เพรงลับแล ตอนที่14 | รักสามสี่เส้า
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ตกกลางคืน จรัล สำราญ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยอีก 2 คน เดินเข้ามาสมทบกับทุกคนที่รออยู่ตรงลานหน้าบ้าน ทั้ง ปรัชญา จาริณี ปรียา กฤตณี ถนอม เสถียร มินตา พีรพร และอนุชิต
“เอาล่ะครับทุกคน ตอนนี้คุณสำราญ เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยพร้อมที่จะออกตามหาคุณทศนนท์และครูเนียร์แล้ว”
“ขอผมไปด้วยนะครับผู้ใหญ่ เผื่อไปถึงมีใครบาดเจ็บผมจะได้ช่วยได้” หมออาสา
จรัลพยักหน้ารับเห็นด้วย “ดีครับหมอ”
“ผมก็ขอไปด้วยครับ ให้ผมรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านเฉยๆ ผมคงนอนไม่หลับ” พีรพรบอก
กฤตณีขอไปด้วย “คิตตี้ก็ขอไปด้วยค่ะลุงผู้ใหญ่ คิตตี้เป็นห่วงเพื่อน”
สำราญทักท้วง “ผู้ชายไปได้ครับ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงเราคงให้ไปด้วยไม่ได้”
“ผมเพิ่งจะหายป่วย ผมคงช่วยอะไรมากไม่ได้” อนุชิตออกตัว
“คุณนุไม่ต้องไปหรอกครับ อยู่รอฟังข่าวที่บ้านดีกว่า”
“จริงครับ ให้ผู้ชายที่สุขภาพแข็งแรงไปจะดีกว่า”
“แล้วถ้าไม่ใช่ผู้ชายล่ะ” เสถียรอิดออด
“เอ๊ะไอ้นี่ เขาก็บอกอยู่ไงว่าถ้าเป็นผู้หญิงเขาไม่ให้ไป”
เสถียรเจอจรัลดุเข้าให้ เลยได้แต่ปิดปากเงียบและดูจะหงุดหงิดที่ทำอะไรก็ไม่ได้อย่างใจ จาริณีหันมองเสถียรอย่างเห็นใจ หันไปหยิบกระเป๋ายาที่เตรียมไว้ส่งให้หมอ
“นี่กระเป๋ายาค่ะหมอ”
ปรัชญารับไป “ขอบคุณครับ”
“เอาล่ะครับทุกคน ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมสัมภาระ ออกเดินทางกันได้”
จรัล สำราญ พีรพร ถนอม เสถียร กู้ภัย 2 คน เตรียมสัมภาระออกเดินทาง
กฤตณีมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจที่ตนไม่ได้ไปด้วย ถามพีรพรที่กำลังเดินผ่านไป
“คุณพี คุณก็เพิ่งหายป่วยไม่ใช่เหรอ ประเดี๋ยวก็ไปป่วยกลางป่า เป็นภาระของคนอื่นเขาหรอก”
“ผมหายป่วยมาหลายวันแล้วครับ ตอนนี้แข็งแรงวิ่งรอบสนามฟุตบอลไทยญี่ปุ่นดินแดงได้สบายเลย”
“แหวะ ขี้โม้”
มินตาและเสถียรเห็นจึงแซวขึ้น
“แหมคิตตี้ เป็นห่วงเป็นใยคุณพีจริงๆ เลยนะ”
“ห่วงยังกับเป็นแฟนกันนะเนี่ย”
กฤตณีกะพีรพรร้อนตัว ร้องบอกพร้อมกัน “ไม่ใช่”
กฤตณีรีบเข้าไปกระแซะหมอปรัชญา
“หมอปรัชทั้งหล่อทั้งเก่งทั้งจิตใจดี คิตตี้เอาใจช่วยให้หาเนียร์กับคุณทศให้เจอนะคะ”
หมอปรัชญายิ้มรับเอาคำ สีหน้ามุ่งมั่นจริงจัง
นิรชานั่งหลับอยู่ที่ผนังถ้ำ โดยมีทศนนท์นั่งพักหลับตาอยู่ใกล้ๆ นิรชาเริ่มมีอาการหนาวสั่นเพราะไข้ขึ้นสูงอย่างเห็นได้ชัด เธอทรงตัวไม่อยู่และเริ่มค่อยๆ เอนล้มตัวลงไปพิงไหล่ของทศนนท์เข้าพอดี
ทศนนท์รู้สึกตัวลืมตาขึ้น เขาหันมองนิรชา พร้อมกับจับที่หน้าผาก
“ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ ยังจะฝืนว่าไม่เป็นไรอีก เสื้อผ้าก็ชื้นมีหวังได้ปอดบวมแน่”
นิรชาเริ่มเพ้อด้วยพิษไข้ ขดตัวหนาวสั่น
ทศนนท์ทนนิ่งเฉยไม่ได้ประคองนิรชาให้นอนลงกับพื้น ถอดเสื้อเชิ้ตออกเหลือเพียงเสื้อกล้าม
“ขอโทษนะคุณเนียร์ ผมไม่รู้ว่าจะช่วยคุณวิธีไหนจริงๆ ผมรับรองว่าผมจะไม่มองคุณ”
ทศนนท์เอื้อมมือไปแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตนิรชาออก หลับตาลง ค่อยๆ กระดุมเสื้อเม็ดบนของนิรชา เปิดสาบเสื้อออกเพื่อไล่ความชื้น แล้วกอดเธอเอาไว้เพื่อให้ความอบอุ่น นิรชาซุกหน้ากับอกของทศนนท์เพื่อคลายหนาวโดยไม่รู้ตัว ทศนนท์รับรู้ได้ หลับตาลงอีกครั้ง ด้วยความอ่อนเพลีย
ระหว่างนี้ปรางทิพย์ซึ่งตามมาด้วยความเป็นห่วง เดินเข้ามาเห็นภาพถึงกับอึ้งนิ่งงันไป ทั้งน้อยใจ เสียใจ และโกรธแค้น
คืนพระจันทร์ครึ่งดวง
ไฟในห้องนอนบ้านพักช่างปิดลง อนุชิตอนอยู่บนเตียง กำลังเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูแก๊ก ดังมาจากนอกชาน อนุชิตลืมตาขึ้น เงี่ยหูฟัง แววตาสงสัย
มีใครบางคนก้าวขึ้นบันไดมาในความมืดสลัว
อนุชิตลุกขึ้นนั่ง แววตาลังเล ชั่งใจว่าจะออกไปดูหรือไม่ไป พึมพำกับตัวเอง
“พวกพีก็เพิ่งออกไปทำไมกลับมาเร็ว หรือว่าจะลืมของ”
อนุชิตตัดสินใจลุกเดินไปเปิดประตูห้องออกไปดู
ในแสงสลัว อนุชิตเดินออกมาตรงนอกชานบันไดขึ้นเรือนเงียบๆ แต่ต้องสะดุ้งสุดตัว เกือบจะตกบันได
เมื่อเห็นเงาใครคนนั้นยืนอยู่ตรงประตูบันไดในมุมย้อนกับแสงจันทร์ดูหลอนๆ ผมยาวสยายยิ่งชวนให้คิดเตลิดไปไกล อนุชิตตกใจกลัวจับใจ ยืนขาสั่น
“ผะ…ผะ…ผะ…ผี”
อนุชิตหันหลังจะวิ่งเข้าบ้าน แต่กลับก้าวขาไม่ออก
“กลัวแล้วๆ อย่าทำฉันเลย”
ใครคนนั้นเดินมากอดเอวจากข้างหลังหมับ
“ปล่อย!ปล่อยฉันเถอะ”
อนุชิตร้องลั่น จะวิ่งหนี แต่มือนั้นยังกอดไว้แน่น
“พี่นุ ไม่ต้องตกใจ นี่มิ้นเอง”
อนุชิตชะงัก ค่อยๆ หันมามอง เห็นเป็นมินตาชู้รักกอดตนอยู่ ก็ถอนใจอย่างโล่งอก
“โธ่...มิ้น”
มินตายิ้มหวานให้อนุชิต แววตากรุ้มกริ่มเหมือนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
อนุชิตกอดมินตาไว้ สีหน้ายิ้มแย้ม
“พี่ตกใจหมด นึกว่า...”
