xs
xsm
sm
md
lg

สาปกระสือ ตอนที่22 นลินตัดใจลาตฤณฤทธิ์บวชชีตลอดชีวิต

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สาปกระสือ ตอนที่22 นลินตัดใจลาตฤณฤทธิ์บวชชีตลอดชีวิต

บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์

นลินวิ่งร้องไห้หนีออกมาด้วยความเสียใจ ตฤณฤทธิ์วิ่งตามมาจนทัน ขวางนลินไว้

“ลิน คุณฟังผมก่อน ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย และผมก็เชื่อว่าคุณไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่ๆ”
นลินมองหน้าตฤณฤทธิ์น้ำตาคลอ แววตาเต็มไปด้วยความสับสน
“แต่บางทีฉันก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน บางครั้งฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ อย่างเมื่อคืน ถ้าแม่ไม่ช่วย ฉันก็อาจจะออกล่าอีก ฉันเหมือนคนที่ถูกสาปให้ตายทั้งเป็น”
“แต่ผมเชื่อมั่นในตัวคุณนะ ไม่มีทางที่คำสาปใดๆ จะทำลายจิตใจด้านดีของคุณได้ อย่าไปสนใจปากชาวบ้านเลยลิน ผมแค่อยากให้คุณเข้มแข็งและผ่านมันไปให้ได้”
นลินเงยหน้ามองตฤณฤทธิ์อย่างซาบซึ้งแล้วปาดน้ำตา
เสียงนวลดังเข้ามา “คุณตฤณเป็นห่วงคุณหนูมากนะคะ”
นลินหันไป เห็นนวลกับบุรัณย์เดินเข้ามาหา
“ตั้งแต่คุณลินมาอยู่ที่นี่ พี่ตฤณก็แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะครับ”
ตฤณฤทธิ์มองหน้านลิน “ที่ผมมาเพราะอยากเห็นกับตาว่าลินสบายดี และผมจะกลับไปตามหาความจริงให้ได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดใครเป็นคนทำ”
นวลครุ่นคิดตรึกตรอง “อาจจะเป็นฝีมือกระสืออีกตนก็ได้”
บุรัณย์สนใจ “ป้านวลรู้เหรอครับว่าใครเป็นกระสือ”
“ป้าไม่รู้หรอก แต่ทุกคนในตระกูลของคุณหนูไม่เคยฆ่าคน” นวลบอกหนักแน่น
“จะเป็นคนหรือผี ผมก็จะตามหาความจริงให้ได้ว่าใคร”
ตฤณฤทธิ์บอกออกมาด้วยแววตามุ่งมั่นมาดหมาย
นลินมองตฤณฤทธิ์หน้าเศร้า เพราะไม่สามารถช่วยทำอะไรได้เลย

ที่บริเวณหน้าร้านขายเสื้อผ้าในตลาด รถปัณรีจอดอยู่ที่หน้าร้านนั้น ติดกับรถเจ๊หวี ซึ่งกำลังเดินมาที่รถพร้อม ชมพู่ และผัน ในสภาพปากเจ่อหัวฟู ดูไม่จืด เพราะมีเรื่องกับฉัตรฉายมา
เจ๊หวีหงุดหงิดไม่หาย “พวกแกไม่น่าห้ามฉันเลย”
เสียงทักทายดังขึ้นมา “เจ๊หวี พี่ผัน พี่ชมพู่”
สามคนมองไปเห็นบัวลอยท้องแก่ใกล้คลอดกับแปลกผู้เป็นผัวยืนอยู่
“ไปทำอะไรมา ทำไมสภาพเป็นแบบนี้”
“เพิ่งตบกับนังฉัตรฉายมา”
แปลกไม่อยากยุ่งรีบกระซิบชวนบัวลอยกลับ “พี่ว่าไปกันเถอะบัวเดี๋ยวไม่ทันรถ”
ชมพู่ถามบัวลอยพลางมองที่ท้อง “มาหาหมอเหรอบัวลอย คงใกล้แล้วสินะ”
“ยังเลยพี่ หมอบอกให้รออีกเกือบสองอาทิตย์แหละ”
“แล้วพวกแกจะกลับกันยังไง”
เจ๊หวีถามๆ อยู่ก็ชะงักไป เมื่อเหลือบไปเห็นใครบางคน
เป็นปัณรีซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเรียบร้อย ใส่หมวกใส่แว่นดำ ถือถุงเสื้อผ้าเดินออกจากร้านขายเสื้อผ้าตรงไปที่รถด้วยท่าทางรีบร้อน
เจ๊หวีชี้ไปที่ปัณรีมองสงสัย “นังชมพู่แกว่าใครวะ คุ้นๆ ว่ะ”
ชมพู่มองตาม “นั่นรถคุณปันนี่ ฉันจำได้”
ทุกคนมองไปเห็นปัณรีเหมือนจะเป็นลมแดด แถมรีบร้อนจนทำรีโมตรถหลุดมือ พยายามจะก้มเก็บ แต่ซวนเซล้มลงกับพื้น สามคนตกใจ เจ๊หวีกะชมพู่อุทานลั่น
“ว้าย...คุณปัน เป็นยังไงบ้าง”
เจ๊หวีกับชมพู่รีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุง เจ๊หวีดึงผ้าที่คอปัณรีคลายออก เพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น
และบังเอิญเห็นว่ารอบคอปัณรีมีรอยแดงเป็นเส้นจางๆ ปัณรีตกใจสะบัดมือเจ๊หวีออก แล้วดึงผ้ามาปิดคอไว้มองเจ๊หวีตาขุ่น
“ฉันไม่เป็นไร”
ระหว่างนี้ปัณรีเหลือบไปเห็นบัวลอยท้องโต จึงมองอย่างสนใจและแอบกลืนน้ำลาย ก่อนจะตั้งสติแล้วลุกขึ้น
เจ๊หวีมองเป็นห่วง ยังตกใจไม่หาย “คอคุณปันไปโดนอะไรมาคะ ให้พวกเราพาไปหาหมอไหม”
ปัณรีตวาดแว้ด “ไม่ต้อง”
เจ๊หวีอึ้งไป
เจ้าของร้านเห็นเข้ารีบเดินออกมาดู “คุณคนสวยนี่ เป็นอะไรเข้าไปนั่งในร้านก่อนไหม”
ปัณรีไม่สนใจรีบร้อนขึ้นรถ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนมองหน้ากันต่างพากันงง
“วันอะไรของตูวะมีแต่เรื่อง ขนาดเข้ามาช่วยเขาแท้ๆ ขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
ชมพู่เห็นด้วย “นั่นสิ จิตใจทำด้วยอะไร เดินออกไปแทบจะเหยียบหัวพวกเราเลยนะ”
“เมื่อวานก็ดูปกตินะ วันนี้ทำไมดูแปลกๆ” แม่ค้าเจ้าของร้านเอ่ยขึ้น
เจ๊หวีหู่ผึ่งอยากรู้ตะหงิดๆ “เขามาซื้ออะไรที่ร้านเจ๊เหรอ?
แม่ค้าทำท่าคันปากอยากเมาท์ “ฉันไม่ได้นินทานะ” ทุกคนมองหน้ากันหน่ายๆ อย่างรู้ทัน “เมื่อวานนี้...” สามคนตั้งใจฟัง “มาซื้อชุดเซ็กซี่เลยนะ แถมอุปกรณ์ครบมือ แต่วันนี้มาซื้อชุดกับผ้าพันคอที่ใส่นั่นแหละ”
เจ๊หวียิ้มกริ่มสนใจเป็นพิเศษ
“เจ๊มีเยอะไหม พยาบงพยาบาล นักเรียนประถมมัธยมอะไรประมาณเนียะ”
แม่ค้ายิ้มพอใจอยากขายของ “มีเยอะ…เพิ่งไปรับจากกรุงเทพฯมา จะเข้าไปดูในร้านไหม ลายเสือก็มีนะ”
ทุกคนหัวเราะกันคิกคัก

