เพรงลับแล ตอนที่22 | แท็คทีมร้าย
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
เนตรมายากับเชื่อมเดินหงุดหงิดงุ่นง่าน กลับขึ้นมาบนสำนัก เชื่อมนั้นฮึดฮัดไม่พอใจทรงกลดมาก บ่นบ้าออกมา
“คุณทรงกลดนี่ก็อะไรไม่รู้ ผีเข้าผีออก เจ้าแม่ทำงานให้แท้ๆ แต่กลับไม่เห็นความดี”
เนตรมายาเองก็เจ็บใจไม่หาย “คอยดูสิ สักวันเขาต้องเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือจากฉัน”
น้ำเสียงขุ่นเขียวของทรงกลดดังแทรกเข้ามา “ผมว่าผมคุยกับคุณชัดเจนแล้วนะ ว่าไม่ให้ไปยุ่งกับคุณปราง”
เนตรมายากับเชื่อมหันไปมอง ชักสีหน้าใส่ ทรงกลดเดินปึงปังเข้ามาหา ท่าทางไม่พอใจมาก
“ทำไมคุณถึงยังคอยหาเรื่องเขาอีก”
“คุณเป็นคนบอกให้ฉันสนใจเรื่องงานไม่ใช่เหรอ นี่ไงฉันก็กำลังจะจับผีแม่ม่ายให้ทุกคนได้เห็นไง”
“ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าคุณปรางไม่ใช่ผี”
“คุณจะไปรู้อะไร ของอย่างนี้มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น คุณเองก็ควรจะโฟกัสเรื่องงานนะคะ ไม่ใช่ไปหลงมนต์เสน่ห์มันเข้าอีกคน”
ทรงกลดยิ้มเยาะแม่หมอ “ผมไม่ได้มองแค่เรื่องส่วนตัวอย่างคุณนะ ผมมองไปถึง…”
“ถึงอะไรคะ ถ้ามองไปถึงการณ์ไกล คุณคงมองนังนั่นผิดไปแล้วล่ะคุณทรงกลด”
“ผมเป็นนักธุรกิจ คงไม่มองอะไรตื้นๆอย่างคุณหรอก”
เนตรมายาแดกดันอย่างไม่พอใจ “งั้นก็คงมองลึกเกินไปสินะ ถึงได้ไม่รู้ว่านังนั่นมันเป็นผีแม่ม่าย”
“นี่คุณ”
เสียงโทรศัพท์มือถือของทรงกลดดังขึ้น เขามองหน้าเนตรมายาอย่างเบื่อหน่าย ควักมองมือถือมาดูชื่ออย่างหงุดหงิด ก่อนตัดสินใจเดินออกไป
เชื่อมสู่รู้เต็มที่ “ทำไมคุณทรงกลดถึงรีบออกไป หรือว่าจะมีเรื่องอะไร”
“นั่นสิ”
เนตรมายากับเชื่อมมองหน้ากันอย่างสงสัย
ทรงกลดเดินคุยสายกับทนายไพศาลออกมาท่าทางหงุดหงิดเอาการ
“นี่นังครูนั่นมันจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ ใช่ไหมเนี่ย อะไรนะ...มันถึงขนาดตั้งทนายมาสู้เลยเหรอคุณไพศาล” สีหน้าทรงกลดเต็มไปด้วยความโกรธสุดจะประมาณ “แล้วทนายมันเป็นใครมาจากไหน ได้ๆ เดี๋ยวผมลองไปคุยกับครูนั่นดูก่อน เผื่อจะตกลงกันได้”
ทรงกลดวางสายอย่างหัวเสีย เห็นขจรกับศรชัยยืนรออยู่ ขจรถามขึ้น
“นังครูนั่นอีกแล้วเหรอครับนาย”
“จะให้พวกผมจัดการมันเลยไหมครับ” ศรชัยว่า
“ยังก่อน เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ทรงกลดครุ่นคิด กัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย
มีลูกค้า 2-3 ราย เลือกซื้อของ อยู่ในร้านโซนขายของใช้ บ้านศักดิ์และตาล
สองครูสาวนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะมุมห่างออกมา ด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ตอนนี้ฉันให้ทนายปีใหม่เตรียมเอกสารไปยื่นเรื่องแล้ว”
“งานนี้นายทรงกลดไม่รอดแน่ ถ้าสู้กันจริงๆ พี่ขวัญน่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ”
นิรชาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตอนนี้เราต้องหาหลักฐานมาให้มากที่สุด นายนั่นจะได้ดิ้นไม่หลุด”
“แต่มันก็จะยากตรงที่ชาวบ้านไม่กล้าเอาเรื่องนี่แหละ เราจะทำยังไง”
“เราต้องทำคดีพี่ขวัญให้เป็นคดีตัวอย่าง ชาวบ้านถึงจะเชื่อใจพวกเรา” เนียร์บอก
“แต่แกก็ต้องระวังตัวนะเนียร์ เพราะเท่าที่ได้ยินมานายทรงกลดไม่ธรรมดา”
“เรางัดด้วยหลักฐาน ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
“ใช่เรางัดด้วยหลักฐาน แต่นายนั่นงัดกันด้วยเงินนะแก” คิตตี้ท้วง
นิรชาบอกด้วยแววตามุ่งมั่นมาดหมาย “ไม่เป็นไร ฉันก้าวเข้ามาแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุดสิ”
“แกว่าไงฉันว่างั้น คุยเรื่องเครียดๆแล้วหิวชะมัด กินข้าวกันก่อน จะได้มีแรงคิดแผนกัน”
“วนกลับมามีเรื่องของกินตลอดอ่ะแก”
กฤตณียิ้มแต้ นิรชาขำๆ
ปรางทิพย์กับบัวคำ พากันเดินมาหยุดตรงบันไดทางขึ้นบ้านพักช่าง จนมีเสียงรถแล่นเข้ามา ทั้งคู่หันไปมอง เห็นทศนนท์ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน รีบลงจากรถมาหา ด้วยท่าทางเป็นห่วงสองสาว
“คุณปรางเป็นยังไงบ้างครับ แล้วบัวคำล่ะเป็นไงบ้าง”
“ฉันหายแล้วค่ะ”
“ฉันก็ดีขึ้นแล้วค่ะ”
พีรพรมองฉงนเพราะสองคนไม่มีท่าทีของคนเจ็บป่วยเลย
“คุณปรางก็ป่วยเหรอครับ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนป่วยเลย ยิ่งดูยิ่งสวย”
ทศนนท์เอ็ดในที “แกบอกจะไปไซต์งานไม่ใช่เหรอ งั้นก็เอารถพี่ไปเลย เพราะพี่คงยังไม่ไปไหนหรอก”
ทศนนท์ยื่นกุญแจให้เป็นการตัดบท เพราะอยากคุยกับปรางทิพย์ได้สะดวกๆ
“งั้นผมขอตัวนะครับ ตามสบายนะพี่ ผมไม่เป็นกอขอคอแล้ว”
