เพรงลับแล ตอนที่17 | คู่แค้นแดนลับแล
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ในบรรยากาศฟ้าครึ้มฝน หมู่เมฆสีดำทะมึนปกคลุมเหนือบ้านทรงกลดตอนเช้าวันนี้ ขณะสองลูกน้อง ขจรและศรชัย ยกลังใส่น้ำผลไม้เข้ามาวางลงที่ห้องโถง
“เรียบร้อย น้ำผลไม้สิบลังตามที่นายสั่ง” ขจรว่า
ศรชัยหยิบขวดน้ำผลไม้ขึ้นมาดูท่าทีงุนงง
“ข้าไม่เข้าใจ ทำไมนายต้องสั่งทำน้ำผลไม้พวกนี้ให้ยุ่งยากด้วย ปกติชาวบ้านก็ใช้น้ำในบ่ออยู่แล้ว”
“ไอ้โง่ ไม่เห็นหรือไงว่าช่วงนี้ฝนตกบ่อย แกต้องใช้ยามากแค่ไหนถึงจะสู้กับฝนที่ตกลงมาได้”
ศรชัยพยักหน้าเข้าใจ
“มิน่า... ในหมู่บ้านช่วงนี้ถึงไม่ค่อยมีคนไหลตาย”
“นายถึงต้องเปลี่ยนวิธีใหม่ไง ยิ่งงานของพวกไอ้ทศนนท์จวนจะเสร็จแล้ว ถ้าเกิดพวกคนงานเข้ามาตัดถนนเมื่อไหร่ ราคาที่ดินแถบนี้ก็จะยิ่งแพงมากขึ้น จนไม่มีใครอยากขายหรือย้ายออก”
ศรชัยคิดตาม ขจรนึกขึ้นได้
“แล้วนี่แกติดต่อไอ้กิตตามที่นายสั่งแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อย”
“งั้นขนของพวกนี้ไปจัดการกันเลย”
แต้มเดินจากฝั่งครัวเข้ามาบ่นๆ ด้วยความสงสัย
“วันนี้คุณบุษบอกจะกินสลัดเป็นอาหารเช้าในห้อง พี่ว่าแปลกไหม ไม่กินเนื้อสัตว์ นั่งสมาธิ เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เหมือนจอมยุทธหญิงที่กำลังรักษาตัว ฟื้นฟูลมปราณเลย”
“ดูหนังจีนมากเกินไปแล้วนะแก” ขจรติง
แต้มมองเห็นน้ำผลไม้ในกล่องจึงถามขึ้น
“จะเอาน้ำผลไม้ไปทำอะไรเยอะแยะ”
“เอาไปแจกคนในหมู่บ้าน”
แต้มถือวิสาสะหยิบมา2ขวด
“พอดีเลย น้ำผลไม้ในบ้านหมดพอดี ฉันขอไว้ 2 ขวดนะ”
ขจรไม่ยอม รีบหยิบน้ำผลไม้จากมือแต้มกลับมา
“ไม่ได้ ของพวกนี้ห้ามให้นายดื่ม”
พูดจบ ขจรและศรชัยก็ยกน้ำลังสุดท้ายเดินออกไป แต้มมองตามบ่นบ้างงๆ
“อะไร แค่นี้ก็ต้องหวงด้วย เดี๋ยว...พี่ขจร พรุ่งนี้วันหยุดฉัน ขอติดรถเข้าหมู่บ้านไปด้วยสิ พี่ขจร รอด้วย”
แต้มรีบวิ่งตามขจรออกไป
ประกิตนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในบ้าน จนเห็นแต้มเปิดประตูบ้านเข้ามาพร้อมหิ้วถุงข้าวของที่ซื้อมาเตรียมทำอาหาร ก็แปลกใจ
“อ้าว ทำไมวันนี้มาเร็ว”
“พอดีพวกพี่ขจรเข้ามาทำธุระให้นายในหมู่บ้าน ฉันก็เลยขอติดรถเข้ามาด้วย”
แต้มวางของลงที่โต๊ะ แล้วเดินมานั่งพักเหนื่อยที่โซฟาข้างผัว
“นี่ฉันซื้อของสดมาตุนไว้ให้พี่เยอะแยะเลย เย็นนี้พี่อยากกินอะไร”
“อะไรก็ได้ แต่คืนนี้ข้าไม่อยู่นะ ต้องไปทำงาน”
“งานอะไร ทำกลางคืนอีกแล้วเหรอ”
“งานของนายสั่งมาน่ะ”
แต้มรู้เรื่องผัวปลอมตัวเป็นผีแม่ม่าย ไม่สบายใจ บ่นๆ อยากให้เลิกทำ
“งานนั้นเลิกทำเถอะพี่ ถ้าพวกชาวบ้านจับได้ มีหวังโดนกระทืบเละแน่”
“เลิกบ่นซะทีได้ไหม ข้าก็ระวังทุกครั้ง อีกอย่างข้าก็รับเงินนายมาแล้วด้วย”
“ฮึ...จะหาเงินไปเล่นยาอีกล่ะสิ”
แต้มงอนผัว เดินหิ้วถุงของไปทางครัว ประกิตตะโกนไล่หลังไป
“เอ็งเข้าไปในห้องหยิบของที่ข้าต้องใช้ในตู้ออกมาให้ที”
แต้มตะโกนตอบมาว่า “ไม่ อยากจะรับทำงานนี้ก็ไปหยิบเอาเอง”
ประกิตยังคงนั่งดูโทรทัศน์อย่างไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร
สักพัก ชุดผู้หญิงสีทึมๆ พร้อมกับวิกผมยาว ก็ถูกโยนลงมากองตรงหน้าประกิตโครม
ประกิตหันไปเห็นแต้มยืนจังก้ามองมาบอกเสียงขุ่น
“พี่รับปากแล้วนะว่าจะรับทำงานนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
“เออ...ก็บอกแล้วไงวะ”
แต้มสะบัดหน้าออกไป ประกิตมองตามส่ายหน้าเอือมระอา
ตกตอนบ่าย ทศนนท์มานั่งรออยู่ที่ศาลาริมสระท้ายบ้านปรางทิพย์ บัวคำถือน้ำออกมาเสิร์ฟให้
“น้ำตะไคร้เย็นๆ ค่ะคุณทศ”
“ขอบคุณครับ” ทศนนท์รับแก้วน้ำไปดื่ม
“วันนี้คุณปรางไม่อยู่หรอกนะคะคุณทศ”
“อ้าว ออกไปข้างนอกเหรอครับ”
บัวคำยิ้มแทนคำตอบ และไม่พูดอะไรอีก ทศนนท์จึงถามต่อ
“คุณปรางจะกลับกี่โมงครับ”
“ไม่ทราบค่ะ คุณทศมีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่าล่ะคะ ฝากฉันบอกคุณปรางไว้ให้ก็ได้”
“ไม่ใช่ธุระด่วนอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากรู้เรื่องบางอย่างจากคุณปราง”
ทศนนท์มองจ้อง ไม่เห็นบัวคำมีสีหน้าประหลาดใจอะไร เขาจึงถามขึ้น
“บัวคำรู้ใช่ไหมครับว่าคุณปรางเป็นใคร”
“รู้ค่ะ คุณปรางก็คือคุณปรางทิพย์ไงคะ”
“ไม่ใช่ครับ ในความหมายของผมก็คือ คุณปรางอาจจะเป็นผู้หญิงที่อยู่ในรูปภาพในบ้านร้าง หรือบางที...คุณปรางอาจจะระลึกชาติได้”
“คุณทศเชื่อว่าอย่างนั้นเหรอคะ”
“ครับ” ทศนนท์ชักสับสน เริ่มไม่แน่ใจ “หรือว่าบัวคำรู้อะไรมากกว่านั้น”
“ฉันว่า คุณทศรอคุยเรื่องนี้กับคุณปรางเองดีกว่านะคะ เพราะคนที่จะให้คำตอบกับคุณทศได้ดีที่สุดก็มีแต่คุณปราง แต่ว่าคงไม่ใช่วันนี้ เพราะคุณปรางเธอมีธุระสำคัญมากที่ต้องไปทำ”
