เพรงลับแล ตอนที่18 | พ่อพระของคนยาก
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ค่ำคืนอันยาวนานนี้ บุษบาลาวัณย์หอบสังขารพาตัวเองกลับมาที่บ้านทรงกลด ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนด้วยสีหน้าเจ็บปวดสุดจะบรรยาย
นางบาปเมืองลับแลกอดตัวเองร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมานทุกข์ทรมานแสนสาหัส บนเนื้อตัวเห็นเป็นรอยเส้นเลือดสีดำวิ่งเป็นริ้วๆ ไปทั่วสรรพางค์กาย
“โอ๊ย…”
บุษบาลาวัณย์กัดฟันแน่นหลับตาปี๋นอนทุรนทุรายเหงื่อแตกออกมาเป็นเม็ดๆ เส้นเลือดสีดำวิ่งตามคอขึ้นไปบนใบหน้า แล้วกระอักเลือดออกมาเป็นเลือด
บุษบาลาวัณย์ดื่มกินความเจ็บปวดลงไปลึกสุดใจ แล้วลืมตาโพลขึ้นมา แววตาวาววาบเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“นังปรางทิพย์มณฑาทอง แกต้องชดใช้”
ดวงอาทิตย์สาดแสงสีทองไล่เลี่ยขึ้นจับยอดตึกสูงในเมืองหลวง
เช้าวันนี้ นิรชา อาการเจ็บปวดที่ขาดีขึ้นมากแล้ว กำลังช่วยพยุงมาลีลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อรอใส่บาตร มัทนาผู้เป็นมารดา ยกถาดอาหารมาตั้งโต๊ะรอใส่บาตร แล้วหลับตาตั้งจิตอธิษฐาน
หลวงพ่อมาดสุขุมน่าเลื่อมใส เดินเข้ามาหยุดที่หน้าบ้าน นิรชา มาลี มัทนา ยกถาดอาหารขึ้นตั้งจิตอธิษฐาน จากนั้น นิรชาถือถาดข้าว และกับข้าวให้ยาย มาลีพนมมือไหว้แล้ววางอาหารที่ฝาบาตรพระ นิรชาแต่ข้อศอกยายเพื่อร่วมทำบุญด้วยกัน มัทนาร่วมใส่บาตรด้วย
เด็กวัดที่ถือถังพลาสติกตามมา คอยช่วยเก็บถุงอาหารที่สามคนใส่บาตรแล้วลงถังเพื่อให้ใส่บาตรสะดวก
สุดท้ายนิรชายื่นดอกไม้ให้แล้วแตะข้อศอกยาย มาลีวางดอกไม้ที่ฝาบาตร มัทนาวางดอกไม้ลง
หลวงพ่อมองมาลีเหมือนรู้จักกันเป็นอย่างดี มองนิรชานิ่งๆ เหมือนรับรู้อะไรบางอย่างแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หลวงพ่อให้ศีลให้พร “...อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง”
ทุกคนพนมมือรับพร
“หมั่นทำบุญให้ผลบุญหนุนนำไปสู่หนทางที่ดีนะโยม หนักจะได้เป็นเบา”
สามคนไหว้รับพร หลวงพ่อยิ้มเปี่ยมเมตตาให้ แล้วเดินออกไปช้าๆ
มัทนานิ่วหน้าฉงน หันมาทางมาลีกับนิรชา
“หลวงพ่อพูดเหมือนมีอะไร”
“ท่านก็คงพูดเพื่อเตือนสติทุกคนนั่นแหละ เพราะคนทุกวันนี้ห่างบุญห่างศีลกันไปเยอะ” มาลีบอก
นิรชาเสริมว่า “ท่านคงพูดเพื่อเตือนสติเนียร์มั้งคะ เพราะแม่กับยายก็ทำบุญใส่บาตรแทบจะทุกวันอยู่แล้ว”
มาลีหน้าเศร้า พึมพำเบาๆ กับตัวเอง
“ต่อให้ทำทุกวันก็ยังชดใช้ไม่หมด”
นิรชาได้ยินไม่ถนัดหู “คะ”
มาลีรีบเปลี่ยนเรื่อง “อ้อ…ยายจะบอกให้เนียร์ช่วยไปกรวดน้ำให้ยายหน่อย”
“ได้สิคะ เดี๋ยวเนียร์จะกรวดน้ำให้ตา แล้วบอกว่ายายฝากบุญมาให้นะคะ”
“จ้ะ…แต่ยายฝากอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เพื่อนยายที่ชื่อปรางทิพย์มณฑาทองด้วยนะ”
“ปรางทิพย์ มณฑาทอง” นิรชาทวนชื่ออย่างสนใจ “ชื่อเพราะจังเลยนะคะ ตัวจริงคงสวยน่าดูเลย”
มาลียิ้มเศร้า จดจำปรางทิพย์ได้แม่นยำ “สวย…สวยมากเลยจ้ะ แต่…”
“แต่อะไรคะ”
มาลีเพียงยิ้มให้ ไม่ได้ตอบอะไรออกมา
“ยายคงรักเพื่อนคนนี้มากเลยใช่ไหมคะ”
“ก็มากขนาดต้องทำบุญให้เกือบทุกวันเลยล่ะจ้า ยิ่งวันนี้วันพระด้วย ยายต้องสวดมนต์ให้อีก” มัทนาสัพยอก
นิรชาสนใจ “แล้วท่านเสียไปนานแล้วเหรอคะ”
มาลีหน้าเศร้า “ยายก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นไปได้ยายก็อยากให้เขายังอยู่และสมหวังสักที”
นิรชามองสงสัยอยากซักถามต่ออีก แต่ถูกมารดาตัดบทแทรกขึ้นว่า
“รีบไปกรวดน้ำได้แล้ว จะได้รีบเข้าบ้าน เดี๋ยวยายก็หิวเป็นลมกันพอดี”
“ค่า” นิรชาเดินตรงไปต้นไม้ใหญ่ในสวนสวย
มัทนามองตามธิดาสุดสวาท ส่ายหน้าขำๆ “ถามเป็นเด็กๆอยู่ได้เจ้าลูกคนนี้”
มาลีมองตามหลานสาวไปสีหน้าเศร้าไม่คลาย
ปรางทิพย์นอนซมอยู่บนเตียงผมยาวสยาย
เห็นชัดว่าใบหน้าซูบซีดอิดโรย เริ่มเปลี่ยนเป็นมีน้ำมีนวล แก้มมีสีเลือดฝาดดูสดชื่นมากขึ้นอย่างน่าอัศจจรรย์ใจ ปรางทิพย์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองตามร่างกาย เอามือจับตามเนื้อตัวของตนอย่างแปลกใจ สุดท้ายตะโกนเรียกคนสนิท
“พี่บัวคำจ๊ะ…พี่บัวคำ”
บัวคำวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาในห้อง
“แม่หญิงเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
บัวคำมองนายหญิงอย่างประหลาดใจ รีบเข้าไปจับเนื้อตัวปรางทิพย์ดูด้วยท่าทีตื่นเต้น
“แม่หญิงดีขึ้นแล้ว คงเป็นเพราะยาที่กินไปเมื่อคืนเป็นแน่”
“ก็คงจะจริง แต่ข้าก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดทุกวันพระข้าจึงรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก อย่างกับได้รับพร” ปรางทิพย์แปลกใจไม่หาย แล้วนึกบางอย่างขึ้นได้ มองไปรอบๆ “แล้วคุณทศเล่าเป็นเช่นไร”
บัวคำอึกอัก ปรางทิพย์มองสงสัย รีบลุกจากเตียงด้วยความเป็นห่วง
ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในตัวเมือง
มินตากับอนุชิตเดินเข้ามาจ่ายเงินที่ช่องชำระเงิน พอหันกลับก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นเชื่อมเข็นรถพาเนตรมายามารอรับยา
มินตาร้องเรียกเบาๆ “ป้าเชื่อมๆ”
“อ้าว ยัยมิ้นกับคุณนุมาทำอะไรกันที่นี่”
เชื่อมหันมาหา เนตรมายานั่งในรถเข็นไป
“ก็พี่ถนอมน่ะสิป้า กินเหล้าอยู่ดีๆ ก็นอนนิ่งเกือบจะหยุดหายใจ ดีที่คุณนุอยู่ด้วย เลยช่วยปั๊มหัวใจแล้วพามาส่งโรงบาลทัน ไม่งั้นคงตายไปแล้ว”
พร้อมกับว่า มินตาส่งสายตาชื่นชมให้อนุชิตไปด้วย อนุชิตรีบหันไปถามเนตรมายาแก้เก้อ
“แล้วคุณเนตรเป็นอะไรถึงมาโรงพยาบาลครับ”
“ก็ฝีมือนังผีแม่ม่ายยังไงล่ะคะ ที่ถนอมเป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่พราะกินเหล้าหรอก เป็นเพราะนังผีร้ายนั่นมากกว่า ใช่ไหมเจ้าแม่” เชื่อมโกรธแค้นแทนเจ้านายไม่หาย
เนตรมายาคุมแค้น “ใช่ เพราะเมื่อคืนนังผีนั่นออกอาละวาด พวกเราในหมู่บ้านก็เจอกันหลายคน”
“ที่เจ้าแม่ต้องเจ็บแบบนี้ก็เพราะสู้กับนังผีนั่นเพื่อปกป้องชาวบ้านนางลับแลไว้”
มินตาตกใจ “ขนาดเจ้าแม่ยังรับมือมันไม่ไหว แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะทีนี้”