พีรพรยิ้มหยอกๆ เดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย
“ผมว่าเราเข้าไปคุยกันในบ้านจะดีกว่านะครับ”
“ค่ะ ฉันจะได้ช่วยดูแผลให้คุณด้วย”
ทศนนท์เดินนำสองสาวขึ้นบ้านไป
ทั้งสามเดินเข้ามานั่งในห้องรับแขก ทศนนท์มีสีหน้าเป็นห่วงปรางทิพย์เอามากๆ
“ผมเป็นห่วงคุณมากเลยนะครับ ว่าจะเข้าไปหาอยู่พอดี” พูดๆ ไปทศนนท์ก็มีสีหน้าประหลาดใจ “ว่าแต่ทำไมคุณปรางดูไม่เห็นเป็นอะไรเลย ทั้งๆที่วันนั้นคุณก็เจ็บหนักอยู่ไม่น้อย”
ปรางทิพย์ยิ้มบางๆ “ฉันกลับไปรักษาตัวมาค่ะ”
“ครับ คุณเป็นคนเอารถกลับมาจอดไว้ที่บ้านผมใช่ไหม”
“ค่ะฉันย้ายมาเอง”
บัวคำเทยาสมุนไพรลงแก้วทองคำเมืองลับแลที่เตรียมมาด้วย หยดน้ำอมฤตจากขวดเล็กๆ ลงไปในแก้วนั้น เมื่อทุกอย่างผสมกันก็เกิดไอน้ำลอยขึ้นเหมือนน้ำที่ใส่น้ำแข็งแห้ง ปรางทิพย์รับยามาจากบัวคำยื่นให้ทศนนท์
“ดื่มยานี้ก่อนเถอะค่ะ”
ทศนนท์รับยามานิ่งมองท่าทีลังเล
“ยาสมุนไพรของเมืองเรา จะช่วยให้คุณหายเร็วขึ้น”
ทศนนท์ดื่มยานั้น แล้วสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นตกใจมองร่างกายตัวเองงงงัน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
ปรางทิพย์มองหน้ากับบัวคำยิ้มรู้กัน
“นี่ยาอะไรเหรอครับ ทำไมพอดื่มเข้าไปรู้สึกเย็นๆ แล้วอยู่ๆ ผมก็รู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก”
“ยังค่ะ ยังมีอะไรให้คุณแปลกใจมากกว่านี้อีก”
ปรางทิพย์หันไปทางบัวคำ ฝ่ายนั้นยื่นขวดน้ำอมฤตมาให้
“ฉันขอดูแผลหน่อยค่ะ”
ทศนนท์ก้มหัวให้ดู “ผมดีขึ้นแล้วครับ ล้างแผลอีกไม่กี่ครั้งก็คงหายเป็นปกติ”
ปรางทิพย์แกะผ้าพันแผลออกแล้วเทน้ำอมฤตใส่ที่แผล พลันมีควันลอยขึ้นมาจากแผล แล้วอยู่ๆแผลก็หายไปกับตา
ทศนนท์รับรู้ สีหน้ายิ่งแปลกใจ “ทำไมผมหายเจ็บเป็นปลิดทิ้งเลย”
“เพราะคุณหายแล้วนี่คะ”
ทศนนท์อึ้งหนัก เอามือจับที่แผลแล้วยิ่งตกใจ
“เป็นไปได้ยังไงกันเนี่ย อยู่ๆ แผลผมก็หาย คุณทำได้ยังไงครับ”
ปรางทิพย์ยื่นขวดน้ำอมฤตให้ทศนนท์ “คุณเก็บยานี้ไว้ให้ดีนะคะ เวลาเกิดเหตุจำเป็นจริงๆค่อยเอามาใช้”
ทศนนท์รับมาแบบงงๆ “นี่ยาอะไรเหรอครับ”
“ยาสมุนไพรผสมกับน้ำอมฤตค่ะ ชาวเมืองเราจะปรุงยานี้ขึ้นแค่ปีละครั้งเท่านั้นในวันมหาปุรณมี และจะใช้ในยามจำเป็นเพื่อช่วยชีวิต แต่ยานี้ไม่สามารถชุบชีวิตใครได้ ถ้าเขาผู้นั้นถึงแก่อายุขัยแล้ว”
ทศนนท์มองขวดน้ำอมฤตในมืออย่างอึ้งๆ ไม่เชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ
“ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรกับคุณ ให้คุณดื่มน้ำนี่นะคะ ทุกอย่างจะกลับมาปกติ”
“ช่วงนี้พกติดตัวไว้ตลอดนะคะ” บัวคำกำชับกับทศนนท์
“แล้วพวกคุณไม่เก็บไว้เหรอครับ”
“รับไปเถอะค่ะ พวกเราเอาตัวรอดได้”
“แต่…”
บัวคำช่วยพูด “รับไปเถอะค่ะ คุณปรางเธอตั้งใจไว้แล้ว”
ทศนนท์ยิ้มรับ ปรางทิพย์มองหน้าบัวคำยิ้มโล่งใจทั้งคู่
กฤตณีกับนิรชาเอ็นจอยอีทติ้ง อยู่ที่ร้าน จนกระทั่งมือถือนิรชาดังขึ้น มีชื่อขวัญโทร.เข้ามา นิรชามองฉงนสงสัย วางช้อน แล้วรีบกดรับทันที
“ฮัลโหล พี่ขวัญใจเย็นๆก่อน ค่อยๆพูดค่ะ”
กฤตณีมองสนใจ
“นี่นายทรงกลดตามไปหาเรื่องพี่ใช่ไหมคะ พี่ถึงไม่อยากฟ้อง”
นิรชาหน้าเครียด เห็นลูกค้านั่งอยู่ใกล้ๆเลยเดินเลี่ยงออกไปคุยที่อื่น กฤตณีลุกตามไป
ทางด้านทศนนท์ถามเรื่องค้างคาใจเกี่ยวกับบุษบาลาวัณห์
“ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันครับ ทำไมอยู่ๆถึงได้เข้ามาทำร้ายผมกับคุณปรางอย่างกับมีเรื่องโกธรแค้นกันมานาน”
ปรางทิพย์เครียดจัดหนักใจมาก “บุษบาลาวัณย์เป็นคนเมืองลับแลเช่นเดียวกับฉัน”
“แล้วทำไมถึงต้องทำร้ายพวกเราล่ะครับ” ทศนนท์ยิ่งง
“เพราะนางโกรธแค้นที่พ่อกับพี่ชายของนางต้องมาสังเวยชีวิตเช่นเดียวกับผู้ชายทุกคนในเมืองลับแล”
ทศนนท์สงสัยหนัก “ทำไมผู้ชายในเมืองลับแลต้องถูกสังเวย เป็นเพราะผมในอดีตชาติหรือเปล่าครับ”
ปรางทิพย์เยื้อนยิ้มไม่ปฎิเสธ จับมือทศนนท์หมายจะพาไปดูเหตุการณ์ที่เมืองลับแล
ทศนนท์เริ่มหลับตาดั่งต้องมนต์สะกด แต่ฉับพลันนั้นเองมีเสียงประตูเปิดออกดังปัง ปรางทิพย์กับบัวคำหันมองแปลกใจ
เนตรมายาตวาดก้องมองด้วยสีหน้าเอาเรื่อง “หยุดนะแกจะทำอะไรคุณทศ”
นิรชาเดินออกมาคุยโทรศัพท์ห่างออกมาที่นอกร้าน
“พี่ขวัญพูดมาเถอะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
กฤตณีอยากรู้เรื่อง เลยหยิบโทรศัพท์มาเปิดลำโพงให้ตัวเองได้ยินด้วย
“นั่นสิ พูดมาเถอะ มีอะไรพวกเราจะได้หาทางแก้ใขได้ทัน”
เสียงขวัญร้องไห้ออกมาด้วยความกดดัน “ลูกฉันยังเล็กอยู่ ฉันไม่อยากมีเรื่องจ้ะ อีกอย่างสู้ไปก็ไม่รู้จะชนะหรือเปล่า ฉันไม่อยากเสี่ยง”