ทศนนท์นิ่งมองบัวคำ ด้วยสีหน้าแปลกใจ
ปรางทิพย์ในคราบยายพิณทิพย์อยู่บนบ้านนั่นเอง กำลังแง้มผ้าม่านมองทศนนท์ที่เดินออกไป จนบัวคำเดินเข้ามาหา
“คุณทศกลับไปแล้วเจ้าค่ะแม่หญิง”
พิณทิพย์ปิดม่านลงแล้วหันมาหน้าเศร้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ดูท่าคุณทศจะยังไม่กระจ่างชัดเรื่องของแม่หญิงกับเขาในอดีตนะเจ้าคะ”
พิณทิพย์ตัดพ้อ “ตอนนี้สิ่งที่ดึงเขาให้มาหาข้าได้ คงมีเพียงความใคร่รู้ในสิ่งที่เขายังไม่กระจ่างชัดเท่านั้น หาใช่มาด้วยความเสน่หาไม่”
“โธ่...แม่หญิง เหตุใดจึงคิดเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ ข้าว่าแม่หญิงอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย แม่หญิงเฝ้ารอเขามาชั่วชีวิต บางทีทุกอย่างอาจจะไม่ได้เลวร้ายเช่นนั้นก็ได้”
“นับแต่วันที่ข้าไปช่วยเขากับครูเนียร์ออกมาจากถ้ำ สายตาที่เขามองหญิงนางนั้นก็เปลี่ยนไป”
น้ำเสียงพิณทิพย์เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกน้อยใจ จนน้ำตาไหลรินออกมา บัวคำมองด้วยความสงสาร
เย็นแล้ว ขณะที่มินตา ถนอม และเสถียร เดินหิ้วถุงผักและของสดมากมีที่เพิ่งไปจ่ายตลาดกันเข้ามาวางที่โต๊ะม้าหินหน้าบ้าน มินตาเดินเข้าบ้านไปหยิบแก้วออกมาสามใบ
“โถ่...อะไรกันวะไอ้เถียร ทำหมูกระทะกินกันทั้งที ไม่มีเหล้ามาก๊งด้วย แล้วจะอร่อยได้ยังไง”
“ก็ข้าบอกแล้วถ้าแกอยากกินก็ซื้อเข้ามากิน ข้าไม่ได้ห้ามแกซะหน่อย ของข้า นี่ไง...”
เสถียรหยิบน้ำส้มที่ได้รับแจกจากสองลูกน้องของทรงกลดออกมาจากถุง
“น้ำส้มร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งดื่มยิ่งดีต่อสุขภาพ”
“ฉันว่า อย่างพี่เถียรคิดถึงสุขภาพกระเป๋ามากกว่ามั้ง พอเห็นของฟรีก็รีบเข้าไปแย่งเชียว เอามานี่เดี๋ยวฉันรินใส่แก้วให้ มาเหนื่อยๆ กินน้ำส้มเย็นๆ เสร็จแล้วจะได้ไปช่วยฉันเตรียมของ”
มินตารินน้ำส้มแจกจ่ายให้กับทุกคน ถนอมยกขึ้นดื่มจนหมดแก้วแล้วพูดขึ้น
“แล้วพี่ล่ะ จะให้ไปเข้าครัวไม่เอานะ”
“ของพี่หนอมน่ะฉันเตรียมงานเอาไว้ให้แล้ว นู่นไปจุดเตารอเลย ส่วนที่เหลือฉันกับพี่เถียรช่วยกันได้”
ถนอมยิ้มรับเอาคำสั่งเมีย “จ้า แบบนี้พี่หนอมค่อยถนัดหน่อย”
ทั้งมินตาและเสถียรหัวเราะกับท่าทีน่าขันของถนอม จนกระทั่งมีเสียงใครบางคนตะโกนมาจากหน้าประตูรั้วบ้าน
“ทุกคน!...ทำอะไรกันอยู่ครับ ขอร่วมวงด้วยคนได้ไหม”
สามหันมองไปตามเสียง สีหน้าสงสัย
ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอนุชิตยืนหิ้วถุงเหล้าหลายขวดรออยู่หน้ารั้ว
“นึกว่าจะหาคนมากินเหล้าด้วยไม่ได้ซะแล้ว”
มินตาเดินมาเปิดประตูรั้วให้ กระซิบถามชู้รักด้วยสายตามีเลศนัย
“มาทำอะไรหรือพี่นุ พี่หนอมอยู่บ้านนะ”
“พอดีพี่ไปประชุมในเมืองเลยได้เหล้ามาหลายขวด พวกไอ้พีกับหัวหน้าก็ไม่กินเหล้า พี่ก็เลยออกมาหาเพื่อนตั้งวงด้วย”
ถนอมเดินออกมาสมทบ ทันได้ยินพอดี
“ดีเลยครับคุณนุ พวกเรากำลังจะกินหมูกระทะกันพอดี ได้เหล้าแพงๆ มากลั้วคอด้วยเนี่ยเป็นลาภปากจริงๆ มาครับ เข้ามาเลย”
มินตาหลีกทางให้อนุชิตเดินเข้ามาในบ้าน ทั้งคู่สบตากันแอบยิ้มน้อยให้กันอย่างมีความหมาย ก่อนที่อนุชิตจะหันไปคุยกับถนอมขณะเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน
“แหม....ลาภปากของผมเหมือนกัน ได้หมูกระทะเป็นกับแกล้ม พรุ่งนี้ผมไม่มีงาน วันนี้เรามาฉลองให้เมากลิ้งกันไปเลยนะครับ”
“งานนี้มียันเช้าแน่” ถนอมว่า
ทั้งคู่หัวเราะร่าให้กัน
ตะวันใกล้ตกดินทุกขณะ ทศนนท์เดินคิดอะไรเพลินๆ มาจนถึงหน้าบ้านพัก โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลังของเขา เวลานี้ บุษบาลาวัณย์ในชุดสาวเมืองลับแล ยืนขึงตาจ้องอย่างอาฆาตมาดร้าย
ทศนนท์จะเดินขึ้นบันได บุษบาลาวัณย์ยืดแขนออกไปจับขาหมับ ทศนนท์ก้าวขาไม่ออก
บุษบาลาวัณย์เหยียดยิ้มร้าย จะกระตุกแขนให้ทศนนท์ล้ม แต่แล้วก็รับรู้ว่ามีใครมาจับที่ขาของตนไว้เช่นกัน บุษบาลาวัณย์ก้มมอง เจอลูกเทพเกาะสองขาของเธอไว้มั่น
“ว้าย” สาวลับแลกรี๊ดตกใจปล่อยมือจากขาทศนนท์ แล้วรีบสะบัดลูกเทพออก
ทศนนท์จับที่ขาตัวเองอย่างแปลกใจ ลองก้าวขาขยับอีกทีก็ก้าวได้ปกติ แม้รู้สึกแปลกใจแต่ไม่ได้ติดใจอะไร เดินขึ้นเรือนไปไขกุญแจเข้าบ้าน
ฝ่ายบุษบาลาวัณย์โมโหหันไปเล่นงาน ลูกเทพ
“ไอ้เด็กบ้า แกเป็นใคร กล้าดียังไงมาขวางข้า”
ลูกเทพยกนิ้วขึ้นห้าม “ไม่ได้นะ แม่สั่งไว้ ห้ามใครทำร้ายคุณทศ”
“ใครแม่แก คิดว่าตัวเท่าลูกหมาอย่างแกจะขวางข้าได้รึ”
ลูกเทพยิ้มร้าย แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียน
“เก่งจริง...ป้า..ก็ตามหนูมาสิ”
ลูกเทพวิ่งออกไปนอกรั้วบ้าน หลอกล่อให้อีกฝ่ายตามไป บุษบาลาวัณย์วิ่งตามไปด้วยความโกรธ
บุษบาลาวัณย์วิ่งตามออกมา มองหาแต่ไม่เห็นลูกเทพแล้ว จึงเดินหาไปทั่ว
จู่ๆ ลูกเทพที่แอบอยู่ก็เข้ามาตะปบกัดขาบุษบาลาวัณย์จังๆ สาวลับแลร้องโอ๊ย! ด้วยความเจ็บ หยิบปิ่นปักผมออกมาแทงใส่ลูกเทพด้วยความแค้น
ลูกเทพเจ็บปวด นอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น
“เป็นยังไง ไอ้เด็กผี คิดจะลองดีกับข้ารึ”
บุษบาลาวัณย์ปลดเข็มขัดที่เอวออกมา เหวี่ยงฟาดลงไปที่พื้นประหนึ่งแส้ข่มขู่ ลูกเทพหมดฤทธิ์ผวากลัวจนตัวสั่น
“หนูแค่ล้อเล่น อย่าทำหนูเลยนะ”
บุษบาลาวัณย์ไม่ฟัง หวดเข็มขัดใส่ลูกเทพ จนกระเด็นไปอย่างแรง ลูกเทพเจ็บหนัก พลังเริ่มอ่อนลง มองบุษบาลาวัณย์ด้วยความแค้น
“ยังจะกล้ามามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นอีกรึ”
บุษบาลาวัณย์ลากเข็มขัดแล้วเงื้อขึ้นสุดแขนจะหวดซ้ำ แต่ลูกเทพหายวับไปต่อหน้า บุษบาลาวัณย์ยืนคุมแค้น คาใจว่าใครส่งลูกเทพมาขวางลำ
อีกฟาก เนตรมายานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา เปิดผ้ายันต์ที่คลุมสร้อยข้อมือลูกประคำออกดู เห็นลูกประคำยังยังคงมีไอควันสีดำลอยคลุ้งอยู่ จึงปิดผ้ายันต์คลุมเอาไว้ตามเดิม เชื่อมเดินเข้ามาเห็น
“สร้อยประคำยังใช้ไม่ได้หรือเจ้าแม่”
“คงต้องรออีกสักวันสองวัน กลิ่นไอผีร้ายถึงจะหมด”
เนตรมายาหันไปหยิบสายสิญจน์สีแดงจากพานอีกใบมานั่งฟั่นให้เป็นเส้น
“นั่นมันสายสิญจน์เลือดหมาดำ ที่เหลือจากเมื่อคราวที่แล้วนี่เจ้าแม่”
“ใช่ ตอนนี้นังผีร้ายจะฆ่าคุณทศ สร้อยประคำก็ยังใช้ไม่ได้ ฉันต้องเตรียมของไว้รับมือกับมัน”
พลันเสียงร้องไห้จ้าของลูกเทพก็ดังขึ้น เนตรมายาและเชื่อมหันมองหาที่มาของเสียงสีหน้าตกใจ
“เสียงเด็กร้องนี่เจ้าแม่”
เนตรมายารู้ทันที “ลูกเทพลูกแม่ เป็นอะไรลูก”
เนตรมายาวิ่งไปอุ้มตุ๊กตาลูกเทพมากอดไว้กับตัว ลูกเทพน้ำตาไหลพราก
“มันจะทำร้ายคุณทศ แม่รีบไปช่วยคุณทศเร็วเข้า”
เนตรมายาร้อนใจคว้าสายสิญจน์ใส่ย่ามแล้วลุกออกไปทันที เชื่อมตามไปด้วย
อีกฟาก ที่บ้านนิรชาในกรุงเทพฯ เป็นเวลาเย็นจวนค่ำ นิรชา มาลีและมัทนา ทานข้าวเย็นที่โต๊ะอาหารร่วมกัน คุณยายมาลีทานไปไม่กี่คำก็รวบเก็บช้อน นิรชามองแปลกใจ
“อิ่มแล้วเหรอคะคุณยาย”
“อิ่มแล้วลูก”
“ทำไมคุณยายกินน้อยจังเลยคะ”
“ไม่รู้ทำไม ช่วงนี้ยายไม่ค่อยอยากอาหารเลย”
“หนูว่าช่วงนี้คุณแม่ทั้งนอนน้อย กินน้อย ไปให้คุณหมอตรวจสักหน่อยดีไหมคะ” มัทนาว่า
“คนแก่ก็เป็นอย่างนี้แหละ ชอบคิดนั่นคิดนี่ เลยทำให้นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
มัทนาบ่น “คุณแม่น่ะ ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกที”
มาลีลุกออกจากโต๊ะพลางว่า
“แม่ไปสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนสักหน่อยนะ”
นิรชารวบช้อน ลุกตามยาย
“เดี๋ยวค่ะคุณยาย เนียร์ไปด้วย”
“เอาๆ ไม่กินให้อิ่มก่อนล่ะ แล้วค่อยตามคุณยายไป”
“เนียร์อิ่มแล้วค่ะแม่ ดอกไม้ที่จะเปลี่ยนใส่แจกันอยู่ในครัวใช่ไหมคะ”
นิรชาลุกเดินไปทางห้องครัว มัทนารีบบอก
“ดอกไม้อยู่ที่ห้องพระแล้ว แม่ว่าเรายังเจ็บเท้าอยู่ ไปพักผ่อนที่ห้องไม่ดีกว่าเหรอลูก”
“เนียร์อยากไปช่วยคุณยายเปลี่ยนดอกไม้ แล้วก็ไหว้พระก่อนน่ะค่ะ”
นิรชาเดินกะเผลกๆ ไปหายาย มาลีมองเอาใจช่วยหลานสาว
“เดินไหวแน่นะ”
“ไหวค่ะคุณยาย ไปค่ะ”
สองยายหลานพากันเดินไปทางห้องพระ
“ดื้อพอกันเลยทั้งยายทั้งหลาน”
มัทนามองทั้งคู่แล้วได้แต่ส่ายหน้า
มาลีและนิรชา เปิดประตูเข้ามาในห้องพระ นิรชาค่อยๆ เดินลงมานั่งที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ตามด้วยมาลีที่เดินไปหยิบแจกันลงมาจะเปลี่ยนดอกไม้ในแจกัน
“ยายว่าเรานั่งเฉยๆ ดีกว่านะ”
“คุณยายขา ขอเนียร์ช่วยเปลี่ยนนะคะ” นิรชาอ้อน “เนียร์อยากช่วยคุณยายจริงๆ ค่ะ”
มาลีมองหลานแล้วยิ้มใจอ่อน ยอมยกแจกันส่งให้นิรชา
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องทำมาอ้อนเหมือนเด็ก อยากทำก็เอาไปจัดเลย”
“ขอบคุณค่ะคุณยาย”
นิรชาจัดจัดดอกไม้ใส่แจกันอย่างตั้งใจ
มาลียิ้มมองๆ ก่อนจะหันไปหยิบหนังสือสวดมนต์ออกมากางเปิดออก
ฝ่ายทศนนท์สะบัดแขนขาตัวเองอย่างงุนงงสงสัยกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
ขณะกำลังจะเดินไปที่โซฟา ประตูบ้านก็เปิดผางออก ทศนนท์ตกใจ หันไปมองเห็นบุษบาลาวัณย์ยืนจ้องมองมายังตนด้วยสีหน้าถมึงทึง พลันทศนนท์ก็โดนสะกดนิ่งไปทันที
นิรชาจัดดอกไม้ใส่แจกันสวยงาม มองอย่างพอใจ
“เป็นไงคะคุณยาย เนียร์จัดดอกไม้สวยไหม”
“จ้าสวย เสร็จแล้วใช่ไหม ยายจะได้ยกถวายพระ”
“ไม่ต้องๆ ค่ะคุณยาย เดี๋ยวเนียร์ถวายเอง”
นิรชายกแจกันไปวางบนโต๊ะหมู่ หญิงสาวมองจนแน่ใจว่าเธอจัดวางจนสวยถูกใจแล้วจึงละมือจากแจกัน พลันก็รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าขึ้นมาอย่างแรง
“โอ๊ย!”
