"โย" สุดทน ! เปิดหมดใจกรณี โดนกล่าวหาเป็น "เมียน้อย" เผยมีความจริงเรื่องความสัมพันธ์ของ "เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ - ตู่ นันทิดา" ที่ไม่สามารถพูดได้ เพราะต้องรักษาสัจจะ เผยเหตุเลิกคบกับเอ๋ไม่ได้ เพราะเป็นคนมีความรับผิดชอบ อ่อนโยน ไม่ใช่มาเฟีย
หลายครั้งที่นางแบบสาวหุ่นดี “โย-ยศวดี หัสดีวิจิตร” ตกเป็นข่าวฉาวดังกระฉ่อนเรื่องชู้สาวกับ “เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม” สามีของ “ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย” ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันอยู่หลายครั้งถึงเรื่องความสัมพันธ์นั้นเป็นเพียงเพื่อนคบหากันธรรมดา แต่ก็มักจะมีภาพปาปารัสซี่หลุดออกมาย้ำความสัมพันธ์ที่มันดูลึกซึ้งเกินคำว่าเพื่อนซะทุกครั้งไป ทำให้โยถูกคำครหาว่า เป็นกิ๊ก , มือที่สาม , เมียน้อยฯลฯ
ท่ามกลางกระแสสังคมที่ตัดสินความสัมพันธ์กับทั้งคู่ไปเรียบร้อย แต่จะมีใครรู้บ้างว่า เบื้องหลังคำพิพากษาจากสังคมอยู่นั้นยังมีความจริงที่โยบอกว่า ไม่สามารถที่จะเปิดปากถึงความสัมพันธ์ของ “เอ๋ – ตู่” ได้ เพราะต้องรักษาสัญญาที่มีให้ไว้กับเอ๋ ชนม์สวัสดิ์ และถ้าทั้งคู่ยังไม่ประกาศอะไรออกมา ตนเองก็ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้
วันนี้ “โย ยศวดี” ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่า “เป็นเมียน้อย” ขอเปิดหมดใจ......
“ก่อนหน้านี้โยหายไปนานพักใหญ่ เพราะว่าปีที่แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเยอะมาก มันทำให้ชีวิตโยเปลี่ยนไปเลย เปลี่ยนไปในทางที่แย่หรือเปล่ามันก็ไม่ได้แย่มาก แต่ว่ามันทำให้เราไม่ยึดติดมีความสุขกับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานหรือว่าชีวิตส่วนตัวก็ตาม เราพยายามที่จะไม่เจอผู้คนมากนัก ไปอยู่เงียบๆ มานานพอสมควร”
“ทั้งข่าวและคดีหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นมันเริ่มทำให้เราหยุดคิดและตรึกตรองว่า อะไรที่มันผ่านมาในชีวิตและสิ่งที่เราทำไปนั้นมันถูกต้องหรือเปล่า ยอมรับว่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว เป็นปีที่เรารู้สึกแย่กับชีวิตมาก มันมีหลายเรื่องเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีที่ถูกกล่าวหาว่าเราทำร้ายคน ถึงขนาดต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกัน แล้วยังมาติดคดีคุณเอ๋ (ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม) ด้วย พร้อมทั้งมีการประโคมข่าวเกี่ยวกับคุณเอ๋ โย คุณตู่ ยอมรับว่าแต่ละเรื่องเป็นเรื่องที่แย่ๆทั้งนั้น”
