xs
xsm
sm
md
lg

10 ข่าวเด่นบันเทิงเทศ 2007 (2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อันดับที่ 5 "แองเจลินา โจลี" กับงานสะสมลูกบุญธรรมรายที่ 3

กลายเป็นฉายาใหม่ไปซะแล้วสำหรับ แองเจลินา โจลี ว่าเป็นนางฟ้าใจบุญช่วยเหลือสังคมพร้อมรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจากนานาชาติให้มาเป็นลูกบุญธรรมของเธอด้วย โดยลูกบุญธรรมคนล่าสุดเป็นหนูน้อยจากประเทศเพื่อนบ้านของเราคือเวียดนาม

หลังจากที่ แองเจลินา โจลี กลายเป็นนางฟ้าใจบุญเปิดรับเลี้ยงหนูน้อยจากกัมพูชา แม็ดด็อกซ์ ให้มาเป็นลูกบุญธรรมของเธอครั้งแรกสาวสวยคนนี้ก็เริ่มติดใจวางแผนรับลูกบุญธรรมมาเลี้ยงดูอย่างต่อเนื่อง โดยคนที่ 2 นั้นเป็นหนูน้อยจากเอธิโอเปีย นามว่า ซาฮารา โดยขณะนั้นเธอกำลังมีรักครั้งใหม่กับ แบรด พิตต์ ที่กลายเป็นพ่อแท้ๆของลูกในท้อง (ไชโลห์ โจลี -พิตต์) ก่อนจะจบลงที่ลูกบุญธรรมคนล่าสุด แพ็กซ์ เทียน หนูน้อยจากประเทศเวียดนาม

ลูกบุญธรรมชาวเวียดนามคนนี้ มีชื่อเดิมว่า ด.ช.ฝ่ามกวางซาง (Pham Quang Sang) เกิดเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2003 และเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีชื่อว่าตามบิ่ง (Tam Binh)ในนครโฮจิมินห์ ก่อนที่เขาจะถูกคู่รักแบรนเจลินา ไปพบเจอเข้าเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวในเมืองโฮจิมินห์และแวะเยี่ยมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดังกล่าวจนก่อให้เกิดกระแสข่าวการรับเลี้ยงเด็กคนที่ 3 ขึ้นไปทั่วโลก

การได้มาซึ่งลูกบุญธรรมคนล่าสุดนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่คาดคิดไว้มากทีเดียวเมื่อกระบวนการทั้งหมดของเธอในการรับเลี้ยงลูกบุญธรรมรายที่ 3 นี้ใช้เวลาเพียง 3 เดือนเนื่องด้วยตัวเด็กไม่ใช่เด็กทารก และเพราะชื่อเสียงการเป็นคนดังของตัวโจลีเองที่ส่งให้การรับลูกบุญธรรมจากเวียดนามเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

แต่ถึงอย่างไรการรับลูกบุญธรรมคนนี้มาเลี้ยงก็มีเรื่องติดขัดอยู่เล็กน้อยเมื่อคนรักของเธออย่างแบรด พิตต์ อยากมีส่วนร่วมรับผิดชอบในตัวลูกบุญธรรมของโจลี จึงทำให้เขาอยากเซ็นรับรองเป็นพ่อบุญธรรมของเด็กด้วยแต่ในทางกฏหมายของเวียดนามนั้นไม่อนุญาตให้คู่รักที่ยังไม่แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายรับเด็กไปเลี้ยงได้ ดังนั้นโจลีจึงต้องยื่นดำเนินเรื่องสิทธิ์เลี้ยงดูครั้งนี้แต่เพียงผู้เดียว

และเมื่อหนูน้อยได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแล้ว คู่รักแบรนเจลินาจึงได้ดำเนินการทางกฏหมายอีกครั้งโดยให้หนูน้อยใช้ชื่อว่า แพ็กซ์ เทียน (Pax Thien ) ซึ่งเป็นคำผสมระหว่างคำว่า "Pax" ในภาษาละตินที่แปลว่า "สันติภาพ"และคำว่า "Tien" ในภาษาเวียดนามที่มีความหมายว่า "สรวงสวรรค์" หรือ "ท้องฟ้า" โดยโจลีเผยเองว่า คำว่า แพ็กซ์ นั้นแม่เธอเป็นคนตั้งให้ก่อนที่แม่เธอจะจากโลกนี้ไปด้วย