เช้าวันต่อมา พนักงานหญิงของรีสอร์ตที่เป็นคนต้อนรับปัณรี กำลังดูรูปนลินในมือถือที่ตฤณฤทธิ์ยื่นให้ด้วยสีหน้าพิจารณา ตฤณฤทธิ์กับบุรัณย์ยืนลุ้นสีหน้าเครียดๆ
พนักงานส่ายหน้า “คนนี้ไม่ใช่แน่ๆ เพราะคนที่มาวันนั้นจะตัวบางกว่า ผิวขาวกว่านี้”
ตฤณฤทธิ์กับบุรัณย์มองหน้ากันอย่างโล่งอก
พนักงานกำลังจะยื่นมือถือคืนให้ตฤณฤทธิ์ แต่มือสไลด์โดนหน้าจอภาพเลื่อนไปเอง เป็นภาพนลินถ่ายคู่กับปัณรี พนักงานคนนั้นดึงมือถือกลับ แล้วเอามือแหวกขยายดูภาพอีกครั้ง
“รูปร่างผิวพรรณน่าจะพอๆ กับคนนี้” เธอพยายามนึกไปด้วย เอามือชี้ที่ปัณรี “แต่คนนั้นเขาทำผมตรงๆ นะ ผมทรงประมาณคนนี้” ตอนท้ายเธอชี้ที่นลิน
สองหนุ่มมองหน้ากันอย่างแปลกใจ จนตฤณฤทธิ์นึกอะไรขึ้นมาได้
“เดี๋ยวนะ ผมมีคลิปตอนไปสำรวจปราสาทนี่ เผื่อจำเสียงอะไรได้”
ตฤณฤทธิ์กดหาคลิป แต่แบตเตอรี่ดันหมด
“แบตหมดพอดี”
ทุกคนมองหน้ากันเซ็งๆ
ตฤณฤทธิ์ถอนหายใจ “สายชาร์จก็ไม่ได้เอามาด้วยสิ คุณมีไหม”
พนักงานส่ายหน้า “ยี่ห้อนี้ไม่มีค่ะ”
“เดี๋ยวเราค่อยกลับมาอีกทีก็ได้พี่” บุรัณย์ว่า
“งั้นผมต้องขอรบกวนอีกรอบนะครับ”
“ยินดีค่ะ”
ตฤณฤทธิ์ กับ บุรัณย์เดินออกมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด

เวลาเดียวกันนวลถือตะกร้ามาจ่ายตลาดตามปกติ กำลังเลือกผักที่แผง ดันเจอแม่ค้าปากเปราะยิ้มเยาะ
“เจ้านายแกกินผักได้ด้วยเหรอ นึกว่ากินเป็นแต่ไส้”
นวลถามกลับนิ่งๆ น้ำเสียงไม่พอใจ “ฉันไปทำอะไรให้เจ๊ไม่พอใจเหรอ”
“ก็คุณนายโฉมศรีบอกฉันว่า เจ้านายบ้านแกมันเป็นกระสือ! เมื่อวานนี่ก็เพิ่งฆ่าคนตายไปอีกศพไม่ใช่เหรอ”
นวลตาวาว “อ๋อ...ศพเมื่อวานที่โดนกินตับไตไส้พุงไปจนกลวงน่ะเหรอ งั้นเจ๊ก็น่าจะโดนกินเหมือนกันนะ สมองถึงได้กลวงอย่างนี้”
แม่ค้าโมโหจนพูดไม่ออก
เสียงเบาดังแทรกขึ้น “ไปรายงานความคืบหน้ามาแล้วเหรอป้านวล”
นวลมองไปเห็นกำนันสิน กับ เบา และ บางถือของยืนอยู่
“พวกที่แส่เรื่องชาวบ้านแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรรู้ไหม”
เบาโวยวาย “อ้าว ฉันถามดีๆมาว่าฉันทำไม”
กำนันสินฉุน ตำหนินวล “คนบ้านเดี๋ยวกันแท้ๆ พูดจากันเพราะๆ สิ”
“ฉันว่ากำนันเอาเวลาไปทำงานหลวงเถอะ อย่าสนใจแต่งานราษฎร์เลย ไหนๆ ก็กินเงินหลวงแล้ว”
พูดจบนวลก็เดินเชิดออกไป มีเสียงหัวเราะเจ๊หวีดังเข้ามา
“เงิบแล้วเงิบอีกจ้า”
เจ๊หวี ซึ่งหน้าตายังเขียวช้ำ ปากเจ่อ เดินเข้ามาสมทบพร้อมชมพู่กับผัน
“เจอกันอีกแล้ว ฉันละหน่าย” เบาบ่น
เจ๊หวีเซ็ง “ก้าวขาไหนออกจากบ้านน้อตู
“ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีที่แกมาทำร้ายร่างกายลูกข้าเลยนะนังหวี” กำนันบอกเสียงเข้ม
“นังฉายมันตบฉัน ฉันตบมัน ก็ถือว่าเสมอกันแล้วจะเอาอะไรอีก แต่ถ้าจะคิดจริงๆ ก็อย่าลืมคืนค่าผักฉันมาด้วยนะ เห็นไหมวันนี้ต้องเดือดร้อนมาซื้อกับข้าวอีกรอบ ไปป้านวล นังชมพู่ กลับกันเถอะ อารมณ์เสีย”
เจ๊หวีสะบัดหน้าพรืดออกไปพร้อมกับชมพู่ และนวล กำนันมองตามอย่างเจ็บใจ