“คนไทยส่วนใหญ่เวลาอ่านข่าวจิตใจโอนเอียงไปทางเนื้อข่าวประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ พอเห็นข่าวเกี่ยวกับรักสามเส้าคนก็จะไปให้ความสนใจเห็นใจกับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยที่ยังไม่รู้ความจริงว่าเป็นยังไง อันนี้ต้องยอมรับว่าสังคมไทยเราเป็นแบบนี้”
“แต่ถามว่ามายด์กับคนมาคอมเม้นท์ไหม ไม่มายด์เรามายด์กับคนในครอบครัวมากกว่า ทำไปแล้วคนในครอบครัว คุณแม่ พี่สาว จะรู้สึกอย่างไร เพื่อนๆ จะถามว่าเคยเข้าไปดูกระทู้บ้างมั้ย ตัวเองเป็นคนที่เล่นคอมพิวเตอร์เยอะมาก แต่เล่นในเรื่องการทำงานมากกว่าแชทที่แบบว่าไปนั่งด่าชาวบ้านเขาไม่ค่อยทำและไม่ค่อยอ่านด้วย มันเป็นอะไรที่สังคมไทยเปิดกว้างให้คนแบบนี้เข้ามามีบทบาทและไปให้การสนับสนุน ซึ่งโยเป็นคนหนึ่งที่ไม่สนับสนุนและไม่ใส่ใจอะไรกับคอมเม้นท์พวกนี้”
“แต่ถามว่าหวั่นไหวไหม เวลาที่เดินไปตามท้องถนนแล้วมีคนกระซิบกระซาบกัน ตรงนี้มันหวั่นไหวมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการแล้ว เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่จะตื่นตาตื่นใจไปกับคนในวงการบันเทิงไม่ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือในทางที่ไม่ดี อย่างมีข่าวเม้าท์มาเดินไปก็สะกิดเรียกดูทั้งแถว เราก็ต้องทำใจอย่าไปใส่ใจ ถ้าใส่ใจกับคนแรกเดินตั้งแต่หน้าห้างยันท้ายห้างเราก็ต้องใส่ใจไปถึงคนสุดท้ายด้วย เพราะฉะนั้นอะไรที่มันเป็นขยะของสมองเราก็จะพยายามตัดมันออกไป”
“ถ้าเขาจะตัดสินเราว่าเป็นคนไม่ดีจากข่าวตรงนี้ไม่ค่อยกลัว แต่ก็มีรู้สึกบ้างจากสายตาของเหล่าแม่บ้านเวลาที่เขามองเรา เขาจะมองด้วยสายตาแปลกๆ แน่นอนว่าเขาเชื่อข่าวที่เกิดขึ้น แล้วก็มั่นใจด้วยว่าเราเป็นมือที่สาม เราทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยก”
“ถ้าเราไปมองก็จะรู้สึกแย่ เลยเลือกใช้วิธีอย่าไปมอง อย่าไปใส่ใจ แต่ถามว่าเราแคร์ไหม เราแคร์ในตรงจุดที่ว่า เราไม่สามารถแก้ตัวได้ ไม่สามารถไปป่าวประกาศให้กับคนเหล่านั้นเขารู้ลึกๆ รู้ถึงความจริงได้ ตรงนี้ก็จะรู้สึกนิดนึง”
“มีครั้งหนึ่งเคยโดนด่าแรงๆ ไปแย่งผัวชาวบ้านเขาก็ยังโดนมาแล้ว เขาไม่ได้มาด่าต่อหน้าแต่มีน้องที่เขาเป็นห่วงเรามาบอก ก็รู้สึกโมโหทำไมถึงต้องรุนแรงขนาดนี้ ไม่รู้จักกันมาก่อนเลยทำไมถึงต้องมาด่ากันหยาบคาย เขาไม่ได้รู้จักเราจริงๆ เพียงแค่รู้จักเราจากสิ่งที่เขาอ่าน สิ่งที่เห็นตามข่าวเท่านั้นเอง”
“บัญญัติหนึ่งในชีวิตที่จะไม่ทำเด็ดขาดคือการที่จะไปแย่งสามีใคร ไม่ใช่ว่าแอนตี้คนที่เขาเคยทำนะ แต่โดยส่วนตัวเราคิดว่าเราก็มีดีพอ เพราะเราก็มีการศึกษามากพอคงไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำแบบนั้น ผู้ชายก็ไม่ได้มีอยู่แค่คนสองคนในโลกนี้”
