ตีแผ่ชีวิต “เสี่ยอู๊ด” รู้จักคนดีเมืองระยองกับเรื่องราวชีวิตติดลบ กว่าจะเป็นเศรษฐีพันล้านต้องปากกัดตีนถีบ ซ้ำยังโดนอุ้มฆ่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด เปิดใจเบื้องหลังข่าวฉาว เขาคือนักบุญผู้อุทิศเงินเป็นพันล้านสร้างประโยชน์ให้กับสังคม
ปกติ “เสี่ยอู๊ด สิทธิกร บุญฉิม” จะตกเป็นข่าวกับดาราคนโน้น นักร้องคนนี้ แล้วก็จะออกมาเปิดโปงพฤติกรรมเหล่าคนดังที่มีความเกี่ยวข้องพัวพันจนภาพลักษณ์ติดลบ แต่ถ้าไม่ได้มองแค่เรื่องข่าวฉาว เขาเป็นคนที่บริจาคเงินช่วยเหลือองค์กรต่างๆ นับมูลค่าร่วมกว่าพันล้านบาท! จนสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ส่งเรื่องขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสูงสุด (สายสะพาย) เพื่อยกย่องเกียรติคุณในการทำความดี
วันนี้ “บันเทิงออนไลน์” ได้รับเกียรติจากเสี่ยคนดังให้สัมภาษณ์พิเศษถึงเบื้องหลังชีวิตตัวต่อตัวเป็นครั้งแรกที่คอนโดหรู ย่านพหลโยธิน ล้วงลึกถึงเส้นทางนักธุรกิจพันล้าน อดีตเป็นเด็กเร่ร่อน นอนสนามหลวง ชีวิตที่เคยโดนอุ้มฆ่า เพราะขัดแย้งผลประโยชน์ รวมไปถึงการให้ทานเป็นพันล้าน โดยเฉพาะการกลับไปสร้างโรงเรียน สร้างวัด และให้ทุนการศึกษากับเด็กกำพร้า อีกทั้งยังช่วยเหลือคนยากไร้ที่จังหวัดระยอง แบบทุ่มสุดตัว จนคนที่นั่นยกให้เป็นพ่อพระเมืองระยอง ถึงขนาดรวมตัวกันปกป้องด้วยการขับไล่ “ซูเปอร์สตาร์คนหนึ่ง” ที่เคยทำให้เสี่ยพระเสียใจ ไม่ให้ขึ้นแสดงคอนเสิร์ต
เปิดปมชีวิตติดลบ กำพร้าพ่อแม่ จบแค่ ม.3 ต้องเร่ร่อนกัดปากตีนถีบตัวคนเดียว
“ชีวิตติดลบมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ประถม หลังจากนั้นคุณแม่ก็มาเสียชีวิต ผมมีพี่น้องรวม 5 คน ก็กลายเป็นเด็กกำพร้า อาศัยบ้านญาติหรือไม่ก็นอนตามวัดไปเรื่อยๆ ด้วยความที่ไม่มีเงินเรียนหนังสือ ก็ทำให้เรียนไม่จบ มีวุฒิจริงๆ คือม.3 แต่โชคดีที่ก่อนที่คุณแม่จะเสียชีวิต ท่านได้พาไปฝากกับผู้หลักผู้ใหญ่ไว้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้โอกาสที่ดีในปัจจุบัน”
