เมื่อช่วงปีที่ผ่านมาการทะเลาะเบาะแว้ง ขึ้นโรง-ขึ้นศาล ของวงการบันเทิงก็นับว่ามีหลายคู่ทีเดียวที่จบลงด้วยกระบวนการศาลตัดสินก็มีหลายคดี บางรายจบลงด้วยการไกล่เกลี่ยแค่แลกหมัดเบาๆแล้วจบเรื่องราวลงได้ แต่บางรายก็เคลียร์ไกล่เกลี่ยกันไม่ลงตัวต้องใช้ศาลเป็นที่พึ่งก็ไม่น้อย
ฮิตที่สุดในปีนี้คงหนีไม่พ้นกรณีความขัดแย้งในเรื่องของครอบครัว แย่งชิงลูก เริ่มกันที่คดีของ "แด๊ก บิ๊กแอส" หรือ "นายเอกรัตน์ วงศ์ฉลาด" กับน้อง "ฝ้าย ฟารีดา" ซึ่งแม้จะมีการตรวจดีเอ็นเอกันเรียบร้อยแล้วว่า "น้องจัสติน" ไม่ใช่ลูกของ "แด๊ก บิ๊กแอส" อย่างแน่นอนแล้ว แต่คดีพรากผู้เยาว์ ยังคงติดตัวนักร้องชื่อดังอยู่โดยมีการตัดสินไปเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2550...
...ให้นักร้องร็อกชื่อดังได้รับโทษ จำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่น แต่ศาลปรานีให้ลดโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี พร้อมกำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องแต่งเพลงสอนเยาวชนเลี่ยงยาเสพติด-อบายมุข จำนวน 2 เพลงบรรจุในอัลบั้ม ปี 2550 นี้ และให้ร่วมกิจกรรมต้านยาเสพติด อีกทั้งสั่งรายงานตัวคุมประพฤติ อีกเป็นเวลา 2 ปี
อีกคู่รักที่เคยหวาน แต่พอหลังเลิกราก็เริ่มคุกรุ่นกันมาเป็นระยะ ศึกชิงลูกของว่าที่ภรรยานางงามกับนักร้องร็อกชื่อดังอีกคู่ นั่นคือ "เป้ ไฮร็อก" หรือ “สุรัช ทับวัง" กับ "ษา วรรณษา ทองวิเศษ" หลังจากเลิกรากันไปนั้น ทางฝ่ายหญิงได้เป็นฝ่ายดูแลน้อง “เซเดย์” ลูกชาย
แต่มีข่าวออกมาเป็นระลอกๆ ว่าสาวษาไม่ยอมให้หนุ่มเป้ได้พบลูก จนเมื่อใกล้วันเกิดของสาวษาหนุ่มเป้จึงตามไปที่งานโชว์ตัวงานหนึ่งและพยายามเข้าไปนั่งในรถของษา โดยอ้างว่าจะเอาของขวัญวันเกิดไปให้ และในที่สุดอดีตภรรยาแจ้งจับและขอไม่ให้มายุ่งเกี่ยวอีก เรียกว่าบาดหมางใจจนถึงขั้นต้องแยกกันแถลงข่าว แย่งลูกกันทีเดียว
เป็นเหตุให้หนุ่มเป้เข้าร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัว ขอจดทะเบียนรับรองบุตร แต่สุดท้ายก็ไกล่เกลี่ยกันได้ โดยศาลอนุญาตให้ร็อกชื่อดังจดทะเบียนรับรองบุตรได้ และฝ่ายหญิงก็อนุญาตให้เป้ได้เจอลูกครั้งแรกในวันเด็กที่จะถึงนี้ ส่วนเรื่องค่าเลี้ยงดูนั้นหนุ่มเป้จะให้ค่าเลี้ยงดูเดือนละ 5 พันบาท
ส่วนคู่ของ "บิลลี่ โอแกน" กับอดีตภรรยา "แอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์" ที่อดีตภรรยาออกมาเพิกถอนสิทธิ์การคุ้มครองบุตร เนื่องจากไม่สะดวกในการเรียกตัวเซ็นเอกสารซึ่งผลของการเจรจาไกล่เกลี่ยนั้นไม่ถึงขั้นเรื้อรัง ไกล่เกลี่ยนานกว่า 3 ชั่วโมง โดยได้ข้อสรุปว่าฝ่าย "แอน สิเรียม" สามารถเซ็นเอกสารแทนได้ตามลำพังในบางกรณี