นอกจากนั้นเธอยังให้พิตต์มีส่วนร่วมในตัวเด็กๆด้วยการให้ใช้ชื่อพิตต์เป็นชื่อท้ายของหนูน้อยส่งให้ลูกบุญธรรมชาวเอเชียคนล่าสุดของคู่รักแบรนเจลินามีชื่อเต็มๆว่า แพ็กซ์ เทียน โจลี - พิตต์ (Pax Thien Jolie-Pitt) นั่นเอง

ในส่วนของการรับลูกบุญธรรมคนที่ 4 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนานาชาติ โจลี เคยกล่าวเอาไว้ว่าบางทีเธออาจจะรับเด็กแอฟริกันที่มีผิวสีเดียวกับซาฮาราอีกหนึ่งคนเนื่องจากเธอไม่ต้องการให้ซาฮารารู้สึกแปลกแยกจากทุกคนในครอบครัว

"คุณควรจะสร้างความสมดุลภายในครอบครัวใช่ไหม ดังนั้นเราควรจะมีชาวแอฟริกันอีกคนในบ้านเพื่อซาฮารา หลังจากที่เรามีชาวเอเชียอีกคนในบ้านเพื่อแม็ดมาแล้ว เราคิดอย่างนั้นนะ ส่วนไชโลห์ก็มีฉันกับแบรดเป็นคนผิวขาวเหมือนเขาแล้วไง"

**************

อันดับที่ 4 ปริศนาหลังการตายของ "แอนนา นิโคล สมิธ"

การไปเสียชีวิตในห้องทำคลอดของลูกชายของเธอเอง 3 วันให้หลังจากที่เธอเพิ่งจะให้กำเนิดลูกสาวคนใหม่เมื่อก.ย.ปี 2006 คงจะเป็นเรื่องที่ช็อคที่สุดแล้ว หากไม่นับการที่ความตายกลับมาเยือนหาเธอเองในไม่กี่เดือนต่อมา

แอนนา นิโคล สมิธ อดีตดาวยั่วเพลย์บอยชื่อดัง ที่ความสัมพันธ์ในช่วงสั้นๆ กับมหาเศรษฐีวัย 89 ปี เจ.ฮาเวิร์ด มาร์แชล ที่ 2 เจ้าของธุรกิจน้ำมัน ทำให้เธอได้รับมรดกเป็นเงินมูลค่านับพันล้าน และเมื่อลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียวอย่างแดเนียลกลับมาเสียชีวิต ผู้ที่ได้รับสิทธิ์รายใหม่ก็หนีไม่พ้น แดเนียลลีน ลูกสาววัยแบะเบาะของเธอนั่นเอง

แต่ใครจะเชื่อว่าสาวน้อยจะได้ใช้สิทธิ์ดังกล่าวขณะที่มีวัยเพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น เพราะเมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา แอนนา นิโคล ได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันเช่นกันด้วยวัย 39 ปี

ผลการชันสูตรศพชี้ว่าเธอไม่ได้พยายามฆ่าตัวตายและไม่ได้เสียชีวิตจากการเสพยา แต่สาเหตุมาจากการใช้ยานอนหลับประเภท chloral hydrate ร่วมกับยาชนิดอื่นๆ อีก 7 ชนิดซึ่งส่งผลข้างเคียงอย่างรุนแรง หลังจากที่เธอรักษาตัวเองจากอาการหวัดลงกระเพาะก่อนหน้าที่เธอจะเสียชีวิตไม่กี่วัน ที่ทำให้เธอมีไข้สูงถึง 41 องศาเซลเซียส รวมทั้งอาการเหงื่อออกรุนแรง และอาการหนองติดเชื้อที่สะโพกจากการฉีดยาติดต่อกันซ้ำๆ

ยานอนหลับ chloral hydrate ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยทั่วไปคือ 1-2 ช้อนชา แต่รายงานเผยว่าเธอมักกินครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะเสมอ และบางครั้งถึงกับดื่มโดยตรงจากขวดทีเดียว

ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าก็คือมันเป็นยาตัวเดียวกับที่ส่ง มาริลีน มอนโร ไอดอลอันดับหนึ่งในใจเธอไปสู่ปรโลกมาแล้วเช่นกัน

เรื่องราวที่ตามมาจึงหนีไม่พ้นการแย้งสิทธิ์ในการเลื้องดูหนูน้อยพันล้านที่เธอทิ้งเอาไว้ข้างหลัง โดยผู้ที่เข้ามามีบทบาทในเรื่องดังกล่าวมากที่สุด 2 คนได้แก่ ฮาเวิร์ด เค. สเติร์น คู่รักคนสุดท้ายของแอนนา(แต่ไม่ได้จดทะเบียน)นักกฏหมายผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเธอให้เป็นผู้ดูและมรดกทุกอย่างของเธอ โดยเฉพาะการเลี้ยงดูหนูน้อยแดเนียลลีนด้วย กับ แลรี เบิร์กเฮด ช่างภาพอดีตแฟนเก่าของเธอ ที่ออกมายืนยันเสียงแข็งว่าแดเนียลลีนคือทายาทโดยสายเลือดระหว่างเขาและแอนนานั่นเอง

หลังจากต่อสู้ทางคดีความกันได้ 2 เดือน ผลดีเอ็นเอก็พิสูจน์ว่าแลรี เบิร์กเฮดเป็นพ่อของเด็กตัวจริง ทำให้สิทธิ์ในการดูแลหนูน้อยตกเป็นของเขาในที่สุด ขณะที่ผู้แพ้ความอย่างฮาเวิร์ด เค. สเติร์นก็ออกมายอมรับผลดังกล่าวอย่างลูกผู้ชาย

แต่ภาพอันสวยงามที่หน้าศาลพิจารณาคดีในวันนั้นก็ต้องมัวหมอง เมื่อ ริต้า คอสบี อดีตผู้สื่อข่าวของ MSNBC ได้แฉเรื่องนี้ลงในหนังสือที่เธอเขียนขึ้นชื่อว่า Blonde Ambition: The Untold Story Behind Anna Nicole Smith's Death ที่กล่าวหาว่า เบิร์กเฮด และ สเติร์นจริงๆ แล้วมีความสัมพันธ์เป็นคู่รักกัน ทั้งการออกมาเปิดเผยของ แจ๊กกี แฮทเทน อดีตเพื่อนสนิทของแอนนาที่เผยว่าเคยเห็นทั้งสองร่วมเพศกัน ขณะที่ เคอร์ริค รอส นายแบบหนุ่มก็อ้างว่าตัวเองเคยมีความสัมพันฉันชู้สาวกับเบิร์กเฮดด้วย

การออกมาแฉครั้งนี้เป็นความพยายามที่จะทำให้คนที่เฝ้าติดตามคดีนี้มาแต่แรกเข้าใจว่าทุกอย่างที่จบลงเช่นนี้เป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดของบุคคลทั้งสองแทน จนทำให้ทั้งสองคนออกมาฟ้องร้องเอาผิดกับผู้ที่ออกมาแฉเรื่องราวดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย

ปมใหม่ๆ ทำให้เรื่องที่ทำท่าจะจบลงด้วยดีแล้วมีแง่มุมให้ได้เคลือบแคลงสงสัยกันอีก งานนี้ผู้เดือดร้อนที่สุดเห็นจะได้แก่ผู้ที่ตั้งใจจะนำเรื่องราวของเธอไปสร้างเป็นภาพยนตร์(ชีวิตเธอไม่ว่างเว้นจากการถูกตักตวงเสียจริงๆ)เพราะต้องรอไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่เหลือข้อสงสัยใดๆ แล้วที่อยู่เบื้องหลังละครฉากนี้ ที่พวกเขาต้องยอมรับโดยดุษฏีว่าชีวิตของเธอนั้นไม่ว่านิยายเรื่องไหนๆ ก็เทียบไม่ได้

**************

อันดับที่ 3 ความเสียสติของ"บริทนีย์"