“โดยพื้นฐานเป็นคนชอบการค้าขายตั้งแต่เด็กๆ ตอนนั้นอายุ 15 (ราว พ.ศ.2531) มีคนบอกว่า มีเงิน 500 บาทก็ค้าขายได้ ผมก็เลยไปที่ถนนผลไม้ จังหวัดระยอง ไปถึงตอนเที่ยงคืน มีรถผลไม้เต็มไปหมด ทั้งเงาะทั้งมังคุดทั้งทุเรียนมาเป็นคันรถ ผมก็ใช้อุบายเข้าไปถามกับเจ้าของสวนเงาะว่ากิโลกรัมละเท่าไหร่ ป้าบอก 15 บาท ไอ้หนู ผมก็ต่อ 12 บาท ได้มั้ย แกก็ถามว่าเอ็งมีตังค์ซื้อเหรอ ก็บอกไปว่ามี เดี๋ยวสายๆ พี่สาวจะมาจากกรุงเทพฯ จะเหมาทั้งรถเลย แกก็เลยตกลงขายให้ทั้งคันรถประมาณหนึ่งตัน เราก็ให้ค่ามัดจำไป 500 บาท ป้าแกตกลงให้เสร็จก็ทิ้งรถเงาะไปเดินซื้อของ ส่วนผมก็ยืนเฝ้ารถ จนมีแม่ค้ากรุงเทพฯขับรถเข้ามาถามซื้อ ผมบอกขายให้เขาไปกิโลฯละ 15 บาท สักพักป้าแกกลับมาพอดี ถามว่าพี่สาวเอ็งมาแล้วหรอ พี่คนที่มาซื้อกับผมเขางง บอกไม่ใช่มันขายให้ฉันไง ป้าหันมาอุทานว่าตายล่ะ...กูถูกเด็กหลอก (หัวเราะ) ผมเลยได้กำไรกิโลฯล่ะ 3 บาท (1 ตันได้ 3,000 บาท) เขาเรียกกินนายหน้า”
“ผมมีวิชาชีพติดตัวนิดหน่อย เพราะหลังจากที่จบ ม.3 แล้วได้มีโอกาสเข้าไปเรียนวิทยาลัยช่างศิลป์ กรมศิลปากร แต่เรียนไม่จบ เพราะไม่มีเงิน ชีวิตก็ร่อนเร่พเนจรไปนอนบ้านเพื่อนเรื่อยๆ นอนบ้านโน้นนอนบ้านนี้ วันนึงมันก็มีคำถามขึ้นในใจว่าจะปล่อยให้ชีวิตไม่มีหลักแหล่งแบบนี้ไปเรื่อยๆ เหรอ เพราะถ้ายังอยู่บ้านญาติ ก็จะเกาะเขากินไปเรื่อยๆ ก็เลยคิดว่าเอาว่ะ...ไปตายเอาดาบหน้า ไปให้ไกลที่สุดของประเทศไทย นั่นก็คือ หาดใหญ่ ไปทั้งๆ ที่ไม่รู้จักใคร และมีเงินติดตัวไปไม่กี่ร้อยบาท อาศัยนอนตามวัด ไม่ต่างกับเด็กเร่ร่อนทั่วไป ซึ่งที่นี่เป็นการเริ่มต้นค้าขายอย่างเต็มรูปแบบที่จังหวัดสงขลา”
“ของอย่างแรกที่เอามาขาย คือ ทองเก๊ ต้นทุนเส้นละ 9-13 บาท มาขายเส้นละ 29 ก็ยึดเอาเชิงสะพานลอยตลาดพลาซ่าหาดใหญ่นั่นแหละ เป็นที่หากิน หลังจากนั้น ก็เปลี่ยนทำเลไปขายแถวถนนสาย 3 เป็นย่านที่นักท่องเที่ยวเดินเยอะ ช่วงนั้นเขาฮิตผ้าบาติกคาดเอวก็ไปรับมาขาย ขายดีจนมีคนเอามาขายแข่งกับเรา ฝรั่งมาซื้อร้านข้างๆ ถามว่าราคาเท่าไหร่ เขาบอกว่า 250 บาท (ต้นทุนมา 230) เราก็คิดในใจตายห่าล่ะ...ถ้าฝรั่งต่อแล้วมันจะเหลือเท่าไหร่วะ แต่ปรากฏฝรั่งไม่เอาผ้าร้านเขา กลับเดินมาร้านเรา ถามว่า เท่าไหร่ผมตอบสวนกระแสเลยว่า 550 ฝรั่งบอกทำไมแพงจัง ผมก็เลยตอบไปว่าของดีเป็นงานแฮนด์เมดของแท้ เขาก็ถามอีกว่ารู้ได้ไงว่าเป็นของแท้ เราก็พลิกผ้าให้ดูว่าสองหน้าจะลายเหมือนกัน สรุปผมขายได้แพงกว่าเขาเท่าตัวในราคา 500 บาท (หัวเราะ)”