เจ๊หวี ชมพู่ และนวลเดินออกมาหน้าตลาดด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เบื่อ อะไรๆ ก็กระสือ ไม่รู้จะหาเรื่องใส่ร้ายคุณลินไปถึงไหน” ชมพู่เอ่ยขึ้นเซ็งๆ
“ใช่ ถ้าคุณลินเป็นกระสือ งั้นคุณปันก็ต้องเป็นเหมือนกันสิ”
นวลมองสงสัย “ทำไมคุณปันต้องเป็นกระสือด้วยล่ะ”
“ก็พวกคุณนายปล่อยข่าวว่าคุณลินมีรอยที่คอ เลยน่าจะเป็นกระสือ” ชมพู่บอก
เจ๊หวีนึกได้ “ฉันกับนังชมพู่เห็นมากับตา ว่าคุณปันก็มีรอยที่คอ แถมยังมีท่าทางแปลกๆแต่งตัวแปลกๆ ยังไงไม่รู้”
“ท่าทางงี้ดุอย่างกับจะกินไส้พวกเรางั้นแหละ” ชมพู่เสริม
นวลตกใจ อดสงสัยไม่ได้ว่าหรือปัณรีจะเป็นกระสืออีกตน

ฟากตฤณฤทธิ์กับบุรัณย์เดินออกมาที่รถ
ตฤณฤทธิ์หน้าเครียดครุ่นคิดหนัก ไม่อยากเชื่อ “จะเหมือนคุณปัณรีได้ยังไงกันนะ”
“ใช่ คุณปันกับคุณลินก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยสักหน่อย”
“บางทีอาจจะเป็นแค่คนที่รูปร่างเหมือนกันก็ได้”
ตฤณฤทธิ์คิดไม่ตก จนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“พี่ขอยืมมือถือโทร.หาป้านวลหน่อย เผื่อมีอะไรคืบหน้าบ้าง”
บุรัณย์ยื่นมือถือให้ ตฤณฤทธิ์รีบกดเบอร์โทร.ออก รอจนอีกฝ่ายรับสาย
“นี่ผมตฤณเองครับป้านวล…” เขานิ่งฟังอย่างสนใจ “ครับๆ…ครับ เดี๋ยวผมรีบออกไปเลย”
ตฤณฤทธิ์วางสาย แววตาเปลี่ยนเป็นมีความหวัง
บุรัณย์อยากรู้ “เกิดอะไรขึ้นพี่”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มออกมาเหมือนเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมง

ที่ร้านกาแฟในตลาด เจ๊หวี ชมพู่ นวลนั่งอยู่ในร้าน นวลมองไปที่ทางเดินหน้าร้านรอใครบางคน จนเห็นตฤณฤทธิ์กับบุรัณย์เดินเข้ามา เจ๊หวีถึงกับตาโต รีบเข้าไปควงแขนตฤณฤทธิ์กับบุรัณย์เข้ามานั่ง เอาอกเอาใจ
“คุณตฤณกับคุณรัน จะเอากาแฟไหมเดี๋ยวเจ๊จัดให้”
ชมพู่หมั่นไส้ “ที่นี่ร้านเจ๊เหรอ นึกว่ามีแค่ร้านเสริมสวย รวยนะเราเนี่ย”
เจ๊หวีมองไม่พอใจกัดฟันพูด “อะไรของแกนังชมพู่ ฉันโสดฉันจะทำอะไรก็ได้ ส่วนแกไม่มีสิทธิ์จ้า กลับไปหาผัวแกโน่น”
เจ๊หวียกมือสองหนุ่มขึ้นมาดมทั้งสองข้าง พร้อมกับหัวเราะเยาะชมพู่
“อุ๊ย…กลิ่นผู้นี่หอมจัง ข้างนี้ก็หอม ข้างนี้ก็ชื่นนนนใจ อยากดมล่ะสิ ไม่แบ่งโว้ย”
ตฤณฤทธิ์กับบุรัณย์ยิ้มไม่ถือสา
เจ๊หวีเทน้ำบนโต๊ะใส่แก้วแล้วยื่นให้ตฤณฤทธิ์ แกล้งจับมือเขา ตฤณฤทธิ์รีบเอามือออก
“ไม่ต้องกลัวนะคะ เป็นแค่กะเทยไม่ได้เป็นโรคติดต่อ แต่ถ้าลองแล้วอาจจะติดใจ”
นวลเอ่ยแทรกขึ้นหน้านิ่งๆ “ขอคุยธุระกันก่อนได้ไหม”
เจ๊หวีหน้าเจื่อน หันไปพูดกับชมพู่แก้เขิน
“ไปสินังชมพู่ เขาจะคุยธุระกัน แกก็นั่งอยู่ได้”
ชมพู่ประชด “สมน้ำหน้าเล่นใหญ่ดีนัก โดนดุเลยเป็นไงล่ะ”
เจ๊หวีกับชมพู่ลุกเดินออกจากร้านไปด้วยกัน นวลมองไปรอบๆ กลัวใครได้ยิน

เจ๊หวีกับชมพู่เดินออกมานอกร้าน แต่ไม่วายมองเข้าไปอย่างสงสัย
“ปกติป้านวลไม่สนิทกับใครง่ายๆ เขาแอบคุยอะไรกัน แกรู้หรือเปล่านังชมพู่”
ชมพู่ไม่สนใจ “ไม่ต้องไปรู้กับเขาหรอกเจ๊ ตอนนี้เราอะจะเอายังไง กับข้าวก็ยังไม่ได้ซื้อ ป่านนี้ผัวฉันกินฝาบ้านไปแล้วมั้ง”
เจ๊หวีนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวๆ แกว่าคุณลินหายไปไหน ไม่เห็นมานานแล้วนะ”
ชมพู่พูดเบาๆ “ป้านวลบอกว่าคุณลินไปวิปัสสนาอยู่วัดไกลๆ โน่น” พูดๆ แล้วก็ถอนหายใจเห็นใจนลิน “ถ้าฉันเป็นคุณลินก็คงทำเหมือนกันแหละ อยู่ๆ ก็โดนชาวบ้านหาว่าเป็นผีน่าสงสารเนอะว่าไหมเจ๊”
เจ๊หวีหน้าเศร้า “มิน่าล่ะคุณตฤณถึงดูเศร้าๆ ฉันก็พยายามจะแกล้งให้เขายิ้มแล้วนะ”
ชมพู่รู้ทัน “อย่าบอกนะว่าตะกี้คือแกล้ง เหมือนเกิ๊น เหมือนจะเอาให้ได้”
“อ้าวนังนี่” อีเจ๊หลุดยิ้มออกมา “แกดูออกด้วยเหรอ ที่จริงก็จะเอานะ แต่เขาไม่เล่นด้วย”
ชมพู่มองหน่าย “ไปๆ ไปซื้อของ จะได้กลับสักที”
เจ๊หวีกับชมพู่เดินไปในตลาด