เหล่าคนดังของฮอลลีวูดที่ตกเป็นข่าวมากที่สุดแห่งปีคงหนีไม่พ้น บริทนีย์ สเปียร์ส นักร้องสาวคุณแม่ลูกสอง ที่ตลอดเวลาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเธอแสดงพฤติกรรมประหลาดช็อคโลก ได้ไม่เว้นแต่ละวันก่อนที่ชีวิตเธอจะถูกตัดสินด้วยผู้เชี่ยวชาญว่าจุดจบของบริทนีย์อาจฆ่าตัวตายก็เป็นได้

เริ่มตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาบริทนีย์เดินทางเข้ารักษาตัวในสถานบำบัดผู้ติดเหล้าและยา Crossroads เนื่องจากนักร้องสาวเสพติดแอลกอฮอล์อย่างหนัก และหลังจากที่เธอเช็คเอาท์ออกจากสถานบำบัดเธอก็แสดงพฤติกรรมประหลาดให้คนทั้งโลกตื่นตะลึงโดยการบุกเข้าร้านทำผมเพื่อโกนหัวตัวเองก่อนจะแวะร้านสักเพื่อสักตามส่วนต่างๆของร่างกาย

โดยวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา นักร้องสาวเดินทางไปเคาะประตูร้านทำผมแห่งหนึ่งเพื่อให้เจ้าของร้านโกนหัวให้กับเธอแต่ทางเจ้าของร้านปฏิเสธเพราะกลัวว่าจะโดนข้อหาทำลายภาพลักษณ์ศิลปิน นักร้องสาวจึงจัดการโกนหัวด้วยตัวเอง ทำให้ปอยผมของเธอถูกนำไปขายในอีเบย์ปอยละ 50 เหรียญและถูกเจ้าของร้านดังกล่าวนำไปประมูลเพื่อนำรายได้เข้าการกุศล

จากนั้นนักร้องสาวเดินเข้าร้านเสริมสวยเพื่อต้องการให้ช่างสักตามร่างกายของเธอสัก 2 - 3 แห่ง โดยช่างสักระบุว่านักร้องสาวมีทีท่าซึมเศร้าและดูสับสนมากทีเดียว

ความบ้าระห่ำของนักร้องสาวไม่จบเพียงเท่านั้น ข่าวต่อมาที่ทำให้ผู้คนเห็นถึงความคลุ้มคลั่งในตัวบริทนีย์ยังรวมถึง การที่เธอรำคาญช่างภาพปาปารัสซี เธอจึงได้ตะโกนใส่ช่างภาพและด่าหยาบคายต่อหน้ากล้อง ก่อนจะหยิบร่มขึ้นมาฟาดรถของเหล่าช่างภาพดังกล่าว

และข่าวคราวต่อมาที่ทำให้คนต่างตกตะลึงในตัวเธออีกครั้งนั่นคือ หลังจากการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพื่อใช้เปิดตัวอัลบั้มใหม่ ( Blackout ) ของเธอ นักร้องสาวจัดการหิ้วชายหนุ่มตัวประกอบคนหนึ่งร่วมปาร์ตี้ริมสระสุดสวิงที่โรงแรมจนกลายเป็นข่าวไปทั่วเนื่องจากเธอเปลือยอกลงสระน้ำก่อนจะ ปล่อยให้ชายหนุ่มคนดังกล่าวกอดจูบลูบคลำ

และจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นผลให้ เควิน เฟเดอร์ไลน์ อดีตสามีจอมไถใช้รูปดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการต่อสู้บนชั้นศาล เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูก่อนที่พฤติกรรมแย่ๆ ของบริทนีย์ทั้งหมด จะทำให้เขาประสบความสำเร็จได้รับสิทธิ์เลี้ยงดูตามที่เขาต้องการโดยมีอีกหนึ่งพยานสำคัญคือบอดี้การ์ดร่างยักษ์ของบริทนีย์ที่ออกมาแฉเองว่าเธอชอบดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่และชอบโป๊ต่อหน้าลูกๆ ด้วย