“กับภาพหลุดต่างๆ ที่ออกมา โยว่ามันไม่มีอะไรมันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าโยเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งแล้วไปเดินกับผู้ชายต่อให้เดินจูงมือกัน หรือมีอะไรกันก็คงไม่มีใครสนใจ แต่เนื่องจากว่าเราเป็นคนมีชื่อเสียงทั้งคู่โยโดนเล่นข่าวนี้มาตลอดทั้งปี ถ้ามาถามโยว่า ภาพมันดูแรงไหม บอกตรงๆ ว่ามันไม่มีอะไร เราไม่ได้ถึงขนาดไปกอดจูบกัน”
“แต่ก็มีคนมองจากภาพแล้วบอกว่าเราจูบกัน เราคงไม่จูบกันในที่สาธารณชนให้เขาเห็นหรอก ตอนวินาทีนั้นที่กล้องมันรัว เราเองก็ยังนึกภาพไม่ออกว่า เดินขึ้นเดินลงยังไงคงเป็นอิริยาบถของคนปกติคู่หนึ่ง ในช่วงนั้นยอมรับว่าเราสนิทกันไปเที่ยวกันบ่อยมาก และที่ตรงนั้นไม่คิดว่าจะมีใครมาเอากล้องแอบถ่าย หาดก็เป็นหาดส่วนตัวด้วยถ้าไม่มีเรือก็ไปไม่ได้“
“ก็ไม่รู้ว่าจะกระพือข่าวนี้ไปเพื่ออะไร มันมีภาพคนกอดกันจูบกัน ทำอะไรที่เยอะกว่านี้อีก ภาพโยถือว่าซอฟท์ไปเลย ภาพที่หลุดออกมาเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้มันหลุดออกมาหรอก แต่ถามว่าถ้าต้องมานั่งระวังกันตลอด 24 ชั่วโมงไม่ไปไหนมาไหน ไม่ไปกินข้าว ไม่ไปทำอะไรด้วยกัน อันนี้ก็คุยกันลำบากมากกับการคบกัน โยถึงบอกว่ามันพูดอะไรไม่ได้จริงๆ มันเหมือนน้ำท่วมปากแต่ตอนนี้มันท่วมจนมันล้นไปทั้งหน้าแล้ว (หัวเราะ) ไม่ใช่แค่ปาก”
“ในสังคมไทยจะเห็นได้ว่ามีบ้านเล็ก บ้านใหญ่ เมียน้อย เมียหลวง เพราะฉะนั้นเขาจะคิดว่าเวลาสามีภรรยาที่ไม่ได้ประกาศหย่า ไม่ได้เลิกกันยังคงใช้นามสกุลเดียวกันหรือจะไม่จดทะเบียนอันนี้ก็ไม่ทราบนะ แต่ตราบใดที่ไม่ได้ออกมาประกาศว่าเลิกรากันก็ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ เพราะฉะนั้นตามสถานภาพแล้วยังถือว่าสมรสสังคมไทยยังเป็นแบบนี้ แล้วการมีบ้านเล็ก บ้านน้อย บ้านใหญ่มันมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรดูละครนางทาสก็เปิดโอกาสให้ผู้ชายสามารถมีเมียน้อยได้เยอะ เพราะฉะนั้นจะไม่ให้คนคิดก็คงจะเป็นไปไม่ได้เราจะไปว่าอะไรได้”
“แต่ถึงโยจะไม่แคร์สายตาคนอื่น แต่คำว่าเมียน้อยในสมัยนี้ สำหรับโยถือว่ามันรุนแรง และดูแย่กว่าสมัยก่อน เพราะสมัยนี้คนเราเจริญแล้ว มีการศึกษาทุกอย่าง โยถือว่าการที่จะยอมเป็นเมียน้อยคน ถ้าไม่มีเหตุผลเรื่องความมั่นคงจริงๆ คงจะไม่มีใครเลือกทำแบบนั้นแน่นอน”
“และเรื่องความมั่นคงสำหรับโย คิดว่าเรามีเพียงพอ เราทำงานมาตั้งแต่เด็กเก็บทรัพย์สินทุกอย่างไม่ต้องมีแฟนร่ำรวยโยก็อยู่รอดได้ ไม่จำเป็นจะต้องไปเป็นเมียน้อยใคร โยมั่นใจว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะเป็นเมียน้อย และความรักอย่างเดียวคงเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้ใครยอมมาเป็นรองไม่ได้ ถ้าสถานภาพมันไม่บีบบังคับจริงๆ”