เนตรมายาบอกเสียงแข็งกร้าว “ครั้งนี้เป็นเพราะมันใช้วิธีหมาลอบกัด ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัวต่างหาก แต่ครั้งหน้าฉันจะทำให้มันรู้ว่าไม่ควรมาสู้กับฉัน”
“ครั้งหน้าเจ้าแม่ต้องเอาชนะมันได้แน่นอน ตราบใดที่เจ้าแม่เนตรตาทิพย์อยู่ในหมู่บ้าน นังผีร้ายต้องถูกปราบให้ราบคาบ” เชื่อมคุยโต
เจ้าแม่กลับมีสีหน้าหนักใจ “แต่ถึงยังไงครั้งนี้นังผีนั่นมันต้องจับผู้ชายในหมู่บ้านไปสังเวยแล้วแน่ๆ”
มินตาตกใจ “แปลว่าตอนนี้ในหมู่บ้านเราต้องมีคนตายใช่ไหมคะเจ้าแม่”
เนตรมายาตาขุ่นขวาง ไม่ตอบอะไร
คนอื่นๆ มองหน้ากันด้วยท่าทีหวาดกลัว
ปรางทิพย์ในชุดใหม่ ค่อยๆเดินลงบันไดมามีบัวคำเดินตามหลัง สายตามองไปที่ทศนนท์ เห็นเขานอนกอดอกอยู่บนชุดรับแขกแบบไม้ ท่าทางหนาวเหน็บ ผ้าห่มมากองที่เอว
ปรางทิพย์เดินเข้ามามองทศนนท์ด้วยความเป็นห่วงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นเพื่อห่มให้
ทศนนท์รู้สึกตัวตื่น มองซึ้งๆ “ขอบคุณครับ”
“ทำไมคุณถึงดื้อแบบนี้”
“ก็ดื้อเหมือนคุณนั่นแหละครับ”
ทศนนท์มองเสื้อผ้าของปรางทิพย์ แล้วนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ตัวเองเจอ
“เมื่อไหร่คุณจะยอมเล่าทุกอย่างให้ผมฟังสักที”
“ฉันสัญญาว่าจะทำให้คุณได้รู้ความจริงทุกเรื่อง แต่ตอนนี้ขอเวลาให้ฉันอาการดีขึ้นก่อน และอีกอย่าง ฉันอยากให้คุณปิดเรื่องทุกอย่างที่เห็นในถ้ำและน้ำตกไว้เป็นความลับ” ตอนท้ายเธอเน้นคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทศนนท์มองปรางทิพย์สายตายังคงเต็มไปด้วยคำถาม ยิ้มบางๆ บอกว่า
“ผมสัญญาว่าจะไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟัง จนกว่าคุณจะอนุญาต”
ปรางทิพย์ยิ้มรับเอาคำอย่างโล่งอก และเชื่อใจเขา หันมามองบัวคำ ซึ่งก็โล่งใจพอกัน
กลับถึงสำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ เนตรมายาเปลี่ยนชุดใหม่ นั่งหลับตาทำสมาธิสวดมนต์งึมงำๆ อยู่นานสองนาน ตรงหน้ามีพานวางสร้อยข้อมือประคำศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ และมีผ้ายันต์คลุมไว้
พอสวดมนต์จบ เนตรมายาเปิดผ้ายันต์ออก พบว่าสร้อยข้อมือประคำศักดิ์สิทธิ์เปล่งแสงสีขาวออกมาดังเดิม พร้อมใช้งานแล้ว เจ้าแม่พนมมือสวดมนต์เป่าพรวดไปที่สร้อยศักดิ์สิทธิ์ แล้วหยิบขึ้นมามอง พลางยิ้มอย่างพึงพอใจ
เชื่อมนั่งงีบหลับเพราะอ่อนเพลียมาตั้งแต่เมื่อคืน
“จะนอนไปถึงไหนกัน”
เชื่อมตื่นมาหน้าตาเหรอหรา “เจ้าแม่มีอะไรเหรอ”
เนตรมายามองไปทางบ้านทศนนท์ด้วยความเป็นห่วง
“ฉันช่วยต้องรีบไปช่วยคุณทศ ก่อนที่นังผีร้ายมันจะพาตัวคุณทศไป”
เชื่อมผวากลัว ไม่อยากยุ่ง “แล้วจะไปช่วยที่ไหนล่ะ ป้าต้องไปด้วยไหม”
เจ้าแม่4G ลุกขึ้น “ก็ไปที่บ้านนังผีแม่ม่ายไง”
“บ้านนังปรางทิพย์ใช่ไหมเจ้าแม่ แต่เจ้าแม่ยังไม่ได้พักเลยนะ จะสู้มันได้เหรอ”
เนตรมายามองไปทางบ้านปรางทิพย์อย่างเจ็บแค้น ก้มมองประคำศักดิ์สิทธิ์อย่างมั่นใจ
ไม่นานต่อมา เชื่อมตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดังลั่นอยู่ตรงประตูบันไดขึ้นบ้านปรางทิพย์
“ออกมานะนังผีร้าย นังผีแม่ม่าย แกกล้าดียังไงถึงมาทำร้ายเจ้าแม่เนตรตาทิพย์แล้วยังจับตัวคุณทศไปอีก”
ประตูบ้านถูกเปิดผางออกเต็มแรง เห็นบัวคำเดินตาขวางออกมา สีหน้าพร้อมเอาเรื่องทุกเมื่อ
“พวกคุณมาโวยวายอะไรกันที่นี่ กลับไปเดี๋ยวนี้นะ”
“อยากให้ฉันกลับก็บอกนายแกปล่อยตัวคุณทศออกมาก่อนสิ” เจ้าแม่จ้องหน้าไม่ยอม
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณทศ ในเมื่อคุณทศไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ” บัวคำยิ้มเยาะ
เนตรมายาเจ็บใจจนพูดไม่ออก
“จะไม่เกี่ยวได้ไง ก็พวกแกกำลังจะฆ่าคุณทศ เจ้าแม่ก็ต้องเข้ามาช่วยสิ”
“ถึงกับต้องฆ่าเลยเหรอ”
เสียงปรางทิพย์ดังนำมาก่อนเจ้าตัวจะเดินออกมามองสองคนด้วยสีหน้าเฉยเมย
เนตรมายายิ้มเยาะ “ออกมาได้แล้วเหรอ นึกว่าจะมุดหัวอยู่แต่ในบ้านแล้วให้คนใช้ออกมารับหน้า”
“เมื่อไหร่พวกคุณจะหยุดเข้ามายุ่งเรื่องของฉันสักที”
“ก็จนกว่าพวกเธอจะย้ายออกไปจากที่นี่และเลิกยุ่งกับคุณทศซะที”
ปรางทิพย์ยิ้มในสีหน้า มองท้าทาย “งั้นคงไม่มีวันนั้นแล้วล่ะ”
“ได้ ถ้าเธอต้องการแบบนั้น”
เนตรมายาโกรธ หยิบสร้อยประคำขึ้นมาเป่ามนต์ ปรางทิพย์และบัวคำมองตกใจ เนตรมายาเหวี่ยงประคำศักดิ์สิทธิ์ออกไปใส่ ปรางทิพย์หลับตายกมือขึ้นป้อง แต่แล้วกลับมีคนเข้ามากันประคำไว้ให้
เป็นทศนนท์นั่นเอง เขากำสร้อยในมือมองจ้องหน้าเนตรมายาอย่างรำคาญและไม่พอใจ
“นี่คุณทำอะไร อยู่ๆมาทำร้ายคุณปรางทำไม”
เนตรมายาโมโหหึง พยายามอธิบาย “ฉันกำลังจะช่วยคุณนะคะคุณทศ คุณยังไม่รู้ธาตุแท้ของมันว่า มันคือนังผีร้าย นังผีแม่ม่ายที่ฆ่าผู้ชายในหมู่บ้าน”
เชื่อมช่วยเสริมผสมโรง “ใช่ เมื่อคืนยายของ…ของคุณปรางฆ่าคนตาย”
ทศนนท์ออกโรงปกป้องปรางทิพย์เต็มที่ “ยายของคุณปรางไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมเป็นพยานได้ เพราะเมื่อคืนผมก็นอนที่บ้านคุณปรางทั้งคืน ไม่เห็นเจอใครเลย”
เนตรมายาอึ้งไป ทั้งโกรธแค้น เจ็บปวด และน้อยใจ หันไปบอกเชื่อม
“เรากลับกันเถอะ”
เชื่อมติดลม ไม่เชื่อที่ทศนนท์พูด “แต่…”
เนตรมายามองปรามดุ แล้วเดินออกไป มีเสียงเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนครับคุณเนตร”
เนตรมายาหยุดชะงักแล้วหันกลับไป
ทศนนท์เดินลงบันไดเอาประคำมายื่นคืนให้ “เอากลับไปด้วยนะครับ แล้วคุณก็ควรหยุดใส่ร้าย
คุณปรางได้แล้ว ถือว่าผมขอร้องนะครับ”
ทศนนท์มองเนตรมายาด้วยสีหน้าจริงจัง เนตรมายาถึงกับอึ้งไปนิดๆ มองปรางทิพย์อย่างเจ็บใจ
ขณะที่พีรพรนั่งตรวจแฟ้มเอกสารงานหัวฟูอยู่ในห้องโถง เตรียมตัวออกไปแคมป์งาน ท่าทางยุ่งขิงเต็มที่ อนุชิตเดินสโลสเลเข้ามานั่งลงอาการเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน
อนุชิตเหลียวหาทศ “หัวหน้าล่ะ”
“ยังไม่กลับเลยพี่ สงสัยติดสาวที่ไหนไม่รู้” พีรพรมองจับสังเกตอนุชิต “ว่าแต่พี่เถอะ เมื่อคืนหายไปไหน”
“ก็เมื่อคืน...”