“เขาโกรธแค้นที่ผมขายได้ ก็แกล้งผมขับไล่ผมสารพัด เอาก้อนหินขว้างมั่ง เพราะไม่อยากให้ผมได้ทำกินแถวนั้น ดีที่เราพอจะมีตังค์ก็เลยไปเช่าที่เปิดร้านใหญ่ๆ ตกแต่งร้านสวยๆ เอาผ้าขนหนูผ้าปูที่นอนมาขายแต่แพกกิ้งใหม่ ทำให้แปลกไม่เหมือนใครเลยขายดี ในขณะที่คนอื่นขายไม่ได้ทั้งที่สินค้าตัวเดียวกัน ตอนนั้นอายุ 19 ปี คุณแม่ก็เสียชีวิต แต่ตัวผมยังอยู่หาดใหญ่ เป็นช่วงที่ชีวิตเริ่มดีขึ้นมีลูกน้องมีร้านเป็นของตัวเอง 2 สาขา ก็ค้าขายไปเรื่อยๆ กระทั่งคนหาดใหญ่รู้จักผมดี จนอายุยี่สิบกว่าๆ ได้เจอกับนายห้าง ห้างฯ นึง ซึ่งกำลังจะเจ๊งเขาก็เลยให้เราได้หุ้นลมในห้าง และให้บริหารจัดการให้เพราะลูกน้องจบบริหารปริญญาโทตั้งหลายคน แต่ทำเจ๊งหมดเลย หลังจากที่ผมเข้ามาจัดการใหม่จนมีคนมาเช่าเต็มพื้นที่ จนผมได้หุ้นลมกินฟรีๆ”
จากเด็กข้างถนนนอนพื้นสนามหลวง เกือบเอาชีวิตไม่รอดหลังถูกทีมไอ้โม่งอุ้มไปฆ่า ถึงวันนี้เขาคือ “เสี่ยอู๊ด” เศรษฐีพันล้าน
“ช่วงนั้นผมก็เริ่มรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รู้จักนายกเทศมนตรีหาดใหญ่ (นายกอ๋อย) เวลามีกิจกรรมของส่วนรวม ก็ให้ความร่วมมือ คำพูดของเราก็ต้องให้เขาเชื่อถือ เขาไหว้วานงานเราก็ต้องเสียสละ ทำให้ผมได้ประโยชน์ที่ดีๆ ช่วงอายุยี่สิบกว่าเปลี่ยนจากขายของมาเป็นเจ้าของพื้นที่ให้คนเช่า หลังจากนั้น ก็มีโอกาสขึ้นกรุงเทพฯบ่อย ผู้ใหญ่ที่คุณแม่เคยพาไปฝากไว้ท่านก็ไหว้วาน ให้ช่วยทำงานด้านสร้างพระเครื่องอย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ก็เลยทำมาเรื่อยๆ แต่ก็เกิดปัญหาขึ้น เพราะกลุ่มที่เคยได้ผลประโยชน์อยู่แล้ว รังเกียจและคอยกลั่นแกล้งเรา ผมโดนกลั่นแกล้งตั้งแต่ตอนแรกที่มาทำธุรกิจทางด้านนี้”
“งานแรกถือเป็นผลงานที่ผู้ใหญ่พอใจมาก ทีนี้เจ้านั้นก็จะให้ทำ เจ้านี้ก็ติดต่อมา นับตั้งแต่ปี 2543 ผมรับออกแบบผลิตพระเครื่องและเหรียญที่ระลึกรุ่นดังๆ ทำมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่บอกได้เลยว่าทุกงานที่ผ่านมาจะมีพวกที่จ้องจะทำลายผมตลอด แต่ผมก็สามารถเอาชนะคดีมันมาได้ทุกครั้ง ซึ่งผมถืออยู่อย่างนึง ก็คือ ไม่มีนโยบายไปทะเลาะกับใคร สองไม่มีนโยบายที่จะไปแก้ตัว แก้ไข หรือประนีประนอมยอมความอะไรกับใคร เพราะถ้ายอมครั้งแรกมันก็ต้องมีครั้งต่อๆ ไป”