“เพราะฉะนั้นใครจะมาตัดสินโยด้วยภาพหรืออะไรต่างๆ โยถือว่าคนนั้นเขามีการศึกษามาดีรึเปล่า ถ้าตัดสินคน ณ แค่ตรงนั้นโยก็ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะถือว่าแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน เราจะไปตัดสินแทนเขาก็ไม่ได้ จะไปยื้อเขามาแล้วจับเขาหยิกหู หยิกแก้มให้เขาเชื่อในสิ่งที่เราพูดก็ไม่ได้
“แต่ก็ต้องยอมรับว่ากับกระแสข่าวที่เกิดขึ้นมันมีผลกระทบกับเราพอสมควร อย่างแรกมันไปกระทบที่เพื่อนฝูงที่เราเคยคบหา ทุกคนก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลายคนไม่เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ว่าจริงๆ มันเป็นแบบไหนเราเองก็พูดไม่ได้”
“เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เราไปพูดมันก็คงไม่ใช่หน้าที่ โยทำในส่วนที่เป็นหน้าที่ของโยไม่ก้าวก่ายกับใคร แล้วก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครไม่ต้องการให้ใครมายุ่งเกี่ยวด้วย ตรงนี้โยถือว่าชัดเจนมากแล้ว แต่ใครจะจับมาโยงกันยังไงโยว่ามันเป็นเรื่องของกระแสข่าวมากกว่า”
เหมือนกำลังจะบอกว่าความสัมพันธ์ของ “เอ๋ ชนม์สวัสดิ์" กับ “ตู่ นันทิดา” นั้นไม่ชัดเจน ซึ่งเขาอาจจะเลิกกันไปแล้วก็ได้ แต่ไม่ได้มีการประกาศให้ใครทราบ โยเลยกลายเป็นมือที่สาม
“โยว่าคนอื่นน่าจะดูออกนะ ไม่ต้องให้โยพูดหรอก โยถือว่าแต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง และต้องมีความเข้าใจอยู่บ้าง ไม่งั้นเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ โดยส่วนตัวโยถือว่า ไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนทำร้าย หรือทำลายชีวิตเขา เรามั่นใจได้ตรงนี้ และยังขอยืนยันคำพูดนี้ตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ ตราบใดที่ทางโน้นเขาไม่พูดอะไรเลยโยก็พูดไม่ได้เหมือนกัน”
“สำหรับตัวโยถือว่า ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ เราก็ไม่สามารถก้าวไปได้มากกว่านี้ และมันก็ต้องเป็นไปแบบนี้ โยต้องยอมรับให้ได้กับทุกสิ่งที่โยจะทำทุกสิ่งที่โยจะพูด ถ้าเกิดว่าคิดจะคบกัน เพราะถ้าถามจริงๆคือ สถานภาพมันไม่ชัดเจนอย่างรุนแรงมาก”
“เราจึงเป็นได้แค่นี้ จะหวังอะไรให้มันเป็นมากกว่านี้มันก็คงเป็นไปไม่ได้ โยไม่เคยกดดันใครให้เขารู้สึกว่าเขาต้องเป็นอิสระเพื่อเรา ถ้าเขาไม่ได้อยากทำจริงๆ เพราะสังคมที่ผ่านมาเราก็เห็นว่าอะไรที่มันเกิดขึ้นกับคนในวงการบันเทิงไม่ว่ามีข่าวอะไรมันก็มีแต่เสียกับเสีย”
“มีข่าวว่าเป็นมือที่สามบ้าง ทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกบ้าง แย่งสามีชาวบ้านบ้าง มันจะไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าสามคำนี้ เพราะฉะนั้นโยจะไม่พูดอะไรเลย ไม่ใช่ว่าจะเซฟตัวเองนะ แต่ที่ไม่พูดเพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องของเรา มันเป็นเรื่องของครอบครัวเขาที่เขาต้องแก้ไขกันเอง”