กฤตณีปลอบใจ “เรื่องแพ้ชนะ อย่าเพิ่งไปคิดเลยพี่ขวัญ คิดแค่ว่าเราไม่ได้ทำผิด ยังไงเราต้องสู้ให้ถึงที่สุด”
นิรชาช่วยปลอบ “ใช่ เราไม่ผิดทำไมต้องไปกลัวคนพวกนั้นด้วย”
“ถ้าพี่ขวัญยอมก็เท่ากับสิ่งที่พวกเราทำมันสูญเปล่า แล้วพวกคนเลวๆ ก็ลอยนวล”
“พี่ขวัญต้องเข้มแข็งนะ พวกเราจะสู้ไปด้วยกัน ขอแค่ตอนนี้พี่อย่าไปเซ็นเอกสารอะไรของพวกมันอีก” นิรชาว่า
“ใช่ๆ ห้ามเซ็นอะไรทั้งนั้นเลยนะพี่ขวัญ ไม่งั้นใครก็ช่วยอะไรพี่ไม่ได้”
“และพี่ก็ไม่ต้องกลัว ถ้าพวกมันมาขู่พี่อีกให้มาบอกฉัน ฉันจะพาพี่ไปแจ้งตำรวจเอง”
สองครูสาวไม่รู้ว่า มีใครบางคนแอบฟังอยู่ และถ่ายคลิปไปด้วย
ทางด้านเนตรมายาถลาเข้ามาผลักปรางทิพย์จนล้มแล้วดึงตัวทศนนท์ออกไป โดยที่ปรางทิพย์ยังไม่ทันตั้งตัว บัวคำเข้ามาช่วยพยุงปรางทิพย์ไว้ จะลุกตามเนตรมายาออกไป เชื่อมเข้าขวาง บัวคำกับปรางทิพย์ไม่อยากทำร้ายเชื่อม
“ถอยไป”
“ไม่ถอยโว้ย”
“ฉันไม่อยากทำร้ายป้าหรอกนะ”
เห็นปรางทิพย์เอาจริงเชื่อมก็ชักผวากลัว บัวคำจับเชื่อมออกให้พ้นทาง
ปรางทิพย์เข้าไปฉุดกระชากตัวทศนนท์ ขณะที่ทศนนท์สภาพงงๆ เพราะถูกสะกด
เนตรมายาปัดมือปรางทิพย์ออกแล้วดึงตัวทศนนท์ออกไปนอกประตู
เนตรมายาดึงแขนทศนนท์ให้ตามออกมา ทศนนท์เริ่มได้สติหยุดกึก
“คุณเนตรนี่คุณจะทำอะไร”
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยค่ะ ตอนนี้รีบออกไปจากที่นี่ก่อน นังผีนั่นมันกำลังจะเอาตัวคุณไป”
“คุณกำลังเข้าใจผิดนะคุณเนตร”
“ผิดที่ไหน เมื่อกี้คุณถูกมันสะกดจิตไปแล้ว ถ้าฉันมาช้าไปอีกหน่อยเดียวคุณไม่รอดแน่”
ปรางทิพย์ บัวคำ และเชื่อม วิ่งตามลงมา
ปรางทิพย์วิ่งเข้าไปคว้ามือทศนนท์อีกแค่นิดเดียวก็จับมือได้แล้ว แต่เชื่อมวิ่งเข้ามากอดรวบตัวปรางทิพย์ไว้จากด้านหลัง
“เจ้าแม่ ป้าจับมันไว้แล้ว รีบกำจัดมันเลย คุณทศจะได้รู้ว่ามันเป็นผี”
เนตรมายาถอดสร้อยศักดิ์สิทธิ์ออกมาเป่าแล้วโยนใส่ร่างปรางทิพย์ ทศนนท์ตกใจจะวิ่งเข้าไปขวาง
บัวคำวิ่งเข้าไปแกะมือเชื่อมออกจากปรางทิพย์แล้วผลักเชื่อมล้มลงที่พื้น บัวคำเลยรับสร้อยแทนปรางทิพย์ถูกพลังหินศักดิ์สิทธิ์กระแทกเข้าที่กลางหลังจังๆ
ระหว่างนี้บุษบาลาวัณย์ในชุดสาวเมืองลับแลค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น ยืนพรางตัวมองเหตุการณ์อยู่ ยิ้มร้ายออกมาอย่างพึงพอใจ โดยไม่มีใครเห็น
แม้จะเจ็บปวด แต่บัวคำรีบเข้าไปช่วยปรางทิพย์
“พี่บัวคำเป็นอย่างไรบ้าง”
เนตรมายาจะเข้ามาทำร้ายอีกรอบ ปรางทิพย์โกรธสะบัดมือใส่จนเนตรมายาล้มลงไปกองที่พื้นเชื่อมมองจ้องปรางทิพย์ตาค้าง รีบเข้ามาช่วยเนตรมายา
“เจ้าแม่...”
แต่แล้วทุกคนก็ต้องมีสีหน้าประหลาดใจ เมื่อพบว่าทศนนท์ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
“คุณทศ...หายไปไหนแล้ว” เนตรมายาตกใจ
ไม่ต่างจากปรางทิพย์ “คุณทศ!”
ทุกคนมองหาทศนนท์แต่ไม่เจอแม้เงา
เนตรมายาวิ่งหน้าตาตื่นออกมาที่ถนน แต่ก็ไม่เจอทศนนท์
คนตามออกมา เนตรมายาโวยวายใส่ปรางทิพย์
“แกเอาตัวคุณทศไปไว้ไหน นังผีร้าย”
ปรางทิพย์พยุงบัวคำออกมา ไม่สนใจเนตรมายา และสังหรณ์ใจว่าต้องเกิดเรื่องกับทศนนท์แน่ๆ
เนตรมายาพนมมือสวดคาถาแล้วเป่าพรวดไปที่ปรางทิพย์ แต่ปรางทิพย์กับบัวคำหายวับไปกับตา
เนตรมายามองอย่างเจ็บใจ
เชื่อมตาค้าง เข่าอ่อน ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเหมือนจะเป็นลม เพราะไม่เคยเจอผีจังๆ แบบนี้
ปรางทิพย์และบัวคำปรากฏตัวขึ้นกลางห้องโถงบ้าน
“ทำไมนังหมอผีนั่นถึงได้หาว่าแม่หญิงพาตัวคุณทศไป”
ปรางทิพย์ตกใจเมื่อนึกได้ “หรือว่าจะเป็น…”
บัวคำตาตื่นพอกัน “คุณทศต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่แม่หญิง”
ปรางทิพย์มองไปนอกหน้าต่างอย่างแค้นใจ “เช่นนั้นข้าต้องรีบไปช่วยคุณทศ พี่บัวคำรอข้าอยู่ที่นี่ หากว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นจักได้ช่วยข้ารับมือกับชาวบ้าน”
“มิได้ดอกแม่หญิง ข้าจักปล่อยให้แม่หญิงไปรับมือกับคนเช่นบุษบาลาวัณย์เพียงลำพังมิได้ นางอำมหิตหาผู้ใดเปรียบไม่”
“จริงสิ คุณทรงกลดเคยบอกว่าพบคนที่คล้ายกับข้า ต้องเป็นบุษบาลาวัณย์เป็นแน่” ปรางทิพย์เดินไปหยิบมือถือขึ้นมาโทร.ออก รอจนอีกฝ่ายรับสาย “คุณทรงกลดตอนนี้อยู่ที่หมู่บ้านหรือเปล่าคะ”
ทรงกลดคุยโทรศัพท์อยู่ในรถ ซึ่งศรชัยเป็นคนขับ
“ผมออกมาแล้วครับคุณปราง มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”
“ค่ะ ฉันอยากรู้ว่าคนที่คุณเคยเล่าให้ฉันฟังว่าลักษณะท่าทางคล้ายกับฉันชื่อบุษบาลาวัณย์หรือเปล่าคะ”
ทรงกลดอึ้งไปชั่วครู่ ตัดสินใจโกหก