โดยที่เงินค่าเลี้ยงดูนั้นทั้งคู่ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว แต่ก็สามารถเคลียร์ปัญหาทุกอย่างจบลงได้
ส่วนอีกคดีหนึ่งแม้จะไม่ใช่การแย่งลูกชิงรักหักสวาทกันชัดเจนนัก แต่ก็เป็นที่น่าสนใจของวงการนางแบบและอยู่ในความสนใจของคนในแวดวงบันเทิงไม่น้อยนั่นคือกรณีของนางแบบสาวรุ่นใหญ่ "คาร่า พลสิทธิ์" ที่ตกเป็นจำเลยถูกเรียกค่าเสียหาย 20 ล้าน คดีอดีตภรรยาเสี่ยเจ้าของบ้าน จัดสรรฟ้องร้องฐานเป็นชู้ กับนายสุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ อายุ 45 ปี อดีตสามีของนางจันทร์วิภา เจ้าของโครงการ ดิเอ็มเพอเรอร์ เฮ้าส์ เมื่อระหว่างปี พ.ศ. 2547-48
แต่ศาลระบุเพราะพยานหลักฐานโจทก์ที่ยื่นมีเพียงฝ่ายเดียว จำเลยไม่ได้แสดงออกหรือมีพฤติกรรมโดยเปิดเผยจึงฟังไม่ได้ว่าเป็นเรื่องชู้สาว ศาลจึงยกฟ้องคดีไปในที่สุดหลังจากที่คดียืดเยื้อมานาน
สิ้นสุดจากคดีครอบครัวก็เลยมาถึงคดีความขัดแย้ง ที่คนสนใจทั้งประเทศเรียกว่าฟาดปากกันจนงอมก่อนจะเคียลร์ปัญหากันลงตัว คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของพระเอกและนักร้องมาดเซอร์ "เต๋า สมชาย เข็มกลัด" หลังมีปัญหาทะเลาะเบาะตะลุมบอนหมู่กลางสี่แยกไฟแดงจังหวัดเชียงใหม่ กับนาย "เฉลิมชัย แสงสุวรรณ" และพี่สาว
โดยตามรายงานข่าวนั้นหนุ่มเต๋าโดน โดนมีดแทงหลายเข็ม และอ้างว่าคู่กรณีมีทั้งปืนและมีด ตนก็จำต้องป้องกันตนเองให้ถึงที่สุด ส่วนฝ่ายคู่กรณีแจ้งความจับฐานรุมทำร้ายร่างกาย ฝ่ายเต๋าพออีกฝ่ายแจ้งความจับตน ตนเลยแจ้งข้อหาพยายามฆ่ากลับทันที
แต่ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ตกลงปลงใจกันได้ เพราะมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมทั้งบุคคลที่รู้จักกันดีในเมืองเชียงใหม่ เข้าเคลียร์ปัญหา ทั้งคู่จึงจบคดีกันได้ในที่สุด ปิดรอยร้าวได้ท่ามกลางความงุนงงสงสัยว่าเหตุใดเหตุการณ์ถึงจบลงอย่างง่ายดาย ส่วนพระเอก "เต๋า สมชาย" ให้เหตุผลตอนท้ายว่าที่ไม่เอาความเพราะคู่กรณียังอายุน้อย อยากให้มีอนาคตที่ดีกว่านี้
ส่วนบู๊ฝ่ายหญิงคงหนีไม่พ้นเรื่องราวของนางแบบสาว "โย ยศวดี หัสดีวิจิตร" และพี่สาว "เอ อัญชลี" กับลูกสาวร้านขายทองฮั่วเซ่งเฮง "โ ม นภัสนันท์" ที่เกิดการทะเลาะวิวาท ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ตำรวจนายหนึ่งดักจับนักการเมืองชื่อดัง "เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม" สามีของ “ตู่ นันทิดา” ร่วมอยู่ด้วยจนเป็นข่าวครึกโครม