“พอเราไม่พูดมันก็ทำให้เราเสียหายอีก เพราะยังไงคนภายนอกมองก็ไม่พ้นเรื่องมือที่สามอยู่ดี ยอมรับมีช่วงเวลาหนึ่งที่รู้สึกอึดอัดมากออกมาประกาศว่า ไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่ามันค่อนข้างปวดหัว แค่เราสองคนสามคนสี่คน มันยังพอพูดจากันรู้เรื่อง แต่พอมันออกไปตามสื่อต่างๆ คนภายนอกเข้ามาตัดสินความสัมพันธ์ของเรามันทำให้ครอบครัวโยไม่มีความสุขอย่างรุนแรง”
“ช่วงนั้นร้องไห้บ่อยมากทั้งๆที่โยเป็นคนที่ร้องไห้ยากมาก แต่เวลานั้นมันเหมือนกับว่าบ่อน้ำตาเราตื้นเราไม่สามารถพูดจากสิ่งที่เราคิดได้ ไม่สามารถทำในสิ่งที่เราอยากทำได้จริงๆ บางครั้งรู้สึกอยากหนีไปไกลๆ เคยไปร้องไห้กับเพื่อนก็บ่อยครั้ง ลูกหมี,โอเด็ต, ออร์แกน สามคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีจะเป็นที่ให้เราพักน้ำตาอยู่เสมอ”
“และความไม่ชัดเจนคำเดียวที่ทำให้แม่ไม่เข้าใจ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้วทำไมมันต้องเป็นแบบนี้อีก โยก็พูดไม่ได้ว่ามันคืออะไร แม่เป็นคนที่เลี้ยงลูกมาไม่ได้ต้องการให้มากินน้ำใต้ศอกใคร หรือไม่ต้องการให้ลูกมาถูกย้ำยีจากคำพูดใครที่เราไม่ได้รู้จักแล้วเขาก็ไม่ได้รู้จักเรา”
“แม่คิดว่าโยเสียใจชีวิตดูแย่มาก แต่โยรู้สึกว่าตัวเขาแย่กว่าเราเยอะเพราะเขาเป็นแม่เราไง เวลาคุยกันทุกครั้งแม่จะให้กำลังใจไม่เคยโกรธ ไม่เคยด่า ไม่เคยว่าเราเลยสักครั้ง แม่จะสอนเสมอหลังจากวันนี้แล้วพรุ่งนี้ควรจะทำยังไงต่อ”
“ช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกแย่กับข่าวที่เกิดขึ้นจะหัวเสียอยู่ตลอดเวลา คุณแม่ก็จะให้ข้อคิดสองอย่างทั้งคิดแทนทางฝ่ายเขา และคิดแทนเราด้วยเรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา พอเปิดอกคุยกันคุณแม่บอกสถานภาพแบบนี้ โยมาถึงขนาดนี้มันมีแค่คำเดียวโยจะทนต่อไป หรือ จะหยุดแค่นี้”
“แต่สำหรับโยถือว่าไม่ได้อดทนอะไรเลย แต่โยเป็นคนที่ถ้าเกิดใครทำอะไรไม่ชัดเจนจะรู้สึกอึดอัด แล้วความสัมพันธ์ก็จะไปกันลำบาก มีแต่การทะเลาะเบาะแว้งมีปากเสียงทำให้เราไม่มีความสุข”
“ตรงนั้นมันทำให้เราขอยุติความสัมพันธ์ดีกว่าต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำอะไรในช่วงนั้น มาช่วงหลังที่กลับมาคุยเป็นช่วงที่คุณเอ๋ใกล้ๆ เลือกตั้งโทรมาปรึกษาคุยกันบ้าง แต่ไม่ได้กลับไปสนิทเหมือนเดิม”
“มีปัญหาอะไรเขาไม่ค่อยปรึกษา เพราะคุณเอ๋เป็นคนที่เก็บอารมณ์เก็บความคิด สามารถที่แยกแยะได้พอสมควร เขามีอะไรที่ต้องรับผิดชอบเยอะ ถามว่าเขาเป็นเพื่อนชายที่ดีไหม เป็นเพื่อนชายที่ดีมีความคิดที่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึง”