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ บังเอิญไม่ได้ถามชื่อ คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมดูเสียงร้อนรน”
“ฉันกำลังตามหาเขาเพราะเราเคยเป็นเพื่อนกัน”
“ถ้าผมเจอเขาอีกจะบอกเขาให้นะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ปรางทิพย์หมดหวัง
“จักทำเช่นไรกันดีแม่หญิง”
“เราแยกกันไปตามหาคุณทศกันก่อนดีกว่า ข้าจักกลับไปดูที่ปากทางเข้าถ้ำ พี่ช่วยไปดูในหมู่บ้านให้ที”
บัวคำพยักหน้ารับเอาคำ ทั้งคู่รีบร้อนออกไป
ศักดิ์กับตาลนั่งหงอยอยู่หน้าร้าน ซึ่งเงียบเหงาไม่มีลูกค้าเลย
“ตายๆวันๆ ไม่มีลูกค้าแบบนี้ เราจะทำยังไงกันดีล่ะพ่อ”
“อย่าคิดมากเลยแม่ เรายังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็ใช้ให้มันประหยัดๆ หน่อยไม่ไหวก็ปิดร้าน ให้คิตตี้มันหาเลี้ยง”
“อยู่เฉยๆ กลัวจะเฉาตายซะก่อนสิพ่อ”
ลูกค้าเดินเข้ามาในร้านหนึ่งราย
“น้าศักดิ์กาแฟขมๆ นมไม่ใส่ แก้วนึงจ้า”
ตาลแกล้งแซวกลับ “ไม่ใส่แก้วแล้วจะใส่อะไร”
“แหม…มีม้งมีมุกนะเดี๋ยวนี้น้าตาล”
“ก็ฉันว่าง วันๆ แทบจะเป็นใบ้กันอยู่แล้วเนี่ย”
ตาลชะงักมองอะไรบางอย่างแล้วยิ้มออกมา ศักดิ์ชงกาแฟอยู่มองตามสายตาเมีย
“นั่นคุณทศนี่”
“มาอีกแล้วลูกค้าฉัน” ตาลดีใจ ตะโกนถามดังลั่น “ทำไมวันนี้เดินมาล่ะจ๊ะนายช่าง”
ทศนนท์เดินตัวแข็งทื่อเหมือนโดนสะกดจิต ไม่ตอบอะไร เดินเลยร้านไป
ตาลสงสัย “ทำไมคุณทศดูแปลกๆ ถามก็ไม่ตอบ เสียงฉันแปดหลอดขนาดนี้ไม่ได้ยินหรือไง”
“เขาคงมีธุระอะไรหรือเปล่า”
“ทำหน้าอย่างกะโดนผีสิง” ตาลว่า
“แกก็ว่าไป รีบไปตักน้ำแข็งให้ข้าทีไป”
ตาลเดินไปตักน้ำแข็งพกความสงสัยไปเต็มๆ
ฝั่งเนตรมายาพยุงเชื่อมซึ่งอาการดีขึ้นแล้ว เดินขึ้นมาบนสำนัก เชื่อมเปรยขึ้นมาอย่างสงสัย
“จู่ๆ คุณทศก็หายไปต่อหน้าต่อตา นังผีนั่นมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆเจ้าแม่”
เนตรมายคุมแค้น “นั่นสิ แล้วป้าดีขึ้นหรือยัง ถ้าดีขึ้นแล้วก็รีบไปเตรียมจุดธูปเทียน ฉันจะทำพิธีเรียกตัวคุณทศกลับมา”
“ป้าดีขึ้นแล้วจ้า เดี๋ยวป้าไปเตรียมของให้”
แต่แล้วหางนางเนตรมายาเหลือบไปเห็นบางอย่าง แม่หมอสะดุ้งนิดๆ สีหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นทศนนท์นอนหมดสติอยู่ที่มุมห้อง
“นั่นมันคุณทศนี่” แม่หมอพุ่งเข้าไปดูแล้วพยุงตัวทศขึ้น “คุณทศ…คุณทศ…”
เชื่อมมองรอบๆ อย่างหวาดกลัว “คุณทศมาอยู่ที่นี่ได้ไงเจ้าแม่”
“อย่าเพิ่งถามอะไร รีบเข้ามาช่วยกันพยุงคุณทศสิป้า”
“จะตกใจทำไมกัน เธอเองก็อยากให้นายนี่มากับเธอไม่ใช่เหรอ”
เนตรมายาหันมองทางเสียงอย่างแปลกใจ เชื่อมอ้าปากค้าง
“แกเป็นใคร! เข้ามาในนี้ได้ยังไง”
บุษบาลาวัณย์ยืนนิ่งอยู่ในเงามืดตรงหน้าประตู ยิ้มเยือกเย็นมองมายังสองคน
ที่ร้านกาแฟบ้านศักดิ์กะตาล ลูกค้ายังคงโหรงเหรง ไม่เหมือนก่อนหน้านี้
นิรชากับกฤตณีกำลังช่วยกันเก็บจานและแก้วน้ำบนโต๊ะ ตาลเดินถือถาดแตงโมเข้ามา
“มากินแตงโมเย็นๆ กันก่อนลูก แล้วค่อยคุยงานต่อ”
“ขอบคุณค่ะแม่” นิรชายิ้มรับ
กฤตณีแกล้งแซว “ไม่เก็บไว้ขายเหรอแม่ ทำไมวันนี้ดูใจดีจัง”
“ขายให้ใครกันล่ะ ลูกค้าน้อยลงเรื่อยๆ แบ่งๆ กันกินเนี่ยแหละ” ตาลนึกขึ้นได้ “เออ...ตะกี้แม่ก็นึกว่านายช่างจะมากินข้าวกับพวกแกด้วย แต่ไงไม่รู้เดินเลยไปชะงั้นแถมถามก็ไม่ยอมตอบ เดินแข็งอย่างกะโดนสะกดจิต”
นิรชาสังหรณ์ใจ นึกเป็นห่วง “ท่าทางคุณทศเหมือนละเมอหรือเปล่าคะน้าตาล”
ตาลนิ่งคิด “น้าว่าก็เหมือนนะ เดินทื่อไม่พูดไม่จา”
“แล้วเขาเดินไปทางไหนคะ”
“ทางบ้านผู้ใหญ่ หรือสำนักเจ้าแม่นั่นแหละมั้ง น้าก็ไม่แน่ใจนะ”
“งั้นก็โทร.ถามเลยดีกว่า”
ด้วยความเป็นห่วง นิรชาลืมตัวยกหูโทรศัพท์หาจาริณีเอง
กฤตณีมองเหล่แซว “หืมมม โทร.เองเลยนะแก”
นิรชารู้ตัว อายม้วน เขยิบไปคุยทางอื่น
กฤตณีหันไปเม้าท์กับตาลต่อขำๆ
“หนูแค่พูด เนียร์โทร.เองเลยจ้า”
“แม่ก็ว่าใช่แน่ๆ แม่มองออก”
นิรชาวางโทรศัพท์แล้วหันมา หน้าเสีย
“คุณจ๋าบอกว่าคุณทศไม่ได้ไปที่บ้าน”
“อ้าว แล้วไปที่ไหนล่ะเนี้ย หรือคุณทศจะโดนเสน่ห์นังเจ้าแม่นั่นเข้า ฉันว่าเราตามไปดูให้เห็นกับตาจะดีกว่า เผื่อเกิดอะไรจะได้ช่วยทัน” คิตตี้ว่า
นิรชาร้อนใจ
“แล้วเราจะเข้าไปในนั่นได้ยังไง”
“ฉันมีวิธี แกตามมา”
“ไปๆ รีบไป เดี๋ยวแม่เก็บของให้เอง”
สองสาวรีบร้อนเดินออกไป
บุษบาลาวัณย์ก้าวออกมาด้วยท่าทีอันเย่อหยิ่งถือตัว มองไปรอบๆ พลางยิ้มหยัน เนตรมายาเกรี้ยวกราดใส่
“ฉันถามว่าแกเป็นใครไม่ได้ยินเหรอ”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มเยือกเย็น แต่ไม่ตอบอะไร
เชื่อมผวากลัว กระโดดเกาะแขนเจ้าแม่หมับ “หรือมันจะเป็นผีนะเจ้าแม่”
“จะกลัวทำไมแค่ผี ฉันปราบมานักต่อนักแล้ว”