“ผมโดนมาหมดทั้งการข่มขู่ ทั้งโดนเรียกร้องเงิน อย่างเคสที่ผ่านมานี่ก็เรียกร้องเงินแต่ผมไม่ให้ มันก็เลยเกิดเรื่องราวใหญ่โต หนักหนาสุดคืออุ้มฆ่า แต่เขาไม่ฆ่าผม เพราะผมพูดกับเขาว่า ผมไม่กลัวความตายหรอก แต่คุณคิดหรือไม่ว่าถ้าคุณฆ่าผม คุณทำบาปกับผม กรรมทั้งหลายนอกจากตัวคุณจะเป็นคนชดใช้เต็มๆ แล้ว มันยังจะไปตกกับลูกคุณ กับคนที่คุณรักด้วยนะ เขาก็ปล่อยผมไปเลย”
“ผมเป็นคนร้องไห้ยาก คุณพ่อคุณแม่เสียยังไม่ร้องเลย ในชีวิตนี้เหตุการณ์น้ำตาไหลมีไม่ถึง 10 ครั้ง ถึงจะลำบากแค่ไหนก็ไม่ร้อง แต่ถ้าถูกกลั่นแกล้งจากคนมากๆ จะร้อง แต่ไม่ได้ร้องเพราะกลัว ที่ร้องเพราะคิดถึงพ่อกับแม่ เคยนอนที่สนามหลวงแล้วพูดกับท้องฟ้า ว่า...นี่ถ้าพ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ เราคงไม่ต้องมานอนที่สนามหลวงแบบนี้ และถ้ามีคนมากลั่นแกล้ง ต้องมีคนมาช่วยปกป้องเราแน่ๆ ทุกวันนี้พอเรามีอันจะกินขึ้นมาแล้ว จึงพยายามทำบุญสร้างวัดวาอารามก็จะใส่ชื่อใส่รูปพ่อและแม่ให้เป็นอนุสรณ์สถาน”
นักบุญพันล้าน อุทิศเงินสร้างวัด สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ช่วยเหลือคนจน ฯลฯ และเขากำลังจะมีข่าวดี เพราะกำลังจะได้รับการถูกยกย่องเกียรติคุณสูงสุดระดับประเทศในเร็วๆ นี้
“ส่วนมากองค์กรต่างๆ เขามาขอความช่วยเหลือ เพราะเห็นว่าผมสามารถช่วยเขาได้ ซึ่งผมก็ทำให้เต็มที่ตามที่ทำให้ได้ ต้องบอกก่อนว่าเงินบริจาคสิบล้านร้อยล้านไม่ใช่เงินของผมคนเดียวนะ ผมจะเอาเงินส่วนตัวเยอะแยะขนาดนั้นมาจากไหน ไม่มีหรอก (หัวเราะ) เพียงแต่ผมเป็นคนหาให้ เพราะว่าเขาไปขอให้ภาครัฐสนับสนุนไม่ได้ อย่างโรงพยาบาลบาลโรคมะเร็งที่ลพบุรีขอมากี่ปียังไม่ได้ แต่ขอมาทางผมทำให้ตู้มเดียวได้ไปร้อยกว่าล้าน สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ก็ได้ไปประมาณร้อยล้าน มูลนิธิอัฎฐมราชานุสรณ์ก็ได้ครบร้อยล้าน มหาวิทยาลัยสงฆ์ได้ประมาณสองร้อยล้าน”
“ทั้งนี้ ยังมีโรงพยาบาลศิริราช, มูลนิธิ พอ.สว., โครงการสร้างอุทยานศาสนา, โรงเรียนต่างๆ โรงพยาบาล, มูลนิธิและสมาคมการกุศลทั่วประเทศ, วัดวาอารามต่างๆ นับหมื่นวัดทั่วแผ่นดิน ฯลฯ สูงสุดที่เคยให้ไปตู้มเดียวเลยคือ 10 ล้านบาท (ซึ่งเป็นเงินส่วนตัว) ส่วนการช่วยองค์กรการกุศลอื่นๆ ที่ขอมาเป็นก้อนใหญ่ๆ ก็จะหาจากสิ่งที่ผมถนัดก็คือทำเหรียญที่ระลึกออกมาให้องค์กรต่างๆ ที่มาขอเอาไปขาย (ส่วนใหญ่เขาขายไม่เป็นก็ต้องให้ผมช่วยขายให้เขาอีก) เพื่อเอาเงินไปใช้ก่อให้เกิดประโยชน์ให้บรรลุตามเป้าหมาย ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วเป็นเงินประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุด และเป็นความประทับใจที่สั่งสมมาตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าๆ”
