอาวุธอย่าง Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4 อาณาจักรกะโหลกแก้ว ที่จะลงโรงฉายให้แฟนหนังทั่วโลกได้ชมกันในวันที่ 22 พ.ค.นี้

และไม่ว่าเราจะรู้จักเขาในฐานะพ่อมดแห่งฮอลลีวูดหรือตำนานที่ยังมีลมหายใจแห่งโลกภาพยนตร์ ชายผู้นี้ก็ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นผู้ให้กำเนิด "หนังบล็อกบัสเตอร์" แห่งโลกภาพยนตร์ยุคใหม่ จากหนังสุดสยองที่สร้างความหวาดผวาแก่ผู้ชมทุกเจเนเรชั่นอย่าง Jaws ตำนานของเขายังรวมไปถึงการร่วมก่อตั้ง 2 ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง DreamWorks SKG และ Amblin Entertainment, การคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว 3 ครั้ง และมอบ อี.ที. ให้กับชาวโลก

เพื่อเฉลิมฉลองผลงานล่าสุดในรอบ 3 ปีของยอดผู้กำกับวัย 61 ปีผู้นี้ ทางเว็บไซต์ rottentomatoes.com แหล่งข้อมูลทางด้านงานวิจารณ์ชั้นนำของวงการได้จัด 10 อันดับหนังที่โดดเด่นที่สุดของเขาในสายตาของนักวิจารณ์ชั้นนำของประเทศจาก Tomatometer อันเป็นผลรวมของเสียงวิจารณ์ในแง่บวกและลบของผลงานแต่ละชิ้นที่ผ่านมา (ไม่นับ Indiana Jones series)

10. The Color Purple 1985
Tomatometer: 84%

หลังจากประสบความสำเร็จจากหนังลุ้นระทึก (Jaws, Raiders of the Lost Ark, กับ Indiana Jones and the Temple of Doom) และหนังไซไฟระดับครอบครัว (Close Encounters of the Third Kind กับ E.T.: The Extra-Terrestrial) สปีลเบิร์กก็หันมาจับงานสร้างผลงานที่มีเนื้อหาเข้มข้นเกี่ยวกับชีวิตอันแร้นแค้นในตอนใต้ของสาวแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งการจับงานดรามาครั้งแรกครั้งนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ว่าเป็นหนึ่งในหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปีนั้น (รวมทั้งจากยอดนักวิจารณ์ โรเจอร์ อีเบิร์ต ด้วย) ได้เข้าชิงออสการ์มากที่สุดถึง 11 สาขา เป็นผลงานที่แจ้งเกิดแก่นักแสดงหญิงแอฟริกัน-อเมริกันมากมายทั้ง วู๊ปปี โกลด์เบิร์ก ที่ได้ชิงดารานำหญิง และ โอปราห์ วินฟรีย์ ที่ได้ชิงสมทบหญิงร่วมกับ มาร์กาเร็ต เอเวอรี แต่ผลก็คือชวดทุกรางวัล และที่ฉาวที่สุดก็คือ 11 รางวัลที่ถูกเสนอชื่อไม่มีสาขาผู้กำกับ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวสามารถคว้า DGA Award จากสมาคมผู้กำกับของอเมริกาเป็นครั้งแรกจากเรื่องนี้ (อีก 2 ครั้งได้จาก Schindler's List และ Saving Private Ryan)



9. Jurassic Park 1993
Tomatometer: 86%

เป็นผลงานที่ยืนยันความเป็น "พ่อมด" แห่งฮอลลีวูดในตัวเขาได้อย่างชัดเจนที่สุด ในการร่วมมือกับนักเขียนบท ไมเคิล คริชตัน ที่ดัดแปลงจากงานเขียนอันโด่งดังของตัวเขาเอง ร่วมด้วยมือสเปเชียลเอฟเฟคอย่าง ฟิล ทิปเป็ท และ สแตน วินสตัน ที่ช่วยกันสร้างภาพที่เป็นเหมือนการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์โลกยุคใหม่ Jurassic Park ทำสถิติเป็นหนังที่ทำรายได้มากที่สุดในโลกในยุคสมัยของมัน (914 ล้านเหรียญในปี 1993) จนต้องทำกันออกมาอีก 2 ภาค แต่ไม่มีภาคไหนเทียบความสำเร็จได้เท่าภาคเปิดตัวชิ้นนี้



8. The Sugarland Express 1974
Tomatometer: 92%

ผลงานฉายโรงใหญ่ครั้งแรกของสปีลเบิร์ก ที่ออกมาในยุคที่หนังหลบๆ ซ่อนๆ จากมือกฏหมายออกมาอย่างดาษดื่นในช่วงยุค 70 แต่กระนั้นมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนซึ่งลายเซ็นของเขาที่แฟนๆ คุ้นเคยอย่างดีในผลงานยุคต่อๆ มา ทั้งพล็อตเรื่องที่ชาญฉลาด เสน่ห์ของดาราสาว โกลดี ฮอร์น ที่ฟอร์มสดในยุคนั้นได้ทำให้ผลงานที่สร้างจากเรื่องจริงชิ้นนี้โดดเด่นกว่าหนังโรดมูวี่ทั่วๆ ไป และเป็นงานชิ้นแรกๆ ที่สปีลเบิร์กได้ร่วมงานกับ จอห์น วิลเลียมส์ ยอดนักแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ต่อมาจะกลายเป็นคู่บุญในการร่วมงานอีกหลายๆ ชิ้น



7. Minority Report 2002
Tomatometer: 92%

ผลงานการร่วมงานครั้งแรกกับซูเปอร์สตาร์ ทอม ครูส เรื่องนี้ เล่าถึงปี 2054 ในอนาคตที่จะไม่มีการทำผิดกฎหมาย เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดอารมณ์แบบนิยายวิทยาศาสตร์บนหลักการของจริยธรรมของมนุษย์ได้น่าสนใจ พร้อมกับฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นตาและเทคนิกทางภาพที่สะท้อนโลกอนาคตอย่างโดดเด่น



6. Saving Private Ryan 1998
Tomatometer: 94%

หลังจากผ่านงานบรรยายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการค้าทาสจาก Schindler's List และ Amistad มาแล้ว สปีลเบิร์กก็กลับมาด้วยหนึ่งในหนังสงครามยุคใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ หนังมาด้วยการเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์ที่ให้ตัวละครที่ธรรมดาไปตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากเปิดตัวการยึดหาดนอร์มังดีที่ได้รับการยกย่องให้เป็นฉากสงครามที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่มีการถ่ายทำกันมา จนตัวหนังได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ถึง 11 สาขาในปีนั้น และส่งให้เขาได้รับออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมในครั้งที่ 2 ไปครอง (แต่พลาดสาขาภาพยนตร์อย่างพลิกโผอีกครั้ง) และยังเป็นการรวมยอดฝีมือทางการแสดงฝ่ายชายเอาไว้อย่างคับคั่ง (ทอม แฮงค์ส, แม็ต เดมอน, วิน ดีเซล, เอ็ดเวิร์ด เบิร์น, ทอม ไซซ์มอร์, โจวานนี ไรบีซี, อดัม โกลด์เบิร์ก, แบร์รี เป็ปเปอร์ และเจเรมี เดวีส์)



5. Close Encounters of the Third Kind 1977
Tomatometer: 95%

เสียงโน้ต 5 ตัวที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับยานแม่ของมนุษย์ต่างดาวกลายเป็นสิ่งที่แฟนหนังจำได้ติดหู เช่นเดียวกับตัวหนังที่กลายเป็นภาพติดตาของแฟนๆ มาจนวันนี้ ในผลงานที่สปีลเบิร์กลงมือเขียนบทและกำกับด้วยตัวเอง เป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจของมนุษย์ต่อสิ่งแปลกปลอมจากต่างดาว ผ่านสเปเชียลเอฟเฟคยุคแรกเริ่มที่ตัวเอเลี่ยนยังดูไม่ต่างจากเนื้องอก (แต่ก็มีคนเลียนแบบกันไปทั่ว) แม้ปีนั้นเขาจะถูกคู่หู จอร์จ ลูคัส บดบังซะมิดจาก Star Wars อันแสนยิ่งใหญ่ของเขา และผลงานเรื่องนี้ก็เป็นพื้นฐานในการปูทางไปสู่การสร้าง E.T. ที่จะแซงรายได้ของ Star Wars ในไม่กี่ปีต่อมา



4. Catch Me If You Can 2002
Tomatometer: 96%

การลองของทำหนังเน้นการดำเนินเรื่องจากตัวละครที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของ แฟรงค์ อบาเนล ผู้ที่ปลอมตัวเป็นนักขับเครื่องบิน, หมอ, ทนาย และลอยนวลด้วยการขโมยแบงค์ปลอมนับล้าน ทั้งๆ ที่ยังไปพ้นวัยมัธยมด้วยซ้ำ เป็นผลงานที่แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเขายอดเยี่ยมในการทำหนังที่นักวิจารณ์ชื่นชอบและประสบความสำเร็จทางรายได้มากมายแค่ไหน นอกจากจะส่งให้ คริสโตเฟอร์ วอลเคน ในบทคุณพ่อจอมเสี้ยมได้ชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับ จอห์น วิลเลียมส์ ในสาขาดนตรีประกอบ ผลงานชิ้นนี้ยังเป็นหนึ่งในการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของของดาราหนุ่ม ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ อีกด้วย