นิรชาทรุดฮวบลงไป และวาดมือไปปัดองค์พระล้มลงจากตั่ง แต่โชคดีที่คว้าองค์พระเอาไว้ได้ มาลีมองตกใจ
“เป็นอะไรไหมลูก”
นิรชาถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไม่เป็นไรค่ะ เนียร์แค่เจ็บเท้านิดหน่อย”
นิรชาวางองค์พระไว้ที่เดิม พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ตั่งวาง นิรชาชะงักเบิกตาโตสีหน้าตกใจ
มันคือใบไม้ทองคำนั่นเอง
ฝ่ายทศนนท์ถูกสะกดจิตเดินตามหลังบุษบาลาวัณย์ลงเรือนมา ออกไปที่ถนนหน้าบ้าน เนตรมายาวิ่งมาเห็นร้องตะโกนขึ้นสุดเสียง
“หยุดนะ”
เชื่อมวิ่งตามหลัง เนตรมายาที มาติดๆ มองไปยังทศนนท์ที่หยุดยืนนิ่งอยู่ ด้วยสีหน้าแปลกใจ โดยไม่เห็นบุษบาลาวัณย์
“ทำไมคุณทศถึงยืนนิ่งอย่างนั้นล่ะเจ้าแม่”
“คุณทศถูกมันสะกดจิตอยู่น่ะสิ” เจ้าแม่แว้ดใส่บุษบาลาวัณย์ “นังผีร้าย แกปล่อยคุณทศเดี๋ยวนี้”
บุษบาลาวัณย์หันมองเนตรมายาอย่างไม่พอใจ
“นังหมอผีขี้ครอก แกกล้าดียังไงมาว่าข้าเป็นผีร้าย”
“จ้องแต่จะฆ่าคนดีๆ ถ้าไม่เรียกว่าผีร้ายแล้วจะเรียกว่าอะไร”
“เรื่องนี้แกอย่ามายุ่งจะดีกว่า”
“แกจะเอาตัวผู้ชายคนนี้ไปไม่ได้”
บุษบาลาวัณย์อ่านออก ยิ้มเยาะมองสมเพช “นังหมอผีหน้าโง่ ผู้ชายในโลกมีตั้งมากมายทำไมต้องมารักผู้ชายคนเดียวกับนังปรางทิพย์ด้วย”
“แกจะปล่อยคุณทศดีๆ หรือต้องให้ฉันใช้กำลัง”
“ก็ลองดู ว่าแกเก่งพอที่จะแย่งชายคนนี้ไปจากข้าได้หรือไม่”
เนตรมายาไม่รอช้า ควักสายสิญจน์จากย่ามขึ้นมาบริกรรมคาถา แล้วควงสายสิญจน์เป็นบ่วงบาศ โยนออกไปคล้องตัวของบุษบาลาวัณย์มัดไว้ เห็นแสงสีแดงพันรอบตัวบุษบาลาวัณย์ แม้พยายามดิ้นขัดขืน แต่ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด
“แกเสร็จฉันล่ะนังผีร้าย ฉันจะจับแกใส่หม้อถ่วงน้ำไม่ให้ได้ไปผุดไปเกิดเลย รีบไปปลุกคุณทศให้ตื่นเดี๋ยวนี้เลย เร็วเข้า”
“จ้ะ เจ้าแม่” เชื่อมวิ่งเข้าไปปลุกทศนนท์ “คุณทศ ตื่นเถอะค่ะคุณทศ รีบหนีเร็ว”
บุษบาลาวัณย์ไม่ยอมแพ้ ดิ้นรนสุดแรง ร้องตะโกนห้ามสุดเสียง
“ไม่นะ แกจะเอาตัวมันไปไม่ได้ วันนี้ข้าจะต้องได้ชีวิตมัน”
บุษบาลาวัณย์หยุดนิ่ง ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง มองจ้องไปที่เนตรมายาเขม็ง
“เจ้าแม่ระวัง” เชื่อมตะโกนบอก
เสียงระเบิดดังขึ้นตูม เนตรมายาร้องกรี๊ดขึ้นมาสุดเสียง
ปาร์ตี้หมูกระทะที่บ้านถนอมดำเนินไป ถนอม มินตา เสถียร และอนุชิต ล้อมวงกินหมูกระทะกันอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้าน ถนอมคีบเนื้อย่างกินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วกระดกเหล้าตาม จนเริ่มรู้สึกระคายคอและไอโขลกๆ
ทุกคนมองฉงน อนุชิตแซวขึ้นว่า
“เป็นไงครับ ดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วถึงกับสำลักเลยเหรอ”
“โธ่คุณนุ ผมน่ะรุ่นไหนแล้ว กับเหล้าแค่เนี้ย ไม่ระคายกระเพาะหรอก”
“ขี้คุยล่ะสิไม่ว่า ดูซิเหงื่อออกเต็มตัวแล้ว”
พร้อมกับว่ามินตาเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาส่งให้ ถนอมรับไปเช็ดหน้า
“เออ...เริ่มรู้สึกร้อนๆ แล้วเหมือนกัน”
“ฉันว่าถ้าเมาก็เข้าไปนอนในบ้านดีกว่าไหม”
“เฮ้ย... ข้ายังไม่เมา ขอต่ออีกหน่อย ดูสิเหล้ายังเหลืออีกเพียบเลย”
เสถียรนั่งดื่มน้ำผลไม้อยู่มองถนอมเซ็งๆ ขณะที่นั่งกินอาหารต่อไปอย่างไม่พูดไม่จา
“แล้วพี่เถียรไม่คิดจะดื่มกับพวกเราหน่อยเหรอครับ”
“ไม่ล่ะครับ ผมไม่กินเหล้า ผมชอบน้ำผลไม้มากกว่า แล้วคุณนุไม่ลองหน่อยเหรอครับ นี่น้ำผลไม้ยี่ห้อใหม่ของคุณทรงกลดนะครับ วันนี้ไอ้ขจรเอามาแจกที่ตลาดให้ได้ชิมกันทุกบ้านเลย”
“จริงเหรอครับ พวกผมไม่เห็นได้” อนุชิตว่า
“อ้าว ไม่ได้เหรอครับ จะลองหน่อยไหมล่ะครับ อร่อยมากเลย”
อนุชิตโบกมือไม่เอา และไม่รู้เรื่องน้ำผลไม้ผสมยาของทรงกลดที่ให้ลูกน้องเอาไปแจก
“ไม่ล่ะครับขอบคุณ ตอนนี้ผมดื่มเหล้าอยู่ ถ้าดื่มน้ำผลไม้มันไม่เข้ากันน่ะครับ”
เสถียรพยักหน้าเข้าใจ
จู่ๆ เสียงหมาหอนก็ดังโหยหวนขึ้น เสถียรขนลุกเกรียว
“อึ๋ย อะไรกันเนี่ย จู่ๆ ก็หอนขึ้นมา”
“นั่นสิ ปกติไม่เคยได้ยินเสียงหมาหอนแบบนี้”
ถนอมเหงื่อไหลไคลย้อยไม่หยุด เริ่มโงนเงนประครองร่างไม่อยู่
“ทำไมมันมึนอย่างนี้ เหล้าแพงนี่ไม่น่าจะแรงเลยนะ”
เสถียรสยองขวัญกับเสียงหมาหอนผวากลัว “ผมว่าผมกลับบ้านแล้วล่ะ คุณนุจะกลับพร้อมกันเลยไหมครับ”
อนุชิตปฏิเสธ “ยังครับ เหล้ายังเหลืออีกเยอะ”
มินตาขอร้องเสถียร “อยู่ก่อนเถอะพี่เถียร นี่ก็ยังไม่ค่อยดึกเท่าไหร่เลย”
“ไม่ล่ะมิ้น บรรยากาศแบบนี้ข้าไม่ค่อยชอบเลย กลับบ้านดีกว่า ดูสิพี่หนอมก็เมาแล้วด้วย”
“ไม่เป็นไรครับทางนี้เดี๋ยวผมดูแลเอง พี่เถียรกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วง”
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ พี่กลับก่อนนะ มิ้น”
“จ้า กลับดีๆ ล่ะพี่”
เสถียรเดินออกไป ขณะที่ถนอมโงนเงนๆ แล้วฟุบไปกับโต๊ะ
อนุชิตพยายามปลุกถนอมให้มาดื่มต่อ
“อ้าว พี่หนอม ฟุบไปซะแล้ว มาๆ ต่อก่อนพี่”
“ต่อๆ ดื่มต่ออออ...”
