“เทพชัย” เปิดตัวก้าวแรกสู่การเป็นทีวีสาธารณะอย่างเต็มตัว พร้อมเผยโลโก้และชื่อใหม่เปลี่ยนจาก “Thai PBS” เป็น “ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ” พร้อมเผยสัดส่วนเน้นข่าว ด้านรายการบันเทิงต้องแฝงสาระ ลั่นละครน้ำเน่าไม่มีพื้นที่ให้ลง แจงหมดวาระกลางปี หากไม่ดำรงตำแหน่งเดิม กลับไปเป็นกระจอกข่าวเช่นเคย
เปิดตัวผังรายการใหม่ พร้อมผู้ประกาศข่าวและรายการอย่างเต็มรูปแบบพร้อมอัตลักษณ์ หรือโลโก้ใหม่ของทีวีสาธารณะ Thai PBS อย่างเป็นทางการเมื่อวานที่ผ่านมา (1 เม.ย.) นอกจากนี้ยังได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ทีวีไทย...ทีวีสาธารณะ” ซึ่งมีผลใช้ในวันที่ 1 พ.ค.นี้ด้วย
โดย “เทพชัย หย่อง” ผู้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการ ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ เผยถึงสัดส่วนของผังรายการที่จะมีขึ้นในเดือนนี้ แบ่งเป็นรายการข่าว 39.85% สารคดีข่าวและวิเคราะห์ข่าว 6.63% รายการสารคดี 22.63% รายการสาระประโยชน์ 14.37% รายการเด็กและเยาวชน 6.47% และสาระบันเทิง 11.94 %
ซึ่งการดำรงตำแหน่งรักษาการในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารหน้าใหม่แจงถึงก้าวแรกของการเป็นทีวีสาธารณะแบบเต็มตัวว่า....
“1 ใน 3 ก็ถือเป็นก้าวแรกนะครับเพื่อนำไปสู่ทีวีสาธารณะเต็มตัว พฤษภาคมนี้เราจะมีความเข้มข้นมากขึ้นเพราะว่ารายการต่างๆ ที่เราผลิตเองก็ตามหรือว่าทางผู้ผลิตภายนอกจะเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างในเดือนเมษายน แต่ส่วนใหญ่ในเดือนพฤษภาคม คาดว่า ไปถึงมิถุนายนคง 100 เปอร์เซ็นต์”
เผยสาเหตุเปลี่ยนชื่อสถานีใหม่ สาเหตุหลักเนื่องจากชาวบ้านยังเรียกชื่อสถานีอย่างผิดๆ ถูกๆ
“ไทยพีบีเอสมันเป็นชื่อที่เกิดจากภาวะฉุกเฉินและช่วงนั้นเกิดมาอย่างรวดเร็วใช่ไหมครับ เห็นว่าเป็นชื่อที่มันใกล้เคียงที่สุด ถ้าใช้ สสท.ใกล้เคียงช่องอื่นเข้าไปใหญ่ ระยะนึงไปคุยกับชาวบ้านที่อยู่นอกกรุงเทพฯ มีปัญหาที่จำชื่อไม่ได้ บอกทีวีช่องนี้คือนึกชื่อไม่ออก ผู้ใหญ่แนะนำว่าทีวีไทยเลยน่าจะใช้ชื่อไทยและตอกย้ำเป็นทีวีสาธารณะด้วย”
สำหรับข่าวก่อนหน้านี้กล่าวถึงทางช่องได้ใช้เงินเกินงบประมาณและต้องแบกหน้าไปขอยืมเงินจากรัฐบาลและแบงก์ชาตินั้น เรื่องนี้ “เทพชัย” ปฏิเสธแบบเสียงแข็ง ฟุ้งงบถูกใช้ไปเพียงน้อยนิด