อนุชิตพูดไม่ทันจบ ทศนนท์ก็เดินอ่อยระโหยโรยแรงเข้ามาขัดจังหวะ สีหน้าท่าทางคล้ายไม่ได้นอนมาทั้งคืนเช่นกัน
“เพิ่งนินทาไปเมื่อตะกี้นี่ อายุยืนนะพี่ทศ”
ทศนนท์เดินมาทำท่าจะเบิ๊ดกะบาลใส่ พีรพรรีบหลบพัลวัน
“มัวแต่นินทา งานไม่เสร็จแกโดนแน่”
“ไม่เสร็จตรงไหนพี่” นายช่างสำรวจจอมกะล่อนยื่นแฟ้มเอกสารให้ “นี่เรียบร้อยแล้ว”
“รอดไป…” ทศนนท์ยิ้มขำๆ หันไปมองท่าทีอนุชิต “ทำไมวันนี้พี่นุดูเพลียๆ”
“นั่นสิเมื่อคืนอะไร?เล่าต่อเลยพี่”
“ก็พี่ไปกินเหล้าบ้านพี่ถนอมมา จู่ๆ เขาก็นอนหลับเหมือนหยุดหายใจ โชคดีที่พี่ปั๊มหัวใจไว้ทัน แล้วรีบพาส่งโรงพยาบาลเลยไม่เป็นอะไรมาก แต่สงสัยคำพูดคุณเนตรนี่แหละ เขาบอกเมื่อคือผีแม่ม่ายออกอาละวาดต้องมีคนตายในหมู่บ้านแน่ๆ”
ทศนนท์อึ้งนิ่งงันไป
พีรพรทำท่าขนลุกขนพอง “มีผีอีกแล้วเหรอพี่ ผมยิ่งกลัวๆอยู่”
ทศนนท์เปลี่ยนเรื่อง “กลัวก็ไปทำงาน อย่าไปสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
อนุชิตฉากหลบไปนั่งเงียบๆ ไม่กล้าพูดเรื่องผีอีก พีรพรเตรียมแฟ้มออกตรวจงาน
ทศนนท์นิ่งคิด
ฉลอง พ่อของเสถียร ถือถ้วยข้าวต้มเข้ามาในห้องนอนลูก พบว่าเสถียรนอนคลุมโปงตัวสั่นอยู่ในผ้าห่ม ส่งเสียงเรียกเข้มๆ ดุดันเด็ดขาดอย่างทหาร
“ลุกมากินข้าวได้แล้ว อย่าอ่อนแอ”
เสถียรค่อยๆ เปิดผ้าห่มออกท่าทางเหมือนคนจับไข้ ผมตั้ง
ฉลองตกใจ “นี่แกไปโดนอะไรมาถึงเป็นแบบนี้”
เสถียรแอ๊บแมนครับผมทันที “ผีมันหลอกครับพ่อ”
“ผีเผออะไร เป็นผู้ชายต้องไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
เสียงตะโกนเรียกของผู้ใหญ่จรัลดังมาจากนอกชาน
“เสถียร…เสถียรแกอยู่ไหม”
ฉลองเปิดประตูออกไปเรียก “อยู่นี่ผู้ใหญ่ เข้ามาเลย”
จรัลเดินเข้ามาในห้องนอน เห็นสภาพเสถียรแล้วหลุดขำก๊ากออกมา
“ทำไมสภาพแกเป็นแบบนี้วะ”
“ก็เจอทั้งผีแม่ม่ายทั้งผีแฝดอินจันหลอกพร้อมกันนี่”
“ผีแม่ม่ายข้าพอเข้าใจ แต่มันมีผีแฝดด้วยเหรอ ข้าเพิ่งเคยได้ยิน”
ฉลองไม่เชื่อ “ผีไม่มีหรอก มันคงเมาแล้วคิดไปเอง”
“ผมไม่ได้เมานะพ่อ ผมกินแค่น้ำผลไม้แล้วก็นั่งเป็นเพื่อนพี่ถนอมเฉยๆ”
“เมื่อคืนแกก็อยู่กับถนอมเหรอ เห็นนังมิ้นมันไปป่าวประกาศว่าผัวมันเกือบตายเพราะผีแม่ม่าย แถมยังประกาศว่าเจ้าแม่เนตรตาทิพย์บอกจะต้องมีคนตายในหมู่บ้านเราอีก”
เสถียรตกใจรีบลุกขึ้นแทบจะหายป่วย กลัวตาย “ผมหายแล้วผู้ใหญ่ จะให้ไปช่วยทำอะไรบอกมาได้เลยผมแข็งแรงดี”
เสถียรเบ่งกล้ามโชว์ ฝืนทำท่าแข็งแรง จรัลส่ายหน้าหน่ายๆ
“แกพักเถอะเดี๋ยวข้าไปดูถนอมมันหน่อย เห็นว่าคุณนุพาไปโรงพยาบาลแล้วเมื่อคืน”
เสถียรตกใจ “ถึงขนาดไปโรงบาลเลยเหรอผู้ใหญ่”
“ใช่ เพราะอาการมันหนักเกือบหยุดหายใจไปเฉยๆ เจ้าแม่บอกว่าผีแม่ม่ายคงจะมาเอาตัวมันไป โชคดีคุณนุช่วยปั๊มหัวใจไว้ทัน”
เสถียรพยักหน้ารับ อดครุ่นคิดอย่างแปลกใจไม่ได้
ตามทางเดินในป่าบ้านนางลับแล ทศนนท์เดินไปเปิดแฟ้มเอกสารคุยกับพีรพรและอนุชิตไปด้วย
“เราจะตัดถนนมาสุดทางด้านนี้ จะได้ตัดต้นไม้ให้น้อยที่สุด...”
แต่แล้วทศนนท์ก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างจนเกือบหกล้ม ทศนนท์หันมามองต้นตอ ถึงกับต้องตกใจเบิกตากว้าง
มันคือศพนายประกิตแต่งชุดผู้หญิงนอนตายตาเหลือกลาน อ้าปากค้าง
ทศนนท์ผงะถอยหลังออกด้วยความกลัว สายตายังจับจ้องที่ศพประกิตอย่างตกตะลึง
ภาพเหตุการณ์ตอนสุบรรณเหราสูบกินวิญญาณประกิตในโถงถ้ำผุดขึ้นมาในหัวของเขา
อนุชิตและพีรพรนำไปต้อง ต้องเดินกลับมาหา มองด้วยสีหน้าแปลกใจ
“พี่ทศเป็นอะไรหรือเปล่า...”