สองสาวนางแบบคู่พี่น้องต้องออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนครั้งใหญ่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่วนในทางคดีนั้นฝ่ายคู่กรณีเข้าแจ้งความกับทางตำรวจแล้วทางนางแบบสาวก็แจ้งความกลับเช่นเดียวกัน สุดท้ายโดนปรับไปคนละ 1 พันบาท ก่อนจะยอมจบเรื่องราวอย่างง่ายดายโดยโยอ้างว่าเอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่าไม่ติดใจเอาความ โดยบอกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากการเข้าใจผิดกันเท่านั้น
ส่วนคดีเกี่ยวกับรถยนต์นั้นเรื่องของเมาแล้วขับที่ไม่เป็นข่าวมากนักคงต้องยกให้กับ หนุ่ม "กัปตัน ภูธเนศ หงส์มานพ" ที่ข่าวเงียบมาตลอด ก่อนจะมาแตกโพละเอาตอนตัดสินคดีเมาแล้วขับเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในวันเกิดเหตุนั้นพระเอกกัปตันอยู่ในอาการเมา และมีแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงมีโทษปรับจำคุก 3 เดือน ปรับ 6 พันบาท
แต่เนื่องจากรับสารภาพ จึงลดโทษให้1 ใน 3 ของโทษทั้งหมด จึงมีโทษจำคุกเพียง 2 เดือน ปรับ 4 พันบาทพร้อมด้วยบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม และควบคุมความประพฤติอีกด้วย ส่วนโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ก่อน
มาถึงพระเอกอีกหนึ่งหนุ่ม "ศรราม เทพพิทักษ์" ที่ไม่ได้เมาแล้วขับ แต่อดนอนแล้วพลาดขับรถชนคนเก็บขยะเสียชีวิตคาที่ ซึ่งก็เป็นข่าวที่เรียกว่าอยู่ในความสนใจของคนไทยทั้งประเทศ ตลอดระยะเวลาของการนอนโรงพยาบาล ทันทีที่ทราบว่าคู่กรณีเสียชีวิต หนุ่ม ศรราม ขอออกมางานศพของนาง "เพลินพิศ ตะโกมา" เหยื่อที่ตนขับรถชนเสียชีวิตทุกคืน จนกระทั่งขึ้นศาล หนุ่มรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ศาลตัดสินให้มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท
แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา และชดเชยค่าเสียหายแกครอบครัวผู้เสียชีวิตกว่า5 แสนบาท จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 1 หมื่นบาท ส่วนโทษจำคุกรอลงอาญา 2 ปี และต้องบำเพ็ญประโยชน์อีก 48 ชั่วโมง และรายงานตัวกับกรมคุมความประพฤติ 4 ครั้ง ต่อ 1 ปี นับว่าเป็นคดีที่รุนแรงที่สุดของพระเอกหนุ่ม ศรราม ทีเดียวนับแต่เข้าวงการบันเทิง
ส่วนคู่กรณีที่ขึ้นศาลกันเพราะ "แรง" ทั้งคู่ ศึกน้ำลายของของผู้กำกับฝีปากจัด อย่าง "พจน์ อานนท์" และ นาเอกสาวทรงโตปากไว "ตั๊ก บงกช คงมาลัย" ที่เจอข้อหาหมิ่นประมาท พจน์ อานนท์ ในทำนองว่าผู้กำกับชื่อดังไม่มีความสามารถในการทำภาพยนตร์ ขยันแต่สร้างข่าวฉาวให้ดาราเพื่อโปรโมตหนัง ซึ่งแรกทีเดียวพจน์เรียกค่าเสียหายถึง 5 ล้านบาท