“ตามกฎหมายปีนึงไม่เกิน 2000 ล้านบาท เป็นเงินภาษีสรรพสามิต ตอนนี้เราได้มาแล้ว 230 กว่าล้านบาท ข่าวขอความช่วยเหลือจากแบงก์ชาติ มันมีข่าวมาตลอดว่ามีปัญหาด้านการเงินเราไปขอเงินเพิ่มจากรัฐบาลบางข่าวบอกไปขอมาจากแบงก์ชาติ ผมก็งงว่าข่าวนี้มาจากไหนเพราะว่าทุกวันนี้เราใช้เงินไปน้อยมาก 100 กว่าล้านบาทเท่านั้นเอง 3 เดือนซึ่งก็ถือว่าเป็นเงินไม่เยอะมาก และเป็นเงินพวกค่าใช้จ่ายเงินเดือน ฉะนั้นไม่จริงเลยบอกว่าเราไปขอเงินรัฐบาลหรือมีปัญหาเรื่องการเงิน”
ส่วนรายการบันเทิงที่นำมาฉายล้วนเป็นรายการที่มีความสนุกและแฝงด้วยสาระ ยันละครน้ำเน่าถูกคัดออกจากระบบอย่างสิ้นเชิงและไม่มีโฆษณาแฝง เชื่อเป้าหมายสำเร็จผลด้วยเวลาปีครึ่ง
“ข่าวก็ยังเป็นจุดขายสำคัญ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็เป็นสารคดี สาระประโยชน์ ละครหลักๆ ที่เกิดขึ้น “รายากุนิง” แต่อนาคตละครที่เกิดขึ้นคงมีสาระประโยชน์ดูแล้วได้แรงบันดาลใจ ดูสนุกด้วย ผมคิดว่ามันสำคัญมากมันจะมีความหมายต่อเมื่อมีคนดู ให้ความรู้ก็ต้องมีสาระแฝงมาด้วย ส่วนแนวตบจูบผมว่ามีเยอะพอแล้ว เราไม่ควรไปทำ”
“คือ ตามกฎหมายไม่สามารถมีโฆษณาได้เลย ถ้าจะมีสปอนเซอร์ต้องมาในรูปแบบร่วมกันผลิตรายการ เราคงไม่แฝงในรายการเหมือนมีไม่มีป้ายมาวางไว้บนโต๊ะเห็นโลโก้ เขาต้องมาแบบไม่หวังผลตอบแทน”
“เป้าหมายสูงสุดวัดได้คือว่า ทำยังไงให้คนไทยส่วนใหญ่กลับถึงบ้านถ้ามีทีวีสักช่องนึงที่พ่อแม่ลูกดูได้และดูกันอย่างมีความสุข ดูแล้วสนุกได้ประโยชน์และได้สาระด้วยก็ควรเป็นทีวีสาธารณะช่องนี้ นั่นคือความฝัน แน่นอนต้องใช้เวลาแน่นอน สักปีครึ่งน่าจะเห็นภาพชัดเจน”
ด้านการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ ที่จะหมดวาระในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ ผู้บริหารทีวีสาธารณะ ลั่นอนาคตหากไม่ได้ดำรงตำแหน่งต่อไปคงกลับไปทำหน้าหน้าที่ผู้สื่อข่าวเหมือนเคย
“ใครก็ตามที่เข้ามารับภาระต่อไปต้องมีจิตใจที่เป็นสาธารณะจริงๆ กับทีวีช่องนี้ ต้องอย่าลืมว่าการปฏิรูปสื่อคือหมายถึงการมีทีวีสาธารณะด้วยเป็นหัวใจของการปฏิรูปการเมือง การเมืองจะปฏิรูปไม่ได้เลยถ้าสื่อยังไม่หลุดพ้นจากความครอบงำจากฝ่ายการเมืองหรือธุกิจ ผมจะหมดวาระวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ จะอยู่ต่อไหมต้องอยู่ที่คณะกรรมการนโยบายถาวรว่าจะเลือกใคร ผมตอบไม่ได้ ก็คงกลับไปเป็นผู้สื่อข่าวเหมือนเดิม”