“นึกว่าผีเหรอ สวยอย่างนี้เป็นผีได้ยังไง”
อนุชิตเอามือลูบผม ลูบหน้าลูบตามินตาอย่างดีใจ
“ก็มาเงียบๆ พี่เลยตกใจน่ะสิ”
มินตาเอามือแตะหน้าผากอนุชิตด้วยความห่วงใย
“กะจะมาเซอร์ไพรส์พี่ไง พี่นุเป็นไงบ้าง อาการดีขึ้นหรือยัง มิ้นว่าจะมาตั้งแต่เช้าแล้วแต่ยุ่งๆ”
อนุชิตยิ้มรู้ทัน “แล้วตอนนี้หายยุ่งแล้วเหรอ”
มินตายิ้มยั่วยวน อนุชิตหอมแก้มชู้รักสองคนหายเข้าไปในห้องอนุชิตด้วยกัน เดาไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น
อีกฝั่ง บริเวณหน้าน้ำตกนางลับแลตอนกลางคืน บรรยากาศเงียบสงบ
ส่วนในโถงถ้ำ ปรางทิพย์ยืนน้ำตาร่วงมองภาพบาดตาตรงหน้า ทั้งเสียใจ ผิดหวัง โกรธขึ้งและหึงหวง ทศนนท์ยังคงกอดนิรชาไว้แนบอกเพื่อให้ไออุ่น
สักครู่หนึ่งทศนนท์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น พอเห็นปรางทิพย์จ้องอยู่ก็ตกใจ
“คุณปราง...มาได้ยังไงครับ...”
ทศนนท์ค่อยๆ จับตัวนิรชาพิงกับผนังถ้ำ แล้วรีบสวมเสื้อ
ปรางทิพย์สะบัดหน้ารีบหันหลังเดินออกไปทศนนท์เรียกไว้
“คุณปราง! คุณกำลังเข้าใจผิด”
“คุณปราง ฟังผมก่อน มันไม่มีอะไรจริงๆนะครับ”
ปรางทิพย์จะเดินออกไปทศนนท์วิ่งมาคว้าแขนให้หยุด พยายามอธิบาย
“คุณกำลังเข้าใจผมผิดนะครับคุณปราง ผมอธิบายได้...”
ปรางทิพย์สะบัดแขนจนหลุด แต่แล้วก็ต้องชะงัก มองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง เหมือนรับรู้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา เสียงกระพือปีกดังสนั่นขึ้น
ทศนนท์มองหา “นั่นเสียงอะไรครับ เหมือนเคยได้ยินมาก่อน”
ปรางทิพย์กังวล “เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
นิรชาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ในอาการงัวเงียสะลึมสะลือ ทศนนท์หันมาเห็นก็รีบเข้ามาดูอาการนิรชาถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณเนียร์เป็นไงบ้าง”
นิรชาพยายามสะบัดหน้าไล่ความมึนงง ทศนนท์ประคองตัวเธอลุกขึ้น
“เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ คุณไหวไหม”
เสียงกระพือปีกดังใกล้เข้ามาอีก
ทศนนท์กับนิรชากำลังจะเงยหน้าขึ้นมอง อยู่ๆ ก็มีผ้าคลุมลงมาที่ตัวของทั้งคู่
“ห้ามส่งเสียง รีบตามฉันมา เราต้องรีบออกไป เดี๋ยวนี้”
ปรางทิพย์เข้ามาใกล้สองคน บอกเบาๆ พอได้ยินด้วยสีหน้าตื่นตกใจ รีบจับชายผ้าคลุมไหล่คลุมทุกคนไว้เหมือนที่เคยปกป้องทศนนท์ รีบพาทั้งคู่ออกไปโดยเร็ว
ทศนนท์และนิรชากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามปรางทิพย์ออกมา ผ่านทางเดินที่โรยเพชรนิลจินดามาแล้ว จนเกือบถึงปากถ้ำ จู่ๆ ผ้าคลุมไหล่ของนิรชาก็หลุดปลิวร่วงหล่นลงพื้น ทศนนท์หันไปเห็น
“ผ้าคลุมของคุณ...”
ปรางทิพย์หันมามองนิดๆ “ช่างเถอะค่ะ รีบออกไปก่อน”
นิรชาพยายามเดินเองแต่เกิดเจ็บข้อเท้า จนเสียหลักเซไปโดนปรางทิพย์เข้า ปรางทิพย์ช่วยประคองไว้
ทศนนท์ตัดสินใจช่างร่างอุ้มนิรชาขึ้น ปรางทิพย์มองดูภาพนั้นด้วยความเจ็บปวด
“ให้ผมช่วยเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเกรงใจนะคุณ”
นิรชาอึดอัดแต่พูดอะไรไม่ออกเพราะกลัวตัวเองเป็นภาระ
“ไปทางไหนต่อครับคุณปราง”
ปรางทิพย์เอาแต่อึ้งอยู่ ทศนนท์ต้องเรียกซ้ำ
“คุณปรางครับ...”
ปรางทิพย์ได้สติ “ตามมาทางนี้เลยค่ะ”
นิรชาสงสัย “เรากำลังหนีอะไรกันเหรอคะ”
ทศนนท์เองก็คาใจเช่นกัน “นั่นสิครับ! มันคือเสียงอะไร”
ปรางทิพย์อึ้งอีก เพราะเธอโกหกไม่ได้
“อย่าเพิ่งถามเลย เราต้องรีบออกไปก่อน”
ปรางทิพย์รีบเดินนำออกไปอย่างเจ็บปวด
ทีมชาวบ้านทุกคนช่วยกันค้นหาทศนนท์กับนิรชาอยู่ในป่าอีกฟากของน้ำตก โดยใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆออกปากตะโกนเรียกไม่หยุด
“ครูเนียร์” / “คุณทศ” / “พี่ทศ” / “คุณเนียร์” / “หัวหน้า”
ปรัชญาเอาไฟฉายส่องไปรอบๆ
“ครูเนียร์…ครูเนียร์…”
ปรัชญาส่องไฟฉายไปที่ต้นไม้ ฝูงนกบินกรูพุ่งเข้ามาใส่เขา ปรัชญาตกใจเอามือป้องหน้าจนไฟฉายหลุดมือตกลงพื้นส่องแสงเจิดจ้าไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง
สำราญตามเข้ามาช่วย เมื่อมองตามแสงไฟถึงกับผงะตกใจ เห็นเทพารักษ์ยืนจ้องอยู่ แล้วชี้ไปทางน้ำตก เหมือนจะบอกทาง สำราญอึ้งไป ทุกคนรีบเข้ามาดู
“หมอ…หมอเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พีรพรถาม
ปรัชญาตั้งสติ “ไม่เป็นไรครับ”
“ผมว่าเราหยุดค้นหา แล้วกลับไปพักที่แคมป์กันก่อนเถอะครับ” สำราญบอก
เสถียรเห็นด้วยก่อนใคร “เห็นด้วยฮะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว จะอันตรายเปล่าๆ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยออกค้นหาอีกทีน่าจะดีกว่า” ถนอมว่า
จรัลเหนื่อยหอบ “ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไร หายาดมให้ข้าก่อนเลยเสถียร”
เสถียรควักยาดมยื่นให้ “โถ...ผู้ใหญ่ เถียรก็บอกแล้วให้รอที่แคมป์ ไม่รู้จะออกมาด้วยทำไม”