ที่ร้านกาแฟ ตฤณฤทธิ์ นวล บุรัณย์นั่งคุยกันอยู่ด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง หลังจากที่ต่างเล่าข้อมูลที่รู้มาทุกอย่างให้กันฟังแล้ว
“ที่ป้านวลพูดมาตรงกับที่พนักงานรีสอร์ตพูด แต่ผมก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อ เพราะเราต้องหาหลักฐานให้มากกว่านี้ก่อน”
บุรัณย์สงสัย “มันไม่มีวิธีพิสูจน์ได้เลยเหรอครับป้านวล ว่าคนคนนั้นเป็นกระสือ”
“มันก็พอมี”
ตฤณฤทธิ์กับบุรัณย์มองสนใจ
“ต้องทำยังไงครับป้านวล”
“เราต้องหาวิธีคอยจับตาดูคุณปัณรีทุกวันโกน ถ้าคุณปัณรีเป็นกระสือจริงๆ ก็ต้องเผยออกมาจนได้”
สีหน้าทั้งสามคนเต็มไปด้วยความหนักใจ
ที่บ้านพลเพิ่ม นักการเมืองหนุ่มกำลังดูเอกสารบนโต๊ะ ด้วยสีหน้าหงุดหงิด สักครู่หนึ่งมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หน้าจอเป็นสายจากกำนันสิน
พลเพิ่มกดรับสาย “ว่าไงกำนัน”
กำนันสินโทร.มาจากบ้านดอนป่าหวาย สองคนคุยสายกัน
“ตอนนี้ผมได้ข่าวมาแว่วๆ ว่าจะมีหน่วยงานลงพื้นที่ตรวจสอบ ของที่หายไปจากปราสาท ยังไงคุณพลเพิ่มอย่าเพิ่งขยับอะไรนะครับ”
พลเพิ่มลุกขึ้นเดินไปมาอย่างหัวเสีย
“จะขยับอะไรได้ล่ะ ของที่มีตอนนี้ยังไม่ได้ปล่อยเลย คนที่จะซื้อก็กลัวโดนกันหมด ส่วนของที่ส่งไปขายได้ก็โดนกดราคาซะ”
กำนันสินหน้าเครียดหนัก
“ได้ข่าวยังไง ผมจะรีบรายงานให้ทราบอีกทีนะครับ”
“ฝากกำนันช่วยตามหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวผมจะเคลียร์ทางนี้เอง”
พลเพิ่มวางสาย หันไปทางประตูด้วยสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามา
“อาจารย์ วันนี้เรามีนัดกันเหรอ”
ฌานเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“ไม่มี แต่ผมต้องมาที่นี่ เพราะรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นกับท่านและคุณปัณ”
พลเพิ่มมีสีหน้าแปลกใจยิ่งขึ้น
“ยัยปัณมีอาการแปลกๆ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ฌานมองขึ้นไปบนห้องปัณรีอย่างค้นหาคำตอบ

ปัณรีนอนคลุมโปงอยู่บนเตียงภายในห้องปิดม่านปิดไฟมืด จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปัณรีตะโกนบอกออกไปอย่างฉุนเฉียว
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่กิน ไม่กิน”
มีเสียงไขประตู ปัณรีกรี๊ดไม่พอใจ
พลเพิ่มเปิดประตูเดินเข้ามาเปิดไฟเปิดม่าน ปัณรีเปิดผ้าห่มออกมาแล้วโยนหมอนใส่พลเพิ่ม เพราะคิดว่าเป็นสาวใช้
“แกกล้าดียังไงเข้ามาในห้องฉัน นังเจี๊ยบ”
แต่พอปัณรีเห็นเป็นพี่ชายก็อึ้งไป
พลเพิ่มมองปัณรีอย่างสุดทน มองไปรอบๆ เห็นข้าวของแตกกระจัดกระจายก็ยิ่งโมโห ตรงไปกระชากแขนลากปัณรีมาที่กระจก
“เห็นสารรูปตัวเองไหม เหมือนผีตายชากไม่มีผิด”
ปัณรีสะบัดแขนออก “พี่ไม่ต้องมายุ่ง ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“แต่แกจะอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปกินข้าว ฉันจะพาแกไปโรงพัก”
ประสาวัวสันหลังหวะปัณรีหน้าตาตื่นสติหลุด
“ไปทำไม ฉันไม่ได้ทำอะไรใคร ฉันไม่ไปหรอก”
“แค่ไปให้ปากคำ เรื่องการตายของอชินี ถ้าแกไม่ได้ทำอะไร ทำไมต้องกลัว”
ปัณรีเสียงแข็ง “ฉันไม่ไป พี่นั่นแหละออกไปได้แล้ว”
พลเพิ่มโมโหที่ปัณรีพูดไม่รู้เรื่อง กระชากแขนไปแต่งตัว ปัณรีกรีดร้องใส่พลเพิ่ม
“พ่อแม่ยังไม่เคยทำกับปัณแบบนี้เลย”
“แกทำตัวดีๆ เหมือนชาวบ้านเขาไม่ได้เหรอ สร้างแต่ปัญหาอยู่ได้”
ปัณรียิ้มเยาะ “ทำตัวดีๆ เหรอ พี่เองยังทำไม่ได้เลย! จะมาสอนฉันทำไม คนดีที่ไหนขโมยสมบัติชาติ คนดีที่ไหนโกงคนอื่น”
พลเพิ่มโมโหจนเลือดขึ้นหน้าบันดาลโทสะ ตบหน้าปัณรีฉาดใหญ่
ปัณรีอึ้ง ช็อก เพราะไม่เคยเจอพลเพิ่มโมโหขนาดนี้ เอามือจับแก้มน้ำตาไหลพราก
พลเพิ่มได้สติมองมือตัวเองอย่างตกใจ โผเข้าหาปัณรี
“ปัณ...พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
ปัณรีปัดมือพลเพิ่มออก จ้องมองพลเพิ่มด้วยสายตาเคียดแค้น ไม่มีวันให้อภัย วิ่งออกไป
พลเพิ่มยืนอึ้ง มองที่มือตัวเองอย่างรู้สึกผิด

ปัณรีผลุนผลันออกมาหน้าห้อง ต้องชะงักเมื่อเห็นฌานยืนมองมาอย่างจับผิด
“คุณปัณ”
ปัณรีมองฌานอย่างหวาดระแวงกลัวจะถูกจับได้ แต่ไม่พูดอะไร เดินเฉียดตัวฌานแทบจะกระแทกออกไป ฌานรีบหลีกทางให้ปัณ
“บางทีผมอาจจะช่วยคุณได้นะครับ”
ปัณรีหยุดกึกครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปบอกฌานด้วยน้ำเสียงดุดันแววตาแข็งกร้าว
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
เห็นพลเพิ่มเดินมา ปัณรีจึงรีบเดินหนีไป พลเพิ่มถามฌานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ยัยปัณเป็นอะไรกันแน่อาจารย์”
“ผมได้กลิ่นปีศาจร้ายในตัวคุณปัณ”
พลเพิ่มตกใจ มองฌานอย่างนึกไม่ถึง “ปัณโดนของเหรออาจารย์”
“อาจจะใช่หรือร้ายแรงกว่านั้น เราต้องทำพิธีเปิดทางให้ปีศาจปรากฏตัวออกมา ให้เร็วที่สุด” ฌาณเน้นเสียงตอนท้าย
“ปัณไม่มีทางยอมง่ายๆ แน่”
“ท่านต้องหาวิธีเกลี่ยกล่อม ไม่อย่างนั้นชีวิตคุณปัณจะตกอยู่ในอันตราย”
พลเพิ่มมองหน้าฌานอย่างหนักใจ