“ไม่ต้องเถียงกัน ฉันไม่ได้มาร้าย ฉันมาดี”
เนตรมายามองหน้ากับเชื่อมอย่างประหลาดใจ
ที่แท้บุษบาลาวัณย์ต้องการยืมมือเนตรมายาทำร้ายผู้อื่นแทน เพราะกลัวถูกแม่เมืองส่งตัวไปให้สุบรรณเหราลงโทษ
ตุ๊กตาลูกเทพวิ่งเข้ามาฟ้องเนตรมายา
“แม่จ๋าอย่าไปเชื่อ นังผีตนนี้แหละที่ตีหนูเกือบตาย แม่จ๋าต้องแก้แค้นให้หนูนะ”
เนตรมายากอดปลอบ “จ้า…ลูก เดี๋ยวแม่จัดการให้ แกมีแผนอะไรกันแน่นังผีร้าย”
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันมาดี ทำไมเข้าใจอะไรกันยากนักนะ”
“ฉันไม่เชื่อ แกเป็นผีลูกสมุนของนังปรางไม่ใช่เหรอ อยู่ๆจะมาช่วยฉันทำไม”
บุษบาลาวัณย์คุมแค้น โกรธจัด “ฉันกับปรางทิพย์มณฑาทอง เราสิ้นสุดความเป็นเพื่อนกันนานแล้ว”
เนตรมายาทวนคำพูดบุษบา ด้วยสีหน้าสงสัย “ปรางทิพย์มณฑาทอง นังปรางนั่นเหรอ อย่ามาหลอกฉันด้วยแผนตื้นๆ เลย ฉันไม่เชื่อพวกแกหรอก”
“ถ้าฉันอยู่ฝ่ายเดียวกับมัน ฉันจะพานายผู้นี้มาให้เธอทำไม”
ลูกเทพวิ่งเข้าไปทุบตีบุษบาพัลวัน “ไม่ต้องมาหลอกแม่จ๋าเลยนะ นังผีนิสัยไม่ดี ขี้โกหก”
บุษบาลาวัณย์รำคาญ ดึงปิ่นออกจากหัว จะทำร้ายเหมือนครั้งก่อนลูกเทพมองปิ่นด้วยความหวาดกลัว
เนตรมายาตกใจ คว้าไม้ลงอาคมฟาดใส่ แต่บุษบาลาวัณย์ไม่อยากสู้ หายตัวไปอยู่อีกที่ เนตรมายาเอาไม้ฟาดไปทั่วห้อง แต่ไม่โดนบุษบาลาวัณย์เลย
“แม่จ๋าช่วยหนูด้วย”
บุษบาลาวัณย์ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังลูกเทพ ร่ายมนต์ใส่จนลูกเทพขยับตัวไม่ได้ จากนั้นก็เปิดผมหน้าม้าลูกเทพ แกล้งทำเป็นจะเอาปิ่นปักลงที่ยันต์กลางหน้าผาก
เนตรมายาตกใจร้องลั่น
“อย่าทำลูกฉันนะ”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มเยาะ ร่ายมนต์ใส่ลูกเทพจนขยับตัวได้ตามปกติ ลูกเทพรีบวิ่งเข้าไปกอดเนตรมายาร้องไห้ด้วยความตกใจกลัว
“แม่จ๋า ช่วยหนูด้วย ฮือๆๆ”
เนตรมายากอดปลอบ “ไม่เป็นไรแล้วลูก”
บุษบาลาวัณย์เอ่ยขึ้น “ทีนี้จะคุยกันดีๆ ได้หรือยัง”
เนตรมายามองบุษบาลาวัณย์ด้วยแววตาอ่อนลง
ทางด้านนิรชากับกฤตณีมายืนรอจาริณีอยู่ตรงตีนบันได มองขึ้นไปบนสำนักอย่างกังวล
“เขาจะอยู่ที่นี่เหรอแก”
“บ้านผู้ใหญ่ก็ไม่มี มันก็ต้องที่นี่แหละ”
จาริณีวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาสมทบ
“มาแล้วค่ะ ไป ขึ้นไปกันเลย”
“ขอบคุณนะคะ” นิรชายิ้มขอบคุณจ๋า
“ไปเนียร์”
กฤตณีจะจูงมือนิรชาขึ้นบันไดไปด้วยกัน แต่นิรชาร้อนใจมาก เดินโลดแล่นนำขึ้นไปเลย
กฤตณีมองหน้าจาริณีงงๆ ก่อนจะตามขึ้นไป
เนตรมายาถามบุษบาลาวัณย์เสียงเข้ม
“มีอะไรก็ว่ามา”
“ฉันแค่อยากช่วยให้เธอสมหวังกับนายนี่เท่านั้น” เพื่อจะได้ทำร้ายปรางทิพย์ให้เจ็บปวดหัวใจ)
“ทำไมต้องช่วยฉัน ทั้งๆ ที่เธอเองก็เคยทำร้ายคุณทศ แล้วอยู่ๆ ก็มาช่วย จะให้ฉันเชื่อเธอได้ยังไง”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะตอนนี้เรามีศัตรูคนเดียวกัน”
เนตรมายาอึ้ง นิ่งงันไป
เสียงจาริณีดังขึ้น “มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
เนตรมายาหันไปมองเชื่อมเชิงบอก เชื่อมรีบวิ่งไปชะโงกดูที่นอกชาน
“เจ้าแม่ พยาบาลกับครูเนียร์มาได้ยังไงก็ไม่รู้”
“ดีเลย รีบไปตามเข้ามาช่วยฉันสิป้า”
เนตรมายารีบเข้าไปพยุงทศนนท์ บุษบาลาวัณย์หายวับไป เชื่อมเห็นจังๆ อีกรอบตาค้างตกใจ ก้าวขาไม่ออก
“ป้าจะยืนหาอะไร เร็วๆสิ”
เชื่อมรีบไปเปิดประตูให้ พลางตะโกนเรียก
“คุณจ๋า ทางนี้ค่ะ”
ทุกคนวิ่งเข้ามาตกใจ จาริณีรีบวิ่งเข้ามาดูอาการทศนนท์
“เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมคุณทศถึงเป็นแบบนี้”
ทศนนท์เริ่มได้สติรู้สึกตัว ลืมตาขึ้น มองรอบๆ ทบทวนเรื่องราวด้วยสีหน้างงๆ เมื่อเห็นทุกคนกำลังมุงช่วยตนอยู่
“นี่เกิดอะไรขึ้นครับ” เขาลุกขึ้นนั่งเพราะมนต์สะกดคลายแล้ว “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
นิรชาว่า “คุณคงละเมอมาที่นี่ค่ะ”
“ละเมออีกแล้วเหรอ”
จาริณีบอกกับทุกคนว่า “ช่วยพาคุณทศไปที่อนามัยกันก่อนดีกว่า”
ทุกคนเห็นด้วย แล้วรีบพาทศนนท์ออกไป
ฝ่ายปรางทิพย์เดินท่าทางกระวนกระวายใจรออยู่หน้าบ้าน และกำลังจะกลับเข้าข้างใน จนมีเสียงบัวคำเรียกดังขึ้น
“แม่หญิง”
ปรางทิพย์มองไป เห็นบัวคำวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา รีบถามอย่างร้อนใจ
“เป็นเช่นไรพี่บัวคำ ได้ข่าวคุณทศหรือไม่”
บัวคำพยักหน้าให้ “เจ้าค่ะแม่หญิง ตอนนี้คุณทศอยู่ที่อนามัยแล้ว”
ปรางทิพย์โล่งใจ “เช่นนั้น เรารีบไปหาคุณทศกันเถิดพี่บัวคำ”
ทั้งคู่รีบเดินออกไป ปรางทิพย์นึกสงสัย “ทำไมจู่ๆ คุณทศถึงได้ไปอยู่ที่อนามัย”
ได้ข่าวว่าครูเนียร์กับเพื่อนๆเป็นคนช่วยพาไป