การตกอับในช่วงชีวิตของบริทนีย์ยังไม่จบเพียงแค่นั้นเมื่อครั้งที่นักร้องสาวขึ้นโชว์เปิดการแสดงบนเวที เอ็มทีวี มิวสิค อวอร์ดส์ นักร้องสาวกลับพลาดไม่เป็นท่าเมื่อเธอทั้งเต้นผิด และลิปซิงค์ไม่เนียนพอ ทำให้การแสดงครั้งนั้นเสมือนการประจานตัวเธอเองบนเวที และส่งผลให้อัลบั้มชุดใหม่ของเธอทำยอดขายได้น้อยกว่าทุกอัลบั้มที่ผ่านมามากโขทีเดียว

พฤติกรรมเพี้ยนๆของบริทนีย์ยังมีออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมานักร้องสาวหอบหิ้วชายหนุ่มแปลกหน้ากว่า 10 คนไปร่วมปาร์ตี้ที่แมนชันพร้อมกันกับเธอ โดยงานนี้เธอมีโปรโมชันพิเศษยอมให้หนุ่มๆได้สูดโคเคนจากเต้าเธอจนเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วด้วย

ความผิดปกติของบริทนีย์ในช่วงหลังๆยังมีที่ผิดสังเกตอีกเรื่องคือ เธอแวะพักเข้าห้องน้ำสาธารณะเป็นว่าเล่น จนผู้เชี่ยวชาญออกมาระบุสาเหตุว่าอาจเป็นอาการอย่างหนึ่งของผู้ที่มีภาวะจิตใจไม่ปกติ นอกจากนั้นเธอยังขโมยของที่ปั๊มน้ำมันขณะที่กล้องกำลังจับภาพเธอพร้อมโชว์หลักฐานอยู่ในมือ ซึ่งก่อนหน้านี้นักร้องสาวเคยก่ออาชญากรรมเล็กๆมาแล้วก่อนหน้านี้โดยครั้งนั้นเธอขับรถชนแล้วหนีต่อหน้าช่างภาพปาปารัสซีซึ่งเขากำลังถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอวินาทีนั้นได้พอดี เป็นเหตุให้เทปและภาพดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่เจ้าของรถคู่กรณีนำไปแจ้งตำรวจ ทำให้นักร้องสาวต้องเดินขึ้นโรงพักด้วยวิกผมสีชมพูสุดล้ำเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

และล่าสุดนักร้องสาวเพิ่งจะช็อคจากการที่เธอรู้ข่าวเรื่องการตั้งครรภ์ของเจมี ลินน์น้องสาวเป็นคนสุดท้าย โดยเธอต้องออกค้นหาความจริงจากหนังสือแท็บลอยด์ต่างๆเป็นเหตุให้พฤติกรรมแสนประหลาดของเธอกลับมาปรากฏอีกครั้งโดยการออกล่าหนุ่มๆใกล้ตัวนั่นคือเหล่าช่างภาพปาปารัสซี บุคคลที่พวกเธอไม่อยากจะสานสัมพันธ์ด้วย แต่เธอก็หลงเสน่ห์ช่างภาพหนุ่มที่รู้จักกันในนาม แอดแนน เข้าจนได้งานนี้นักร้องสาวถึงกับลากเขาเข้าโรงแรมกันเลยทีเดียว

และจากพฤติกรรมอันแสนประหลาดทั้งหมดทั้งมวลของบริทนีย์ทำให้ มาร์ตี เบรนเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญในการบำบัดผู้ติดยาเสพย์ติด รู้สึกว่าบริทนีย์กำลังตกอยู่ในภาพมายาหลอกหลอนจอมปลอมที่อาจทำให้เธอจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายก็เป็นได้ "เธอเริ่มแสดงสัญญาณบางอย่างและเห็นชัดเจนว่าเธอกำลังต่อสู้กับเรื่องสะเทือนใจต่างๆ บริทนีย์ไม่ฟังใครเลย แม่ไม่ได้อยู่ในสายตาเธอเลย ลูกๆก็จากเธอไปหมด และทุกๆคนรอบตัวเธอก็เป็นเพียงภาพมายาในโลกของเธอเท่านั้น"