ในบรรยากาศรายล้อมรอบวัดป่าแสนร่มรื่นและเงียบสงบนั้น นลินและนรากำลังเดินจงกรมอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ทั้งคู่ดูสุขสงบอย่างเห็นได้ชัด
ตฤณฤทธิ์ ชลันตีและนวล ยืนมองสองแม่ลูกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสบายใจ กระทั่งชลันตีเอ่ยขึ้น
“เห็นแบบนี้แล้วค่อยหายห่วงหน่อย”
“ใช่ค่ะ พวกเราก็คิดหาทางแก้กันมาตั้งนาน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นวิธีง่ายๆ แค่นี้เอง” นวลว่า
“คราวนี้ลินคงหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ได้สักทีนะครับ” ตฤณฤทธิ์บอก
สามคนมองหน้ากันและยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง
หลวงตาคำเดินเข้ามาสมทบ ทั้ง 3 คนพนมมือไหว้หลวงตาอย่างนอบน้อม
“เจริญพรเถอะโยม พวกโยมคงสบายใจกันแล้วสินะ”
“ต้องขอบพระคุณหลวงพี่มากเลยนะคะ ที่กรุณาชี้ทางสว่างให้”
“ไม่เป็นไรหรอกโยม หนทางสว่างมักมีไว้แก่เหล่าบัวพ้นน้ำ หากไม่ใช่แล้ว ต่อให้มีหนทางมากแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย”
ตฤณฤทธิ์ ชลันตีและนวล ต่างยกมือ “สาธุ” รับคำเทศน์ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
หลวงตาคำนิ่งมองไปที่ตฤณฤทธิ์โดยตรง และพูดเป็นนัยเหมือนพูดกับทุกๆ คน
“พวกโยมมีหน้าที่อะไรที่ต้องไปทำ ก็กลับไปทำกันเสียเถอะ”
“ผมขอรอกลับพร้อมกันกับลินครับ”
หลวงตาคำนิ่งไปอึดใจก่อนจะพูดขึ้น “อย่ารอเลยโยม...โยมลินต้องอยู่รักษาศีลที่นี่”
ตฤณฤทธิ์รู้สึกแปลกใจ ขณะที่ชลันตีและนวลก็เริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน ชลันตีรีบถามขึ้น
“หมายความว่ายังไงคะหลวงพี่”
“นับจากนี้ โยมลินคงไม่สามารถออกไปใช้ชีวิต อย่างคนปกติทั่วไปได้อีก”
ตฤณฤทธิ์ใจหาย “ลินจะต้องถือศีลตลอดชีวิตเหรอครับ”
หลวงตาคำพยักหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ ตฤณฤทธิ์ตกใจอึ้งไป
ชลันตีและนวลหันมองตฤณฤทธิ์อย่างตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นความเห็นใจเข้ามาแทน ชลันตีหันมาถามหลวงตา
“นอกจากวิธีนี้ ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วหรือคะ”
นวลหน้าเศร้าลง “มันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้บ้างสิคะ”
“อันที่จริงมันมี 2 ทางให้เลือก ทางนี้เป็นทางที่เหมาะที่ควรที่สุด ส่วนอีกทาง...อาตมาไม่แนะนำ”
หลวงตาคำนิ่งมองตฤณฤทธิ์เหมือนต้องการสื่อในสิ่งที่พูด ซึ่งตฤณฤทธิ์ก็เหมือนรับรู้ได้ เขานิ่งคิดอย่างหนัก ก่อนจะหันไปมองนลินที่กำลังเดินจงกรมอยู่ด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว

ตฤณฤทธิ์และนลินกำลังยืนคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นลินสีหน้าสงบนิ่ง ขณะที่ตฤณฤทธิ์มีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด นลินนิ่งมองตฤณฤทธิ์ก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันรู้มานานแล้วค่ะ ว่าเรื่องของเรามันคงเป็นไปไม่ได้”
“แต่หลวงตาบอกว่ายังมีทางแก้อีกทางนะลิน”
“ทางนั้น เป็นทางที่หลวงตาไม่ต้องการให้ใช้นี่คะ ฉันเชื่อหลวงตาค่ะว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด และฉันก็ได้เลือกแล้ว”
ตฤณฤทธิ์นิ่งอึ้งไปกับการตัดสินใจของนลิน ความรู้สึกเสียใจและผิดหวังประดังเข้ามา ตฤณฤทธิ์ตัดพ้ออย่างเสียใจ
“แล้ว...แล้วผมล่ะลิน ผมจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีคุณ”
ดวงตานลินไหวระริก เธอรู้สึกใจหายเมื่อมองเห็นสายตาสิ้นหวังของตฤณฤทธิ์ พยายามข่มความรู้สึกก่อนจะพูดออกมา
“ความรัก ความห่วงใยที่คุณมีให้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน ฉันจะจดและจำมันไว้ ไม่มีวันลืมเลยค่ะ”
ตฤณฤทธิ์นิ่งงัน ความผิดหวังและเสียใจถาโถมเข้ามาจนเขาแทบไม่อาจยอมรับมันได้ ตฤณฤทธิ์ยื่นมือออกไปหมายจะจับมือของนลินไว้
นลินมองตามและอยากจะเอื้อมมือไปจับมือเขาตอบ เธอเม้มริมฝีปากเพื่อสะกดกั้นความรู้สึกไว้
ตฤณฤทธิ์ชะงักและดึงมือตนเองกลับคืน
“ถ้าคุณตัดสินใจแล้ว...ผมก็จะยอมรับ”
ตฤณฤทธิ์และนลินนิ่งมองหน้ากันโดยไม่ต้องพูดกันสักคำ ความรักที่มีอยู่มากมายเอ่อล้นออกมาทางสายตาของคนทั้งคู่
นลินหลบสายตาตฤณฤทธิ์ เสมองพื้นพร้อมกับเอามือประสานกันคล้ายบอกตัดบทว่าต้องการจะถือศีลต่อ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเบาหวิว
“ลาก่อนค่ะ...ด็อกเตอร์ตฤณฤทธิ์”
ตฤณฤทธิ์เหมือนคนหัวใจสลาย เขาหันหลังกลับแทบจะทันที เมื่อรู้สึกเหมือนมีน้ำเอ่อคลอเต็มดวงตา
นลินก็เช่นกัน เธอรีบหันหลังให้ตฤณฤทธิ์ ทั้งคู่หยุดยืนหันหลังให้กันอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง
ความรักความผูกพันในอดีตผุดซ้อนขึ้นมาในใจสองคน ครั้งหนึ่งตฤณฤทธิ์ขยับเข้าไปเอาสำลีชุบน้ำล้างแผลที่เท้าของนลินเบาๆ และเอาพลาสเตอร์ปิดแผลให้