ทั้งคู่มองตามสายตาทศนนท์ไป แต่เห็นเหมือนคนนอนหันหลังอยู่ที่พื้น และทศนนท์จ้องเขม็งที่ร่างนั้นด้วยสีหน้าตกใจ พีรพรเพ่งมองเห็นเสื้อผ้านึกว่าเป็นผู้หญิง
“ผู้หญิงที่ไหนมานอนในป่าแบบนี้พี่ เมาหรือเปล่าเนี่ย”
ทศนนท์อึ้งนิ่งงัน ไม่ตอบอะไร จนอนุชิตถามขึ้น
“หัวหน้าเป็นอะไรไหม”
ทศนนท์หันมาหาแต่ไม่ยอมตอบอะไร พีรพรและอนุชิตสังหรณ์ใจรีบเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วพากันตกใจทั้งคู่
“เฮ้ย” พีรพรกระโดดไปหลบหลังทศนนท์แทบไม่ทัน “นี่มันผะผะผะ...ผีนี่”
ทศนนท์รีบตั้งสติ เดินตรงเข้าไปเอามืออังจมูกประกิตดูว่าตายแล้วจริงหรือไม่
“เขาตายแล้ว พวกคุณรีบเข้าไปแจ้งผู้ใหญ่ให้ออกมาดูศพที เดี๋ยวผมจะรออยู่ที่นี่”
พีรพรสยอง “จะรออยู่กับศพได้ยังไง เข้าไปกับพวกเราเถอะพี่”
“ไม่เป็นไรพี่อยู่ได้ รีบไปเถอะ”
“ครับ รีบไปเถอะพี”
พีรพรละล้าละลังมองห่วงทศนนท์ จนทศนนท์พยักหน้าบอกให้ไป
“รีบไปเดี๋ยวมืดมาจะลำบาก” อนุชิตลากตัวไป
“เดี๋ยวผมจะรีบมานะพี่”
ทศนนท์พยักหน้ารับ
นิรชากำลังทำความสะอาดห้องอยู่ จนมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น จึงหยิบมากดรับสาย
“ฮัลโหล มีอะไรจ๊ะ อะไรนะคิตตี้”
สีหน้านิรชาตื่นตกใจมาก แต่มีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้น เธอหันไปดู
“เดี๋ยวแป๊บนะคิตตี้”
นิรชาเดินไปเปิดประตูให้มาลียืนรออยู่หน้าห้อง
“ยายเข้ามาก่อนสิคะ เนียร์ดูดฝุ่นเสร็จแล้ว”
มาลีเดินเข้ามาแล้วมองไปรอบๆ ยิ้มพึงพอใจเมื่อเห็นห้องนอนถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย
“พอหลานกลับมาทุกอย่างก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลย”
นิรชาไม่ได้ฟังที่ยายพูด ตั้งอกตั้งใจฟังที่กฤตณีกำลังพูดในสาย
กฤตณียืนอวบอิ่ม คุยสายกับนิรชาอยู่ที่หน้าร้านบ้านนางลับแล
“จริงๆนะแก ตอนนี้ชาวบ้านกำลังไปดูศพกัน และคนที่เจอศพคนแรกคือคุณทศ ป่านนี้ไม่รู้เป็นไงบ้าง ฉันล่ะเป็นห่วงเขาจริงๆ เลย”
นิรชาตกใจเป็นห่วงทศนนท์ หลุดปากถามรัวเป็นชุด
“แล้วคุณทศเขาเป็นอะไรหรือเปล่า เขาละเมออีกหรือไง ทำไมถึงได้เข้าไปเจอศพในป่าได้”
กฤตณียิ้มขำ
“ดูแกเป็นห่วงคุณทศมากกว่าฉันอีกนะ นี่แค่เขาไปเจอศพนะไม่ได้เป็นศพ แกต้องลนลานขนาดนี้เลยเหรอ”
นิรชาได้สติ เสียงสูง
“เปล๊า…ฉันก็แค่อยากรู้ว่าอาการเขากำเริบอีกหรือเปล่าแค่นั้นเอง แต่ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้ว เดี๋ยวฉันโทรกลับไปอีกทีนะ อืม..อืม สวัสดี”
นิรชาวางสาย สีหน้ายังกังวลไม่คลาย มาลีมองเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก ดูเนียร์เป็นห่วงคุณ...ทศ…” มาลีไม่แน่ใจว่าเรียกชื่อถูกไหม
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คนรู้จักกันในหมู่บ้าน พอดีเขาป่วยชอบเดินละเมอบ่อยๆเนียร์เลยเป็นห่วงกลัวเขาจะได้รับอันตราย แล้วยายมีอะไรหรือเปล่าคะ” นิรชาตัดบท ไม่อยากให้ยายไม่สบายใจ
“ยายแค่มาตามลงไปกินข้าว เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นหมด”
“งั้นลงไปกันเลยนะคะ”
มาลีมองรู้ทัน นิรชารีบประคองยายพาเดินออกไป กลัวถูกซักถามเรื่องทศนนท์
ทรงกลดกำลังนั่งตรวจเอกสารสีหน้าจริงจัง แต้มร้องไห้โฮเข้ามา
“คุณกลดขา คุณกลด ฮือๆๆๆ”
ทรงกลดสงสัย “เกิดอะไรขึ้นแต้ม”
แต้มร้องไห้ไปพูดไป “พี่ประกิต พี่ประกิตตายแล้ว”
ทรงกลดชะงัก นิ่วหน้าประหลาดใจ “ทำไมถึงตาย”
แต้มร้องไห้คร่ำครวญ ระบดระบาย “ก็ฉันบอกพี่ประกิตแล้วว่าอย่าไป อย่าไปหลอกชาวบ้านอีก แต่พี่ประกิตก็ไม่ฟัง แล้วที่ตายนี่ก็ไม่รู้เป็นเพราะผีแม่ม่ายมันฆ่าหรือเปล่า”
ทรงกลดปลอบใจ “อย่าเพิ่งไปคิดอะไรเลย ตอนนี้รีบกลับหมู่บ้านเถอะ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงนะ ฉันออกให้หมด เอานี่ไปใช้ก่อน”
ทรงกลดควักเงินยื่นให้ แต้มยกมือไหว้รับเงินมา แล้วปล่อยโฮออกมาอีก
“ขอบคุณค่ะคุณทรงกลด ฮือๆๆ”
ทรงกลดพูดตะล่อมแต้มไว้ เพื่อไม่ให้เรื่องถูกสืบสวนไปกันใหญ่
“เออ ไหนๆ ประกิตมันก็ตายไปแล้ว อย่าส่งตัวมันไปให้ใครผ่าอะไรมันล่ะ สงสารมัน ให้มันตายอย่างสงบดีกว่า”
“ค่ะคุณทรงกลด งั้นแต้มไปก่อนนะคะ”
แต้มก้มหน้ารับเอาคำแล้วรีบเดินออกไป
ทรงกลดรอจนแต้มพ้นตัวไปแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทร.ออกหาขจร
“แกรู้เรื่องไอ้ประกิตหรือยัง ทำไมมันถึงตาย...”
ระหว่างนี้ บุษบาลาวัณย์ในสภาพทรุดโทรมยังไม่ดีขึ้น แอบฟังอยู่ตรงชานบันไดขึ้นชั้นบน ด้วยสีหน้าแปลกใจ
ตรงจุดเกิดเหตุวุ่นวายได้ที่ มีชาวบ้านกลุ่มใหญ่ที่รู้ข่าวตามมาดูศพจับกลุ่มเม้าท์ตามระเบียบ ตำรวจหัวหน้าทีมจากสน.ท้องที่ กำลังยืนคุยอยู่กับผู้ใหญ่จรัล หลังตรวจสอบสภาพศพประกิต
“ตามร่างกายพบเพียงรอยที่คอเหมือนรอยเล็บ เดี๋ยวต้องส่งไปตรวจอย่างละเอียดอีกทีครับ”
เชื่อมโพล่งขึ้น อวยเจ้าแม่เต็มที่ “เจ้าแม่พูดอะไรไว้ไม่เคยผิด บอกจะมีคนตายในหมู่บ้านก็มีจริงๆ”
ชาวบ้านมองหน้ากันตกใจ
“เจ้าแม่เนตรตาทิพย์สมคำร่ำลือจริงๆ พูดเหมือนตาเห็นไม่มีผิด” ผู้ใหญ่จรัลผสมโรง
พีรพรมองศพคาใจไม่หาย “แล้วทำไมเขาต้องใส่เสื้อผ้าเป็นผู้หญิงแบบนี้ล่ะครับ”
“มันคงกลัวผีแม่ม่ายถึงได้แต่งตัวแบบนี้”
เชื่อมแทรกขึ้นอีกว่า “ขนาดแต่งเป็นผู้หญิงมันยังไม่รอดเลย โธ่เอ๊ยไอ้ประกิต แกถึงคราวต้องสังเวยชีวิตตายตามเพื่อนแกไปจริงๆ”
“มันร้ายกาจนัก ถึงขนาดออกมาทำร้ายคนกลางหมู่บ้าน”
เนตรมายาได้แต่ส่งสายตามองทศนนท์ ไม่กล้าพูดตรงๆ ถึงปรางทิพย์ ทศนนท์หลบตาเจ้าแม่
จาริณีไม่เชื่อ “พวกคุณเห็นกับตาเหรอว่าผีแม่ม่ายเป็นคนฆ่า”
“ก็ใช่น่ะสิ” เชื่อมยืนยัน
จาริณีมองเจ้าแม่ “ถ้าเห็นขนาดนั้นแล้วทำไมถึงไม่ปราบให้ผีมันไปผุดไปเกิดเลยล่ะ เก่งนักไม่ใช่เหรอ”
“ทำไมจะไม่ปราบล่ะ เมื่อคืนเจ้าแม่ก็สู้กับมัน จนเจ็บถึงขนาดต้องไปโรงพยาบาลมาแล้ว” เชื่อมหันทางอนุชิต “ใช่ไหมคะคุณนุ”
“จริงครับ เมื่อคืนผมก็พาพี่ถนอมไปโรงพยาบาลมาเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เจ้าแม่ช่วยไว้พี่ถนอมคงตายไปแล้ว”
จรัลกังวลและนึกแค้นที่ลูกชายตายเพราะผีแม่ม่าย “นี่มันออกมาอาละวาดอีกแล้วเหรอ ต้องหาทางกำจัดมันให้ได้นะเจ้าแม่ ลูกบ้านฉันต้องไม่ตายฟรี”
“พ่อ…” จาริณีขัดใจ
“แกไม่เชื่อก็อยู่เฉยๆ ไอ้จาวมันตายไปทั้งคนข้าต้องหาวิธีล้างแค้นให้มันให้ได้”
“ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามเสถียรดูสิ เมื่อคืนมันก็วิ่งหนีผีเหมือนกัน” เชื่อมว่า
“มิน่าล่ะ มันถึงได้จับไข้หัวโกร๋น บอกเจอทั้งผีแม่ม่ายกับผีแฝดสองหัว” จรัลบอก
ไทยมุงมองหน้ากัน ซุบซิบๆ กันไป
ทศนนท์หน้าเครียด ไม่สบายใจ กังวลไม่คลาย อนุชิตเดินออกไปโทรศัพท์ส่งข่าวมินตา
เสถียรยืนเก๊กแมน จัดทรงผมอยู่ที่หน้ากระจก แล้วหันไปถามฉลอง
“เป็นไงพ่อ ผมกลับมาหล่อเหมือนเดิมยัง”
“เออ อย่างนี้สิ ค่อยเป็นลูกข้าหน่อย ว่าแต่เมื่อไหร่แกจะพาสะใภ้มาให้ข้าดูตัวสักทีวะ ข้าอยากจะอุ้มหลานแล้ว”
เสถียรอึ้งไป
“ใจเย็นๆ นะพ่อ ผมขอสร้างเนื้อสร้างตัวให้มั่นคงก่อน”
เสียงเชื่อมตะโกนเรียกดังลั่น “เสถียร…เสถียร”
เสถียรได้จังหวะรีบชิ่งลงเรือนไปทันที “ครับ อยู่นี่ครับ”
เสถียรลงเรือนมาแล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นทุกคนยืนรออยู่เป็นแผง
“มาทำอะไรกันเยอะแยะเนี่ย”
“ฉันอยากให้แกช่วยมายืนยันหน่อย ว่าแกวิ่งหนีอะไรเมื่อคืนใช่ผียาย…” เชื่อมปรายตามองทศนนท์เกรงๆ แต่ก็ต้องพูดออกไป “คุณปรางหรือเปล่า”
เสถียรโมโหขึ้นมาทันที “พูดแล้วเจ็บใจ ผมก็นึกว่าผีหลอก ที่ไหนได้เป็นไอ้ประกิต มันเล่นพิเรนทร์อะไรของมันก็ไม่รู้ นี่ถ้าไอ้มิ่งไม่ส่งรูปศพไอ้ประกิตมาให้ดู ผมคงคิดว่าผมโดนแล้วแน่ๆ”
“หรือเขาอาจจะเมายาจนเกิดภาพหลอนก็ได้นะ ถึงได้มีพฤติกรรมแปลกๆ” จาริณีตั้งข้อสังเกต
เชื่อมไม่ยอมแพ้ถามย้ำ “แล้วผียายคุณปรางล่ะแกเห็นไหม ที่เป็นยายแก่ผมขาวหน้าตาน่ากลัวน่ะ”
เสถียรพยายามนึก “ไม่เห็นนี่ครับ เห็นแต่ผีแฝดสองหัว”
“นั่นผีที่ไหน ฉันกำลังพยุงเจ้าแม่ต่างหาก” เชื่อมบอก
เสถียรอึ้งไป “งั้นก็ผีปลอมทั้งหมดน่ะสิ”
เนตรมายาโพล่งขึ้น “ปลอมที่ไหน ประกิตมันก็ตายไม่เห็นเหรอ”
มินตาเดินเข้ามาสมทบ ส่งเสียงดังผสมโรง
“ใช่ ไหนจะผัวฉันเกือบจะตายอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ผีจะเป็นอะไร”
จาริณีไม่พอใจ “ยังไม่ทันได้ตรวจละเอียด อย่าเพิ่งกล่าวหาใครสิ อยู่ๆจะไปกล่าวหาคุณปรางกับยายเขาแบบนั้นไม่ได้นะ”
เชื่อมเริ่มโมโห ออกโรงอีกรอบ “ไม่ได้อะไร ก็ฉันเห็นมากับตา ทั้งสองข้างว่าผียายแก่นั้นกำลังจิกคอไอ้ประกิต แกเองยังวิ่งสาวแตกออกมาเลย”
ฉลองที่ตามลงมาฟังเงียบๆ สะดุดหูชะงักกึก เสถียรสะดุ้ง มองพ่อกลัวๆ ปฏิเสธลั่น
“สาวแตกตรงไหนพูดดีๆ นะป้า”
“ใครป้าแก ดูหน้าฉันยังไม่แก่เท่าพ่อแกเลย อีกอย่างแกกรี้ดดังขนาดนั้น ไม่ให้เรียกสาวแตกจะให้เรียกตุ๊ดแตกหรือยังไง”
ฉลองและทุกคนอึ้งไป จาริณีหันมองหน้าเสถียรด้วยความเห็นใจ เพราะรู้เรื่องเสถียรดี รีบช่วยพูด
“ไม่เห็นต้องว่ากันเลยนี่คะ พี่เสถียรเขาไม่เห็นก็เพราะมันไม่มีจริงๆ”
มินตาจิกตาใส่ “รีบปกป้องเลยนะน้องจ๋า เอ หรือว่าคู่นี้เขาจะรักกัน เปิดตัวไปเลยไหมล่ะ”
ทุกคนอึ้งไปทั้งแถบ
จรัลมองเสถียรทีมองลูกสาวที “นี่แก...แกสองคน”
เสถียรเก๊กแมน ตะโกนก้อง “พอกันที ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันรักจ๋ามานานแล้วโว้ย”
ทุกคนตกใจ จาริณีงงหนักกว่าใครอื่น
“จ๋าคือคนที่เข้าใจฉันที่สุด ฉันกับจ๋าไปไหนมาไหนด้วยกัน ฉันชอบแอบใส่ชุดจ๋า และเราก็ผลัดกันถักเปียเพราะฉันเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิง พอใจหรือยัง...”
ฉลองถีบเสถียรเต็มตีน ส่งลูกชายใจหญิงลงไปกองกับพื้น
“แกไม่ใช่ลูกข้า ข้ามีลูกชายแค่คนเดียว”
เสถียรร้องไห้โฮระบายออกมาด้วยความอัดอั้น “แต่ฉันเป็นลูกพ่อนะ พ่อต้องเป็นคนที่เข้าใจฉันที่สุดสิ ไม่ใช่ทิ้งฉันตอนที่ฉันไม่มีใคร ขนาดแม่รู้ แม่ยังอยู่ข้างๆ และคอยปกป้องฉันเลย”
“แต่แม่แกตายไปแล้ว และลูกชายข้าก็ตายไปแล้วเหมือนกัน”
ฉลองเดินออกไปอย่างโกรธจัดและเจ็บปวด
เสถียรร้องไห้อย่างน่าเวทนา จาริณีสงสารเข้าไปประคองปลอบใจ
เนตรมายา เชื่อม มินตา สบตากันแล้วเบะปาก
จรัลมองท่าทีแข็งกร้าวของฉลองแล้วอดสงสารเสถียรไม่ได้ “ไม่เป็นไร ไปพักบ้านข้าก่อน รอให้พ่อแกใจเย็นแล้วค่อยว่ากัน”
เสถียรซาบซึ้ง โผไปกอดร้องไห้โฮ ผู้ใหญ่ทำหน้าไม่ถูก
ทุกคนรวมตัวกันอยู่ในศาลาหน้าบ้านผู้ใหญ่จรัล จาริณีคอยคุยให้กำลังใจ ปลอบใจเสถียร เว้นกลุ่มเจ้าแม่
เสถียรยกมือไหว้จรัล “ขอบคุณผู้ใหญ่มากครับ”
“คะสิวะเถียร ต่อจากนี้แกเป็นลูกสาวแล้วนะ” ผู้ใหญ่ว่า
จาริณีน้ำตาคลอ “ใช่ๆ เป็นพี่สาวจ๋าได้อย่างเต็มตัวแล้วนะ เจ๊น้ำหวาน”
เสถียรซาบซึ้งหนัก “แล้วผู้ใหญ่ไม่ว่าอะไรเหรอครับ...คะ”
จรัลหัวเราะหึหึในลำคอ โอบจ๋ากับเสถียรคนละข้าง “จะว่าอะไรล่ะ ตอนนี้ดีใจยิ่งกว่าถูกหวยเสียอีก”
“ดีใจที่น้ำหวานมาอยู่ที่นี่เหรอคะ”
“ดีใจที่ไม่ได้แกเป็นลูกเขยโว้ย”
จรัลหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ
“ฟ้าผ่าพอดี ตอนนี้หัวใจน้องจ๋ามีแต่...” เสถียรเกือบหลุดชื่อหมอ
จาริณีขยิบตาขอร้อง “พี่เถียร”
เสถียรมองจิก “เจ๊น้ำหวานจ้า”
“เออ เดี๋ยวพ่อจะไปรับแม่แกในเมืองแล้วกะจะทำธุระนิดหน่อย เย็นๆพ่อถึงจะกลับนะ จะเอาอะไรไหม” ตอนท้ายผู้ใหญ่มองมายังเจ๊น้ำหวาน
“เอาวิกผม เอาลิปสติก เอา…”
“พอๆ” จรัลยกมือห้ามเซ็งๆ
เสถียรกับจาริณีหัวเราะคิกคัก สบายใจแล้ว
ที่โถงบ้านทรงกลดในตัวเมือง ขจรรีบเข้ามารายงานให้ทรงกลดฟังเรื่องสภาพศพประกิต
“หมอปรัชบอกว่าตามร่างกายไม่มีร่องรอยถูกทำร้าย นอกจากรอยที่คอ แต่เดี๋ยวต้องรอส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลในเมืองอีกที ถึงจะทราบสาเหตุแน่ชัด”
ศรชัยเสริมขึ้นว่า “ดีที่แต้มมันไม่ยอมให้ผ่าศพผัวมัน มันบอกว่าจะเอาศพไปเผาที่อื่น แล้วก็จะไม่อยู่หมู่บ้านนี้แล้วครับ”
“ชาวบ้านเลยลือกันใหญ่ว่าผีแม่ม่ายมันฆ่าไอ้ประกิตครับ”
ทรงกลดสงสัย “แล้วตกลงมันตายได้ไง”
“พวกผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับนาย”
“หรือว่ามันจะกินน้ำผลไม้ที่เอาไปแจกชาวบ้าน” ขจรว่า
“ไม่น่าหรอก เพราะผมไม่ได้เอาไปแจกมัน และคืนนั้นมันก็ไม่ได้กินเหล้าด้วย”
ทรงกลดยิ้มร้าย “ต่อให้มันกินก็ไม่มีใครตรวจเจอหรอก”
“ทำไมเหรอครับนาย” ขจรสงสัย
“ก็มันเล่นยาหนักขนาดนั้น ตรวจไปก็เจอแต่สารเสพติดอยู่ดี”
ขจร กะศรชัยยิ้มชื่นชมในความฉลาดของเจ้านาย
“นายนี่ฉลาดหลักแหลมจริงๆเลยนะครับ”
“ไม่ว่าใครจะตายก็เป็นผลดีต่อนายทั้งนั้น” ขจรว่า
ทรงกลดยิ้มชั่ว “ยิ่งตายเยอะยิ่งดี งั้นพวกแกรีบฉวยโอกาสนี้ไปปั่นเรื่องผีแม่ม่ายให้ชาวบ้านมันกลัวให้มากที่สุด เดี๋ยวฉันจะเข้าไปทำธุระในหมู่บ้านหน่อย พวกแกก็รีบไปกันเลย”