ทางเดินและจุดจบของนักร้องสาวจะเป็นอย่างไรคงมิอาจรู้ได้ หวังเพียงให้เธอรักษาตนเองเพื่อหลุดพ้นจากภาพมายาหลอกหลอนและกลับไปเป็นบริทนีย์คนเดิมในอดีตเช่นเดิมได้ก็พอ

**************

อันดับที่ 2 เมื่อ "ปาริส " ติดคุก

ปีที่ผ่านมาข่าวบันเทิงระดับบุคคลที่สร้างผลกระทบไปยังกระบวนการยุติธรรม และสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกได้แก่คดีฝ่าฝืนทัณฑ์บนเมาแล้วขับ พร้อมทั้งการขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ของไฮโซสาวคนดัง ปาริส ฮิลตัน ที่ส่งผลให้เธอถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลาถึง 45 วันโดยไม่รอลงอาญาในวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา แม้จะพยายามวิ่งหารายชื่อของแฟนๆ ของเธอเพื่อขอคำสั่งคัดค้านจากผู้ว่าการรัฐคนเหล็กอย่างไรก็ไม่เป็นผล

การติดคุกสำหรับคนอย่างเธอดูจะเป็นเรื่องใหญ่ประจำปีของวงการบันเทิงอยู่แล้ว แต่เรื่องราวก็มาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อทาง ลี บากา นายอำเภอผู้ดูแลเคาตีลอส แองเจลิส ได้มีคำสั่งให้ปล่อยเธอออกจากคุกหลังจากเธอใช้เวลาอยู่ในนั้นได้เพียง 5 วันเท่านั้น (นอนในคุก 3 คืน) โดยให้เหตุผลว่าเธอกำลังมีปัญหาทางด้านจิตใจอย่างรุนแรง โดยมีคำสั่งให้กักบริเวณเธอเอาไว้ในบ้าน พร้อมด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์เพื่อติดตามเธอเป็นเวลา 40 วันเป็นอันเสร็จสิ้นบทลงโทษ

แต่ผู้ที่ไม่ขำไปกับการตัดสินครั้งนี้ด้วยได้แก่ ไมเคิล ที. ซอเออร์ ผู้พิพากษาของคดีดังกล่าว ที่ออกอาการฉุนจัดที่ถูกก้าวก่ายหน้าที่ พร้อมออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปเชิญตัวปาริส(ที่กลับไปนอนที่เตียงอุ่นๆ ในบ้านได้คืนเดียว) กลับมารายงานตัวที่ศาลในเช้าวันถัดมา พร้อมรับการคำพิพากษาในการกลับไปใช้ชีวิตในคุกอีกเป็นเวลา 23 วัน

หลังจากไม่สามารถใช้ความโด่งดังของตัวเองรอดพ้นกระบวนการยุติธรรมไปได้ คำถามที่สำคัญกว่าที่ตามมาก็คือ คุกจะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเธอไปได้แค่ไหน

ซึ่งเหตุการณ์ที่มาตอบแทนคำถามดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานเมื่อครั้งที่เธอไปเปิดใจกับรายการทอร์คโชว์ของ แลร์รี คิง เมื่อเธอยืนยันความบริสุทธิ์ว่าไม่เคยแตะต้องยาเสพติดซักครั้ง จนสื่อมวลชนทนไม่ไหว เอาคลิปที่เธอสูบกัญชาในร้านอาหารมาโชว์ทางเน็ต ส่วนเรื่องโม้ว่าเธอใช้ทางธรรมเข้าช่วยก็ไม่ต้องใช้สื่อที่ไหนคอยช่วย เพราะตัวแลร์รี คิงออกมาบอกหลังรายการเลยว่าหน้าอย่างเธอไม่มีวันมานั่งอ่านไบเบิลให้เสียเวลาแน่ๆ

สิ่งที่เธอเคยตั้งปฎิญาณเอาไว้ก่อนออกจากคุกก็คือจะทำงานเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกยาก และดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นเมื่อเธอตั้งเป้าเอาไว้ว่าภายในปี 2007 ที่ผ่านมาเธอจะไปเยือนผู้ทุกข์ยากชาวรวันดาในแอฟริกาให้จงได้ แต่สุดท้ายที่เธอไปก็คือการทัวร์โปรโมทตัวเองอย่างสนุกสนานในเอเชีย