ในชั้นศาลนั้นศาลพิพากษาให้สาวตั๊กผิดจริงในฐานหมิ่นประมาท แต่ตัวเลข 5 ล้านสูงเกินจริง ศาลจึงเห็นสมควรให้จ่ายเพียง 5 หมื่นบาท ซึ่งอีกฝ่ายตั้งใจจะนำเงินที่ได้จาการชนะคดีไปบริจาคให้กับเด็กพิการซับซ้อน สำหรับคู่นี้เรื่องราวคงไม่จบง่ายๆ เพราต่างฝ่ายต่างออกมาให้สัมภาษณ์กันรุนแรงบ่อยครั้ง แต่ฝ่ายพจน์ อานนท์ยืนยันว่าตนไม่อุทธรณ์แต่ขอแค่อีกฝ่ายรีบนำเงินมาจ่ายให้โดยเร็วและเลิกให้สัมภาษณ์พาดพิงตนเท่านั้น
อีกคดียอดฮิตก็ต้องยกให้ "ดาราฟ้องสื่อ" ปีนี้ก็มีให้เห็นอีกหลายคดีเช่นเดียวกัน อย่างคดีหนังสือพืมพ์บันเทิง "ดาราเดลี่" นำทีมโดย "ต้อย แอ๊คเน่อร์" โดนครูเพลง ชื่อดัง "สลา คุณวุฒิ" ฟ้องทั้งแพ่งและอาญากรณีลงข่าวพาดพิงในทางเสียหายทั้งตนและน้องร้องสาว "ต่าย อรทัย ดาบคำ" มีพฤติกรรมในเชิงชู้สาวกัน
โดยครูสลาเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท อีกทั้งฟ้องหมิ่นประมาทในคดีอาญา ซึ่งศาลตัดสินแล้วว่าทางด้านดาราเดลี่ผิดจริงให้มีโทษจำคุกบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา 1 ปี ปรับอีก 1 แสนบาทแต่จำเลยยังไม่เคยทำผิดมาก่อน โทษจำคุกจึงรอลงอาญา 2 ปี และนสพ.ดาราเดลี่ต้องลงขอโทษครูสลาและต่าย อรทัยในหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับเป็นเวลา 7 วัน ส่วน "ต้อย แอ๊คเน่อร์" ศาลยกฟ้องไปตั้งแต่ในการไต่สวนเบื้องต้นแล้ว
อีกคดีของหนังสือพิมพ์ดาราเดลี่นั้นคือคดีที่ "กบ สุวนันท์ คงยิ่ง" นางเอกเบอร์หนึ่งฟ้องหมิ่นประมาท กรณีโดนพาดพิงเรื่องซื้อใบผู้ประกาศและเป็นพิธีกรเก๊ ซึ่งศาลนัดไกล่เกลี่ยหลายครั้งซึ่งทางนางเอกสาวก็มาศาลทุกครั้ง แต่ฝ่ายคู่กรณีก็หลีกเลี่ยงแทบจะทุกครั้ง ไกล่เกลี่ยไม่เป็นผลสำเร็จ ล่าสุดศาลรับฟ้องแล้ว
ก่อนหน้านี้ต้อย แอ๊คเน่อร์ ผู้บริหารใหญ่ของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว แจ้งความจับดาราสาวด้วย แต่มีการถอนแจ้งความหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามคดีของนางเอกชื่อดังกับหนังสือพิมพ์เล่มดังกล่าวยังหาข้อยุติไม่ได้ และยังอยู่ในขั้นตอนของการสืบพยานของทั้งสองฝ่ายต่อไป
และล่าสุดดูเหมือนจะเป็นศึกของสื่อส่งท้ายปีเลยก็ว่าได้สำหรับมวยถูกคู่ระหว่างผู้จัดชื่อดังของช่อง 3 อย่าง "ไก่ วรายุฑ มิลินทจินดา" เตรียมฟ้องหนังสือพิมพ์มายาแชนแนล ที่เขียนพาดพิงผู้จัดชื่อดังทำให้ครอบครัวของ "นก ฉัตรชัย" และ "นก สินจัย" บ้านแตก แล้วฝ่ายพระเอกดังขนข้าวขนของมากินอยู่กับผู้จัดละครชื่อดัง
ทำเอาเจ้าตัวถึงกับหลั่งน้ำตาขึ้นหาถึงโรงพิมพ์ ขอให้แก้ข่าวและลงขอโทษ แต่จนแล้วจนรอด ก็คุยกันไม่ลงตัว ไม่มีการขอโทษลงในข่าว ฝ่ายผู้จัดคนดังจึงเตรียมทนายมาแถลงข่าวฟ้องร้องทั้งคดีอาญาและทางแพ่งเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาทเลยทีเดียว