“เรียว” ยอมรับทำหนังเด็กเพราะไม่อยากซ้ำใคร ฉีกแนวทำครอบครัว สร้างสรรค์สังคม ไม่สนหนังวัยรุ่นมาแรง ลั่นเป็นคนขี้เบื่อ แนวไหนเคยทำแล้ว จะไม่ทำอีก เชื่อ “ดรีมทีมฯ” คนดูได้เสพสุขเต็มที่แน่นอน บอกหลังสงกรานต์นี้เตรียมมุ่งหน้าทำ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร 3” ต่อทันที
มาแรงทีเดียวสำหรับหนังเรื่อง “ดรีมทีม ฮีโร่ฟันน้ำนม” ผลงานการกำกับล่าสุดของผู้กำกับมากฝีมืออย่าง "เรียว-กิตติกร เลียวศิริกุล" กับหนังครอบครัวเรื่องล่าสุด โดยเจ้าตัวยืนวันว่าไม่ใช่หนังเด็ก แต่เป็นหนังครอบครัวซึ่งได้แนวคิดมาจากกีฬาอนุบาลของญี่ปุ่น
“เริ่มแรกของการทำหนังเรื่องนี้คือผมอยากดู แต่ไม่อยากทำเลย การทำแบบนี้คิดว่าเดี๋ยวเหนื่อย อยากดูหนังเด็กชักเย่อ ตัวจุดประกายจริงๆคือ กีฬาอนุบาลแห่งชาติที่เคยไปดูมาที่ญี่ปุ่น แต่เดี๋ยวนี้เขาเลิกจัดแล้ว อยากดูหนังกีฬาอนุบาล มันไม่มีถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ถ้าอยากดูก็ต้องไปดูที่สนาม แต่ถ้ามาทำเป็นหนังแล้วเราจะได้ดูด้วย”
“ส่วนตัวรู้สึกว่าการแข่งขันกีฬาเด็กจะวุ่นวายเหมือนกันนะ คนเยอะ จริงจัง พออยากดูหนังอย่างนี้ก็เลยหาคนมาทำ แต่พอทำไปทำมาคนอื่นก็ติดปัญหาโน่นนี่ แต่นายทุนตกลงซื้อไปแล้ว หนังขายไปแล้วทำไงได้ ก็เลยต้องทำเอง ใจจริงอยากดูหนังเรื่องนี้ ไม่ได้อยากทำ แต่ถ้าต้องทำก็ต้องทำ”
“จริงๆอยากจะทำเรื่องทีม ในเรื่องจะพูดถึงทีมของเด็กอนุบาล 5 ขวบ ไม่ได้พูดถึงแค่ตัวนักกีฬา โค้ช ผู้เล่น รวมทั้งยังพูดถึงตัวพ่อแม่เด็กด้วย คำว่าดรีมทีม ก็จะหมายถึง ทีมครอบครัวหรือว่าทีมการแข่งขันด้วย"
"เรื่องนี้เป็นหนังแนวโรแมนติก คอมมาดี้ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กอย่างเดียวนะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับทีมแข่งขัน หลักๆคืออยากนำเสนอการเป็นทีม การเป็นครอบครัวในเรื่องก็จะแบ่งเป็นเด็กกับผู้ใหญ่อย่างละครึ่ง ไม่ใช่หนังเด็ก100% ไม่ใช่หนังเด็กแฟนตาซี ก็คือจะเป็นหนังกีฬา กลุ่มเป้าหมายจริงๆของหนังเรื่องนี้ก็คือครอบครัว เรื่องนี้สามารถดูได้ทุกวัย เด็กก็ดูได้ ผู้ใหญ่ก็ดูได้"
บอกทำงานกับเด็กไม่ต้องใช้เทคนิคใช้ความเป็นธรรมชาติอย่างเดียว...