“มองภาพภายนอกบางคนเรียกคุณเอ๋ว่ามาเฟีย หรือเป็นนักเลงบ้างอะไรต่างๆ นานา ไม่ได้รู้จักตัวตนของเขา จริงๆโยว่า เขาเป็นคนดีเป็นคนที่ให้ความคิดสอนโยได้หลายเรื่องในชีวิต เขารับผิดชอบหลายล้านเรื่องเรียกได้ว่าแต่ละวันนี่มีอะไรให้เขาได้คิดตลอดเวลา การที่เราไปเป็นเพื่อนเขาเหมือนกับว่าเราได้แลกเปลี่ยนความคิด อันไหนเขาเล่าให้เราฟังเราก็รับฟัง อันไหนที่คุณเอ๋ไม่เคยเล่าเราก็ไม่เคยถาม ตอนนั้นยอมรับว่าสถานภาพเรายืนหยัดเป็นแค่เพื่อน”
ที่ผ่านมามีแต่ “โย” กับ “ตู่” ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ แต่เรื่องทุกอย่างก็ยังไม่เคลียร์ทำให้โยต้องตกในข้อหา “เมียน้อย” อยู่ดี สิ่งเดียวที่น่าจะชัดเจนที่สุดก็คือการสัมภาษณ์คนกลางอย่าง “เอ๋ ชนม์สวัสดิ์"
“ถามว่าอยากให้คุณเอ๋เป็นคนออกมาชี้แจงบ้างไหม คงไม่ถึงกับให้เขาต้องออกมาชี้แจง คุณเอ๋เคยพูดมาคำหนึ่งว่า ไม่เคยมีใครมาถามความจริงจากเขา อาจจะเป็นว่าสื่อมันคนละสื่อกันเวลามีข่าว ไม่เคยมีสื่อบันเทิงไปจ่อปากเขา และถ้ามีใครถามเขาคงไม่โกหกคงพูดตามในสิ่งที่เขาพูดได้”
ยืนยันว่าไม่เป็นเมียน้อยของใครชัวร์ เนื่องจากก่อนจะคบใครต้องสืบประวัติอย่างละเอียด
“เราจะคบกับใครแล้วไม่รู้พื้นฐานชีวิต ไม่รู้แม้กระทั่งกำพืดเลยมันก็ไม่ใช่ มันต้องดูว่าเขาเป็นใคร สมัยก่อนมีแฟนมาจากชาติไหนประเทศไหนต้องดั้นด้นไปสืบเสาะมาให้ได้ว่า เขาเป็นใครทำอะไรอยู่ คนเราคบกันมันต้องคุย ถ้าไม่คุยเหมือนกับว่าเขาไม่ให้เกียรติเรา ไม่ให้เกียรติครอบครัวเรา แต่พอเขาพูดเปิดอกเปิดใจกับเราแล้ว มันก็อยู่ที่ว่าเราจะปรับและจะเข้าใจรึเปล่า”
“หลายครั้งที่ใครๆพยายามจะให้โยพูดและตอบคำถามถึงเรื่องสถานภาพความสัมพันธ์ระหว่างคุณเอ๋กับคุณตู่ อย่างที่บอกถ้าถามโยว่ามีอะไรจะพูดไหม ในส่วนของโยพูดไปหมดแล้ว แต่ในส่วนของคนอื่นเราไม่ควรบอกหรอกเพราะไม่ใช่เรื่องของเรา โยว่าเอาตามที่ทุกคนมองทุกคนเข้าใจ ใช้ความรู้สึกตรงนั้นดีกว่า”
“บอกได้อย่างเดียวว่า โยไม่เคยก้าวร้าวใคร ครอบครัวของคุณเอ๋น่ารัก ทุกคนมีน้ำใจเข้าใจเราทุกอย่าง เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เราไปทำร้ายเขา อันนี้ทำไม่ได้และคงไม่มีวันนั้นด้วย ส่วนโยจะอยู่ในสถานภาพแบบไหนแล้วสังคมจะเข้าใจไหม บอกตรงๆ ว่ายังไม่ค้นพบ ตัวโยเองก็ยังไม่มีคำตอบ”
“ณ วันนี้ตัวเองมีความสุขหรือเปล่า เอาแค่นี้ดีกว่า เราไม่ได้ไปทำร้ายจิตใจใครก็พอแล้ว แต่สำหรับคนภายนอกบอกได้เลยว่า โยยังพิสูจน์ไม่ได้ ยังพิสูจน์ให้ใครรู้ไม่ได้ อย่างที่บอกคือยังพูดอะไรไม่ได้จริงๆ แต่โยมั่นใจว่าไม่ได้แย่งของใคร ไม่ได้แย่งสามีใครแน่นอน ถ้ามาถามโยเมื่อสักสิบกว่าปีก่อน โยก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า คำตอบมันจะเหมือนกันรึเปล่า แต่ ณ วันนี้โยมั่นใจว่าโยไม่ได้แย่งสามีใครแน่นอน”