ทรงกลดยิ้มสุขสม แผนการฮุบที่ดินที่วางไว้กำลังจะสมฤทธิ์ผล
ปรางทิพย์นั่งสมาธิอยู่บนเตียงนอน บัวคำเดินถือชุดกาต้มยาเข้ามา ก่อนจะเทยาใส่แก้วให้
“แม่หญิงกินยานี้ก่อน”
“ขอบน้ำใจพี่นัก ที่คอยอยู่ดูแลข้า”
“ข้าจักไม่มีวันทิ้งแม่หญิงให้ต้องเผชิญปัญหาอยู่เพียงผู้เดียวดอก” บัวคำมีสีหน้าเปลี่ยนเป็นกังวล “ตอนนี้ข้าห่วงแต่…”
“เรื่องบุษบาลาวัณย์รึ นางคงไม่ยอมรามือง่ายๆ”
บัวคำคาใจ “เหตุใดนางถึงดื้อดึงจะเอาตัวคุณทศไปให้ได้”
“เพราะนางคิดว่าคุณทศคือพี่เทศ และคงยังคิดแค้นเรื่องในอดีตที่นางถูกจองจำ การที่นางออกมาครั้งนี้ นางคงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ข้ากับพี่เทศไม่สมหวังเป็นแน่”
บัวคำหนักใจ “แล้วแม่หญิงจักทำเช่นใด”
ปรางทิพย์นิ่งคิดสีหน้าเครียดเคร่ง
มีเสียงทรงกลดตะโกนเรียกดังมาจากหน้าบ้านแทรกขึ้น
“คุณปราง…คุณปรางอยู่ไหมครับ”
บัวคำมองหน้าเชิงถาม ปรางทิพย์พยักหน้ารับเชิงบอกว่าตนจะลงไป
ในเวลาต่อมา บัวคำเดินนำทรงกลดเดินเข้ามานั่งรอที่ห้องรับแขก เขามองไปรอบๆ อย่างตื่นตา ชื่นชมของเก่ามากมีที่ประดับตกแต่งตามมุมต่างๆ ของบ้าน อย่างสวยงาม
ปรางทิพย์เดินเข้ามา ยิ้มทักทาย “สวัสดีค่ะคุณทรงกลด”
“สวัสดีครับคุณปราง ขอโทษที่มารบกวนนะครับ”
ปรางทิพย์ลงนั่ง ยิ้มให้ “คุณทรงกลดมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมเอาแผนที่มาให้ครับ ขอโทษนะครับที่ให้รอนาน”
ทรงกลดยื่นแผนที่หนังสัตว์ให้ ปรางทิพย์รับมา แล้วกางออกดู “ไม่เป็นไรค่ะฉันเข้าใจ คุณเองก็งานยุ่ง ขอบคุณนะคะที่เป็นธุระให้”
ทรงกลดยิ้มกริ่ม “ยินดีอย่างยิ่งครับ”
ปรางทิพย์ดูแผนที่ ด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจ
“นี่มันเป็นแผนที่ในป่านางลับแลนี่คะ”
ปรางทิพย์ไล่สายตามองจุดต่างๆ ในแผนที่หนังสัตว์ มีการทำเครื่องหมายเป็นทางเดินจุดต่างๆ เชื่อมโยงกัน
“ใช่ครับ นี่เป็นแผนที่แผ่นเดียวที่ไม่ถูกกากบาททิ้ง ผมเลยเอามาให้คุณดู”
ปรางทิพย์สงสัย “แปลว่ามีหลายใบเหรอคะ”
“ครับ แผนที่ทั้งหมดพ่อบอกว่าเป็นของปู่เทศที่ฝากไว้กับปู่ผม และแผ่นนี้ปู่เทศฝากไว้แล้วหายตัวไปไม่กลับมาอีกเลย เหมือนท่านอยากจะบอกว่าท่านจะเข้าไปที่นี่หรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ
ปรางทิพย์ลูบแผนเบาๆ ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ส่วนที่ร้านค้าบ้านกฤติณี ศักดิ์เอากาแฟมาเสิร์ฟให้โต๊ะขจร และ ศรชัย ซึ่งมากระจายข่าวเรื่องรับซื้อที่ดินให้ชาวบ้านตามคำสั่งเจ้านาย
“กาแฟกับโอเลี้ยงมาแล้วจ้า”
“ขอบคุณนะน้าศักดิ์ แล้วน้าไม่คิดจะขายที่บ้างเหรอ” ขจรถาม
“จะไปขายทำไมอยู่มาตั้งนาน ในเมื่อฉันทำดีก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย”
ชาวบ้านชายเดินเข้ามาสมทบ “น้าศักดิ์ไม่กลัวเหรอ นี่ไอ้ประกิตก็เพิ่งตายนะ ไม่รู้นังผีนั่นมันจะมาเอาใครไปอีก ฉันคนหนึงละ ไม่อยากอยู่แล้ว”
หญิงชาวบ้านเสริมว่า “ฉันก็เหมือนกัน กะจะขายแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น เห็นคุณทรงกลดรับซื้อ แล้วยังมีน้ำใจหาที่หาทางให้อยู่อีกใช่ไหม”
ขจรพยักหน้าให้ “ใช่จ้ะ คุณทรงกลดเป็นห่วง กลัวชาวบ้านจะเดือดร้อน เลยต้องยื่นมือเข้ามาช่วยถ้าพี่จะขายก็ไปติดต่อที่สำนักเนตรตาทิพย์เลยนะ”
ศรชัยโพนทะนาเสริมว่า “ยังไงก็บอกต่อด้วยนะครับ เดี๋ยวพวกผมจะให้ทีมงานมาช่วยทำเอกสารและรับซื้อขายกันเลย อยู่ไปก็อันตราย ไม่รู้จะตายวันไหน สู้ขายแล้วออกไปใช้ชีวิตใหม่จะดีกว่า”
“ได้ๆ ขายๆไปให้หมด รักษาชีวิตไว้ก็พอ ไม่ตายก็หาเอาใหม่ได้” หญิงชาวบ้านว่า
ตาลฟังอยู่นาน แทรกขึ้นว่า “แกจะได้อดตายเพราะไม่มีงานน่ะสิ”
กฤตณีเข้ามาสมทบ พูดชี้แจงให้ข้อคิดชาวบ้าน “ใช่ พวกพี่คิดดูสิ ถ้าพวกพี่ไปก็ต้องหางานใหม่ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วจะไปทำอะไร”
ขจรกะศรชัยเริ่มเห็นท่าไม่ดีรีบเบี่ยงประเด็นทันที
“เอาละๆ จะคิดกันยังไงก็รีบตัดสินใจกันดูนะครับ ตอนนี้คุณทรงกลดให้ราคาดีขนาดนี้ไม่รีบขาย ไปขายตอนราคาตกก็ช่วยไม่ได้นะครับ”
ชาวบ้านส่วนใหญ่พยักพเยิดกันไป ต่างเห็นด้วยที่จะขายที่ดิน
“ฉันขายๆ เดี๋ยวจะรีบไปเอาเอกสารเลย”
“ฉันด้วยๆ ไม่อยู่แล้ว กลัวตาย”
ขจรและศรชัยมองหน้ากันแล้วยิ้มสมใจ ศักดิ์กะตาลได้แต่มองหน้ากันพลางส่ายหน้า เซ็งเบาๆ ที่ไม่มีใครฟัง กฤตณีทะแม่งๆ สงสัยเต็มประตู
“แม่ว่ามันดูแปลกๆ ไหม เรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ”
ที่โต๊ะอาหารบ้านทรงกลด บุษบาลาวัณย์กำลังจะตักอาหารแต่รู้สึกระคายคอ เธอพยายามไอออกมาจนไอออกมาเป็นเลือด คราบเลือดกระจายเต็มไปทั่วโต๊ะ สีหน้าเธอตกใจเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติแล้วหลับตาทำสมาธิ
แจง สาวใช้ที่มาทำงานแทนแต้มเข้ามาเห็นก็ตกใจกลัว ทำอะไรไม่ถูกตะโกนให้คนช่วย
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย คุณบุษบาเป็นอะไรไม่รู้”
คมสันได้ยินเสียงเอะอะ รีบเดินเข้าดู มองอย่างตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเป็นแบบนี้”
“แจงก็ไม่รู้ค่ะ แจงเข้าไปเอากับข้าวในครัว พอออกมาก็เป็นอย่างที่เห็นแล้วค่ะ”
“โทร.ตามหมอหรือยัง”
บุษบาลาวัณย์รีบยกมือห้าม บอกเสียงแข็ง “ไม่ต้อง! เดี๋ยวฉันก็ดีขึ้น”
คมสันทำเป็นห่วงใย “ป่วยขนาดนี้ไปให้หมอตรวจดูก่อนเถอะ เป็นอะไรจะได้รักษาทัน”
“ขอบคุณ...ค่ะ ฉันขอขึ้นไปพักก่อน เดี๋ยวก็หาย”
คมสันสีหน้าเป็นกังวล กลัวลูกชายจะเดือดร้อนถ้าหากบุษบาลาวัณย์เกิดเป็นอะไรในบ้าน
“ช่วยพาคุณบุษไปพักข้างบนที ถ้าเขาอยากได้อะไรก็รีบหาให้ และคอยดูแลเขาด้วย”
“ค่ะท่าน”
บุษบาลาวัณย์มองคมสันอย่างซาบซึ้งใจ แจงช่วยพยุงบุษบาลาวัณย์ออกไป
คมสันมองตามอย่างกังวลไม่คลาย
ฝั่งปรางทิพย์กับทรงกลดนั่งคุยกันที่ห้องรับแขกได้สักพักใหญ่แล้ว จนบัวคำพาทศนนท์เดินเข้ามาในบ้าน สองหนุ่มมองเขม่นกัน ไม่มีใครยอมให้กัน ทศนนท์โมโหหึงประชดประชันในทีว่า
“ผมมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มในสีหน้ารู้ทัน “ไม่หรอกค่ะ ฉันคุยธุระกับคุณทรงกลดเรียบร้อยแล้ว”
ทรงกลดสูดหายใจเข้าแล้วลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ พี่บัวคำช่วยไปส่งคุณทรงกลด...”
