"เซอร์ เอียน แม็คเคลเลน" เจ้าของการสวมบทเป็น "แกนดัล์ฟ" จอมขมังเวทแห่งตำนานสงครามแหวน The Lord of the Rings trilogy เตรียมกลับมาสวมบทเป็นพ่อมดเทาอีกครั้งในฉบับปูพรม Hobbit เช่นเดียวกับบท "กอลลัม" ที่ต้นตำรับอย่าง "แอนดี เซอร์คิซ" ก็จ่อมารับแสดงอีกครั้ง
หลังจากสวมบทบาทอย่างยอดเยี่ยมจนถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ในปี 2002 จากบทพ่อมดเทา แกนดัล์ฟ ใน The Lord of the Rings ภาคแรก เซอร์ เอียน แม็คเคลเลน นักแสดงอังกฤษวัย 68 เตรียมจะกลับมาสวบบทดังกล่าวอีกครั้งใน 2 ภาคของ Hobbit ที่เหล่าสาวกตำนานแหวนฉบับจอเงินนับวันรออยู่ในขณะนี้
"ใช่ มันเป็นเรื่องจริง" แม็คเคลเลนเปิดใจต่อนิตยสาร Empire "มันเป็นโอกาสที่คุณปฎิเสธไม่ได้ ผมชอบที่จะเป็นแกนดัล์ฟ"
ซึ่งคราวนี้ผู้ร่วมงานของแม็คเคลเลนในฐานะผู้กำกับจะเปลี่ยนมือจาก ปีเตอร์ แจ็คสัน ที่กำลังวุ่นกับโปรเจ็คท์ TinTin ฉบับจอเงินอยู่ มาเป็นผู้กำกับเลือดจังโก้ กิลแลร์โม เดล โทโร (Hellboy, Pan's Labyrinth) ที่ออกมาเปิดใจเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำเป็นเวลา 4 ปีเรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมกับการเนรมิตรผลงานของ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีน มาสู่จอเงินอีกครั้ง ซึ่งตัวแจ็คสันเองก็ยังคงรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับโปรเจ็คท์ดังกล่าว เพื่อการันตีต่อเหล่าสาวกว่าผลงานทั้งสองชิ้นที่เปลี่ยนมือผู้กำกับจะมีความต่อเนื่องกับไตรภาคที่กลายเป็นตำนานไปแล้วของเขาอย่างแน่นอน
โดยทางเซอร์เอียนเสริมว่าเขารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับเดล โทโร ที่ตอนนี้เริ่มงานด้านสคริปต์ไปได้คร่าวๆ แล้ว
"ผมได้สนทนากับกิลแลร์โมในห้องเดียวกับที่ปีเตอร์เสนอบทนี้ให้กับผม และเขายืนยันว่าผมต้องกลับมารับบทนั้นอีกครั้ง รวมทั้งอธิบายเรื่องที่จะแยกมันเป็น 2 ภาคและรายละเอียดต่างๆ ที่เขาจะใส่ลงไปในหนัง แม้เขาจะยังไม่เผยข้อมูลสำคัญออกมาในตอนนี้ แต่ผมบอกได้เลยว่ามันต้องเป็นผลงานที่น่าอัศจรรย์แน่ๆ"
ในการให้สัมภาษณ์ต่อเว็บไซต์ TheOneRing.net ของเหล่าสาวกลอร์ด เดล โทโร เผยว่านอกจากจะได้เซอร์เอียนมาเป็นแกนดัล์ฟแล้ว แอนดี เซอร์คิซ ที่เป็นต้นแบบการสร้าง กอลลัม ได้อย่างสมบูรณ์แบบจะกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในเว็บไซต์ของเซอร์คิซก็ได้เพิ่มรายชื่อ Hobbit เป็นผลงานที่เขาร่วมแสดงต่อจาก Tintin ของแจ็คสันแล้วด้วย
โดยกองถ่ายของ Hobbit มีกำหนดเปิดกล้องกันในปี 2009 ที่จะถึงนี้ และจะลงโรงให้สาวกได้ชมกันในปี 2010 และ 2011 ตามลำดับ
