xs
xsm
sm
md
lg

There Will Be Blood + No Country for Old Men : หนังชิงออสการ์ของปีนี้

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


หลังจากหายหน้าหายตาไปเป็นผู้กำกับสำรองให้กับ โรเบิร์ต อัลท์แมน ถึงราวๆ 5 ปี พอล โธมัส แอนเดอร์สัน ผู้กำกับที่ถือเป็นความหวังใหม่ของวงการหนังอเมริกันกลับมาอีกครั้งใน There Will Be Blood พร้อมด้วยแรงคับแค้นปะทุอย่างมหาศาล

ด้วยความที่ค้นพบสไตล์ของตัวเอง และประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย (แอนเดอร์สันทำ Boogie Nights หนังสร้างชื่อของเขาตอนอายุ 26) พอล โธมัส แอนเดอร์สัน จึงไม่ประนีประนอมกับอะไรทั้งนั้น หนังเรื่องใหม่ของเขา – ที่นอกจากเต็มไปด้วยพลังพุ่งพล่าน – ยังผสมผสานบรรยากาศอันแปลกประหลาด ทั้งยังลากเรื่องไปยังจุดที่คนดูไม่คิดไม่ฝันว่าจะไปถึง

ดัดแปลงมาอย่างคร่าวๆ จากนิยายของ อัพทัน ซินแคลร์ There Will Be Blood เล่าเรื่องของ แดเนียล เพลนวิว (แดเนียล เดย์ ลูอิส) เศรษฐีนักขุดน้ำมันของอเมริกาในยุคต้นศตวรรษที่ 20 ที่ทำสงครามกับศีลธรรมในใจของตนเอง โดยศัตรูฝ่ายตรงกันข้ามที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดก็คือ บาทหลวงอีไล (พอล เดโน) เด็กหนุ่มผู้คลั่งศาสนาที่พยายามเล่นงานเขาทุกวิถีทางที่จะทำได้

แอนเดอร์สันสร้างให้ชีวิตของเพลนวิวเหมือนหนังเอพิกยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง เขาเปิดเรื่องด้วยภาพหุบเขาอันแร้นแค้น และเพลนวิวพยายามต่อสู้กับแผ่นดินอันถมึงทึงอย่างโดดเดี่ยว พบกับความยากลำบากและอุปสรรค จนเอาชนะมันได้ในท้ายที่สุด

นอกจากจะเป็นนักสู้ที่ไม่รู้จักคำว่าแพ้ แดเนียล เพลนวิวยังเป็นนักเจรจาชั้นยอด มีอยู่น้อยๆ 2 ฉากที่หนังปล่อยให้คนดูได้รับฟังการโน้มน้าวของเพลนวิวเพื่อขอซื้อที่ดินที่อาจจะมีน้ำมันจากชาวบ้านผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หว่านล้อมจนบริษัทของตนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญกับบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ 2 เจ้า คือ สแตนดาร์ด ออยล์ และ ยูเนี่ยน ออยล์

แต่ความดันทุรังและปมใหญ่ในจิตใจเรื่องครอบครัวที่หนังจงใจละเอาไว้ ทำให้แดเนียล เพลนวิว ตกอยู่ในสถานะเดียวกับ ชาร์ลส์ ฟอสเตอร์ เคน ในหนังคลาสสิคของออร์สัน เวลลส์ เรื่อง Citizen Kane

กล่าวคือ เขาสามารถสร้างธุรกิจส่วนตัวให้ออกดอกออกผลอย่างดงาม แต่ในขณะเดียวกัน กลับล้มเหลวในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ในกรณีนี้ เพลนวิวดูเหมือนจะถลำลึกไปไกลกว่ามาก เขาแทบจะทำตัวท้าทายพระเจ้า สูบเลือดเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่ต่างจากการสูบน้ำมันขึ้นจากพื้นดิน

เพราะอย่างนั้นเอง วัยชราของเพลนวิวจึงเปล่าเปลี่ยวเงียบเหงา คนดูได้เห็นเขาอยู่ในคฤหาสน์หลังโต งานอดิเรกที่พอจะมีคือการใช้ปืนยิงสิ่งของต่างๆ ในบ้าน หรือเล่นโบวลิ่งอยู่คนเดียว เขาได้ตัดขาดกับลูกชายสุดที่รัก และลงมือจัดการกับศัตรูตนเองอย่างโหดเหี้ยม โดยไม่เหลือความอาทรใดๆ อยู่อีก

There Will Be Blood ถึงพร้อมด้วยงานเทคนิคในทุกๆ ด้าน การถ่ายภาพที่เน้นโทนสีเข้ม หรือกระทั่งการตัดต่อที่สร้างจังหวะกระแทกกระทั้น ดนตรีประกอบของจอนนี่ กรีนวูด (สมาชิกวง Radiohead) ดึงให้อารมณ์ของหนังโหยหวนมากขึ้นกว่าเดิม

แต่อย่างที่ทราบกัน จุดที่เด่นที่สุดของ There Will Be Blood อยู่ที่แดเนียล เดย์ ลูอิส เขาแทบจะแปลงกายเป็นคนอีกคนหนึ่งโดยสมบูรณ์ หนักแน่นทั้งการพูดจา แววตา และบุคลิกท่าทาง นี่เป็นการแสดงที่สั่นสะเทือนที่สุดของนักแสดงนำชายบนเวทีออสการ์ในรอบหลายปีมานี้