ตอนติดอยู่ในปราสาทด้วยกัน นลินขยับตัว ตฤณฤทธิ์ตกใจนึกว่านลินตื่น นลินหดขาเข้าหาตัวและเริ่มกอดอก เธอมีอาการหนาวสั่นอย่างเห็นได้ชัด
ตฤณฤทธิ์มองเห็น เขารีบถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกแล้วห่มให้นลิน
สีหน้านลินเริ่มดีขึ้น เธอหลับลึกจนหัวค่อยๆ เอียงหาที่พิง ตฤณฤทธิ์ยิ้มมอง ก่อนจะขยับตัวเองเข้ามานั่งข้างๆ นลิน ให้หัวของนลินเอนลงมาซบที่ไหล่ของตน มองยิ้มๆ อย่างมีความสุข

แม้ตอนที่ตฤณฤทธิ์รู้ความจริงว่านลินเป็นกระสือเขาก็ไม่ทิ้งไปไหน กุมมือนลินแน่นขึ้นอีก พยายามกลั้นน้ำตาไว้
“ทั้งๆ ที่คุณรู้ว่าฉันเป็นอะไร แล้วฉันอาจจะทำร้ายคุณอีกก็ได้น่ะเหรอ”
“ผมไม่กลัว ถ้ากลัว ผมคงไม่มาที่นี่”
“ทำไม...”
“ผมกลัวจะไม่ได้เจอคุณมากกว่า”
นลินน้ำตารื้นขึ้นมา พูดไม่ออก ตฤณฤทธิ์มองหน้านลิน สบตาลึกซึ้ง
“ผมน่าจะรู้เร็วกว่านี้...ผมอยาก...อยู่ข้างๆ คุณนะลิน”

เมื่อตอนนลินทรุด เพราะไม่ได้กินเหยื่อ ตฤณฤทธิ์คอยดูแลเอาผ้าชุบน้ำค่อยๆบรรจงเช็ดที่หน้านลิน เอามืออีกข้างประคองหน้านลินไว้ นลินมองหน้าตฤณฤทธิ์ในระยะประชิด ตฤณชะงักไปนิดหนึ่งแล้วมองตอบไป
ทั้งสองสบตากันลึกซึ้ง ค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้าใกล้กันเหมือนจะจูบ
สองคนนึกถึงเรื่องราวดีๆ ต่างคนต่างน้ำตาร่วงรินหล่นลงมาอาบสองแก้มด้วยความเสียใจ ตัดใจเดินจากกันไปช้าๆ

ฝั่งพลเพิ่มหลังตบหน้าน้องสาววันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอเธอเลย วันนี้เขาอยู่บ้าน เดินลงมาเจอปัณรีก็ดีใจ
“ปัณ...”
แต่ปัณรีทำท่าปั้นปึ่งจะเดินหนี พลเพิ่มจึงเข้าไปขวาง
“ยังโกรธพี่อยู่อีกเหรอ ที่พี่ทำไปก็เพราะ...”
ปัณรีจ้องพลเพิ่มตาขวาง
“เป็นห่วงเหรอ ไม่ต้องมาห่วงหรอก เลิกยุ่งกับปัณได้แล้ว”
“แต่พี่อยากให้ปัณไปหาอาจารย์ฌาน”
ปัณรีชะงัก สีหน้าครุ่นคิด
“ได้! ปัณจะไป”
พลเพิ่มมองปัณรีอย่างนึกไม่ถึง ที่รับปากง่ายดายเช่นนี้
“แต่จะไปเอง พี่พลไม่ต้องมาบังคับปัณ”
พูดจบปัณรีก็เดินหนีขึ้นห้องไป พลเพิ่มจะตาม แต่มีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น พลเพิ่มหันมองไปหน้าบ้านอย่างแปลกใจ สักพักเจี๊ยบเดินเข้ามารายงานพลเพิ่ม
“คุณท่านคะ มีคุณผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาขอพบค่ะ”
พลเพิ่มแปลกใจ “ใคร”
“เขาบอกว่าชื่อชาช่าค่ะ”
“บอกให้เขากลับไปก่อน วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ไม่รับแขก”
“ค่ะคุณท่าน”
เจี๊ยบถอยหลังเดินออกไป