"การทำงานกับเด็กเวลากำกับก็ไม่ต้องมีเทคนิคอะไรเลย เอาความเป็นธรรมชาติของเด็กมาเลย ไม่ต้องกำกับ ถ่ายมันจริงๆเลย แอบถ่ายเลยว่าตอนเด็กแพ้เด็กจะรู้สึกยังไง พอชนะจะรู้สึกยังไง แต่ก็จะบอกเขาก่อนถ่ายทำ"
"เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องแรกที่มีเด็กเป็นตัวแสดงเยอะขนาดนี้แต่ก็ไม่หนักใจนะ หนักใจอยู่อย่างเดียวคือไม่น่าทำเลย แต่ถ้าถามว่าเข็ดมั้ย ไม่เข็ดหรอก แต่ถ้าให้ทำอย่างนี้อีกก็ไม่ทำ เพราะว่าจริงๆแล้วอยากดูแต่ไม่อยากทำ คือเรื่องบางเรื่องเราอยากทำแต่ไม่อยากดูหรือบางเรื่องเช่นเรื่องนี้เราอยากดูแต่ไม่อยากทำ แต่อย่างหนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร 3 นี่ผมอยากทำมากเลยนะ"
ผลงานการกำกับเรื่องนี้ถือเป็นการเปลี่ยนลุคแนวหนังครั้งใหญ่ของ “เรียว” จากเดิมที่เป็นแนวเสียดสีสังคม แต่เจ้าตัวลั่นแค่ต้องการทำงานที่ไม่ซ้ำเดิม
"ไม่เปลี่ยนแนวหรอก คนชอบลืมว่าผมเคยทำหนังเรื่อง 18-80 แล้วอีกอย่างคือผมเป็นคนเบื่อง่าย ถ้าแนวนั้นทำแล้ว ก็เปลี่ยนมาทำแบบนี้บ้าง ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะซ้ำๆก็เบื่อนะ อย่างโกลครับกับอหิงสาก็จะไม่เหมือนกันเลย แต่การถ่ายทำก็จะคล้ายๆกัน แต่คนละเรื่องเลย เพราะผมไม่เคยทำหนังซ้ำกันเลยนะ คิดจะทำหนังซ้ำอยู่เรื่องเดียวคือกระถินนรก"
"อย่างหนังวัยรุ่น ผมเคยทำมาแล้ว ก็เลยไม่อยากทำ คือตลาดของหนังเรื่องนี้ไม่เกี่ยวหรอกว่าจะยังไง เพราะหนังเรื่องไหนที่มีคนเคยทำแล้ว แล้วเรามาทำซ้ำแนวเดียวกับเขา รับรองว่าเจ๊ง ไม่มีคนดู ทำตามเมื่อไหร่ไม่มีคนดูนี่คือหนัง เพราะใครบ้างอยากซื้อตั๋วหนัง 2 ใบแล้วไปดูก็เหมือนเดิม"
"กับผลตอบรับถ้าเป็นเรื่องเงินคือทำยังไงก็ได้ให้มันได้เยอะๆ ให้ได้เยอะที่สุด ให้มันเยอะเท่าที่มันควรจะได้ ที่มันเป็นจริง มันต้องสมเหตุสมผลกัน นายทุนจะได้มีเงินให้เราทำหนังต่อ เลี้ยงลูกได้ อย่างเงินก็ถือเป็นตัวแทนของการตอบรับของสังคมด้วย แต่ถ้าถามเรื่องความสำเร็จ อะไรคือความสำเร็จ ก็คือการยอมรับของคนดู นักวิจารณ์ คนทำงาน หรือการยอมรับของตัวแสดงและอื่นๆอีกมากมาย วัดจนไม่มีที่วัด เพราะทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของนิวตันมากเกินไป เราเลยวัดทุกอย่าง แต่โลกปัจจุบันมันเปลี่ยนแล้ว เขาไม่วัดกัน"
ก่อนจะทิ้งท้ายว่าจบโปรเจ็กต์เรื่องนี้ ตนจะลุยหนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาค 3 ต่อ
“หลังสงกรานต์คงได้ลุยกันต่อครับ กับตำนานสมเด็จพระนเรศวร 3 ลุยแน่นอน”