“เอ็งก็พูดมาได้ รออยู่คนเดียว เกิดผีแม่ม่ายมาเอาตัวข้าก็ไม่มีใครช่วยสิ”
“มันจะเอาไปทำไม เดี๋ยวก็ต้องเดือดร้อนเอากลับมาคืนอีก” เสถียรว่า
“นี่เอ็งว่าข้าแก่เกินแกงเหรอไอ้เถียร” จรัลยัวะนิดๆ
“เปล่าๆ นะฮะ”
“ผมว่าเรารีบพาผู้ใหญ่กลับไปพักที่แคมป์กันก่อนจะดีกว่านะครับ” หมอบอก
สำราญนึกถึงที่เทพารักษ์ชี้บอกทางตัดสินใจบอกไปว่า
“เรามาผิดทาง ครูเนียร์กับคุณทศไม่น่าอยู่แถวนี้ พรุ่งนี้เราไปทางเส้นน้ำตกกันดีกว่า”
ทุกคนหันมองหน้ากันท่าทีสงสัยว่าสำราญรู้ได้ยังไง
ทางฝ่ายเนตรมายากับเชื่อม ช่วยกันเขย่าประตูตะโกนเรียกหาทศนนท์อยู่ตรงประตูหน้าบ้านปรางทิพย์อย่างร้อนใจ
“คุณทศ…คุณทศ…”
“ปล่อยคุณทศออกมาเดี๋ยวนี้นะ” เนตรมายาตะโกนก้อง
ประตูหน้าบ้านเปิดออก บัวคำเดินออกมาสีหน้าขุ่นเคืองไม่พอใจ
“เป็นบ้าอะไรกัน มาตะโกนเรียกคุณทศที่นี่ทำไม”
“อย่ามาตีหน้าซื่อ นังผีนายแกเอาตัวคุณทศไปไม่ใช่เหรอ” แม่หมอด่า
“คุณปรางไม่ได้ทำ อยู่ๆมาว่ากล่าวหาผู้อื่นได้ยังไง ถ้าเก่งขนาดนั้นไม่ตามเข้าไปช่วยหาในป่าโน่น”
เชื่อมไม่เชื่อ “อย่ามาปากดี ใครๆ ก็รู้ว่าพวกแกมันเป็นผีหิวผู้ชาย ถ้าไม่อยากสิ้นชื่อผีแม่ม่ายก็รีบปล่อยคุณทศออกมาเดี๋ยวนี่”
บัวคำปรายตามอง ยิ้มเยาะมุมปาก “ถ้าคิดว่าเก่งขนาดนั้นก็เชิญตามสบาย”
บัวคำเดินเข้าบ้านไปอย่างไม่ใยดี ประตูถูกปิดตามเสียงดังปัง
เนตรมายาส่งสัญญาณให้เชื่อม
เชื่อมพยักหน้ารับอย่างรู้กัน เดินลงไปหยิบของในรถ ออกมาจัดการตั้งโต๊ะทำพิธีหน้าบ้านแล้วจุดเทียน เนตรมายานั่งลงทำพิธี มองเข้าไปด้านในด้วยความโกรธแค้นที่ถูกบัวคำท้าทาย
เนตรมายาหยิบตุ๊กตาลูกเทพขึ้นมา แล้วร่ายมนต์เป่าไปที่ตัวลูกเทพ เกิดควันสีดำพุ่งออกจากตัวตุ๊กตา พอควันจางลงเห็นเป็นลูกเทพเด็กหญิงยืนอยู่ แล้วแยกร่างออกเป็นสองตัวที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบเนตรมายายิ้มสมใจ
“เจ้าเข้าไปตามตัวคุณทศออกมาให้แม่”
ลูกเทพหญิงยิ้มรับพูดพร้อมกัน “จ้าแม่จ๋า
ลูกเทพ1 วิ่งเข้ามาในบ้าน ค้นหาทศนนท์ตามมุมนั้นมุมนี้ เปิดประตูตู้ ดึงผ้าปูที่นอน แล้วหายตัวไปรื้อค้นข้าวของกระจัดกระจาย
บัวคำตามเข้ามาตะโกนไล่ แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”
บัวคำไล่จับ แต่เด็กหายตัวแวบไปวับมาจนบัวคำจับไม่ทัน
ลูกเทพหัวเราะคิกคักเสียงแหลมเล็กอย่างสนุกสนาน
“ฮะๆๆๆ ฮ่า เก่งจริงก็จับให้ได้สิ”
ลูกเทพวิ่งไปมา แล้วยังหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่บัวคำอย่างสนุกสนาน
บัวคำหยุดเหนื่อยหอบ แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อได้ยินเสียงข้าวของหล่นดังออกมาจากอีกห้อง
ลูกเทพอีกตัวเข้ามาในห้องนอนปรางทิพย์ รื้อค้นหาทศนนท์จนวุ่นวาย บัวคำตามเข้ามาไล่จับ แต่เด็กก็หายตัวไปมา
บัวคำชักเริ่มโมโห “หยุด ห้ามเข้ามายุ่งห้องนี้เด็ดขาด ข้าบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้”
ลูกเทพหัวเราะไม่สนใจ แล้วรื้นค้นต่ออย่างไม่ใยดี
“ฮ่าๆๆ สนุกจังเลย สนุกจังเลย”
ร่างลูกเทพวิ่งไปมารอบตัวบัวคำอย่างไม่เกรงกลัว
บัวคำยืนมองด้วยความโกรธ ก่อนจะหลับตาลงทำสมาธิ ลูกเทพเดินเข้ามามองใกล้ๆ ด้วยความสงสัย เมื่อบัวคำลืมตาขึ้นมาก็คว้าตัวลูกเทพเอาไว้ได้แล้วกระหน่ำตีไม่ยั้ง
“นี่แน่ะๆ นี่แน่ะ ดื้อนักใช่ไหม ข้าบอกแล้วว่าให้ออกไป ออกไปบอกแม่พวกเจ้าให้เลิกยุ่งกับพวกข้าได้แล้ว ไม่งั้นแม่เจ้าจะต้องถูกทำโทษเช่นกัน”
ลูกเทพร้องไห้จ้าด้วยความเจ็บ แล้วหายวับออกไป
บัวคำมองไปทางหน้าบ้านอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้
“คิดว่าจะทำอะไรพวกข้าได้รึ”
ลูกเทพออกมายืนร้องไห้จ้าอยู่ตรงหน้า เนตรมายาตกใจ
“แม่จ๋าหนูเจ็บ ป้าใจร้ายตีหนู”
“ไม่เป็นไรนะลูก เดี๋ยวแม่ซื้อของเล่นกับขนมให้นะ”
ลูกเทพปาดน้ำตาด้วยความดีใจ “เอาเยอะๆ เลยนะแม่จ๋า”
เนตรยามากอดปลอบ “จ้ะ แล้วหนูเห็นคุณทศอยู่ข้างในไหม”
“ไม่มีเลยแม่จ๋า มีแต่ป้าใจร้าย เขาบอกจะทำโทษแม่จ๋าด้วย”
เนตรมายามองเข้าไปในบ้านอย่างเจ็บใจ
“มันเอาคุณทศไปไว้ไหนกันนะ งั้นหนูกลับไปก่อนนะลูก”
เนตรมายาเอาแป้งเจิมหน้าผากลูกเทพ ลูกเทพสลายกลายเป็นควันดำลอยเข้าร่างตุ๊กตาที่เชื่อมอุ้มอยู่
เชื่อมมองตุ๊กตาที่หลับตาอยู่ จู่ๆก็ลืมตาโพลงมองเหมือนแกล้ง เชื่อมตกใจทำตุ๊กตาหลุดมือด้วย
“ไอ้เด็กผี”
เนตรมายามองรำคาญ “ยังไม่ชินอีกเหรอ กลัวอยู่ได้”
เชื่อมรีบอุ้มตุ๊กตาขึ้นมาแล้วมองหลบสายตาเนตรมายาอย่างกลัวความผิด
พระอาทิตย์ส่องแสงเรื่อเรืองขึ้นเหนือน้ำตก
ทศนนท์พยุงนิรชาออกมา พลางมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ
“เรามาโผล่ที่นี่ได้ยังไง”
ปรางทิพย์ไม่ตอบ แต่หันไปรอบๆ อย่างรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง
“พวกเจ้าหน้าที่เข้ามาตามหาคุณแล้ว”
“คุณปรางรู้ได้ยังไงครับ แล้วทำไม...คุณมาถึงก่อน”
ปรางทิพย์สบตาทศนนท์อย่างทั้งรักทั้งโกรธ
“เพราะฉันเป็นห่วง...”
นิรชาทรุดลง ทศนนท์จึงหันไปถามอย่างเป็นห่วง
“คุณไหวไหม”
“ไหวค่ะ”
“ฉันว่าให้คุณเนียร์นั่งพักก่อนดีกว่า เพราะตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว”
“งั้นคุณช่วยดูแลคุณเนียร์ก่อนได้ไหมครับ เดี๋ยวผมจะไปตามคนมาช่วย”
ปรางทิพย์ยิ้มบางๆ “ไปเถอะค่ะ”
ทศนนท์วางนิรชาลงนั่งพักกับโขดหิน
“เดี๋ยวผมจะรีบมานะครับ”
นิรชาพยักหน้ารับเหนื่อยๆ เหงื่อผุดพรายเต็มหน้า ทศนนท์มองนิรชาอย่างห่วงใย ก่อนจะรีบเดินออกไป ปรางทิพย์มองนิรชาด้วยสายตาหึงหวง
โต๊ะอาหารบ้านทรงกลด มีเมนูประจำเป็นปลาเผา อันเป็นอาหารที่คอนทำให้บุษบาลาวัณย์กินเนื้อสัตว์ครั้งแรก และอาหารอื่นๆ แต่บุษบากินแต่เมนูโปรดนี้
ทรงกลดยิ้มมองบุษบาลาวัณย์ที่นั่งกินปลาเผาอย่างเอร็ดแอร่ม
“กินแต่ปลาเผาไม่เบื่อเหรอคุณ”
“ฉันไม่เคยเบื่อ ฉันมีสุขความทุกครั้งที่ได้กิน”
“งั้นก็ตามสบายเลยนะครับ อ้อ... วันนี้ผมไม่อยู่นะ จะไปทำธุระที่หมู่บ้านนางลับแลสักหน่อย”
“ฉันไปด้วย”
ทรงกลดกลัวบุษบาลาวัณย์จะไปเจอปรางทิพย์จึงรีบอ้าง “แต่ผมไปทำงานนะ”
“ฉันไม่ได้เข้าไปในหมู่บ้าน ฉันแค่จะขอติดรถไปลงแถวๆนั้น”
“คุณจะกลับบ้านเหรอ”
“ฉันจะกลับไปเยี่ยมบ้าน และจะกลับไปเอาสมบัติมาอีก”
ทรงกลดหูผึ่ง ตาลุกวาวแต่รีบเก็บอาการ “คุณยังมีสมบัติอีกเหรอ”
บุษบาลาวัณย์มีอีกมาก ที่ฉันเอาออกมานี่แค่เศษเสี้ยว
“ให้ผมเข้าไปช่วยไหม คุณผู้หญิงตัวคนเดียวเดี๋ยวเกิดอันตราย”
“ไม่เป็นไร ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉันหรอก”
ทรงกลดมองอย่างครุ่นคิดมีแผนบางประการในใจ
รถทรงกลดซึ่งขจรเป็นคนขับแล่นเข้ามาตามทาง มุ่งหน้าไปทางน้ำตก สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้รกทึบ ทรงกลดนั่งมากับบุษบาลาวัณย์
บุษบาลาวัณย์มองไปรอบๆ แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนบอกขจร
“จอดๆ จอดตรงนี้แหละ”
ขจรตกใจเหยียบเบรคจนหัวทิ่ม “ให้จอดทำไมครับ”
“นั่นสิ มีอะไรเหรอครับ นี่มันกลางป่ากลางเขานะครับ”
ทรงกลดมองรอบๆ อย่างแปลกใจ
“ฉันจะเข้าบ้านฉัน”
ทรงกลดมองไปรอบๆ สีหน้าสงสัย “แต่มันมีแต่ป่ารก ไม่เห็นมีทางเข้าหมู่บ้านคุณนี่”
“บ้านฉันก็อยู่ในป่านี้แหละ” บุษบาลาวัณย์เปิดประตูลงไปเลย “ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พรุ่งนี้เช้ามารับฉันที่นี่ก็พอ ฉันจะมารอ”
“ครับ มีอะไรก็โทร.มานะครับ แต่...บ้านคุณจะมีสัญญาณโทรศัพท์หรือเปล่า”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มรับแทนคำตอบ แล้วปิดประตูรถ ขจรเหลือบไปมองกระจกมองหลัง เห็นบุษบาลาวัณย์หายวับไปกับตาถึงกับร้องเสียงหลง
“เฮ้ย”
ทรงกลดแปลกใจ “เป็นอะไร”
“อยู่ๆคุณบุษบาก็หายวับไปกับตา ผมว่าแกแปลกๆ นะครับนาย”
ทรงกลดไม่เชื่อ “ก็ต้องหายสิ เขากลับเข้าบ้านเขานี่”
“แต่เมื่อกี้คุณบุษบาไม่ได้เดินนะนาย เขาหายตัวไป”
ทรงกลดเซ็ง “เมื่อคืนกินเหล้าหนักอีกแล้วใช่ไหม ไปๆ ออกรถเลย เสียเวลาคิดเล็กคิดน้อยอยู่ได้”
ขจรขับรถออกไป ด้วยสีหน้าครุ่นคิดสงสัยไม่คลาย
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ 2 คน นั่งล้อมวงกินข้าวเช้าด้วยกัน พีรพรเดินเข้ามาสมทบ ท่าทางง่วงงุนเหมือนนอนไม่พอ
“ไงคุณพี เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม”
“สบายอะไรล่ะพี่” พีรพรมองเสถียรเซ็งๆ “พี่เถียรกอดผมทั้งคืนเลย”
เสถียรรีบแก้ตัวเสียงห้าว “ผมขอโทษครับ ผมคงละเมอ”
“โล่งอกไปที ถ้าพี่ไม่ละเมอนี่ ผมนึกว่าพี่พิศวาสอะไรผมเสียอีก”
“ไอ้เถียรมันผู้ชายทั้งแท่ง ไม่ชอบไม้ป่าเดียวกันหรอก อีกอย่างพ่อมันเกลียดผู้ชายตุ้งติ้งจะตาย ใช่ไหมเสถียร” จรัลจ้องหน้าเสถียร
เสถียรยิ้มเจื่อนๆ “ครับผม ลูกผู้ชายใจเกินร้อย”
“ผมว่าเรารีบออกไปค้นหากันอีกรอบเถอะครับ” ปรัชญาเอ่ยขึ้น
เมื่อคืนนี้สำราญแอบเห็นปรัชญาออกไปตามหานิรชาคนเดียวทั้งคืน
“แต่หมอยังไม่ได้นอนเลยนี่ครับ”
พีรพรมองสงสัย “อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนแอบออกไปตามหาครูเนียร์คนเดียว”
“ผมนอนไม่หลับ เลยออกไปหารอบๆ ที่พัก เผื่อจะเจอพวกเขา”
“ผมว่าคุณหมอต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ เดี๋ยวจะป่วยไปอีกคน ถ้าวันนี้ไม่เจอผมต้องเข้าไปแจ้งทางการให้นำกำลังเข้ามาค้นหาอีกทีแล้ว” จรัลเป็นห่วง
เจ้าหน้าที่1ร้องตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจ “ทุกคนครับ ทุกคน เจอคุณทศแล้วครับ”
ทุกคนมองตามไป เห็นทศนนท์เดินท่าทางอิดโรยออกมา ก็พากันยิ้มดีใจ ปรัชญาปรี่เข้าไปหา มองหานิรชาแต่ไม่เจอ
“คุณทศ ครูเนียร์ไปไหน ไม่ได้อยู่กับคุณเหรอครับ”
“อยู่ครับ รีบตามผมมาทางนี้”
ทุกคนรีบตามทศนนท์ไป
ทศนนท์เดินนำทุกคนมาที่หน้าน้ำตกนางลับแล เห็นปรางทิพย์ ผ้าคลุมปลิวหายไปในถ้ำแล้ว นั่งอยู่คนเดียว ไม่มีนิรชา ปรัชญาแปลกใจ
“ทำไมมีแต่คุณปราง แล้วครูเนียร์อยู่ไหนครับ”
ทศนนท์ปราดเข้าไปหาปรางทิพย์ถามด้วยสีหน้าร้อนรน ลืมตัวต่อว่าเบาๆ
“คุณเนียร์ไปไหนครับคุณปราง คุณเนียร์กำลังไม่สบาย ปล่อยให้หายไปได้ยังไง”
ปรางทิพย์มองทศนนท์ด้วยความน้อยใจและเสียใจ น้ำตาคลอๆ ลุกเดินออกไป
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”
ทศนนท์มองไปทางเสียง เห็นนิรชาเดินกะเผลกๆ ออกมาจากมุมหนึ่งก็อึ้งไป หันไปมองปรางทิพย์อย่างรู้สึกผิด
ปรัชญารีบเข้าไปพยุงนิรชาด้วยความเป็นห่วง
“เนียร์ไปไหนมา”
“เราเดินไปล้างหน้ามา”
ทศนนท์มองนิรชาอย่างแปลกใจ “เมื่อกี้คุณป่วยอยู่นี่ แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงดูเหมือนไม่เป็นอะไรเลย”
นิรชามองปรางทิพย์เชิงขอบคุณซาบซึ้งใจ “คุณปรางเอายาให้ฉันกิน อาการตัวร้อนก็เกือบหายเป็นปลิดทิ้งเลย ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกัน”
ทศนนท์อึ้งไป มองหน้าปรางทิพย์อย่างรู้สึกผิดจับใจ แต่ถูกปรางทิพย์เมินใส่
“ตอนนี้รีบพาครูเนียร์กับคุณทศกลับไปก่อนดีกว่าครับ จะได้ตรวจร่างกายอย่างละเอียดด้วย”
“ครับ งั้นรีบออกไปกันเลย” สำราญเห็นดีด้วย
ปรัชญาประคองนิรชาออกไป ทศนนท์มองแล้วรู้สึกแปลกๆ ในใจ ปรางทิพย์เห็นมองทศนนท์อย่างเจ็บปวดใจ
ทรงกลดยืนตะโกนเรียกปรางทิพย์เสียงดังโหวกเหวกอยู่ที่ประตูหน้าบันไดขึ้นเรือน
“คุณปรางครับ คุณปราง”
ประตูเปิดออก เห็นบัวคำเดินหน้าบูดบึ้งออกมา บอกเสียงขุ่นไม่พอใจ
“คุณปรางไม่อยู่ เชิญกลับไปก่อนนะคะ”
แต่แล้วรถกระบะของสำราญก็แล่นตรงเข้ามาจอดข้างบ้าน
ปรางทิพย์ลงรถมา พอเห็นทรงกลดก็ยิ้มให้อย่างดีใจ จงใจประชดทศนนท์
“คุณทรงกลดมาถึงไวเหมือนกันนะคะ ฉันนึกว่าจะมาช่วงบ่ายเสียอีก”
“ที่จริงผมอยากมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ติดธุระ แล้วคุณปรางไปไหนมาแต่เช้าครับ”
ทศนนท์รีบลงจากรถ เข้ามาขวางลำ เพราะไม่ไว้ใจทรงกลด
“ผมว่าคุณปรางน่าจะไปให้หมอตรวจร่างกายด้วยนะครับ”
“คุณปรางไม่สบายเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ คุณตามไปดูแลคุณเนียร์เถอะค่ะ ฉันปกติดี พอดีฉันมีธุระกับคุณทรงกลด ขอตัวนะคะเชิญด้านในค่ะ”
ทรงกลดยิ้มดีใจ เหลือบมองทศนนท์เหมือนถือไพ่เหนือกว่า
บัวคำมองเหตุการณ์อย่างงุนงง ปรางทิพย์ไม่ใยดี เดินเข้าบ้านไปพร้อมทรงกลด
ทศนนท์มองตามตาละห้อย สำรวญลดกระจกรถลง
“ขึ้นรถเถอะครับคุณทศ เดี๋ยวผมไปส่งอนามัย”
พีรพรปากเปราะแซวทศนนท์ “จะรีบพาพี่ทศไปทำแผลใจ เหรอครับพี่สำราญ”
สำราญมองปราม “ไปตรวจร่างกาย”
“ไม่ต้องหรอกครับ ไปส่งที่บ้านก็พอ ผมอยากพักผ่อน”
ทศนนท์เดินหน้าเศร้าขึ้นรถ
ที่สถานีอนามัย
ปรัชญากำลังพันข้อเท้าให้นิรชาที่นอนอยู่บนเตียง
“โชคดีนะที่ข้อเท้าแค่แพลง แต่ผมสงสัยว่าทำไมอาการป่วยของเนียร์ถึงดีขึ้นเร็วขนาดนี้”
“ฉันก็สงสัยเหมือนกัน หลังจากกินยาที่คุณปรางให้ อาการไข้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง”
จาริณีเดินถือเอกสารประวัติผู้ป่วยและผลการรักษาเข้ามา เห็นปรัชญากำลังทำแผลให้นิรชา ก็เจ็บแปลบในใจ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปรัชญามองจาริณีเชิงบอก
“เดี๋ยวจ๋าไปดูเองค่ะ”
ประตูเปิดออก กฤตณีพุ่งเข้ามาข้างเตียงถามรัวๆ ด้วยความเป็นห่วง
“เนียร์ แกเป็นอะไรหรือเปล่า ตกลงแกหายไปไหน หลงป่าได้ยังไง แล้วใครเป็นคนไปเจอแก หมอคะ เนียร์เป็นอะไรทำไมต้องพันขา”
นิรชาขำ “เล่นถามไม่เว้นช่องไฟแบบนี้จะตอบยังไงเนี่ย”
“ใจเย็นๆ ครับครูคิตตี้ ตอนนี้ครูเนียร์ปลอดภัยแล้ว มาถึงมือหมอปรัชแล้วไม่ยอมให้เนียร์เป็นอะไรหรอกน่า”
“คิตตี้ก็ไว้ใจหมอค่ะ แล้วอยู่ๆ แกหายไปกับคุณทศได้ไงเนียร์” คิตตี้คาใจ
“อย่าเพิ่งถามอะไรมากเลยครับ ตอนนี้พาเนียร์กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
จาริณีเป็นห่วงปรัชญา “หมอก็ควรไปพักเหมือนกันนะคะ ดูท่าน่าจะไม่ได้นอนมาทั้งคืน”
“งั้นเดี๋ยวคิตตี้พาเนียร์กลับเอง หมอไปพักเถอะ” นิรชาว่า
“เดี๋ยวผมลงไปส่ง” หมอหันไปสั่งจาริณี “คุณจัดยาให้ครูเนียร์ด้วยนะครับ”
จาริณียิ้มรับเอาคำ
ปรัชญากับกฤตณีช่วยกันพยุงนิรชาลงจากเตียงเดินออกไป จาริณีมองปรัชญาสีหน้าเศร้าสร้อย
ทางด้านถนอมเดินเข้ามาในบ้านเห็นสันติลูกชายนอนฟุบหลับอยู่ที่โซฟา
“อ้าวตื่นๆ มานอนอะไรตรงนี้ล่ะลูก แล้วแม่แกหายไปไหน”
“ก็เมื่อคืนผมไม่ได้นอน พ่อไม่อยู่แม่ก็ไม่อยู่ผมเลยนอนไม่หลับ”
ถนอมสงสัย “แม่ก็ไม่ได้ไปไหนนี่ เมื่อคืนก็นอนอยู่บ้านกับหนูไม่ใช่เหรอ”
“ผมตื่นขึ้นมาไม่เจอใครนี่พ่อ”
ถนอมมีสีหน้าสงสัยมากยิ่งขึ้น เสียงมินตาแว้ดขึ้นมา
“โอ๊ย แม่ก็แค่ลงมาเข้าห้องน้ำ แกนี่มโนไม่เข้าเรื่อง”
“แต่แม่หายไปนานมาก หนูหาแม่ไม่เจอเลย”
“ก็แม่ท้องเสีย เลยต้องเข้าๆออกๆห้องน้ำทั้งคืน”
ถนอมมองสงสัยไม่คลาย มินตาอ้อนเอาใจถนอม
“พี่หนอมกลับมาก็ดีแล้ว ฉันทำกับข้าวเสร็จแล้วพี่จะกินข้าวเลยไหม”
ถนอมครุ่นคิด พยักหน้ารับ ไม่อยากคิดมาก
“งั้นเดี๋ยวฉันไปเอากับข้าว พี่รอแป๊บนึงนะ”
มินตาเดินเข้าไปในครัว ถนอมมองตามด้วยสายตาสงสัย
อนุชิตยืนรดน้ำต้นไม้หน้าบ้านพักผิวปากอย่างอารมณ์ดี พีรพรลงรถเดินเข้ามาเห็นทักอนุชิตอย่างแปลกใจ
“อ้าว พี่นุหายดีแล้วเหรอ ทำไมออกมาตากแดดตากลมล่ะ”
อนุชิตยิ้มรับ “หายแล้ว แล้วหัวหน้าล่ะ”
ทศนนท์เดินตามหลังพีรพรเข้ามา อนุชิตถามอย่างดีใจ
“หัวหน้าเป็นยังไงบ้าง ตกลงว่าหายไปไหน”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก ขอขึ้นไปพักก่อนนะครับ”
ทศนนท์เดินหน้าเศร้าๆ ขึ้นบ้านไป
อนุชิตมองสงสัย “เกิดอะไรขึ้น”
“สัญญาณแทรกซ้อนพี่”
อนุชิตงง “อะไรคือสัญญาณแทรกซ้อน”
พีรพรบอกเบาๆ “ก็หัวหน้าเราหล่อจนสาวๆหลงเสน่ห์ แต่รถไฟชนกันดังตู้ม ว่าแต่พี่เถอะไปได้ยาดีที่ไหนมาเนี่ย แค่ข้ามคืนก็หายเลย”
“อืม...ได้ยาดีเลยกลับมาฟิตอีกครั้ง” อนุชิตยิ้มกริ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง “พี่หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันไหม”
“งั้นผมขอไปล้างหน้าล้างตาก่อน เดี๋ยวมา”
พีรพรเดินขึ้นบ้านไป อนุชิตผิวปากรดน้ำต่ออย่างอารมณ์ดี
ทรงกลดนั่งรออยู่ที่ศาลาริมสระท้ายเรือน ปรางทิพย์เปลี่ยนชุดใหม่สวยงามเดินเข้ามาในศาลา
“จะตั้งสำรับตรงนี้เลยไหมคะ” บัวคำถาม
“ค่ะพี่บัวคำ” ปรางทิพย์หันมายิ้มหวานให้ทรงกลด “รับข้าวต้มด้วยกันนะคะ”
“ครับ” ทรงกลดนึกขึ้นได้หยิบถุงมือถือยื่นให้ “อ้อ...ผมลืมไปนี่ครับคุณปราง ผมซื้อมาฝาก คุณปรางมีซิมก็ใช้ได้เลยนะครับ”
“ฉันไม่มีหรอกค่ะ คงต้องให้คุณช่วยเป็นธุระ จะได้ไหมคะ”
ปรางทิพย์ยิ้มหวาน พยายามหลอกให้ทรงกลดพาเข้าบ้าน จะได้ไปเอาสร้อยคืน
ทรงกลดยิ้มดีใจ “ผมเต็มใจครับ”
บัวคำยกถาดใส่ชามข้าวต้มเข้ามาวางให้ทรงกลด
“กินได้ไหมคะข้าวต้มเห็ด”
“ได้ครับ น่ากินมากเลยนะครับ”
“กินเสร็จแล้ว ฉันอยากให้คุณช่วยพาฉันเข้าเมืองจะได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ ผมยินดีมาก”
ทรงกลดยิ้มให้มีความหวัง ปรางทิพย์ยิ้มให้อย่างมีแผน บัวคำมองเป็นห่วงนาย
สองหนุ่มเดินลงบันไดเรือนมา แล้วต้องชะงักแปลกใจ เมื่อเห็นเนตรมายายืนถือปิ่นโตรออยู่ที่ชานบันได
“อ้าวคุณเจ้าแม่ มาถูกเวลาเลยนะครับ”
เนตรมายาสงสัย “อะไรคือมาถูกเวลา”
“ก็ตอนนี้พี่ทศกำลังต้องการกำลังใจอยู่ไง” พีรพรยิ้มเจ้าเล่ห์
อนุชิตมองดุพีรพร “แต่หัวหน้ากำลังพักผ่อนอยู่นะ”
พีรพรมองเนตรมายา “หลับอยู่ที่โซฟา ประตูไม่ได้ล็อค ถือว่าผมไม่ได้พูดอะไรนะครับ เราไปกินข้าวร้านน้าตาลกันเถอะพี่”
เนตรมายายิ้มขอบคุณ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
“ไปบอกอย่างงั้นได้ไง เดี๋ยวหัวหน้าก็ว่าหรอก” อนุชิตติง
“จะว่าไปคุณเนตรก็น่าสงสารเหมือนกันนะพี่ เราก็ไม่น่าจะใจร้ายกับเขานี่ ควรเปิดโอกาสให้เขาได้ทำคะแนนบ้าง พี่ทศจะได้รู้ว่าใครคือคนที่ใจต้องการจริงๆ”
“หัวหน้าจะงานเข้ามากกว่าละมั้ง”
“มีแต่สาวๆ สวยๆ มาวนเวียน งานเข้าผมแบบนี้ผมดีใจแย่ ไปกินข้าวกันดีกว่าพี่ เห็นแล้วอิจฉา คนอย่างพีรพรทั้งหล่อทั้งโปรไฟล์ดีไม่มีหนี้บัตรเครดิต แต่ยังไม่มีแฟน”
อนุชิตขำ “จ้าพ่อเงินสด ก็ยังเหลือครูคิตตี้ไง ไม่ลองเปิดใจดูล่ะ”
“ไม่เอาอะ ผมยังไม่อยากเป็นควาญช้าง” พีรพรนึกถึงจาริณี “แต่ถ้าเป็นคุณจ๋าก็ว่าไปอย่าง พยาบาลในชุดขาวผู้อ่อนโยน”
“ได้ข่าวว่าผู้ใหญ่จรัลยิงปืนแม่นนะ”
“ไม่เป็นไรผมเป็นนักวิ่งเหรียญทองพี่”
อนุชิตขำในความเพ้อเจ้อของพีรพร
ทศนนท์นอนงีบหลับอยู่ที่โซฟาโถงรับแขก มีเสียงเคาะประตู เรียกดังขึ้น
“คุณทศคะ เนตรเองค่ะ”
ทศนนท์ลุกขึ้นท่าทางมึนๆ หันไปทางประตูเห็นเนตรมายายืนอยู่ ก็นึกแปลกใจ
“เข้ามาก่อนสิครับ”
“เนตรได้ข่าวว่าคุณหายไป เนตรเป็นห่วงมากเลยนะคะ” เนตรมายาลงนั่งฝั่งตรงข้าม วางปิ่นโตกับมือถือที่โต๊ะ “นี่กับข้าว เนตรทำมาฝากค่ะ”
“ขอบคุณครับ ผมก็แค่หลงป่าไม่มีอะไรหรอกครับ”
“หลงไปกับคุณครูเนียร์เนี่ยเหรอคะ คุณออกจะเชี่ยวชาญป่าแถบนี้ดีนี่ไม่น่าจะหลงง่ายๆ คุณบอกเนตรมาเถอะค่ะว่าคุณเจออะไรมาบ้าง มีอะไรจะได้ช่วยทัน”
ทศนนท์อึ้งไปนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนได้ยินเสียงสุบรรณเหราบินเข้ามาในถ้ำยังคาใจไม่หาย
“คุณทศ คุณทศคะ”
ทศนนท์ได้สติ
เนตรมายามองสงสัย “คุณมีอะไรจะบอกฉันหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรครับ ผมขอโทษนะ ผมอยากพักจริงๆ”
“งั้นฉันขอตัวนะคะ”
เนตรมายาน้อยใจเสียใจรีบเดินออกไป จนลืมมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะกลาง
กฤตณีพยุงนิรชาเข้ามานั่งบนเตียง เดินไปหยิบมือถือมาให้
“นี่มือถือแก ฉันเก็บได้แถวๆหน้าผา”
“ขอบใจนะคิตตี้”
“ว่าแต่แกไปทำอะไร ถึงได้หายเข้าไปแถวน้ำตก ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย”
“ฉันก็งง อยู่ๆไปโผล่ที่หน้าน้ำตกได้ไงก็ไม่รู้ ทั้งๆที่คนละทางกันด้วยช้ำ หรือว่ามันอาจจะมีทางเชื่อมถึงกันก็ได้เนอะ”
กฤตณีไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้ และโพรงที่แกบอกว่าตกลงไปกับคุณทศนั่น ก็ไม่มีใครเห็น ทุกคนที่ไปก็เดินหาแกจนทั่ว ถ้ามีหลุมมีโพรงมันต้องมีคนเจอบ้างสิ”
“ฉันว่าสมองฉันไม่ได้กระทบกระเทือนจนจำอะไรผิดนะ”
นิรชานิ่งคิด นึกถึงตอนเดินตามทศนนท์เข้าไปในป่า เธอยังถ่ายคลิปทศนนท์ไว้เป็นหลักฐาน และเห็นบุษบาลาวัณย์จากหางตา สุดท้ายเกิดพายุหมุนหอบร่างนิรชากับทศนนท์ตกลงไปในโพรง
“เนียร์…เนียร์…แกเป็นอะไร เนียร์”
นิรชาเกือบสะดุ้ง ได้สติขึ้นมา
“ไม่มีอะไร ฉันคงเหนื่อย”
“งั้นแกพักเถอะ มีอะไรก็โทร.ตามนะ”
นิรชายิ้มรับ “นอนสักพักคงจะดีขึ้น”
“โอเค งั้นฉันไปแล้วนะ อ้อ เนียร์แกอย่าลืมโทรบอกแม่แกด้วยนะเดี๋ยวจะเป็นห่วง ป่านนี้คงรอแกกลับบ้านแล้วล่ะ”
“คงไม่รอหรอก เพราะฉันยังไม่ได้บอกว่าจะกลับ กะจะไปเซอร์ไพรส์”
“แกนี่จะห้าวเป้งไปถึงไหน มีลูกอย่างแกนี่จะดีใจหรือเสียใจดีวะ”
นิรชาโบกมือไล่ “ไปๆ ลงไปร้านเลย เดี๋ยวฉันดีขึ้นจะลงไปช่วย”
“ไม่ต้องหรอก แกพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ ไม่ต้องห่วง”
กฤตณียิ้มรับแล้วเดินตุ๊ต๊ะออกไป นิรชาจับไหล่ตัวเองประหวัดถึงใครบางคน
อีกฟากหนึ่ง ที่ในตัวเมือง ทรงกลดพาปรางทิพย์เดินเข้าไปในร้านทองแห่งหนึ่ง ปรางทิพย์หยิบห่อผ้าขึ้นมาวางบนตู้ขายทองแล้วเปิดผ้าออก เห็นเป็นทองคำบริสุทธิ์เป็นก้อนๆ เหมือนก้อนหิน ราวสี่ห้าก้อนอยู่ในห่อผ้าเหลืองอร่าม
ทรงกลดจ้องมองทองคำก้อนด้วยสีหน้าสงสัย มันเหมือนกับทองของบุษบาลาวัณย์ยังไงยังงั้น
“ไปเอาทองคำบริสุทธิ์แบบนี้มาจากไหนเหรอครับคุณทรงกลด อย่าบอกนะว่าแอบทำเหมืองทองอยู่” เสี่ยเจ้าของร้านถาม
“ไม่ใช่ของผมหรอกครับ ผมแค่พาคุณปรางมาขาย”
“แหมพักนี้รับเป็นนายหน้าขายทองคำเหรอครับ” เสี่ยแซว
“ไม่หรอกครับ มันบังเอิญมากกว่า”
“จะว่าไปทองรอบนี้เหมือนกับทองรอบที่แล้วอย่างกับมาจากที่เดียวกันเลยนะครับ”
ปรางทิพย์สะดุดหู มองทรงกลด
“มีคนเคยเอาทองแบบนี้มาขายเหรอคะ”
“ครับ ก็คุณทรงกลดเป็นคนพามาเหมือนกัน”
เจ้าของร้านยื่นใบราคาให้ปรางทิพย์
“ใบราคาครับ พอดีวันนี้ราคาทองขึ้น ลูกค้าเข้ามาขายทั้งวันเลย รับเป็นเช็คได้ไหมครับ”
ปรางทิพย์งง ทรงกลดอธิบาย “รับเช็คไปก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเอาเงินสดให้คุณที่บ้าน”
ปรางทิพย์อยากไปบ้านทรงกลดหาสร้อยอยู่แล้วเลยรีบรับปาก
“ค่ะ งั้นช่วยเป็นธุระให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ”
ทรงกลดยิ้มพอใจ สมใจที่ปรางทิพย์ไว้วางใจตนจนยอมไปบ้านด้วย ปรางทิพย์ยิ้มกริ่มสมใจ ไม่คิดว่าจะได้เข้าบ้านทรงกลดเร็วเกินคาด
ปรางทิพย์เดินออกมาจากร้านทอง มองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาเหมือนบุษบาลาวัณย์แต่งตัวเซ็กซี่ รีบวิ่งเข้าไปดึงแขนให้หยุด
“บุษบาลาวัณย์”
ผู้หญิงคนนั้นหันมาด้วยสีหน้าตกใจ และไม่ใช่บุษบาลาวัณย์
“ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะ ฉันจำคนผิด”
ผู้หญิงคนนั้นไม่ใส่ใจเดินออกไป ทรงกลดตามออกมา มองสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ฉันจำคนผิดค่ะ ไม่มีอะไร”
“ผมก็นึกว่าคุณอยากได้ชุดแบบผู้หญิงคนนั้นเสียอีก ถึงเข้าไปทัก”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันใส่แบบนั้นไม่เป็น”
ทรงกลดชื่นชม “คุณปรางนี่เป็นตัวของตัวเองดีนะครับ ไม่ตามแฟชั่น”
ปรางทิพย์ยิ้มบางๆ
“แล้วคุณปรางจะซื้ออะไรก่อนไหมครับ”
“ไม่หรอกคะ ฉันว่าไปบ้านคุณเลยน่าจะดีกว่า ฉันอยากคุยกับคุณพ่อคุณแล้ว”
ทรงกลดยิ้มดีใจ ปรางทิพย์ยิ้มในสีหน้า
ทรงกลดขับรถเข้ามาในบ้าน กำลังจะผ่านศาลพระภูมิ
เจ้าที่เจ้าทางยืนอยู่หน้าศาล ปรางทิพย์รีบยกมือไหว้ขออนุญาตเข้าบ้าน