3. Schindler's List 1993
Tomatometer: 96%

หลังจากทั้ง ซิดนีย์ พอลแล็ค และ มาร์ติน สกอร์เซซี หันหลังให้กับหนังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของนาซีครั้งนี้ สปีลเบิร์กจึงตัดสินใจสร้างมันด้วยตัวเองในปีเดียวกับที่เขาสร้างหนังไดโนเสาร์สุดดัง โดยเปลี่ยนแปลงสไตล์การถ่ายทำจากภาพที่หวือหวามาเป็นภาพยนตร์ขาวดำที่เคร่งขรึม ฝีมือการกำกับภาพของ ยานูซ คามินสกี เพื่อให้ฉีกจากหนังฮอลลีวูดอื่นๆ ที่เคยทำๆ กัน เกิดเป็นผลงานภาพยนตร์ที่สะเทือนใจที่สุดที่เขาเคยสร้างมา Schindler's List กวาดรางวัลมามากมายทั้งออสการ์, ลูกโลกทองคำ และบาฟต้า ฯลฯ และทำรายได้มากถึง 321 ล้านเหรียญ ที่เขามอบผลกำไรทั้งหมดของเขาแก่การกุศล



2. E.T.: The Extra-Terrestrial 1982
Tomatometer: 98%

ภาพยนตร์ที่บัญญัติคำว่า "เวทมนตร์" แห่งโลกมายา ที่ปลุกความเยาว์วัยในตัวของแฟนหนังทุกคน ในเรื่องราวของเด็กหนุ่มน้อย อีเลียต ที่ค้นพบเอเลียนกำพร้าที่หลังบ้านของเขาเอง E.T. เป็นผลงานที่ถ่ายทอดในมุมมองของเด็ก ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีทั้งจากผู้ชมที่เป็นเด็กและแฟนหนังผู้ใหญ่ที่มีจินตนาการอยู่ในหัวใจ จนทำให้มันประสบความสำเร็จทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์ และอีทีเองก็ยังคงเป็นหนึ่งในตัวละครอันเป็นที่รักมากที่สุดของโลกภาพยนตร์ทุกวันนี้



1. Jaws 1975
Tomatometer: 100%

ทำไมหนังปลาฉลามเรื่องนี้ถึงยิ่งใหญ่ ลองจินตนาการดูว่าในยุคที่หนัง blockbuster ยังไม่มีตัวตนในฮอลลีวูด สมัยก่อนผู้สร้างหนังเลือกที่จะฉายหนังเพียงไม่กี่โรงในเมืองใหญ่ก่อนที่จะขยายโรงฉายตามความนิยมของหนัง จนกระทั้งสปีลเบิร์กที่มาพร้อมกับแนวคิด "wide release" ในการออกฉาย Jaws พร้อมกันทั่วประเทศ จนหนังที่เปิดฉากได้อย่างสุดสยองเรื่องนี้ได้สร้างกระแสจนกลายเป็นหนังอเมริกันเรื่องแรกที่ทำเงินผ่านหลัก 100 ล้านเหรียญในสหรัฐฯได้สำเร็จ Jaws เป็นการจารึกชื่อของสปีลเบิร์กในวงการภาพยนตร์เป็นครั้งแรก และเป็นฤกษ์ดีสำหรับเส้นทางอาชีพอันยอดเยี่ยมที่จะตามมาในอนาคต




6 ผลงานพระรอง

81% Duel 1971
78% Amistad 1997
77% Empire of the Sun 1987
77% Munich 2005
73% A.I. Artificial Intelligence 2001
73% War of the Worlds 2005

5 หนังคะแนนรั้งท้าย

22% Hook 1991
30% 1941 1979
52% The Lost World: Jurassic Park 1997
61% The Terminal 2004
61% Always 1989

4 ตัวแทนจาก Indiana Jones series

95% Raiders of the Lost Ark 1981
87% Indiana Jones and the Temple of Doom 1984
90% Indiana Jones and the Last Crusade 1989
78% Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull 2008

กำลังโหลดความคิดเห็น