There Will Be Blood ถ่ายทำส่วนใหญ่ในเมืองมาร์ฟา รัฐเท็กซัส อันเป็นโลเคชั่นเดียวกับหนังใหม่ของพี่น้องโคเอนเรื่อง No Country for Old Men มีข่าวเล่าว่าฉากไฟไหม้บ่อน้ำมันในหนังของพอล โธมัส แอนเดอร์สัน ส่งผลให้ควันลอยไปรบกวนการถ่ายทำของพี่น้องโคเอนจนต้องพักกองไป 1 วันเต็มๆ

No Country for Old Men มีลักษณะคล้ายคลึงกับ There Will Be Blood อยู่หลายประการ ฉากหลังอยู่ในทะเลทราย มันพูดถึงความโลภของมนุษย์ การพ่ายแพ้ต่อจิตใจของตนเอง และชะตากรรมที่หักเหของตัวละคร

อย่างไรก็ตาม No Country for Old Men โดดเด่นและแตกต่างมากทีเดียว มันเป็นงานของ อีธาน และ โจล โคเอน ที่ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงปัจจัยที่ว่า มันเป็นหนังที่แสดงเอกลักษณ์ของพวกเขาในทุกวินาทีไปพร้อมๆ กัน

หนังของพี่น้องโคเอนมักเล่าถึง มนุษย์ผู้ไม่สามารถทนอำนาจเย้ายวนของอาชญากรรม จนต้องปล่อยตัวปล่อยใจเข้าไปในด้านมืดของตนเอง และมันน่าเศร้าที่บ่อยครั้ง พวกเขาสลัดมันไม่พ้น

สำหรับ No Country for Old Men (ดัดแปลงจากนิยายของ คอร์แม็ก แม็กคาร์ธี) ต้นตอของปัญหามาจากเงินก้อนหนึ่ง และคนอีกราวๆ 4-5 คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับมันอย่างบังเอิญ

ตัวละครหลักมีอยู่ 3 ตัวด้วยกัน ได้แก่ เลลเวอลีน มอส (จอช โบรลิน) ชายที่ไปพบเจอเงินโดยบังเอิญ, ชิเกอร์ (ฮาเบียร์ บาร์เดม) นักฆ่าโรคจิตที่ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของเงินก้อนนั้น และ เอ็ด ทอม เบลล์ (ทอมมี่ ลี โจนส์) นายอำเภอที่ใกล้จะเกษียณ

การไล่ล่าของชิเกอร์ถูกนำเสนอออกมาด้วยความผิดปกติ เจ้าโรคจิตคนนี้ไม่ได้ใช้ปืนจัดการกับศัตรู แต่ใช้ปืนอัดลม - แบบเดียวกับที่ใช้ฆ่าหมูหรือวัวในโรงฆ่าสัตว์ หรือจะเป็นเครื่องรับสัญญาณจากกระเป๋าเงินที่คนดูกระอักกระอ่วนจนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือหวาดกลัวดี

คล้ายคลังกับหนังเรื่องก่อนๆ ของพี่น้องโคเอน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ ค่อยๆ บานปลายไปอย่างคาดไม่ถึง ฉากหนึ่งเบลล์ถึงกับพร่ำรำพันออกมาว่า อาชญากรรมมันเสื่อมถอยไปไกลเกินกว่าคนรุ่นเขาจะเข้าใจ

ลักษณะเด่นๆ ของพี่น้องโคเอนยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม อาทิ อารมณ์ขันร้ายๆ ที่ปรากฏอยู่ทุกครั้งที่ชิเกอร์เข้ามาในฉาก ประโยคสนทนาที่พรรณนาไปไกลกว่าจะวกกลับมาเข้าเรื่อง หรือสถานการณ์ประเภทหนีเสือปะจระเข้ที่คนดูคาดไม่ถึง

อย่างหลังนั้นพี่น้องโคเอนทำเพื่อคารวะ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก อย่างเต็มที่ ในฉากไล่ล่านั้น พวกเขาจู่โจมคนดูด้วยความเงียบ และอาการนิ่งเฉยอันยาวนานของตัวละคร รวมทั้งเป้าหมายที่กระสุนกระทบร่างเหยื่อ - ก็อยู่ในตำแหน่งที่เราไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็น

ถึงแม้จะเต็มไปด้วยฉากปะทะกันของตัวละครฝ่ายร้าย และฝ่ายร้ายกว่า อยู่เต็มเรื่อง แต่นี่ไม่ได้เป็นการทำเอาสนุกอย่างเดียว ผู้กำกับถึงกับจงใจไม่ให้คนดูเห็นฉากดวลกันครั้งสุดท้าย แต่เราได้เห็นนายอำเภอมองสถานที่เกิดเหตุอย่างไม่เข้าใจ

โลกนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่เราไม่สามารถเอาตรรกะไปจับได้ สงครามในตะวันออกกลาง ปัญหาโลกร้อน หรือการแย่งชิงน้ำมันอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงแม้เราจะกีดกันตัวเองออกจากความยุ่งยากแล้ว พี่น้องโคเอนพยายามบอกกับเราว่า เราไม่สามารถหนีมันพ้น

ตอนจบของ No Country for Old Men แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับฉากจบของ Fargo (1996) หนังอีกเรื่องของพวกเขา มาร์จ (ฟรานเชส แม็กดอร์มานด์) ใน Fargo ใช้ชีวิตอย่างสงบและสมถะ หลังจากเรื่องร้ายๆ จบลง

แต่สำหรับเอ็ด ทอม เบลล์ เรื่องร้ายจบลงไปแล้ว แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความหวาดวิตก
กำลังโหลดความคิดเห็น