“ทุกวันนี้ตัวโยรับได้ทุกอย่าง เพราะผ่านอะไรมาเยอะมาก แต่ช่วงแรกๆ มันก็มีสับสนงงๆ วีนไปก็หลายรอบ อย่างบางสื่อต้องการข่าวพอเอาไมค์จ่อปากเราปุ๊บ กล้องรันยิงคำถามอะไรมาต่างๆนานา เพราะคิดว่ากล้องกำลังถ่ายอยู่ สมัยก่อนมีความอดทนสูงกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอดทน เพราะว่าคำถามบางคำถามมันเสียดหูเหลือเกิน”
“เราเองอยากถามกลับเหมือนกันว่าเอาส่วนไหนมาคิด บางครั้งเข้าใจว่าพี่ๆ สื่อมวลชนต้องมาถามตามแพลนที่หัวหน้าให้มาถาม แต่บางครั้งอยากให้นึกถึงจิตใจคนที่ถูกถามบ้างว่า เขารู้สึกยังไง โยรู้มันเป็นคำถามที่ทุกๆ คนอยากรู้ แต่บางคำถามที่เอามายัดใส่ปาก โยก็ไม่ต้องการเหมือนกัน เคยมีข่าวตอนสมัยที่คุณเอ๋ เลือกตั้งหรือหลังเลือกตั้ง แล้วหาว่าโยไปรับโทรศัพท์เขาเสียงเหมือนกำลังตื่นนอน”
“ถามคำถามนี้เป็นใครก็โกรธ โยถือว่าเอาเท้ามาตบหน้าโยเลยดีซะกว่าที่จะมาถามแบบนี้มันหยาบ เราเป็นคนที่ตอบได้ทุกคำถามถามอะไรมาตอบได้หมด แต่บางคำถามเคยคิดก่อนบ้างไหมว่า ถ้าถามแล้วโยจะรู้สึกยังไง อันนั้นยอมรับว่าเสียใจแล้วก็โกรธมากถึงขนาดปรี๊ดออกทีวีเลยทีเดียว”
ด้านโยนั้นทำใจและยอมรับกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่ทางด้าน “คุณแม่ของโย” นั้นตอนแรกๆ ถึงขั้นรับไม่ได้เลยทีเดียว
“ก็มีช่วงแรกๆ ที่คุณแม่ยังไม่เข้าใจ จะเป็นแบบว่าเลิกคุยกันเดี๋ยวนี้แม่รับไม่ได้ แม่ไม่เอา แม่ไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ ไม่ว่าโยจะคิดอะไรอยู่ตอนนี้โยต้องเลิกทำ เราพยายามที่จะใช้เวลาอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่หัวอกคนเป็นแม่ยังไงเขาก็ไม่เข้าใจคิดว่าไม่อยากให้ลูกถูกทำร้ายลูกต้องถูกเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็ต้องอยู่ข้างเรา แต่ตอนนั้นเขาลังเลว่า อะไรมันคืออะไร กึ่งๆกลางๆไม่รู้ว่าเราถูกหรือผิด”
“บวกกับคุณแม่ไม่สนิทกับคุณเอ๋เลย เคยคุยกันน้อยครั้งมาก ตอนเกิดปัญหาคุณเอ๋เคยโทรไปคุยกับคุณแม่พยายามอธิบายให้เข้าใจ แต่ตัวเองเองก็ไม่กล้ามาเจอ แต่คุณแม่จะเก็บมาคิดคุยกับลูกมากกว่าถือว่าเป็นคนในครอบครัว ความที่เขาไม่สนิทจะมีกรอบกำแพงของเขาสูง โยก็หวังว่าจะมีโอกาสให้เขาได้เจอได้คุยกันและทำให้กำแพงบางลง”
“เราเป็นคนที่มีสัจจะ ให้คำมั่นสัญญากับใครเราจะรักษาอย่างดี แล้วบางเรื่องที่บอกว่าจะไม่พูดก็ต้องไม่พูดไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจจะเก็บทุกเรื่องให้เป็นเรื่องของตัวเองทั้งหมด แต่มันกลับกลายเป็นว่าการที่เราไม่พูดอะไรเลยมันทำให้เขาไม่สบายใจหนักขึ้น”