แม้จะทำดีอยู่บ้างในการใช้เรือนร่างเป็นประโยชน์ในการเปลื้องผ้าเป็นแบบนู๊ดเพื่อหาเงินกองทุน Rich Water Foundation แถมออกสินค้าไอเดียเก๋เป็นแชมเปญในกระป๋องยี่ห้อ Rich Prosecco

แต่ไม่ว่าข่าวใหญ่ที่สุดที่เธอทำเอาไว้เมื่อปีที่ผ่านมาสำหรับเราจะเป็นเรื่องอะไร แต่ข่าวใหญ่ที่สุดสำหรับเธอเองคงหนีไม่พ้นการถูกตัดจากกองมรดกที่เธอดูเหมือนจะนอนมาแต่แรก จนกระทั้งช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมาที่คุณปู่ บารอน ฮิลตัน ตัดสินใจยกทรัพย์สิน 97% ของเขาเข้ามูลนิธิของทวดตระกูลทั้งหมด ซึ่งเป็นมูลค่าถึง 2.3 พันล้านเหรียญทีเดียว

งานนี้ดูเหมือนว่าเธอจะได้โตด้วยลำแข้งเล็กๆ เรียวๆ ของเธออย่างสมใจ ปีนี้นอกจากเราจะได้ลุ้นกับงานเพลงของเธอว่าจะออกมาสร้างสีสันอีกหรือเปล่า แต่ที่ต้องลุ้นยาวๆ ได้แก่ ผลงานหนัง 2 เรื่องของเธอในปีนี้ทั้ง The Hottie and the Nottie หนังตลกวัยรุ่นที่เธอถ่ายไว้ก่อนเข้าคุก และหนังมิวสิคัล ร็อกที่แสนภูมิใจ Repo! the Genetic Opera ที่เธอถ่ายหลังออกจากคุก ซึ่งเรื่องนี้ได้ป๋าโยชิกิแห่ง X Japan ทุ่มทุนทั้งโปรดิวซ์หนังและซาวด์แทร็กไปพร้อมๆ กัน

ขณะที่การติดคุกของเธอเป็นเรื่องใหญ่โตในช่วงกลางปีที่ผ่านมา จนแม้แต่สื่อบางค่ายยังเอือมจนถึงขนาดแบนการนำเสนอข่าวของเธอมาแล้ว แต่การติดคุกของเพื่อนสาวขาเที่ยวกลางคืนในคดีคล้ายๆ กันกลับกลายเป็นเรื่องตลกไปซะแทน เมื่อ ลินด์ซีย์ โลแฮน ติดคุกไปด้วยเวลา 84 นาที ขณะที่ นิโคล ริชี ทำเวลาได้ดีที่สุดที่ 82 นาทีด้วยกัน

**************

อันดับที่ 1 อวสาน "แฮร์รี่ พอตเตอร์" อวสาน "เจ. เค. โรว์ลิง"?

แม้เขาจะเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมา แต่คงไม่มีใครอีกแล้วที่ผู้คนจะอยากรู้ถึงความเป็นความตายของเขามากไปกว่านี้ จนคำพูดว่า "แล้วเขาตายหรือเปล่า?" กลายเป็นประโยคสำคัญที่เราได้ยินบ่อยที่สุดเมื่อเราเอ่ยถึงมัน สิ่งเดียวที่หยุดมันได้คือการออกจำหน่ายของ Harry Potter and the Deathly Hallows เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นจุดจบของเรื่องราวที่สร้างสีสันไม่เพียงแต่โลกวรรณกรรมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่มันได้เข้าไปอยู่ในกระแสวัฒนธรรมของโลกนับตั้งแต่มันออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 1997 ถ้า The Beatles เป็นตัวแทนของความคลั่งไคล้อย่างรุนแรงในยุค 60 สิ่งที่พ่อมดน้อยรายนี้ร่ายมนต์เอาไว้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาในทุกๆ วงการที่เขาเหยีอบย่างก็ไม่ต่างกันเลย