ถนอมพยายามจะลุกขึ้นมาดื่มต่อ แต่ไม่ไหวฟุบหลับไปดื้อๆ มินตามองผัวแล้วถอนหายใจเซ็งๆ
“เมาแล้วเป็นอย่างนี้ทุกที”
“ไม่เป็นไรหรอกมิ้น อีกสักพักค่อยปลุกขึ้นไปนอน”
อนุชิตพูดกับมินตาพร้อมกับส่งสายตาหวานเยิ้มลึกซึ้งมาให้ มินตาเข้าใจความหมายยิ้มเขินๆ ตอบ
อนุชิตคว้ามือมินตาที่วางอยู่บนโต๊ะมากุม มินตาหงายมือรับ ทั้งคู่จับมือแล้วจ้องตากันอย่างมีความหมาย
กลางดึก ที่บ้านนิรชาเงียบสงัด มาลีลุกไปปิดหน้าต่างแล้วเดินกลับมาที่เตียง ซึ่งนิรชานอนรออยู่ก่อนแล้ว
“วันนี้นึกยังไงอยากมานอนกับยาย”
“เนียร์มีเรื่องอยากจะคุยกับคุณยายเยอะแยะเลยนี่คะ”
“เอาไว้คุยพรุ่งนี้ก็ได้”
“ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวลืม เมื่อกี้ตอนที่เนียร์เกือบทำองค์พระหล่น เนียร์เห็นมีอะไรอยู่ที่ใต้ฐานพระด้วย”
มาลีลงนั่งบนเตียงอีกฝั่งของนิรชาแล้วอึ้งไป ก่อนจะถามขึ้นเหมือนเห็นเป็นเรื่องปกติ
“แล้วหนูเห็นอะไร”
“มันเป็นใบไม้สีทองน่ะค่ะคุณยาย”
“เขาเรียกใบไม้ทองคำ”
“ใบไม้ทองคำ หมายถึงทองจริงๆ น่ะเหรอคะคุณยาย”
“ใช่จ้ะ ทองคำจริงๆ”
นิรชาตาโต “โห...แล้วทำไมถึงเอาไปไว้ตรงนั้นล่ะคะ หรือว่า ใบไม้นั่นเป็นของศักดิ์สิทธิ์”
“เปล่า มันเป็นของสำคัญ และเป็นสมบัติของยายที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด”
นิรชาพยักหน้าเข้าใจ “อ๋อ...เพราะแบบนี้นี่เองคุณยายถึงต้องเอาไปซ่อนไว้ที่ใต้ฐานพระ มันสวยจริงๆ เลยนะคะ ดูประณีตมาก”
มาลียิ้มบางๆ พลางเอ่ยขึ้น
“ของชิ้นนี้มันสำคัญกับยายมาก แต่สุดท้ายแล้วมันก็จะตกเป็นของเนียร์นะลูก”
นิรชามองยายอย่างแปลกใจ
“จริงเหรอคะ คุณยายจะยกให้เนียร์เหรอคะ”
“จริงสิ เนียร์เป็นหลานรักเพียงคนเดียวของยาย สมบัติทุกชิ้นของยายก็ต้องเป็นของเนียร์อยู่แล้ว”
นิรชาสวมกอดมาลีอย่างดีใจ
“ขอบคุณค่ะคุณยาย”
มาลีลูบหัวนิรชาอย่างเอ็นดู
บรรยากาศตามถนนในหมู่บ้านกลางดึกเงียบสงัด เสถียรรีบจ้ำอ้าวเดินกลับบ้านด้วยความกลัว จู่ๆ เสียงหมาหอนก็ดังขึ้น
“เอาแล้ว...ไง...บรรยากาศแบบนี้ ชักไม่น่าไว้ใจแล้ว...”
เสียงหมาหอนดังโหยหวนต่อกันเป็นทอดๆ จนเสถียรโมโห
“โอ๊ย! ไอ้หมาบ้า จะหอนอะไรกันนักกันหนา นี่คนนะโว้ย ไม่ใช่ผี”
เสียงหมาเงียบไป พลันมีเสียงลากของบางอย่างดัง แกรก...แกรก..ๆๆ ขึ้นมาแทน เสถียรเสียววาบ มองหาที่มาของเสียงด้วยความหลอนสุดขั้ว ก่อนจะปิดหูก้มหน้าวิ่งแจ้นกลับบ้าน ชนเข้ากับร่างใครคนหนึ่งจังๆ จนร่างกระเด็นล้มไป
เมื่อหันมามอง ก็เห็นเป็นผู้หญิงผมยาวเฟื้อยสวมชุดผ้าไทยยืนจังก้าอยู่ในเงามืดอย่างน่ากลัว สองแขนกางออกเหมือนจะตะปบเอาทุกเมื่อ
เสถียรตกใจสุดขีด ร้องกรี๊ดๆ สาวแตก ลุกวิ่งใส่ตีนผีหนีไป
เสถียรหลับหูหลับตาวิ่งเตลิดหนีผี ร้องกรี๊ดๆ มาตลอดทาง แต่บางอย่างที่เห็นเบื้องหน้าทำให้เสถียรถึงกับต้องรีบเบรกเท้าหยุดเอาไว้ เพ่งมองออกไปอย่างตื่นตะลึง
สิ่งที่เสถียรเห็นเป็นเงามืดทะมึนชวนให้คิดว่าเป็นผีฝาแฝดอินจัน เสถียรกรี๊ดๆๆ สาวแตกไม่เหลือมาดแมนๆ สักกะผีก
“แอร๊ย ผีแม่ม่ายแฝดอินจัน อย่าฆ่าฉันเลย ฉันเป็นตุ๊ด ฉันไม่ใช่ผู้ชาย อย่าฆ่าฉันเลย แอร๊ย.....”