ตรงมินิบาร์ บริเวณโถงบ้านเย็นนั้น พลเพิ่มเดินเข้ามารินเหล้าดื่ม ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใครบางคนเดินเข้ามาด้านหลัง พลเพิ่มถามโดยไม่ได้หันไปมอง
“ไล่แขกกลับไปแล้วใช่ไหม”
“ชาช่าไม่ใช่แขกค่ะ ไม่จำเป็นต้องต้อนรับ”
พลเพิ่มหันไป เห็นฉัตรฉายเดินเข้ามาใกล้ๆ ยิ้มยั่วยวนมาให้
“แล้วถ้าไล่ชาช่ากลับ คุณพลเพิ่มจะรู้เรื่องสำคัญที่ชาช่าตั้งใจจะมาบอกได้ไงคะ”
เจี๊ยบรีบตามเข้ามา ด้วยสีหน้าตกใจ
“ขอโทษค่ะคุณท่าน เจี๊ยบไล่เขาไปแล้ว แต่...”
พลเพิ่มโบกมือไล่เจี๊ยบ
“ไม่เป็นไร มีอะไรก็ไปทำเถอะ”
เจี๊ยบก้มหน้างุดออกไป พลเพิ่มจึงหันไปถามฉัตรฉายอย่างไม่สนใจนัก
“เรื่องสำคัญอะไร”
ฉัตรฉายยืดตัวคอตั้งอย่างผู้กำความลับสำคัญของชาติ
“คุณพลเพิ่มรู้หรือเปล่าว่าคุณปัณรีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของอชินี”
พลเพิ่มตกใจหันมามองฉัตรฉายแววตาดุดัน
“เธอพูดบ้าอะไร”
ฉัตรฉายสะดุ้งตกใจ ขณะที่พลเพิ่มเริ่มคิดทบทวนเรื่องราว
นับจากตอนนั้นตำรวจมาหาเขาที่บ้านถามหาปัณรี
เมื่อขึ้นไปห้องน้องสาวเห็นปัณรีหลบอยู่มุมห้องด้วยความหวาดกลัว
พลเพิ่มดึงความคิดกลับมา ชักเริ่มเอะใจ
ฉัตรฉายจับสังเกตอยู่เห็นปฏิกิริยาพลเพิ่มเปลี่ยนไปก็มั่นใจว่าตัวเองมาถูกทาง
“คุณพลเพิ่มต้องหาทางรับมือกับเรื่องนี้ให้ดีนะคะ เพราะจริงๆ แล้วที่นังนั่นตาย มันเป็นฝีมือนังกระสือนลิน”
“ลินอีกแล้วเหรอ! ทำไมทุกคนต้องโยงความผิดให้ลินเป็นกระสือทุกที”
“ก็เพราะนังลินมันเป็นกระสือจริงๆ นี่คะ”
พลเพิ่มหันมองฉัตรฉายตาขวาง
“คุณก็เป็นห่วงแต่นังลินมันนั่นแหละ คุณรู้ไหมว่าตอนนี้นังลินมันหนีตามด็อกเตอร์ตฤณไปแล้ว”
พลเพิ่มกระแทกแก้วเหล้าลงกับเคาน์เตอร์จนแก้วแตกด้วยความโกรธแค้น
“ว่าไงนะ”
ฉัตรฉายตกใจ ยิ่งเห็นมือพลเพิ่มเลือดออกจึงรีบเข้าไปดู
“ว้าย! คุณพล แย่แล้วเลือดไหลเต็มไปหมดเลย มาค่ะเดี๋ยวช่าทำแผลให้”
พลเพิ่มสะบัดมือออกจากมือฉัตรฉาย
“ไม่ต้องมายุ่ง”
ฉัตรฉายเปลี่ยนท่าทีเป็นออดอ้อนพร้อมกับเดินเข้าไปกอดพลเพิ่ม
“จะไม่ให้ยุ่งได้ยังไงล่ะคะ คุณพลขา...ช่าเป็นห่วงคุณมากนะคะ”
พลเพิ่มดันตัวฉัตรฉายออกแล้วขยับหนี
“ขอบคุณมากนะ แผลแค่นี้ผมจัดการเองได้ นี่ก็เย็นมากแล้วคุณกลับบ้านไปเถอะ เดี๋ยวพ่อจะเป็นห่วง”
ฉัตรฉายขัดใจ ตีหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้
“ทำไมคุณพลถึงใจร้ายกับชาช่าอย่างนี้ล่ะคะ ชาช่าอุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกลเพื่อบอกข่าวคุณ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าชาช่ากลับตอนนี้กว่าจะถึงบ้านก็มืดค่ำ ยังจะไล่ชาช่าได้ลงคอ”
ฉัตรฉายบีบน้ำตาหยดแหมะให้พลเพิ่มเห็นใจ แต่พลเพิ่มกลลับมองอย่างรู้สึกรำคาญเหลือทน
“เอาล่ะๆ เลิกร้องได้แล้ว”
พลเพิ่มหันหน้าไปทางประตูตะโกนเรียกเจี๊ยบ ฉัตรฉายลอบยิ้มดีใจ
“เจี๊ยบ...เจี๊ยบ...”
เจี๊ยบเดินเร็วรี่เข้ามา
“คะ คุณท่าน”
“ไปเปิดห้องแขกให้คุณชาช่าพักทีไป”
พูดจบพลเพิ่มก็เดินออกไปจากห้องทันที
“ค่ะ คุณท่าน”
เจี๊ยบมองตามพลเพิ่มงงๆ ก่อนจะหันมามองฉัตรฉาย ฝ่ายนั้นยิ้มหวานมาให้

เช้าวันต่อมา ฉัตรฉายกำลังช่วยเจี๊ยบเตรียมอาหารอยู่ในครัว
“นี่คุณท่านของเจี๊ยบลงมากินข้าวเช้ากี่โมงจ๊ะ”
เจี๊ยบมองฉัตรฉายแล้วยิ้มตอบอย่างเป็นกันเอง
“ปกติก็จะทานแต่เช้า ก่อนออกไปทำงานค่ะ แต่เมื่อวานคุณท่านดื่มเยอะ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวันนี้ท่านจะลงมากินกี่โมง จริงๆ แล้วคุณชาช่าไม่ต้องมาช่วยหนูก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เรื่องแค่นี้เอง ช่วยๆ กัน แต่เอ๊...ถ้าคุณพลเพิ่มเกิดแฮงค์ เราน่าจะเตรียมอะไรไว้ให้เขาดื่มหน่อยดีไหม น้ำผลไม้คั้นสดๆ ก็เริดนะ เจี๊ยบมีส้มหรือเปล่าจ๊ะ”
“มีค่ะอยู่ในตู้เย็น คุณท่านโชคดีจริงๆ เลยนะคะที่มีแฟนคอยเอาใจใส่อย่างคุณชาช่า”
ฉัตรฉายยิ้มชอบใจก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็น พลันสายตาก็เหมือนเห็นใครคนหนึ่งที่นอกห้องครัว

เป็นปัณรีกำลังรีบรุดเดินออกจากบ้านไป
ฉัตรฉายจะตะโกนทักทายแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอมองอย่างสงสัยก่อนจะหันมาถามเจี๊ยบ
“นี่คุณปัณออกไปไหนแต่เช้า”
“คุณปัณยอมออกมาจากห้องแล้วเหรอคะ”
ฉัตรฉายสงสัย “ทำไมเหรอ”
“ก็ก่อนหน้านี้ คุณปัณไม่รู้เป็นอะไรค่ะ ไม่ยอมออกจากห้อง ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน แถมยังอารมณ์เสียขว้างปาข้าวของใส่ทุกคน จนคุณท่านเครียดอย่างที่คุณชาช่าเห็นแหละค่ะ”
ฉัตรฉายนิ่งฟังแล้วมองตามปัณรีไปอย่างสงสัย