ปรางทิพย์ชะงักหยุดเดิน
“ครูเนียร์อีกแล้วเหรอ”
ปรางทิพย์แววตาเปลี่ยนไปเหมือนเริ่มระแวงนิรชา
จาริณีกำลังวัดความดันให้ทศนนท์ ผ้าพันแผลที่หัวหายไปแล้ว
“ความดันก็ปกติค่ะ ยังไงเดี๋ยวหมอปรัชกลับมาจากประชุมในเมืองแล้วค่อยให้ตรวจอีกที แต่ตอนนี้ขอตรวจดูแผลที่หัวหน่อยนะคะ เป็นยังไงบ้าง”
ทศนนท์เลี่ยงตอบ กลัวจ๋าจะรู้ความจริง “ไม่เป็นไรแล้วครับ ผมไม่เจ็บแล้ว ไม่ต้องดูก็ได้”
“ดื้อเป็นเด็กๆ ไปได้ ตรวจแค่นี้มันจะเสียเวลาอะไรนักหนาคะคุณ”
“ผ้าพันแผลมันหายไป เดี๋ยวฉันทำแผลให้ใหม่นะคะ”
ทศนนท์ปฏิเสธไม่ได้ “ครับ”
จาริณีหยิบอุปกรณ์และยาจะมาทำแผลให้ แต่แล้วพอแหวกผมของทศนนท์ออกดูก็ต้องแปลกใจ แล้วแหวกไปด้านอื่นแต่ก็หาแผลไม่เจอ จาริณีอึ้งหนักจนนิรชาสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณจ๋า”
“แผลหายไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ ฉันจำได้ว่าแผลอยู่ตรงนี้ ทำไมมันหายไป เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น”
ทศนนท์รีบพูดแก้ตัว “ผมคงได้ยาดีแหละครับถึงได้หายไว”
“ยาดีแค่ไหนก็ไม่มีทางจะหายได้ไวขนาดนี้หรอกค่ะ เมื่อวานแผลยังไม่สมานดีเลย” จาริณีว่า
ทศนนท์รีบเปลี่ยนเรื่อง “ไม่ดีเหรอครับ ไหนๆผมก็หายดีแล้ว งั้นผมขอตัวกลับไปพักก่อนนะครับ”
จาริณีพยักหน้ารับแบบงงๆ
เชื่อมเอ่ยขึ้น อาสาไปส่งนายช่างรูปงาม “ให้เจ้าแม่ไปส่งนะคะคุณทศ”
กฤตณีไม่เห็นด้วย “ทำไมต้องให้เจ้าแม่ไปส่งด้วยล่ะป้า”
“ก็คนเขาคิดถึงจนเดินละเมอไปหากัน ครูคิตตี้ก็เห็นนี่”
“เห็นมันก็เห็นอะนะ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าไปเพราะป่วยหรือว่าไปเพราะโดนมนต์ดำอะไรเข้า” คิตตี้เหน็บ
เนตรมายาฉุน “นี่พูดดีๆนะ ใครจะไปทำมนต์ดงมนต์ดำใส่คุณทศกันล่ะ”
“เจ้าแม่รู้แค่มนต์ที่ช่วยชาวบ้าน แต่ที่จะเอามาทำเรื่องไม่ดี เจ้าแม่ไม่มีทางทำหรอก นอกจากนังผีร้าย…”
ก่อนจะฉะกันต่อ มีเสียงเปิดประตูเข้ามา ทุกคนมองไปเห็นปรางทิพย์กับบัวคำเดินรีบร้อนเข้ามา
เชื่อมมองค้อนหมั่นไส้ “พูดถึงก็มาเลย”
ปรางทิพย์ไม่สนใจทักใคร นอกจากทศนนท์ “คุณทศ คุณเป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
นิรชามองทศนนท์กับปรางทิพย์ใกล้ชิดกัน อย่างขมขื่นใจ
คมสันนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะสนามในสวนสวยหน้าบ้าน แล้วอ่านไลน์ในมือถือ
บุษบาลาวัณย์ในชุดสวยเซ็กซี่ เดินเข้ามา คมสันมองเห็นจึงร้องทัก
“กลับมาแล้วเหรอหนู”
บุษบาลาวัณย์หันมองตามเสียง เห็นคมสันลุกเดินเข้ามาหา สอดสายตามองหาอะไรบางอย่าง
สาวลับแลยกมือไหว้ทักตอบ “ค่ะ สวัสดีค่ะ”
คมสันรับไหว้ ท่าทีเปลี่ยนไป “แล้วกลับมายังไง ทำไมไม่ให้ทรงกลดไปรับ เป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียวลำบากแย่”
“ไม่เป็นไรค่ะ หมู่บ้านหนูเข้าไปลำบาก หนูไปเองจะสะดวกกว่า”
“ได้ข่าวว่ากลับไปรักษาตัวที่บ้านมา เป็นยังไงบ้างหายดีหรือยัง”
“หายดีแล้วค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวทรงกลดกลับมาจะได้กินข้าวด้วยกัน วันนี้พ่อให้แต้มทำเมนูอร่อยๆ ทั้งนั้น” คมสันมองหาห่อทอง “แล้วมีอะไรมาหรือเปล่า จะได้ให้เด็กมาช่วยถือ”
“ไม่มีค่ะ หนูมาแต่ตัว”
คมสันมีสีหน้าผิดหวังนิดๆ
“งั้นก็ตามสบายเลยนะ ให้นึกว่าที่นี่เป็นบ้านของหนูเองก็แล้วกัน”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มพอใจในความมีน้ำใจของคมสัน
มีเสียงรถขับแล่นเข้ามาในบ้าน ทั้งสองมองไปเห็นทรงกลดก้าวลงจากรถ
“อ้าว...กลับมาพอดีเลย ไปลูก ไปกินข้าวด้วยกัน”
“ค่ะ” สาวลับแลรับเอาคำชวน
ไม่นานต่อมา บุษบาลาวัณย์ ทรงกลด และ คมสัน เดินเข้ามาที่โต๊ะทานอาหาร แต้มถามคมสันว่า
“ตั้งโต๊ะเลยไหมคะนายท่าน”
“ตั้งเลย” คมสันยิ้มแย้ม เชื้อเชิญสาวลับแลอย่างใจดี “มาๆ นั่งก่อน”
บุษบาลาวัณย์เดินเข้ามานั่ง ทรงกลดนั่งลง สีหน้าแปลกใจทำไมท่าทีคมสันถึงเปลี่ยนไป
แต้มทยอยจัดวางจานอาหารลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มตักข้าวให้ทุกคน
คมสันตักกับข้าวเอาใจบุษบา “กินเยอะๆ นะหนู เพิ่งหายป่วยจะได้มีอะไรไปบำรุงร่างกาย”
บุษบาลาวัณย์ยิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
“แกก็กินเยอะๆ นะ ช่วงนี้งานยุ่งต้องดูแลสุขภาพ” คมสันตักให้ทรงกลดพลางหันมายิ้มชวนบุษบาคุย “ตั้งแต่หันมากินอาหารมังสวิรัติเหมือนหนูนี่ พ่อรู้สึกสบายตัวขึ้นเยอะเลย”
ทรงกลดแซว “วันนี้ดูเป็นห่วงผมกับคุณบุษบาจัง”
“ไม่ห่วงลูกจะให้ไปห่วงใครล่ะ อีกอย่างพ่อก็แก่แล้ว อยากเห็นพวกแกเป็นฝั่งเป็นฝาสักที ว่าแต่หนูจะสะดวกไหมถ้าพ่ออยากจะคุยกับผู้ใหญ่ทางบ้านหนู”