ทรงกลดยิ้มขำแกล้งแซว “กลัวเจ้าที่ท่านไม่ให้เข้าเหรอครับ”
ปรางทิพย์นิ่งไป
“แต่เจ้าของบ้านคนนี้อนุญาตนะครับ จะมาตอนไหนก็ได้ ผมรอต้อนรับเสมอ”
ทรงกลดออกปากเอง ปรางทิพย์ยิ้มโล่งใจ
ทรงกลดพาปรางทิพย์เดินเข้ามาที่โถงห้องรับแขก
“คุณปรางรอตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขอตัวขึ้นไปหยิบเงินให้ก่อน”
ปรางทิพย์มองรอบๆ “ค่ะ”
“น้ำค่ะ
แต้มถือถาดแก้วน้ำเข้ามารับรอง ลอบมองปรางทิพย์อย่างรู้สึกแปลกๆ
“คุณพ่อกลับมาหรือยังแต้ม”
“ยังไม่เห็นนะคะ เดี๋ยวแต้มไปดูให้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันโทร.คุยเอง เธอจะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ”
“ค่ะ” แต้มเดินออกไป
“เดี๋ยวผมมานะครับ”
ทรงกลดเดินขึ้นบันไดไป ปรางทิพย์มองตามเหมือนมีแผน
ทรงกลดเดินเข้ามาในห้อง กดรหัสตู้เซฟแล้วเปิดออก
ในตู้เซฟมีสร้อยของปรางทิพย์วางอยู่ด้วย ปรางทิพย์พรางตัวตามขึ้นมาด้วย จ้องตาวาว มองสร้อยอย่างดีใจ
ปรางทิพย์มองจ้องเห็น ทรงกลดกำลังจะปิดตู้เซฟ ไม่รู้จะทำยังไงดี จึงปัดของแถวนั้น เสียงของหล่นกระทบพื้นดังเคล้ง เรียกให้ทรงกลดหันมามองตามเสียงอย่างแปลกใจ ลุกเดินตามไปดู
ปรางทิพย์รีบพุ่งไปหยิบสร้อย ทรงกลดเหลียวกลับมามองตู้เซฟรู้สึกแปลกๆ ปรางทิพย์ชักมือกลับกลัวจับได้
ทรงกลดหยิบของขึ้นมาวางที่เก่า เดินกลับไปปิดตู้เซฟ แล้วเดินออกจากห้องไป
ปรางทิพย์มองตามหน้านิ่ง
ด้านกฤตณีออกมาช่วยขายของหน้าร้าน เนตรมายาเดินเข้ามามองหานิรชา
“ครูเนียร์อยู่ไหม”
กฤตณีมองระแวง “อยู่แต่ไม่ว่าง มีอะไรฝากบอกไว้ก็ได้”
“ไม่ได้! ฉันต้องคุยเอง ไปตามมาให้หน่อย” เจ้าแม่ขึ้นเสียง
“มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งกับฉัน เก็บคำสั่งไว้คุยกับเชื่อมไม่หวานของคุณโน่น”
นิรชาเดินกะเผลกๆ ออกมาพอดี กฤตณีรีบเข้าไปช่วยพยุงพาไปนั่ง
“แกจะลงมาทำไมเนียร์ ไปนอนพักต่อเถอะ”
“ฉันไม่เป็นไร มีธุระอะไรกับฉันเหรอ”
เนตรมายามองตาขุ่น “ฉันมาเยี่ยม เห็นว่าหายไปกับคุณทศ อยู่ๆหายไปด้วยกันได้ไง”
“คุณทศเขาคงอาการละเมอกำเริบ ฉันเห็นว่าเดินเข้าไปในป่ากลัวเกิดอันตรายเลยเข้าไปช่วย แต่ตอนจะพาเขากลับมาก็เกิดพลัดตกลงไปในโพรงถ้ำ”
เนตรมายาสนใจ “โพรงถ้ำที่ไหน”
ทศนนท์เดินเข้ามาทันได้ยินพอดี กฤตณีทักขึ้น
“อ้าว คุณทศ เป็นไงบ้างคะ”
เนตรมายามองเป็นห่วง “ทำไมไม่นอนพักเยอะๆคะคุณทศ ออกมาทำไมเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
ทศนนท์มองจ้องหน้านิรชา “พอดีผมมีธุระจะคุยกับครูเนียร์ครับ”
เนตรมายาโมโหหึง มองหมั่นไส้นิรชา
นิรชามองทศนนท์แล้วหลบสายตาวูบ เขินโดยไม่รู้ตัว
กฤตณีเหน็บแม่หมอ “เขาจะคุยกันต่อไม่รอแล้วนะ ออกไปสิคะคุณ”
เนตรมายาเดินสะบัดหน้าออกไปอย่างหัวเสีย
กฤตณีพยุงนิรชาเข้ามานั่งที่ม้านั่งข้างร้าน ซึ่งเป็นมุมลับตาคน
“นั่งตรงนี้แหละจะได้คุยกันได้สะดวกหน่อย ตามสบายนะคะคุณทศ”
“ครับ”
กฤตณีเดินออกไป นิรชาหันมายิ้มให้ทศนนท์อย่างจริงใจ
“ขอบคุณนะคะคุณทศที่ช่วยฉัน”
ทศนนท์ยิ้มรับ “ไม่เป็นไรครับ แล้วคุณเป็นไงบ้าง”
“อาการไข้ไม่มีแล้วค่ะ เหลือแค่เจ็บข้อเท้านิดหน่อย แล้วคุณล่ะคะ”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ”
“เป็นสิคะ ดูนี่สิ”
นิรชาหยิบมือถือมาเปิดคลิปที่ถ่ายไว้ตอนทศนนท์เดินเข้าป่าให้เขาดู ทศนนท์อึ้งไป
“ฉันว่าอาการละเมอของคุณน่าจะต้องรีบรักษาแล้วนะคะ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้มันอันตรายมาก”
“คุณห่วงผมด้วยเหรอ”
นิรชาเขิน รีบปฎิเสธ “ฉันเห็นใครเป็นแบบนั้นก็ต้องห่วงหมดแหละคุณ”
“ถึงยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณมากนะครับ และก็ต้องขอโทษที่ทำให้คุณต้องมาเจ็บตัวเพราะผมอีก”
“อย่าคิดมากเลยค่ะมันผ่านไปแล้ว แต่คุณต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ นะคะ ถ้าครั้งหน้าไม่มีใครเจอ ก็อาจจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้ก็ได้
ทศนนท์ยิ้มขอบคุณ แววตาเริ่มเปลี่ยนเป็นรู้สึกดีกับนิรชา
ฝั่งบุษบาลาวัณย์ เดินเข้าถ้ำมาจนถึงปากถ้ำตรงทางเข้าเมืองลับแล เห็นหมอกมุงเมืองลอยอยู่ตรงหน้า ก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
บุษบาลาวัณย์ก้าวเท้าเข้าเมือง แต่เกิดแสงสีขาวสะท้อนเหมือนไฟช็อตไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ นางพยายามอยู่อีกหลายครั้ง สุดท้ายตัวกระเด็นออกมาล้มลง เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
บุษบาลาวัณย์มองไปทางประตูเข้าเมืองลับแลอย่างประหลาดใจ
อ่านต่อตอนที่ 15