เสถียรวิ่งหนีออกไปโดยไม่คิดชีวิต
เมื่อผีแฝดอินจันที่เสถียรจินตนาการเดินเข้ามาตรงเสาไฟ จึงเห็นเป็นเชื่อมเดินหิ้วปีกเนตรมายาที่ได้รับบาดเจ็บจากฤทธิ์บุษบาลาวัณย์
“อย่าเพิ่งไป มาช่วยเจ้าแม่ก่อน”
เชื่อมตะโกนเรียกไว้ แต่ไม่เป็นผล เสถียรร้องกรี๊ดๆ ออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง
ฝ่ายถนอมยังคงฟุบหลับคาโต๊ะอยู่อย่างนั้น ขณะที่อนุชิตและมินตาเดินคลอเคลียกันออกจากบ้านไป
“พี่นี่กล้ามากเลยนะ บุกมาหาเศษหาเลยกับฉันถึงที่บ้าน” มินตาฉอเลาะ
“ก็พี่คิดถึงมิ้นนี่จ๊ะ มันทนไม่ไหวจริงๆ”
“โชคดีนะที่ตอนนี้ปิดเทอม เจ้าสันติไปเที่ยวบ้านยายเลยไม่อยู่ ไม่งั้นพี่ก็อด”
“ก็เพราะรู้ไงจ๊ะ พี่ถึงได้มา”
“แล้วนี่ถ้าพี่หนอมไม่เมาพับไป พี่จะได้สมใจอยากไหมล่ะเนี่ย”
“ถึงตอนนี้ไม่เมาพับ พี่ก็จะอยู่มอมให้พับไปจนได้แหละ”
อนุชิตหอมแก้มมินตาฟอดใหญ่ มินตาใส่จริตอายม้วนตีอกชู้รักเบาๆ
“แหม...ร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะพี่นุเนี่ย”
“ถึงร้าย ก็เพราะรักมิ้นนะจ๊ะ”
ทั้งคู่เดินคลอเคลียออกมาที่โต๊ะ เห็นถนอมหลับพับอยู่อย่างเก่า มินตามองผัวอย่างละเหี่ยใจ
“แล้วจะเอายังไงดีกับพี่หนอมดีล่ะทีนี้”
“เขาหลับมาตั้งนานแล้ว ปลุกให้ไปนอนในบ้านเถอะ”
มินตาเข้าไปปลุกผัว
“พี่หนอม ตื่น ตื่นได้แล้ว เข้าไปนอนในบ้าน ตื่น”
เงียบ ไร้การตอบรับใดๆ ถนอมนอนนิ่งจนอนุชิตและมินตาต้องหันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ อนุชิตปลุกถนอมเอง
“พี่หนอม ลุกเข้าไปนอนในบ้านได้แล้วพี่”
อนุชิตโยกตัวถนอมไปมาแต่ถนอมก็ยังไม่ได้สติ เขาตกใจรีบใช้มืออังที่จมูกถนอม อนุชิตตกใจ
มินตามองเห็นสีหน้าอนุชิตแล้วต้องรีบถามออกไป
“เป็นไงบ้างพี่นุ”
“ไม่หายใจ...”
มินตาและอนุชิตมองหน้ากันตกใจถึงขีดสุด
ทางด้านเชื่อมประคองเนตรมายาที่เริ่มได้สติ เดินมาตามทางมุ่งหน้ากลับสำนัก เนตรมายาอ่อนแรงอยู่มาก
“นังผีนั่นมันร้ายกาจจริงๆ”
“คืนนี้มันเป็นคืนอะไรกัน ทำไมพวกผีมันออกอาละวาดหนักขนาดนี้
เนตรมายานึกอะไรขึ้นมาได้
“แล้วคุณทศ…”
“เจ้าแม่หยุดห่วงคุณทศก่อนเถอะ ตอนนี้เจ้าแม่ควรจะห่วงตัวเองมากกว่า”
พลันเสียง แกรกๆๆ ก็ดังแว่วเข้ามา
เชื่อมหยุดนิ่งฟังแล้วหันมองไปตามเสียง เห็นประกิตแต่เป็นผีแม่ม่ายปลอม เดินลากเท้าอยู่ด้านหน้าท่ามกลางหมอกควันและแสงที่สาดส่องมาจากทางด้านหลัง
เชื่อมพยุงเนตรมายาไปหลบที่หลังพุ่มไม้ข้างทาง
“มาหลบตรงนี้ก่อนเจ้าแม่”
ผีประกิตเดินลากเท้าแกรกๆๆ ผ่านไป เชื่อมแอบมองอยู่หลังพุ่มไม้ เขม้นมองอย่างสงสัย
“นั่นมัน...”
แต่แล้วเชื่อมก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นพิณทิพย์โผล่ออกมายืนขวางทางผีประกิต เล่นเอาผีปลอมถึงกับผงะ
“สนุกพอหรือยัง...”
ประกิตจำได้ มองพิณทิพย์ด้วยสีหน้าตื่นตกใจสุดขีด
“แก...นังปีศาจ”
ประกิตสลัดคราบผีแม่ม่ายทิ้ง หันหลังวิ่งออกไปจนวิกผมหลุด
พิณทิพย์ยกมือขึ้น ใช้พลังจากระยะไกลดึงร่างประกิตเอาไว้ โดยไม่ได้โดนตัว ประกิตถูกจิกกบาลลากถอยหลังกลับมาหาพิณทิพย์ มันแหกปากร้องลั่น
“อ๊าก! ไม่นะ อย่าทำฉัน ไม่นะ”
หัวประกิตถูกลากเข้าไปอยู่ในอุ้งมือของพิณทิพย์ ด้วยความกลัวเขาตะโกนเรียกให้คนช่วย
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที ช่วยด้วย!”
แล้วอุ้งมืออีกข้างของพิณทิพย์ก็ตะปบเข้าที่ลำคอของประกิตอย่างแรง ประกิตตาเหลือกลาน
เชื่อมยังคงแอบดูอยู่ ต้องปิดปากตัวเองด้วยความสยดสยอง เช่นเดียวกับเนตรมายา ก็ตะลึงตะไลกับภาพที่เห็น
อีกฟาก ตามทางเดินในถ้ำโรยไปด้วยเพชรนิลจินดาส่องประกายแวววาวระยิบระยับตลอดทาง
บุษบาลาวัณย์เดินนำทศนนท์เข้ามาจนถึงทางแยกของถ้ำจึงหยุด ก่อนจะหันมองทศนนท์ ยิ้มร้ายสมใจ แล้วหายวับไป
ทศนนท์เริ่มรู้สึกตัว มองไปรอบๆ อย่างรู้สึกคุ้นตา
“ที่นี่มัน...”
ทศนนท์หันไปมองตามทางที่ทอดยาวไปด้วยเพชรนิลจินดาระยิยระยับตา
เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนประคองตัวนิรชาขึ้น จะพาออกจากถ้ำ
“เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ คุณไหวไหม”
ระหว่างนั้น มีเสียงกระพือปีกดังใกล้เข้ามาอีก ทศนนท์กับนิรชาจะเงยหน้าขึ้นมอง อยู่ๆ ก็มีผ้าคลุมลงมาที่ตัวของทั้งคู่ และปรางทิพย์กระซิบบอกเบาๆ
“ห้ามส่งเสียง รีบตามฉันมา เราต้องรีบออกไป เดี๋ยวนี้”
ทศนนท์ยังหวนนึกถึงตอนมาที่นี่ครั้งแรก และเขาหยุดมองทางเดินที่โรยไปด้วยเพชรนิลจินดา ด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ ก่อนจะหันไปมองอีกทางที่มืดมิดและมีทางเดินที่ขรุขระแต่มีปล่องแสงสว่างอยู่ด้านหน้า
อีกครั้งตอนปรางทิพย์แปลงให้เขาเป็นเทศ เพราะฟื้นความจำ
เทศมองฝ่าความมืดออกไป เห็นแสงสว่างมาจากทางด้านหนึ่งจึงดุ่มเดินไปทางนั้น
พอมาถึงทางแยก พบว่าด้านซ้ายมือมีแสงสว่างส่องจากปากถ้ำเหมือนเป็นทางออก แต่เส้นทางขรุขระเดินไปลำบากและยังต้องปีนป่ายอีกด้วย ส่วนด้านขวาพื้นราบเรียบและมีแสงส่องเป็นประกายระยิบระยับตลอดทาง เทศเริ่มสับสนว่าจะเดินไปทางไหนดี
เทศลองเดินไปด้านขวา อยากดูว่าเหตุใดพื้นถ้ำจึงมีประกาย เดินมาได้สองสามก้าวจึงก้มลงเก็บก้อนกรวดที่พื้นขึ้นมาดูแล้วก็ต้องตกใจ
“นี่มันเพชรนิลจินดา ของมีค่าทั้งนั้น ทำไมถึงได้มากมายปานนี้”
เทศหันมองไปตามทางที่โรยด้วยเพชรนิลจินดาด้วยความตื่นเต้น มันทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา แต่ปลายทางมีแต่ความมืดมิดมองไม่เห็นทางออก เขาลังเลว่าจะไปต่อดีหรือไม่
จนกระทั่งได้ยินเสียงปรางทิพย์ร้องให้ช่วยขึ้นมา
“โอ๊ย ช่วยด้วย”
“แม่หญิง”
“ช่วยข้าด้วย”
เทศมองหาต้นเสียง จนพบว่ามาจากทางด้านที่ขรุขระแต่มีแสงสว่างออกไปที่ปากถ้ำ
ด้วยความเป็นห่วงปรางทิพย์ เทศทิ้งเพชรพลอยในมือ แล้วปีนป่ายฝ่าเส้นทางอันขรุขระไปช่วยเธอ
ทศนนท์ดึงความคิดกลับมา เดินมาหยุดตรงจุดที่เทศเพิ่งเดินออกไปมองตามอย่างสงสัย แล้วเดินตามเขาไป จนถึงทางเข้าเมืองลับแล เห็นหมอกมุงเมืองลอยอยู่ตรงหน้า ทศนนท์มองจ้องนึกถึงคำบอกเล่าของสำราญ
“ตำนานเมืองลับแลผีบังบดที่ถูกสะกดด้วยมนต์หมอกมุงเมือง”
ทุกคนมองสำราญอย่างตื่นเต้น ตั้งใจฟัง
“ตามเรื่องเล่าที่คนเฒ่าคนแก่เคยเล่าให้ฟังต่อๆกันมา หลังม่านน้ำตกจะมีเมืองลับแลซ่อนอยู่ภายใต้มนต์หมอกมุงเมือง โดยนานๆทีเจ้าหญิงของเมืองลับแลและบริวารจะหนีออกมาร้องรำทำเพลงที่หน้าน้ำตก...”