บุษบาลาวัณย์ตอบหน้านิ่ง “หนูไม่มีญาติที่ไหนแล้วค่ะ”
คมสันเล่นละคร ทำเป็นเห็นใจ แท้จริงอยากได้สมบัติของบุษบาลาวัณย์
“อ้าว แล้วอย่างนี้หนูกลับไปที่บ้านก็ไม่มีใครแล้วสิ”
บุษบาลาวัณย์หน้าเศร้าลง “ค่ะ ที่บ้านไม่มีใครอยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไร มาอยู่ที่นี่ก็เหมือนบ้านหนูนั่นแหละ ว่าแต่จะให้ช่วยไปขนข้าวของอะไรไหม” เขาหันไปทางทรงกลด “แกก็ไม่คิดจะช่วยหนูบุษเขาดูบ้านหน่อยเหรอ วันๆเอาแต่ทำงาน”
“ผมเคยถามแล้ว แต่คุณบุษยังไม่พร้อมพาไปน่ะพ่อ”
“ถึงเวลาฉันจะพาคุณเข้าไปเอง”
ทรงกลดลอบมองสบตาคมสันแล้วยิ้มมุมปากอย่างรู้กัน
ทุกคนเดินออกมาหน้าห้องตรวจรักษา
“ขอบคุณทุกคนนะครับที่มาช่วยผม”
หมอปรัชญายิ้มๆ “แล้วคุณทศจะกลับยังไงเหรอครับ”
“เดี๋ยวฉันไปส่งค่ะ”
“มีหวังไม่ถึงบ้านแน่ๆ” เนตรมายาแดกดัน
“ทำไมจะไม่ถึงล่ะ คุณปรางไม่เคยคิดร้ายกับคุณทศอยู่แล้ว” บัวคำแดกดันกลับ
เชื่อมสอดขึ้น ทำเป็นเอามือปิดปากด้วย “ไม่คิดร้าย แค่คิดจะเอาไปทำผัว อุ๊ย คิดดังไปหน่อย”
“ฉันก็คิดนะ แต่คุณทศคงไม่สนใจ ถ้าเป็นแกไม่แน่นะเนียร์”
ปรางทิพย์มองไม่พอใจนิรชา
“หยุดเลยแก รีบกลับไปเตรียมเอกสารเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปธุระแต่เช้า”
นิรชาดึงกฤตณีออกไป ทศนนท์มองตามนิรชาตาละห้อย ปรางทิพย์เห็นสายตานั้น
ทุกคนเดินเข้ามาในบ้าน ปรางทิพย์หันไปทางทศนนท์ด้วยสีหน้าห่วงใย
“คุณทศรีบไปเก็บของเลยนะคะ”
“เก็บของ เก็บของไปไหนเหรอครับ” ทศนนท์แปลกใจ
“ฉันต้องรีบพาคุณไปซ่อนตัว เพราะฉันไม่ไว้ใจบุษบาลาวัณย์ กลัวนางจะกลับมาทำร้ายคุณอีก”
“แปลว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน เขาเป็นคนทำเหรอครับ”
“วิธีสะกดจิตแบบนี้มีแค่คนในเมืองลับแลเท่านั้นที่จะทำได้” ปรางทิพย์ว่า
บัวคำสงสัย “แล้วทำไมนางถึงสะกดจิตคุณทศไปที่สำนักเจ้าแม่นั่น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้นางจ้องจะทำร้ายคุณทศเพียงอย่างเดียว”
“นั่นสิ นางต้องมีแผนจะทำอะไรอีกแน่ๆ”
ทศนนท์เริ่มสับสนหนัก เขามีใจให้นิรชาหรือรักปรางทิพย์กันแน่ จึงบ่ายเบี่ยงออกไป
“แต่ผมคงไปไม่ได้หรอกนะครับ ผมมีงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่”
ปรางทิพย์รู้ทัน “งานเหรอ…ฉันว่าเรื่องงานคุณให้ใครทำแทนก็ได้นี่คะ”
“เชื่อคุณปรางเถอะค่ะ ตอนนี้คุณทศต้องรักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อนจะดีกว่านะคะ เพราะบุษบาลาวัณย์ร้ายกาจกว่าที่เราคิด” บัวคำว่า
ทศนนท์เริ่มลังเลสับสน ปรางทิพย์หน้าเศร้ามองอย่างผิดหวัง เริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาที่เริ่มเปลี่ยนไป
พีรพรวิ่งตาตื่นเข้ามาขัดจังหวะพอดี ถามอย่างเป็นห่วง
“พี่ทศ พี่เป็นไงบ้าง เห็นชาวบ้านลือกันใหญ่ว่าพี่ละเมออีกแล้วเหรอ”
“พี่ดีขึ้นแล้ว” เขาหันไปทางปรางทิพย์ “ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ วันนี้ผมมีนายพีอยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
“สบายใจได้ครับคุณปราง ผมจะดูแลพี่ทศให้สุดกำลังที่มี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมสักตัวเลย”
ปรางทิพย์นิ่งขึง เหมือนไม่ค่อยชอบใจนัก บัวคำดูออก
“งั้นเรากลับกันเถอะค่ะคุณปราง คุณพีอยู่เป็นเพื่อนคุณทศแล้วคงไม่มีอะไรต้องห่วง”
ทศนนท์เกรงใจปรางทิพย์ “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลตัวเองให้ดี คุณปรางกลับไปพักเถอะ”
ปรางทิพย์ข่มใจฝืนยิ้ม เก็บความรู้สึกไว้ “ค่ะ งั้นฉันขอตัวก่อน คุณทศจะได้พัก”
ปรางทิพย์กับบัวคำเดินออกไป ทศนนท์มองตามอย่างไม่สบายใจ
รุ่งเช้าวันต่อมา ทรงกลดคุยโทรศัพท์กับทนายไพศาลด้วยสีหน้าหงุดหงิด น้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“มันจะเป็นไปได้ไง เมื่อวานก็คุยกันรู้เรื่องแล้วนี่ แล้วอยู่ๆทำไมถึงจะกลับคำ...มันถึงขนาดล่ารายชื่อเลยเหรอ...ได้...ถ้าอยู่กันดีๆไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่”
ทรงกลดกดวางสาย กัดกรามแน่นสีหน้าโกรธแค้น หันไปทางขจรและศรชัยสั่งเสียงเข้ม
“มึงไปตามไปไอ้สิงห์มา กูมีงานให้มันทำ”
“ครับนาย” สองคนประสานเสียง
ทรงกลดโมโหดวงตาวาววับ กำหมัดทุบลงที่โต๊ะอย่างโกรธจัด
ทุกคนนั่งรับประทานอาหารร่วมกันในร้าน ทศนนท์กับพีรพรเดินเข้ามา ตาลร้องทัก
“อ้าว คุณทศเป็นไงบ้างคะ หายดีหรือยัง”
“หายดีแล้วครับ”
“งั้นก็มากินข้าวด้วยกันเลยครับ มาๆคุณพีด้วย”
ทศนนท์กับพีรพรเดินเข้ามาร่วมวง
นิรชาทำท่าอิ่ม ลุกถือจานออกไปเลย กฤตณีถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมอิ่มเร็วจัง”
“อืม…อิ่มแล้ว”
“ทำไมกินน้อยจังเลยลูก” ศักดิ์ถามครูเนียร์แล้วหันมามองลูก “แล้วนี่จะกินอีกนานไหม”
“พ่อ…นี่ลูกนะ ทำไมต้องว่าหนูด้วย”
“ไปว่าลูกมันทำไม ลูกมันเกิดปีหมู เขาบอกให้อวบๆเข้าไว้จะมีทรัพย์” ตาลว่า
พีรพรบ่นงึมงำ “ผมเกิดปีฉลูไม่ต้องกินหญ้าหรอกเหรอเนี่ย”
“เดี๋ยวน้าไปตักกับข้าวให้ เอาอะไรบ้างจ๊ะ” ตาลถามสองหนุ่ม
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเดินไปตักเอง”
นิรชาเดินถือกระเป๋าเอกสารออกมา กฤตณีถามอย่างแปลกใจ
“แกจะไปเลยเหรอ รถยังซ่อมไม่เสร็จนะ”
“เดี๋ยวฉันโทร.บอกหมอปรัชพาไป”
ทศนนท์ใจแป้ว หน้าเศร้า
“งานที่อนามัยก็ยุ่งหมอจะไปยังไง แกรอฉันก่อนสิ เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน”
“ครูเนียร์จะไปไหนเหรอครับ”
“ไปในเมืองค่ะ” คิตตี้บอก
“งั้นก็ไปกับพี่ทศเลยสิครับ พี่ทศก็กำลังจะเข้าเมืองเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวจะโดนเข้าใจผิดเอา”
“ผมว่าคุณโฟกัสเรื่องงานที่จะทำดีกว่านะครับ อย่าไปสนใจความคิดคนอื่นเลย”
“ไปกับคุณทศนั่นแหละ ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ฝากเพื่อนฉันด้วยนะคะ”
ทศนนท์ยิ้มรับเอาคำ นิรชาอึดอัดเห็นชัด
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง
เมื่อมองจากมุมบนลงมา เห็นร่างนิรชาเดินออกมาที่ด้านหน้าสำนักงานทนายความ หลังจากเสร็จธุระแล้ว ครูสาวมองหารถทศนนท์ที่นัดกันไว้ แล้วหยิบมือถือออกมาดู
“แบตจะหมดอีก” นิรชารีบกดโทร.ออก รีบพูดทันที “ฮัลโหล...คุณทำธุระเสร็จหรือยังคะ”
ทศนนท์นั่งมาในรถที่เขาขับมาตามทาง
“ครับ ตอนนี้ผมเข้ามาจอดรถแล้ว คุณเสร็จธุระแล้วเหรอครับ...จะให้ผมวนรถไปรับเลยไหม...ครับ ผมจอดอยู่ที่เดิมนะครับ”
นิรชากดวางสาย เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าสะพาย ถือแฟ้มเอกสารแล้วเดินออกไป
นิรชาเดินมาที่ลานจอดรถ พบว่ามีรถตู้คันหนึ่งวิ่งเข้ามาด้านหลัง รถตู้คันนั้นวิ่งเข้ามาจอดข้างๆ นิรชาแล้วประตูเปิดออกอย่างเร็ว มีชายใส่หมวกไอ้โม่งนั่นคือไอ้สิงห์หัวหน้าทีม เป็นลงมาโปะยาสลบนิรชา
ครูสาวดิ้นสู้เต็มกำลัง
ทศนนท์นั่งรออยู่ในรถกำลังจะเปิดเพลงฆ่าเวลา จนสายตาเหลือบไปเห็นบางอย่างตรงหน้า ทศนนท์มีสีหน้าตกใจ บีบแตรดังลั่นตะโกนก้อง
“คุณเนียร์!”
นิรชาเริ่มหมดสติ กระเป๋าเอกสารตกลงที่พื้น สิงห์รีบดึงตัวนิรชาขึ้นรถเปิดประตูปัง รถแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว ทศนนท์เร่งเครื่องขับรถตามไปราวกับจะบินตาม
รถตู้ที่ศรชัยเป็นคนขับวิ่งมาตามถนนเส้นหนึ่ง สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ร้างไร้บ้านผู้คน
ส่วนในรถตู้นิรชานอนสลบอยู่ที่เบาะหลัง เปลือกตาของเธอเริ่มกระตุกๆ ค่อยๆ กลอกไปมาเหมือนจะรู้สึกตัวแต่ไม่กล้าลืมตา นิ่งฟังเสียงคนคุยกัน
ขจรถามสิงห์ขึ้น “เอาไงดีพี่ จะขับหนีไอ้นั่นไปก่อน หรือจะเก็บมันเลย”
“ถ้ามันจะตามไม่เลิกอย่างนี้ ก็เก็บมันทั้งสองคน จะได้หมดเรื่องหมดราว” สิงห์ว่า
นิรชาค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ น้ำตาไหลรินออกมาด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ
“แต่นายให้เก็บแค่นังนี่นะพี่” ขจรว่า
“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง ไอ้นั่นมันตามไม่เลิก ถ้าปล่อยมันไปมีหวังมันตามพ่อมึงมาแน่”
“ต้องคุยกับนายก่อนนะพี่ ผมไม่อยากซวย”
“เออๆ เดี๋ยวมึงเลี้ยวซ้ายข้างหน้านี้เลย”
นิรชานิ่งคิดพยายามตั้งสติ พอรถเริ่มชะลอความเร็ว
นิรชาตัดสินใจเปิดประตูรถตู้กระโดดลงจากรถแล้วรีบลุกวิ่งหายเข้าไปในพงหญ้า พวกขจร ศรชัย และสิงห์มองตกใจคาดไม่ถึง ร้องตะโกนก้อง
“เฮ้ย มันหนีไปแล้ว”
ศรชัยจอดรถทันที สามคนลงรถวิ่งตามนิรชาไป
รถทศนนท์แล่นเข้ามาจอด ทศนนท์ลงจากรถแล้ววิ่งตามไป
นิรชาวิ่งหนีตายเข้ามาในป่า โดยไม่คิดชีวิต สิงห์กับศรชัยวิ่งตามมา แล้วหยุดมองหา จนเห็นว่าพงหญ้าด้านหน้าไหวๆ
“มันอยู่ตรงนั้นพี่” ศรชัยชี้บอก
สิงห์กับศรชัยวิ่งตามไปจนเห็นหลังนิรชาไวๆ สิงห์ยกปืนขึ้นเล็งไปที่ร่างนิรชา
ทศนนท์วิ่งตามเข้ามาในป่าติดๆ มองไปรอบๆ ไม่เจอใครก็ใจเสีย จนกระทั่งมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด
นิรชาถูกยิงเข้าที่กลางหลังเลือดท่วม ล้มหน้าคว่ำลงที่พื้น สิงห์กับศรชัยรีบวิ่งเข้ามาดู
นิรชาพลิกตัวหันกลับมาด้วยสีหน้าอ่อนแรง นิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดทั้งกาย รวบแรงพยายามจะทรงตัวลุกขึ้น สิงห์ตามเข้ามาเจอ ยิงซ้ำที่หน้าอกด้านซ้ายอีกหนึ่งนัด
นิรชาแน่นิ่งไป ไม่รู้เป็นหรือตาย
อ่านต่อตอนที่ 23