“ไม่เป็นไรครับคุณปราง เอาไว้ผมจะมาหาใหม่ ขอตัวนะครับคุณทศ”
ทรงกลดหันมาทางทศนนท์ อีกฝ่ายพยักหน้ารับแกนๆ ทรงกลดลุกเดินพ้นตัวออกไป
ทศนนท์เห็นแผนที่หนังสัตว์บนโต๊ะกลาง เพ่งมองอย่างสนใจ
“นี่แผนที่อะไรเหรอครับ ดูเหมือนเป็นของเก่า”
“เป็นแผนที่ป่านางลับแลและทางไปน้ำตกที่มีคนเคยทำไว้ค่ะ”
ทศนนท์อึ้งไป มองปรางทิพย์นิ่งๆ นึกเชื่อมโยงไปถึงการตายของประกิต แต่ไม่กล้าถามตรงๆ
“ที่น้ำตกเหมือนมีอะไรลึกลับที่ยังไม่มีใครเข้าถึง วันนี้ผมก็เพิ่งเจอศพชาวบ้านอีกคนในป่า”
ปรางทิพย์ตกใจหันมองบัวคำอย่างรู้กัน
“ค่ะ มีคนเจอชาวบ้านตายที่นั่นหลายรายแล้ว”
“คนที่ตายเป็นคนเดียวกับที่ผมเห็นในถ้ำ คุณปรางพอจะตอบผมได้ไหมครับว่า...ทำไมประกิตถึงถูกฆ่า”
สีหน้าจริงจังของผู้ถาม ทำเอาปรางทิพย์กับบัวคำอึ้ง นิ่งงันไปทั้งคู่
เนตรมายากับเชื่อม พากันซุ่มด้อมๆ มองๆ เข้าไปด้านใน จากริมรั้วบ้านปรางทิพย์
“คุณทศนะคุณทศ เจ้าแม่เตือนยังไงก็ไม่ฟัง ยังจะมาให้มันหลอกอีก เดี๋ยวก็ตายจริงๆหรอก”
เชื่อมนึกได้รีบปิดปาก หันไปมองเจ้าแม่หน้าจ๋อยๆ
“ฉันไม่มีวันปล่อยให้มันเอาตัวคุณทศไปได้หรอก คุณทศเองก็ดื้อรั้น เจ็บตัวเพราะมันตั้งกี่รอบยังไม่รู้จักจำ”
เชื่อมนึกสงสารเนตรมายา “ทำไมเจ้าแม่ต้องคอยปกป้องเขา ทั้งที่เขาไม่เคยเห็นหัวเลย”
เนตรมายามองดุปรามเชื่อมในที
สองคนชะงักแปลกใจ เมื่อเห็นทรงกลดขับรถผ่านประตูรั้วออกมา
“คุณกลดมาทำอะไรที่นี่
ทรงกลดเองก็เห็นเนตรมายากับเชื่อม จอดรถลงมาคุยด้วยความแปลกใจ
“ผมต้องถามพวกคุณมากกว่า ว่ามาทำอะไรหน้าบ้านคุณปราง”
“เจ้าแม่ก็จะมาจับนังผีที่ฆ่าไอ้ประกิตน่ะสิคะ มันเป็นยายของนังคุณปรางนั่น” เชื่อมบอกอย่างมีอารมณ์
ทรางกลดไม่เชื่อ “ไร้สาระ ในบ้านคุณปรางผมเห็นมีแค่ผู้หญิงสองคน ไม่เห็นคนก่งคนแก่เลย อ้อ…แล้วก็มีคุณทศอีกคนแค่นั้นเอง”
“ก็มันบังตาอยู่ คุณจะไปรู้อะไร” เจ้าแม่ว่า
ทรงกลดอ่านออก “ผมว่าไอ้ที่บังอยู่คงเป็นความรักมากกว่ามั้ง”
“ความรักอะไร”
ทรงกลดยิ้มเยาะ “คุณเนตร…ใครก็รู้ว่าคุณชอบใครอยู่ ผมว่าเอาเวลาที่ตามหึงหวงไปทำงานของผมให้เสร็จน่าจะดีกว่านะ”
เชื่อมโพล่งขึ้น “แต่บ้านนี้มันเป็นผีจริงๆนะคะคุณทรงกลด”
“พูดไปคุณทรงกลดเขาก็ไม่เชื่อหรอกป้าเชื่อม เพราะความรักก็กำลังบังตาเขาอยู่เหมือนกัน” เจ้าแม่บอก
ทรงกลดรำคาญ ยกมือตัดบท “พอๆ เลิกเอาเรื่องส่วนตัวมามั่วกับเรื่องงานได้แล้ว พวกคุณควรรีบกลับไปที่สำนักแล้วลงมือทำงานให้คุ้มค่าจ้างผมหน่อย”
เนตรมายากับเชื่อมมองหน้ากัน เถียงไม่ออก มีเสียงโทรศัพท์ทรงกลดดังขัดขึ้น เขากับรับสายจากขจรทันที
“เป็นไงบ้างขจร”
ขจรคุยสายอยู่ที่ชานเรือน สำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์
“ตอนนี้นายอยู่ไหนครับ พวกชาวบ้านกำลังเอาโฉนดมาติดต่อขายที่กันเยอะเลยครับ”
“งั้นพวกแกรับหน้าไปก่อน แล้วให้ชาวบ้านไปรอที่สำนักได้เลย”
ทรงกลดยิ้มกริ่มพอใจที่แผนใกล้จะบรรลุเป้าหมายเต็มที
ขจรกับศรชัยกำลังง่วนกับเอกสาร และชาวบ้านต่างพากันมะรุมมะตุ้มอยากขายที่ รับเงินเร็วๆ
บรรยากาศวุ่นวายจนมินตาต้องปรบมือให้หยุดฟัง “อ้าวๆ ทุกคนเข้าแถวๆ หน่อย ใครมาก่อนมาหลังลงชื่อไว้ ได้ขายกันทุกคนจ้าไม่ต้องห่วง”
“ข้ามาก่อนนะ นังมิ้นทำให้ข้าก่อน”
ขจรปากหวานพูดจาเอาใจสุดขีด “เอกสารเตรียมมาเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับคุณป้า”
ชาวบ้านหญิงยื่นเอกสารให้ขจร “เรียบร้อยดีไม่มีติดหนี้ที่ไหนจ้าพ่อหนุ่ม”
“เดี๋ยวคุณป้าไปลงแสดงความจำนงจะขายที่ด้านนั้นนะครับ”
ขจรตรวจดูแล้วชี้ไปทางศรชัยที่โบกมือรออยู่
“วางโฉนดด้านนี้เลยครับคุณป้า จะได้รับเงินค่ามัดจำไปนอนกอดก่อนเพื่อความสบายใจ”
ทรงกลดเดินยิ้มหล่อ มาดพ่อพระ ดูดีมีเมตตา ชาวบ้านต่างมองอย่างชื่นชมทรงกลด
“พ่อคุณเอ๊ย ให้เจริญๆนะที่มาช่วยพวกเราให้พ้นทุกข์” ชายชาวบ้านในกลุ่มยกยอชื่นชม
ทรงกลดยิ้มแสนดี “ยินดีครับ แล้วใครไม่มีที่อยู่ก็ติดต่อทีมงานเหล่านี้ได้เลยนะครับ เดี๋ยวพวกเขาจะได้จัดการทุกอย่างให้ พวกท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยวิ่งวุ่นเอกสารเอง”
“เป็นบุญของพวกเราชาวนางลับแลจริงๆ ที่มีคนอย่างคุณทรงกลดเข้ามาช่วย” ป้าคนหนึ่งว่า
ทรงกลดยิ้มภูมิใจ “ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องห่วงนะครับ ผมเตรียมไว้ให้พอสำหรับทุกท่านอยู่แล้ว”
เนตรมายาและเชื่อมตามขึ้นมา ได้แต่ยืนมองทำอะไรไม่ถูก จนมินตาหันมาเห็น
“อ้าวเจ้าแม่ ป้าเชื่อมมาด้านนี้เลยจ้า ช่วยฉันนับเงินให้ชาวบ้านที”
เนตรมายากับเชื่อมเดินเข้าไปสมทบกับมินตา ทุกคนต่างพากันทำเอกสารและรับเงินกันอย่างวุ่นวาย
ชาวบ้านพากันทยอยกลับไปจนหมดแล้ว มินตาดูเอกสารด้วยความดีใจ หันมารายงานกับทรงกลด
“ที่มาขายที่วันนี้ ส่วนใหญ่จะอยู่แนวชายป่าฝั่งตะวันตกเกือบทั้งหมดค่ะคุณทรงกลด จะเหลือแค่ที่ของนังขวัญที่ยังไม่ขาย”