“แต่ ณ วันนี้ผมอยากจะหยุดการช่วยเหลือองค์กรการกุศลทั้งหมดแล้ว เพราะมันเป็นบ่อเกิดที่มาแห่งปัญหาที่ทำให้ผมทุกข์ใจ เหนื่อยใจและไม่มีใครช่วยผมได้ ผมมีแต่ช่วยเขา แต่ไม่มีใครช่วยผมได้ ภาครัฐหรือเอกชนไม่มีใครออกมาปกป้องหรือช่วยเหลือผมเลย มีแต่ซ้ำเติมตามข่าว ตอนนี้อยากยุติการช่วยทั้งหมด ตั้งใจไว้ว่าถ้าหาเงินให้มูลนิธิคนพิการไปใช้สร้างอาคาร 60 ล้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความหวังที่อยากจะทำต่อไปจะทำสิ่งที่เราคิดเองบ้างคือ ตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ตาย ซึ่งส่วนกลางจะสร้างที่ อ.บ้านฉาง จังหวัดระยองบ้านเกิดผม แต่จะขยายเครือข่ายไปในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ และจะไม่ใช้ชื่อผมเป็นมูลนิธิเพราะไม่ชอบ”
“ตอนนี้อยากจะหาเงินให้ได้หลายๆ ร้อยล้าน เพื่อเอามาทำ 3 อย่าง เรื่องที่หนึ่งคือคัดเลือกเด็กกำพร้าจากทั่วประเทศที่เรียนดี ให้สอบชิงทุนกันเพื่อให้เขาได้เรียนขั้นสูงสุดเท่าที่เขาอยากเรียน ซึ่งปัจจุบันผมทำอยู่แล้วทั้งจ.ระยอง แต่ไม่ครอบคลุม 76 จังหวัด ผมอยากช่วยเหลือเด็กพวกนี้ เพราะถ้าไม่มีใครส่งมันเรียน เดี๋ยวก็ไปเป็นขโมยขโจร มีปัญญาแต่ขาดการศึกษา ถ้าปล่อยให้ซึมซับรับสิ่งที่ไม่ดีเข้าหัวไป วันหน้ามันจะเป็นมหาโจรนะ”
“เรื่องที่สอง อยากจะเอาไปจัดกิจกรรมให้กับเด็กกำพร้า ให้มีกิจกรรมส่งเสริมทักษะ สร้างเสริมสุขภาพและคุณธรรมทางจิตใจ เพราะผมรู้ว่าการไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีคนช่วยเหลือมันเป็นยังไง การที่เราจัดให้เด็กๆ เขามารวมตัวกันโดยมีกิจกรรมเป็นตัวกลาง เขาก็จะได้มีเพื่อน เติมเต็มความเหงาว้าเหว่ได้ เรื่องที่สามที่จะต้องทำให้ได้ก็คือนำเงินไปจ้างครูที่เกษียณอายุแล้ว และคักเลือกที่มีคุณธรรมจริยธรรม เป็นครูที่ดีๆ เอามาเพื่อให้เป็นแม่บุญธรรมของเด็กกำพร้า โดยจะให้ครูเหล่านี้ดูแลคอยให้กำลังใจ เป็นที่ปรึกษาเป็นที่พึ่งทางใจให้กับเด็กๆ ในนามมูลนิธิของเราตามจังหวัดต่างๆ ดีกว่าจะให้เด็กทั้งหลายไปขอคำปรึกษาจากคนที่ขาดศีลธรรมจริยธรรม แล้วสอนแบบผิดๆ”
“ตอนนี้ท่านประธานสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ทำเรื่องเพื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด สายสามัญชน “ปฐมดิเรกคุณาภรณ์” ก็คือ สายสะพายสีเขียวให้กับผม ถ้าได้รับผมก็ถือเป็นเกียรติประวัติสูงสุดแก่วงศ์ตระกูล และเป็นเครื่องการันตีว่าผมจะต้องทำดีไปตลอดชีวิต แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เสียใจ เพราะถือว่าถ้าวันหน้าจะทำความชั่วก็ไม่มีสิ่งใดมาค้ำคอผมว่าต้องทำดีตลอดไป แต่ถ้าได้ผมจะถือเป็นสิ่งที่มาตีตราให้ผมทำดีตลอดไป จริงๆ ถ้าไม่ตกเป็นข่าวซะก่อนป่านนี้คงได้ไปตั้งนานแล้ว”
“แต่ผมไม่ตั้งหวังว่าการทำดีจะต้องได้ ถามใจจริงๆ ผมไม่อยากได้ เพราะคิดว่าเกียรติของผมยังไม่สูงส่งพอ ภาพลักษณ์ผมไม่ดีพอ ชื่อเสียงผมไม่โสภา แต่ผมก็ต้องเตรียมการไว้ว่า ถ้ามีบุญวาสนาได้รับพระราชทานปฐมดิเรกคุณาภรณ์ ผมจะจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ที่บ้านเกิด โดยจะจัด 9 วัน 9 คืน และจัดงานบุญ 9 ประเภทอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ยกตัวอย่าง คือ การ “ซื้อเลือด” ผมจะประกาศให้คนยากจนมารับแจกทานของผม หลังจากนั้น ใครที่อยากบริจาคเลือดให้กับสภากาชาดไทย ผมจะให้ค่าพาหนะเดินทางกลับบ้าน คนละ 500 หรือ 1000 ก็ว่าไป เท่ากับว่า ได้ทำบุญ 3 ทาง ทางแรก คือ ได้เลือดให้สภากาชาดไทย ทางสองผมได้ช่วยเหลือเงินให้คนยากคนจน ทางที่สามทำให้คนจนที่บริจาคเลือดได้ทำบุญ ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีใครทำ (ยิ้ม) และทุกครั้งที่ผมทำบุญทำทานครั้งใหญ่ๆ อย่างทำบุญวันเกิดเมื่ออายุครบ 36 ปี ฝนจะเทลงมาหลังเสร็จงานทุกครั้งเลย”
“คนที่อื่นจะด่าจะว่าผมยังไง ผมไม่สนใจ แต่คนในอำเภอบ้านฉางเกือบทุกคนรักผม เขาสรรเสริญผม ทุกครั้งที่ไปเขาจะมาต้อนรับเต็มไปหมด อย่างตอนที่รายการของวู้ดดี้ (วู้ดดี้เกิดมาคุย) ไปถ่ายรายการ เด็กๆ ไม่เป็นอันเรียน ช่วยกันเตรียมป้ายจัดดอกไม้ต้อนรับกันใหญ่ ทุกคนที่โน่นไม่เรียกเสี่ยอู๊ด แต่พวกเขาจะเรียกคุณสิทธิกร หรือ พี่สิทธิกร (มันทำให้รู้สึกดีกว่าถูกเรียกเสี่ยอู๊ดหรือเปล่า?) แล้วแต่เขาจะเรียกเลย ผมไม่บังคับใคร”
“เวลาทำดีอย่าไปคิดว่าจะได้อะไรตอบแทน ทำบุญเพื่อลดกิเลสไม่ใช่เพื่อขอให้ได้โน้นได้นี่ ไม่อย่างนั้นมันก็เท่ากับว่าเพิ่มความโลภให้กับตัวเอง แต่ที่แปลกอย่างหนึ่งคือการที่ผมทำสิ่งที่ดีๆ มาตลอดชีวิต พอถึงเวลาที่ผมเกิดเหตุการณ์ร้ายคับขัน เพียงแค่ผมพนมมือจุดธูป 15 ดอก แล้วอธิษฐาน สิ่งนั้นก็จะคลายจากร้ายกลายเป็นดี ผมอธิษฐานขอคนดีๆ (ดารา) ให้เข้ามารู้จักในชีวิตผมทั้งหลายที่ปรากฏชื่อเป็นข่าว แต่ละคนที่ดังๆ ผมอธิษฐานขอจากพระมาทั้งสิ้น ทำให้เชื่อว่าบุญนี้มีจริงนะ (หัวเราะ) เป็นข่าวผมถึงไม่สนใจไง จะเกิดอะไรก็เกิด ผมมีความสุขดีกับคนที่พูดถึงผมทั้งแง่ดีและไม่ดี จะบอกเลยนะว่านักข่าวทั้งหลายคุณเป็นเครื่องมือของผมนะ ที่ทำให้ผมดัง (หัวเราะ)”
เชื่อเรื่องโหราศาสตร์ ทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวพันเกิน 1 วันขึ้นไป จะต้องเอาวันเดือนปีเกิดไปให้หมอดูฟันธงว่าดวงสมพงษ์กันหรือเปล่า
“ผมเชื่อในพุทธวจนะ คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่า “สุนักขัตตัง สุมังคะลัง” คือ ฤกษ์ดียามดีก็มีชัยชนะไปกว่าครึ่งแล้ว ฉะนั้น ผมจะเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ฤกษ์ผานาทีอย่างมาก และผมก็ประสบความสำเร็จมากับเรื่องนี้ทุกครั้ง จะไม่ทำสุ่มสี่สุ่มห้า ตามดวงเกิดของผมไม่มีเกียรติยศในทางที่ดี แต่เมื่อบั้นปลายชีวิตจะมีเกียรติยศสูงสุด เป็นดวงที่มีโชคลาภอันยิ่งใหญ่ มีทรัพย์มากและเป็นที่พึ่งให้กับคนได้ ดวงเกิดของผมจะไม่มีลูกและบริวารอันถาวร ฉะนั้นใครที่จะมาเป็นบริวารผมถาวรถึงไม่มี สังเกตดาราคนดังๆ ที่มาคบผมยังต้องจากไปหมด แต่ยังไงเขาก็ต้องมาคบเพราะตามดวงเกิดคนดังๆ ต้องมาสมาคมกับผม ผมเชื่อเรื่องดวงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือเชื่อในการกระทำในปัจจุบันที่ยึดหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา”
“ก่อนจะแถลงข่าวผมต้องดูฤกษ์ก่อนทุกครั้ง เพราะถือว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง รู้เขาก็คือรู้จุดกำเนิดของเขาทั้งหลาย รู้เราก็คือรู้ดวงชะตาของเราว่าครั้งนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อรู้ผลลัพธ์ของเขาและเราแล้วก็จงพึงกำหนดผลลัพธ์ให้มันดีกว่านั้นอีกหน่อยสิ ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเกินหนึ่งวันขึ้นไป ผมเอาวันเกิดไปดูดวงก่อน เพราะจะไม่คบคนที่มีดวงเป็นอริมรณะ วินาศ กาลี ผมจะไม่คบ แต่ถ้าจะพลาดก็เพราะเขาบอกวันเดือนปีของเขาผิดมา (หัวเราะ)”
ความหวังอันสูงสุดก่อนตาย “เสี่ยอู๊ด” อยากทำประโยชน์คืนสู่สังคมให้ได้ครบ 100 อย่าง
“ต้องการสร้างสาธารณกุศลและสาธารณสงเคราะห์ ให้ได้ 100 ชิ้น หรือ 100 โครงการก่อนตาย เมื่อตายแล้วทรัพย์สินส่วนตัวทั้งปวงจะแบ่งเป็น 3 ส่วน หนึ่งให้กับมูลนิธิเด็กกำพร้าที่ตั้งขึ้น เพื่อพัฒนาพวกเขาให้เป็นคนที่ดีในสังคม ส่วนที่สองจะให้ญาติพี่น้องไว้เป็นทุนดูแลกันเองในตระกูล ส่วนที่สาม ขอเห็นแก่ตัวบ้างเพื่อให้กับคนที่ผมรัก แต่ต้องเป็นคนดีนะ ซึ่งจะเป็นใครก็ยังไม่รู้เหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่อยากทำเลย คือ ผมอยากจะให้จิตใจผมหลุดจากความลวง ความหวง ความอยาก และถ้าเป็นไปได้อยากให้จิตใจหลุดออกจากความรักด้วย มันทุกข์เพราะห่วง แต่ทำย้าก..ยาก (หัวเราะ) แต่ก็ต้องฝึกใจไปเรื่อยๆ พูดแบบนี้แล้วกลัวคนอื่นๆ เขาหมั่นไส้เอา”
“ตอนนี้ผมอายุ 36 แต่ไม่เคยตั้งหวังว่าตัวเองจะอายุยืนถึง 70-80 ปี ตอนนี้ผมอยากตายแล้ว เพราะชีวิตมีครบทุกอย่างแล้ว มันคุ้มค่าที่ได้เกิดมา เงินทองสมบัติที่สร้างไว้ผมก็ไม่เสียดาย อย่างบ้านช่องสวยๆ ของเราถ้าแค่แผ่นดินถล่ม มันก็เป็นเศษซากไปแล้ว อย่าไปยึดติด แต่ผมจะมีความสุขนะ ถ้าทรัพย์สินของผมมันก่อให้เกิดประโยชน์กับคนอื่น ให้เขาได้รับประโยชน์กับสิ่งที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของผม ผมไม่กลัวความตาย แต่ผมกลัวทรมาน”
“ส่วนตัวผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือ ผมจะเป็นตำนานในอนาคต เพราะสิ่งที่ผมทำทั้งหมดมันเป็นรูปธรรม ที่สืบสาวหาที่มา สถานที่ ประวัติ บุคลกรหรือบุคคลเกี่ยวข้อง และวัตถุที่ผมทำไม่ว่าจะเป็นเหรียญ หรือพระมีจำนวนมากเป็นล้านๆ ชิ้น ทุกคนจะต้องหาที่มา อีกร้อยปีข้างหน้าเขาจะพูดถึงของชิ้นนี้ ว่าโบราณวัตถุโบราณสถานชิ้นนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกี่ยวข้องกับใคร ไปถามถึงชิ้นนี้ก็เกี่ยวข้องกับผม สถานที่นี้ก็เกี่ยวข้องกับผม ของชิ้นนี้ก็เกี่ยวข้องกับผม ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับผมหมด ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าสิ่งที่มันโยงใยเชื่อมต่อกัน มันจะเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจารึกบันทึกในประวัติศาสตร์วันข้างหน้า เมื่อผมตายไปแล้วจึงเชื่อว่าผมจะกลายเป็นตำนานให้คนได้ศึกษาทั้งในแง่ดีและไม่ดี”