การออกจำหน่ายของเล่มเจ็ดเล่มจบนี้ยังเป็นการยุติเหล่าสปอยเลอร์ที่ทำนายถึงตอนจบของเรื่องราวนี้ไปต่างๆ นานา ที่ออกโหมกระหน่ำไม่เว้นแต่ละวัน (ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงเป็นจังอะไรไม่ได้เลย) ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากความคลั่งไคล้และใคร่รู้ของเหล่าสาวกที่หนังสือปูทางเอาไว้ ซึ่งเห็นผลทันตาเมื่อตัวหนังสือออกจำหน่ายจริง เมื่อมันทำลายสถิติหนังสือที่ทำยอดขายได้เร็วที่สุด (ของตัวมันเองในเล่มก่อน) ถึง 11 ล้านเล่มของฉบับภาษาอังกฤษในช่วง 24 ชั่วโมงแรกของการแกะกล่อง หลังจากยอดจองทางอินเตอร์เน็ตก็ทำลายสถิติกระจุยกระจายไปก่อนเช่นกัน

อานิสงค์ความร้อนแรงของตัวหนังสือยังส่งไปถึงตัวหนังอย่าง Harry Potter and the Order of the Phoenix ที่ออกมาไล่เลี่ยกันเมื่อเดือน 7 ที่ผ่านมา ที่สามารถเก็บเงินจากกระแสแฮร์รี่ฟีเวอร์ไปได้ท้ายที่สุดถึง 938.5 ล้านเหรียญ จนกลายเป็นหนังที่ทำรายได้ดีที่สุดอันดับ 2 ของปี 2007 และที่ 6 ของโลกอย่างสวยงามเช่นกัน

ซึ่งผู้ที่เป็นจุดสนใจสูงสุดของกระแสความนิยมดังกล่าวก็คือตัวผู้ประพันธ์สาววัย 42 อย่าง เจ. เค. โรว์ลิง ที่หลังจากปล่อยให้แฟนหนังสือ(ฉบับภาษาอังกฤษ)ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือของเธอจนจบเล่มตลอดสัปดาห์หลังจากการอ่านหนังสือ เธอก็ได้ลงมือสปอยล์ตอนจบอื่นๆ ที่เธอไม่ได้ระบุเอาไว้ในหนังสือ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เหล่าสาวกกระหายที่จะรู้อีกเช่นเคย

แต่หลังจากกระแสของหนังสือค่อยๆ จางหายไปเมื่อเข้าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี (และเป็นช่วงที่ฉบับแปลภาษาอื่นๆ กำลังทยอยออกจำหน่าย) เธอก็ออกมาสปอยล์ข้อมูลที่อาจไม่สำคัญที่สุด แต่อื้อฉาวที่สุดอย่างการออกมาระบุว่า อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ครูใหญ่ของโรงเรียนเวทมนต์ฮอกวอตส์เป็นพ่อมดเกย์ ที่ทำให้ผลงานของเธอกลับมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง

ปิดท้ายด้วยการออกหนังสือ The Tales of Beedle the Bard นิทานชุดที่ถูกกล่าวถึงในเล่มจบของเธอ ที่ทำออกมาเพื่อแจกกับบุคคลที่ผูกพันกับงานเขียนเรื่องนี้ 6 ราย และอีก 1 เล่มสำหรับการประมูลเพื่อการกุศล และเชื่อแน่ว่าถ้ามันออกมาจำหน่ายก็คงสร้างสถิติอะไรซักอย่างได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

จึงไม่แปลกเลยที่ทาง Entertainment Weekly เลือกเธอให้เป็น Entertainer of the Year เพราะนอกจากผลงานของเธอจะสร้างความตื่นเต้นได้กับแฟนๆ แล้ว การออกมาเคลื่อนไหวแต่ละอย่างของเธอก็เป็นที่จับตาของทุกคนเช่นกัน และไม่ว่าอะไรที่เธอจะสร้างสรรค์ออกมาหลังจากนี้คงรับประกันความฮือฮาได้อย่างไม่ต้องสงสัย

**************

10 ข่าวเด่นบันเทิงเทศ 2007 (1)
10 ข่าวเด่นบันเทิงเทศ 2006
กำลังโหลดความคิดเห็น