“จนมาวันหนึ่งที่เรายอมเปิดใจคุยคุณแม่ก็เข้าใจ และรับฟังในสิ่งที่เราพูดช่วยแก้ไขในสิ่งที่มันเกิดขึ้น โยไม่เคยมีช่องว่างกับแม่ อะไรที่มันเกิดขึ้นโยจะนึกถึงแม่เสมอ บางคนบอกว่า ทำไมรู้จักทำแต่แก้ไม่เป็น ไม่ใช่เราแก้ไม่เป็นนะ แต่เรานึกถึงบุพการีเพราะว่าเรารู้สึกว่ามันไปพึ่งใครไม่ได้”
“มีช่วงหนึ่งรู้สึกวี๊ดมาก แต่ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากครอบครัวคนในสายเลือดเรา ตอนนั้นไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน มีแต่คนทำหน้าไม่เข้าใจเราอย่างเดียวเลยรู้สึกว่าท้อมาก แต่คุณแม่เป็นกำลังใจให้เราเสมอ แม่จะพูดว่า แม่รู้นะว่าโยกำลังพยายามจะพิสูจน์อะไร แต่เคยคิดมั๊ยว่าสิ่งที่พิสูจน์อยู่มันอาจจะเป็นธาตุอากาศเราจับต้องไม่ได้”
“ยอมรับว่าใช่ มันอาจจะเป็นธาตุอากาศจริงๆ ที่ไม่สามารถจับต้อง ไม่สามารถแม้แต่สัมผัส แต่ตรงนี้ถ้าไม่ทำให้ถึงที่สุดเราก็อาจจะไม่รู้ ทุกวันนี้พยายามที่จะใช้ชีวิตต่อไป ไม่ได้มีจุดหมาย ไม่ได้มีความหวังหรือความต้องการอะไร แค่ใช้ชีวิตให้มีความสุขเแค่นั้นเอง“
ผ่านเรื่องราวข่าวฉาวมานับครั้งไม่ถ้วนจนต้องเสียน้ำตาไปก็หลายครั้ง แถมยังถูกตราหน้าด่าว่าเป็น “เมียน้อย” แย่งสามีชาวบ้านจนเสียชื่อเสียง แต่ปัจจุบันโยก็ยังไม่ยุติความสัมพันธ์กับ “เอ๋ ชนสวัสดิ์” แสดงว่าผู้ชายคนนี้มีดีอยู่พอสมควร
“เวลาที่เป็นข่าวเยอะๆ เพื่อนจะมาพูดว่าทำไมถึงไม่เลิกกันไปเลย ทำไมถึงต้องเอาตัวเองมาผูกมัดกับสิ่งที่ไม่ได้ทำ ไม่ได้รับก็เหมือนยอมรับในสิ่งที่เขากล่าวหา เราก็มีเหตุผลอยู่อย่างหนึ่งว่าเราเข้าใจ ไม่รู้จะพูดยังไง คือเราเข้าใจรู้สึกเห็นใจผู้ชายคนนี้ แทบจะเรียกได้ว่า เขาทำทุกอย่างเพื่อคนอื่นคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอไม่ค่อยนึกถึงตัวเอง มีความเป็นลูกผู้ชายสูงมาก มีความรับผิดชอบเยอะมาก มีความคิดในแง่บวกเสมอ”
“แต่คนอื่นจะตัดสินเขาตรงข้ามกับสิ่งที่โยเจอ โยจะบอกกับเพื่อนๆ เสมอว่า เขาไม่เคยทำร้าย เราคนสองคนเข้าใจ แล้วก็พูดจากันรู้เรื่อง เขาไม่ได้ทำอะไรผิดจนเป็นสาเหตุให้เราบอกเลิกคบกัน อย่ามายุ่งกับฉัน ถ้าเป็นแบบนั้นเหมือนเราไปปัดคนที่ดีคนหนึ่งออกไปจากชีวิต เพียงแค่คนที่ดีคนนี้อาจจะเคยไม่พร้อมอะไรในชีวิตมาก่อน”
“เราไปตัดสินแทนเขาไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไปแล้วเขายังทำหน้าที่อย่างดีที่สุด โยถือว่าเขาเป็นลูกผู้ชายที่ดีเลยทีเดียว เวลาเราคุยไม่รู้สึกแย่กับเขาตรงนี้ นี่คือเหตุผลเดียวที่เรายังคบเขาทุกวันนี้ ซึ่งบางครั้งเพื่อนก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่พอทุกคนได้เจอตัวจริงคุณเอ๋ได้พูดคุย ทุกคนเข้าใจเหมือนกันหมดว่า เขามีความอ่อนโยนที่หาไม้ได้จากคนอื่น ภาพที่คนภายนอกมองมันคนละเรื่องกันเลยนี่คือสิ่งที่โยรู้สึกและโยสัมผัสได้”