“ขวัญไหน ใช่ขวัญเมียไอ้บอลหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ แต่ดูท่ามันจะหวง ไม่ยอมขายง่ายๆ เพราะเป็นที่ของปู่ย่ายกให้ และมันก็รักที่ดินแปลงนี้มาก ขนาดไอ้บอลตายมันยังไม่ยอมย้ายไปไหนเลย”
ทรงกลดครุ่นคิดจำได้ว่าขวัญเคยเซ็นรับเอกสารจากไพศาล
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ทรงกลดกดสายโทร.หาทนายไพศาล “ฮัลโหล…คุณไพศาล ว่างไหม…รีบเข้ามาในหมู่บ้านนางลับแลเลยนะ ผมมีเรื่องให้ช่วยหน่อย…โอเคๆ”
ทรงกลดยิ้มร้ายออกมาเต็มสีหน้า
อีกฟาก นิรชากับมัทนากำลังช่วยกันทำกับข้าวในครัว เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น นิรชารีบรับเดินออกมาคุยสาย ด้วยสีหน้าแช่มชื่นมีความสุข
“ว่าไงแก คิดถึงอะตี้” สีหน้าระรื่นเปลี่ยนเป็นตกใจ “อะไรนะ”
มัทนาหันมามองลูกสีหน้าแปลกใจ
“ว่ามาแก มีอะไรเกิดขึ้นอีก”
“ตอนนี้ชาวบ้านแห่กันไปขายที่ให้นายทรงกลดเกือบหมดแล้ว แถมยังจะพาเด็กๆย้ายไปอยู่ที่อื่นอีก ฉันไม่รู้จะห้ามยังไงแล้วเนี่ย และยังไม่หมดนะแก ตะกี้พี่ขวัญก็เพิ่งมาร้องห่มร้องไห้ว่าโดนนายทรงกลดกับทนายโกงอีก”
“โกงยังไงเหรอ”
“ก็นายนั่นหลอกให้พี่ขวัญเซ็นเอกสารเงินกู้น่ะสิ ฉันว่าแล้วต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล”
“งั้นเดี๋ยวฉันจะรีบกลับ”
“จะดีเหรอ แกแม่กับยายแกจะไม่ว่าเอาเหรอ”
“ไม่เป็นไร แม่กับยายฉันคุยได้”
“แกจะกลับมายังไง รถก็อยู่นี่ หมอปรัชก็กลับมาแล้วด้วย”
“เออน่า…งั้นแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวโทร.กลับอีกที”
นิรชาวางสาย แล้วหันมากอดอ้อนเอาใจมัทนา
“แม่คะเนียร์ขอยืมรถหน่อยนะคะ ที่หมู่บ้านเกิดเรื่อง เนียร์ต้องรีบกลับไปช่วย”
มัทนางอนใส่ “เกิดเรื่องอะไร อยู่ๆจะทิ้งแม่กับยายกลับไปชะงั้น”
มาลีเดินเข้ามาทันได้ยิน “ใครจะไปไหนกันเหรอ”
“ก็หลานรักแม่ไงคะ ทำตัวเป็นจิตอาสาจะรีบไปช่วยชาวบ้านอีกแล้ว”
มาลียิ้ม เข้าใจ “ปล่อยเขาไปเถอะ โตขนาดนี้แล้ว”
นิรชารีบเข้ามากอดประจบมาลี “ยายใจดีที่สุดเลย”
มัทนามองค้อนแกล้งงอนลูก “อะไร แม่ยังไม่ได้พูดสักหน่อยว่าไม่ให้ไป”
นิรชาหันมาสวมกอดอ้อนแม่อีกรอบ “แม่ก็ใจดีสุดๆไปเลย”
“แม่ไม่ห้ามเนียร์หรอกลูก เพราะแม่เชื่อว่าสิ่งที่เนียร์ทำจะต้องเป็นสิ่งที่ดี ขอแค่เนียร์สัณญากับแม่ได้ไหมว่าจะดูแลตัวเองให้ดี และไม่ทำอะไรที่มันเสี่ยงเกินไป”
“ค่ะแม่”
นิรชายิ้มให้ แต่กังวลลึกๆ ในใจ มัทนาและมาลีมองห่วงนิรชา
ปรางทิพย์นั่งมองแผนด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ทำไมพี่เทศต้องทำแผนที่เข้าไปน้ำตกนางลับแลด้วย”
“หรือว่าพ่อเทศจะหาทางกลับเข้าไปหาแม่หญิง” บัวคำว่า
ปรางทิพย์เจ็บใจ “จะหาทางกลับไปอีกทำไม ในเมื่อพี่เทศเลือกที่จะหนีไปกับ...”
พูดออกไปแล้วทำเอาปรางทิพย์น้ำตารื้นจุกที่คอหอย บัวคำเองก็อึ้งไป พูดไม่ออก
ปรางทิพย์มองแผนที่ในมือกำแผนที่แน่นด้วยความโกรธ ทั้งรักทั้งแค้นเทศและมัลลิกานารี
ที่กรุงเทพฯ นิรชากำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเตรียมกลับหมู่บ้านนางลับแล จนมีเสียงมาลีเคาะประตูเรียก
“ยายเข้าไปได้ไหม”
“เข้ามาเลยค่ะ”
มาลีเปิดประตูเข้ามา มองนิรชาอย่างแปลกใจ
“จะต้องรีบขนาดนี้เลยเหรอลูก”
นิรชาละงานหันมาสวมกอดยาย ออดอ้อน “เนียร์ขอโทษนะคะ แต่เนียร์ต้องรีบไปช่วยเด็กๆและชาวบ้านจริงๆ เดี๋ยวปัญหาทุกอย่างดีขึ้นเนียร์จะกลับมาหายายบ่อยๆ นะคะ”
มาลีลูบหัวหลานรัก “ไม่เป็นไรเนียร์ กลับไปทำหน้าที่เถอะยายเข้าใจ”
“ยายน่ารักที่สุดเลยค่ะ”
นิรชาหอมแก้มยายฟอดใหญ่ มาลียื่นใบไม้ทองคำในมือออกไปให้หลาน
นิรชามองฉงน “ให้เนียร์เหรอคะ”
มาลียิ้มให้
“ใบไม้นี่เป็นของรักของยายนี่คะ ทำไมถึงมาให้เนียร์”
“ชะตาของหลานต้องเจอเรื่องราวอีกมากมาย พกใบไม้ทองคำติดตัวไว้ตลอดเวลานะลูก เพื่อจะได้ช่วยปกป้องจากอันตรายที่มองไม่เห็น”
นิรชาลังเลไม่กล้ารับ “แต่…ของมีค่าแบบนี้ เนียร์กลัวทำหาย”
มาลีวางใบไม้ทองคำลงในมือนิรชา “ไม่ต้องกลัวหรอก ของที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าเป็นของเราก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ และจะอยู่กับเราไม่หายไปไหน ยายเชื่อว่าเนียร์จะรักษาใบไม้ทองคำนี้ไว้ได้”
นิรชายอมรับมายกมือไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ เนียร์จะพกติดตัวไว้ตลอดเลยนะคะยาย”
นิรชามองที่ใบไม้ทองคำในมือตัวเองนิ่งนาน
ฝ่ายทศนนท์ก็กำลังมองใบไม้ทองคำในมือตัวเอง หวนคิดถึงตอนคุยกับปรางทิพย์ที่ห้องรับแขกบ้านเธอก่อนหน้านี้
ในตอนนั้น ปรางทิพย์เล่าเรื่องด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“เป็นกฎของเมืองลับแล ที่ต้องนำคนบาปไปบูชาต่อท่านสุบรรณเหรา เพื่อแลกกับสิ่งที่ปรารถนา”
ทศนนท์นิ่งฟังแล้วคิดตาม ด้วยสีหน้าสงสัย
อ่านต่อตอนที่ 19