เทศวิ่งมาถึงหน้าปากถ้ำด้านที่ได้ยินเสียงปรางทิพย์ แต่เห็นเพียงหมอกขาวปกคลุมไปทั่ว จนเขามองไม่เห็นอะไรเลย
“แม่หญิง... แม่หญิงอยู่ไหน แม่หญิงเป็นอะไรหรือไม่”
เทศเอามือปัดและพยายามเดินฝ่าม่านหมอกออกไป พลันแสงสว่างจากภายนอกก็สว่างจ้าเข้าหน้าจังๆ จนเขาต้องยกมือขึ้นบังแล้วหลับตา
สายลมเย็นชื่นใจพัดโชยเข้าปะทะใบหน้า เทศสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดลึกๆ ด้วยความรู้สึกสดชื่น ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจวาบขึ้นในดวงตาของเขา
เทศมองเห็นทุ่งหญ้ากว้างขวาง แซมด้วยแมกไม้เขียวขจีทอดยาวสู่บ้านหลายๆ หลังที่รวมกลุ่มกันอยู่ไกลออกไป ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาและเมฆหมอก ดูแล้วเหมือนแดนสวรรค์ในภาพวาดก็ไม่ปาน
ที่นี่คือเมืองลับแล
ทศนนท์ทบทวนความคิด ด้วยสีหน้าประหลาดใจเอามากๆ
“เมืองลับแลมีอยู่จริงหรือนี่”
ทศนนท์รู้สึกตื่นเต้น เดินก้าวผ่านม่านหมอกเข้าเมืองไป ทันใดก็เกิดแสงสะท้อนคล้ายไฟช็อต ผลักร่างออก ทำให้เขาไม่สามารถผ่านเข้าไปได้
“นี่มันอะไร”
ทศนนท์แปลกใจ จึงลองเดินเข้าไปใหม่อีกครั้ง แต่เขาก็ถูกเด้งออกมาอย่างเก่า
“หรือว่าเราเข้าไม่ถูกทาง หรือจะเป็นทางนี้”
ทศนนท์เปลี่ยนไปเข้ามุมซ้ายของปากทาง แต่ก็ถูกเด้งออกมา เปลี่ยนไปเข้าทางมุมขวาก็จะถูกเด้งออกมาอีก พยายามดันตัวผ่านเข้าไปให้ได้ แต่เกิดแรงสะท้อนดันร่างเขาออกมาอย่างแรง จนสุดท้ายล้มลงไปกองกับพื้น
“อะไรกัน ทำไมเข้าไปไม่ได้”
พลันทศนนท์ก็ได้ยินเสียงบางอย่างแว่วมา
เป็นเสียงกระพือปีกของสุบรรณเหรานั่นเอง
ทศนนท์จำเสียงนั้นได้ เขามองย้อนเข้าไปในถ้ำด้วยสีหน้าแปลกใจ
บุษบาลาวัณย์รายงานตัวเครื่องบูชายัญแด่ท่านสุบรรณเหรา
“ข้าแต่ท่านสุบรรณเหรา วันนี้ข้าได้นำคนบาปมาบูชาแด่ท่านแล้ว”
บุษบาลาวัณย์หันไปมองหาทศนนท์
“ทำไมยังไม่ตามมาอีกนะ”
จนได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังเดินเข้ามา
“คนบาปที่ข้าจะนำมาบูชาท่านกำลังมานั่นแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่ใช่ทศนนท์แต่เป็นประกิตในสภาพบาดเจ็บ มันนตาตื่นใจกับเพชรนิลจินดามากมายตรงหน้า เดินไปเก็บกอบใส่ชายเสื้อเป็นจำนวนมาก
“นี่มันฝันหรือเรื่องจริงว่ะเนี้ย เมื่อกี้เพิ่งโดนอีปีศาจมันทำร้าย อยู่ดีๆทำไมมาโผล่ที่นี่ หรือมันจะให้โชค พามาเจอสมบัติมหาศาล”
บุษบาลาวัณย์เขม้นมองประกิตอย่างแปลกใจ จนเห็นชัดเจนว่าไม่ใช่ทศนนท์แน่จึงตะโกนถามเสียงดุดัน กราดเกรี้ยว
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงเข้ามาในที่แห่งนี้ได้”
ประกิตหันมองตามเสียงนั้นอย่างตกใจ และเห็นสุบรรณเหรากางปีกจ้องอยู่ ชายชั่วตกตะลึง พรึงเพริด ชายเสื้อที่ใส่เพชรนิลจินดาร่วงหล่นจากมือเขาแทบทันที
“สัตว์...สัตว์ประหลาด...”
จังหวะนี้พิณทิพย์เดินผ่าความมืดออกมา ตรงเข้ามาหาประกิตจากทางด้านหลัง เมื่อมองผ่านประกิตไปก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นบุษบาลาวัณย์จ้องอยู่ แต่ไม่มีเวลาใส่ใจ หันไปทางท่านสุบรรณเหรา
“ข้าแต่ท่านสุบรรณเหรา ข้านำคนบาปมาบูชาแด่ท่านแล้ว”
ประกิตอยู่ตรงกลางหวาดกลัวสุดขีด ปากคอสั่นเพราะเริ่มเดาเหตุการณ์ทั้งหมดออก มันเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นด้วยความกลัว
“ไม่นะ ไม่! ฉันยังไม่อยากตาย ไม่!”
ประกิตลนลาน หาลูกทางหนี ตัดสินใจวิ่งออกไปทางปากถ้ำ สุบรรณเหรากระพือปีก แล้วพ่นน้ำพิษใส่เขาทันที ประกิตชะงักตัวแข็งทื่อ
“อ๊าก!!!”
ทศนนท์แอบมองอยู่ไกลๆ เห็นความตายของประกิตเต็มตา ยืนอึ้งตาค้าง ตกใจกับสิ่งที่เห็น
พิณทิพย์หันหลังกลับออกไปต้องชะงักตกใจสุดขีด รีบเดินเข้าไปหาทศนนท์โดยเร็ว
ทศนนท์ยังคงตกตะลึงอยู่ พอเห็นยายพิณทิพย์เดินตรงมาหา ก็ยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีก
“คุณยาย! มาทำอะไรที่นี่ครับ”
“อย่าเพิ่งถาม ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ไปสิ”
ทศนนท์จะช่วยพาพิณทิพย์ออกไปด้วย
“ไม่ต้องห่วงข้า ออกไป เร็ว”
พิณทิพย์ตะโกนใส่ทศนนท์ พร้อมกับผลักไสเขาให้รีบออกไปพ้นๆ โดยเร็ว
ทศนนท์ประเมินว่าว่าสถานการณ์ตกอยู่ในอันตราย เริ่มลนลานทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ตัดสินใจเดินออกไปตามคำสั่งของพิณทิพย์
บุษบาลาวัณย์ชะเง้อมอง เห็นพิณทิพย์ผลักทศนนท์ให้หนีไป แล้วตัวเองก็ตามออกไปด้วยก็โมโห
“แกเป็นใคร มาฉวยเอาเหยื่อของข้าไปได้อย่างไร”
บุษบาลาวัณย์เดินตามทศนนท์และพิณทิพย์ออกไปอย่างเอาเรื่อง
ดวงดาวระยิบระยับส่องประกายอยู่เต็มท้องฟ้าเหนือน้ำตกนางลับแล
บุษบาลาวัณย์เดินออกมาตามหาไปทั่ว จนเห็นหลังทศนนท์ไกลๆ ยิ้มร้ายออกมา แล้วรีบเดินตามไปทางนั้น พลันมีแสงเจิดจ้าสว่างวาบขึ้นที่หน้าน้ำตก บุษบาลาวัณย์หันไปมอง เห็นเงาของพิณทิพย์กำลังอาบแสงดวงดาวที่ร่วงหล่นลงมาประหนึ่งเม็ดฝน จากร่างงองุ้มของหญิงชราที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว พิณทิพย์ค่อยๆ ยืดตัวขึ้นจนสุดตัว แล้วยกแขนทั้งสองข้างชูขึ้นเหนือศีรษะ เหมือนรับพรวิเศษจากดวงดาว คืนร่างเป็นปรางทิพย์ผู้งดงาม
บุษบาลาวัณย์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นโกรธแค้น
“แก! นังปรางทิพย์มณฑาทอง”
บุษบาลาวัณย์มองศัตรูคู่ปรับด้วยสายตาอาฆาตแค้น เดินลุยเข้าใส่อย่างเอาเรื่อง แต่จู่ๆปรางทิพย์ก็มาปรากฏร่างต่อหน้าโดยฉับพลัน และใช้พลังกระแทกใส่ร่างบุษบาลาวัณย์เต็มแรง
บุษบาลาวัณย์เจ็บปวดทั่วกายา แต่ยังทรงตัวอยู่ได้ ปรางทิพย์นิ่งมองคู่ปรับด้วยสายตาแข็งกร้าว
“เจ้าจะตามเอาชีวิตพี่เทศของข้าให้ได้ใช่หรือไม่”
“ใช่! ข้าอยากให้เจ้าได้รับรู้ถึงการสูญเสียคนรัก เช่นเดียวกับข้า”
พูดจบบุษบาลาวัณย์ก็สะบัดสไบในมือเข้าใส่ปรางทิพย์อย่างแรง ส่งให้ปรางทิพย์ถึงกับซวนเซไป เหลียวกลับมามองด้วยสายตาโกรธแค้น สะบัดผ้าคลุมผมพุ่งใส่เอาคืน ร่างบุษบาลาวัณย์ล้มลงกระแทกพื้นกระอักเลือดออกมา
ปรางทิพย์เองก็จุกเจ็บที่อกจนแทบหายใจไม่ออก แต่ก็ยังพยายามทรงตัวยืนอยู่ได้และเก็บอาการ
“เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าจักเอาชนะข้าได้อย่างนั้นหรือบุษบาลาวัณย์”
“ข้ารู้ว่าฝีมือและพลังของข้ามิอาจสู้เจ้าได้ แต่ความเกลียดชังของข้าที่มีต่อ เจ้านั้นมันมากมายจนข้าจักไม่มีวันยอมให้เจ้าอยู่เป็นสุขแน่”
“เช่นนั้นเจ้าก็จงกลับไปรับโทษที่เจ้าคิดกระทำบาปต่อผู้บริสุทธิ์กับข้าเถิด”
ปรางทิพย์เดินเข้าไปหมายจะจับตัวบุษบาลาวัณย์ไปรับโทษทัณฑ์ แต่บุษบาลาวัณย์กำเศษดินสาดใส่หน้า จนต้องยกมือขึ้นป้อง เมื่อฝุ่นดินจางไป ปรางทิพย์จึงพบว่าบุษบาลาวัณย์หายไปแล้ว
ปรางทิพย์ยกมือขึ้นกุมหน้าอกตัวเอง ด้วยสีหน้าเจ็บปวดสุดจะประมาณ
ในราวป่าอันมืดมิด ทศนนท์วิ่งหน้าตื่นฝ่าความมืดออกไป แต่แล้วเขาก็ชะลอฝีเท้าลง ก่อนจะหยุดยืนแล้วหันไปมองทางด้านหลังที่เขาเพิ่งวิ่งจากมา
“คุณยาย”
ทศนนท์ชั่งใจ เหลียวมองไปรอบๆ หาอาวุธ จนเจอท่อนไม้เหมาะมือเขาคว้ามากำแน่น แล้วเดินกลับไปช่วยพิณทิพย์
ปรางทิพย์ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นด้วยอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ ทศนนท์กำท่อนไม้พุ่งเข้าไปหา
“คุณยายครับ คุณยาย”
แต่แล้วทศนนท์ต้องชะงัก เพราะที่เห็นคือปรางทิพย์ทรุดอยู่ที่พื้น
“คุณปราง คุณเป็นอะไรไป คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วคุณยายล่ะครับ คุณยายอยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า”
ทศนนท์มองหาพิณทิพย์ด้วยสีหน้าหวั่นวิตก ปรางทิพย์จับแขนเขาไว้เชิงห้ามและร้องขอ
“คุณทศ คุณอย่าเพิ่งถามอะไร ตอนนี้ช่วยพาฉันกลับบ้านก่อน”
สิ้นคำ ปรางทิพย์ก็สิ้นแรงหมดสติ ร่างร่วงลงไป ทศนนท์รับเอาไว้ทัน
“คุณปราง”
ท่ามกลางเสียงไก่ขัน บอกให้รู้ว่าเวลาล่วงเข้าสู่เช้ามืดวันใหม่นี้ บัวคำรีบร้อนเปิดประตูให้ทศนนท์อุ้มปรางทิพย์เข้ามาวางบนเตียง สีหน้าตกใจมาก กังวลว่าทศนนท์จะล่วงรู้ความลับของปรางทิพย์ และ พิณทิพย์
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณทศ คุณไปเจอคุณปรางได้ยังไง”
“ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณปราง ผมเจอคุณปรางที่หน้าน้ำตก เหมือนถูกทำร้ายเจ็บหนัก บัวคำรู้ไหมว่าคุณปรางเข้าไปทำอะไรในป่า แล้วผมยังเจอคุณยายในถ้ำด้วย ป่านนี้ไม่รู้คุณยายจะเป็นยังไงบ้าง”
บัวคำอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก
ปรางทิพย์เริ่มรู้สึกตัว กระแอมกระไอออกมา ทศนนท์เห็นรีบถามขึ้นอย่างห่วงใย
“เป็นยังไงบ้างครับคุณปราง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นไรมาก”
“โล่งอกไปที แต่คุณยายเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เดี๋ยวผมจะตามคนไปช่วยคุณยายนะครับ”
ทศนนท์ควานหาโทรศัพท์มือถือตามกระเป๋ากางเกงแต่ไม่เจอ เขาจึงขอยืมจากปรางทิพย์
“คุณปรางมีโทรศัพท์ใช่ไหมครับ ผมขอยืมโทร.หาผู้ใหญ่หน่อยครับ”
ปรางทิพย์ค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ทศนนท์ช่วยเอาหมอนหนุนหลังให้
“อย่าค่ะ เรื่องนี้คุณจะบอกใครไม่ได้นะคะคุณทศ”
ทศนนท์มองจ้องหน้าปรางทิพย์ แววตาของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมายในนั้น
อ่านต่อตอนที่ 18