อีกฝั่งหนึ่ง ตฤณฤทธิ์เดินนำชลันตีและนวลไปที่รถ สามคนนอนค้างที่วัดป่า เวลานี้กำลังกลับเข้าหมู่บ้าน ชลันตีกับนวลมองตฤณฤทธิ์แล้วก็หันมามองหน้ากัน กระทั่งนวลพูดขึ้นมาเบาๆ
“คงจะเครียดนะคะ ไม่พูดไม่จาอะไรเลย”
“คนรักไม่ได้จากตาย แต่การจากเป็นยังไงก็เจ็บอยู่ดี”
ทั้งชลันตีและนวลมองตฤณฤทธิ์แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
เสียงโทรศัพท์ตฤณฤทธิ์ดังขึ้น เขากดรับ
“สวัสดีครับ”
เป็นพลเพิ่มโทร.มา และเวลานี้ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน ตั้งใจโทร.มาเช็คว่าตฤณฤทธิ์อยู่กับนลินจริงหรือไม่
“สวัสดีครับด็อกเตอร์ ตอนนี้ด็อกเตอร์อยู่ที่ไหนครับ”
“ผมกำลังจะไปที่หมู่บ้าน คุณพลเพิ่มมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
พลเพิ่มได้ยินคำตอบก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกอึกอักเมื่อเจอคำถามของตฤณฤทธิ์
“พอดีผมมีเรื่องสงสัย เรื่องอักขระที่กำแพงปราสาทน่ะครับ คุณเคยบอกว่าคุณจะเอากลับไปเทียบกับภาษาใกล้เคียง”
“อักขระที่กำแพง”
ตฤณฤทธิ์นึกได้ว่าตอนนั้นเขาเดินเข้าไปที่กำแพงเหมือนถูกมนต์สะกด ค่อยยื่นมือออกไป ทันที่ที่มือสำผัสกำแพงก็เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้น เขาเห็นภาพแปลกๆ เป็นสิงหลกับสาวิตราณีวิ่งหนีการไล่ล่าในป่า สุดท้ายสิงหลถูกทหารคุมตัวเอาไว้ได้ และสาวิตราณีถูกดึงตัวแยกออกไปคนละทาง ทั้งสองมองหน้ากันอย่างอาลัย
ซึ่งนลินยังเคยถามเขาเรื่องนี้หลายครั้ง “ในนั้นมีผู้ชายคนนึงร้องไห้แล้วเรียกชื่อสาวิตราณีไหมคะ”
“ถ้าคุณยืนยันว่าใช่มันอาจจะเกี่ยวโยงกันหมด ทั้งคุณ ฉันหรือเรื่องขบวนแห่ที่เราเห็นตรงหน้าปราสาทคราวก่อนด้วย”
ตฤณฤทธิ์เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าเขาดูมีความหวังขึ้น
“ได้ครับผมจะจัดการให้”
ตฤณฤทธิ์กดวางสายโทรศัพท์ แล้วหันมาบอกชลันตีกับนวล น้ำเสียงและสีหน้ามีความหวังอย่างเห็นได้ชัด
“ป้าตี ป้านวลครับ ก่อนเข้าหมู่บ้านผมขอแวะมหาวิทยาลัยก่อนนะครับ”
ชลันตีและนวลต่างมองตฤณฤทธิ์อย่างแปลกใจ ก่อนที่ชลันตีจะพูดขึ้นว่า
“ตามสบายเลยค่ะคุณตฤณ”
ตฤณฤทธิ์พูดเสร็จก็รีบเดินไปที่รถพร้อมกับยิ้มให้กับตนเอง

ส่วนที่บ้านพลเพิ่ม ฉัตรฉายทำตัวดุจดั่งคุณนายผู้ใจดีช่วยเจี๊ยบจัดอาหารขึ้นโต๊ะ จนพลเพิ่มเดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะ เห็นฉัตรฉายยังอยู่ก็รู้สึกแปลกใจ
ฉัตรฉายรีบยกน้ำส้มคั้นจากเจี๊ยบมาเสิร์ฟให้พลเพิ่มอย่างเอาใจ/เจี๊ยบยิ้มแล้วเดินกลับเข้าครัวไป
“น้ำส้มคั้นสดๆ แก้เมาค้างค่ะ”
พลเพิ่มรับไปดื่มก่อนจะพูดขึ้น
“นี่คุณยังไม่กลับอีกเหรอ”
ฉัตรฉายถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ พลเพิ่ม พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบมือพลเพิ่มมาดูอย่างกันเอง
“ยังค่ะ ชาช่าเป็นห่วงคุณพล มือเป็นยังไงบ้างคะ”
พลเพิ่มดึงมือออกจากมือฉัตรฉายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ไม่ต้องห่วง แผลแค่นี้เรื่องเล็ก แต่ที่คุณโกหกผมเรื่องนลินนี่สิ”
“โกหกอะไรคะ”
“ก็ที่คุณบอกว่าคุณลินหนีตามด็อกเตอร์ตฤณไปแล้ว”
“เรื่องจริงนะคะ ชาช่าไม่ได้โกหก”
พลเพิ่มบอกเสียงขุ่น “หยุดพูดให้ร้ายนลินซะที เขาไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น เมื่อกี้ผมเพิ่งโทร.เช็ค
ด็อกเตอร์ตฤณยังอยู่ที่หมู่บ้าน”
“เป็นไปไม่ได้! ก็เมื่อวานชาช่าเห็นกับตา”
“พอ พอได้แล้วผมไม่อยากฟัง”
พลเพิ่มพูดจบก็ลุกออกจากที่นั่งอย่างรู้สึกรำคาญแล้วเดินขึ้นบ้านไป
ฉัตรฉายทำอะไรไม่ได้ อยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ ก็ไม่กล้า ได้แต่มองตามหลังพลเพิ่มไปอย่างเจ็บใจ

ชลันตีนั่งรออยู่คนเดียวที่ม้านั่งหน้าห้องสมุดมหาวิทยาลัยประจำจังหวัด จนตฤณฤทธิ์หอบหนังสือตั้งใหญ่ออกมาจากตัวตึก
“ขอโทษนะครับที่ให้รอนาน”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
“แล้วป้านวลล่ะครับ”
“ไปซื้อน้ำจ้ะ คุณตฤณหอบหนังสือมาทำงานเหรอนั่น”
ตฤณฤทธิ์ยิ้มมองชลันตี สายตามีความหวัง
“ผมคิดว่าผมรู้อีกวิธีที่จะช่วยลินแล้วครับ”
ชลันตีมองตฤณฤทธิ์อย่างตื่นเต้นดีใจ

ที่บ้านไม้หลังเก่าแทรกตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้หนาทึบ บรรยากาศสงบสงัด
ฌานกำลังนั่งเข้าฌานอยู่บนเรือนโดยมีโต๊ะหมู่บูชาเหล่าเครื่องรางของขลังต่างๆ มากมาย ดูเข้มขลังน่าเลื่อมใส มีเสียงเปิดประตูเข้ามา และเหมือนมีพลังงานบางอย่างวิ่งเข้ามากระแทกเข้าหน้าฌานจังๆ
เขาลืมตาขึ้นมอง
“ผมได้กลิ่นปีศาจร้ายตามติดตัวคุณมาด้วย”
คนที่เปิดประตูเข้ามาคือปัณรีชะงักกึก ควันธูปลอยตลบอบอวลจนปัณรีรู้สึกฉุนที่จมูก
ปัณรีนั่งลงพร้อมกับพนมมือสีหน้าหวาดกลัว
“อาจารย์มีวิธีไล่มันไปไหมคะ”
ฌานเพ่งมองครุ่นคิด “คิดจะไล่มัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“อาจารย์ช่วยปัณที แต่ว่าอย่าบอกเรื่องนี้ให้พี่พลรู้นะคะ”
ปัณรีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ฌานนิ่งมองปัณรี สีหน้าเคร่งเครียด

ในโบสถ์วัดป่า นลินและนรา กำลังนั่งวิปัสสนาอยู่ด้านหน้าองค์พระประธาน บรรยากาศโดยรอบดูเงียบสงัด
ใบหน้านลิน นลินเริ่มรู้สึกแปลกๆ เหงื่อที่หน้าผากของเธอเริ่มผุดขึ้นและไหลลงมาที่ใบหน้า ภาพค่อยๆ เฝดออกจนเห็นที่กลางหน้าอกของนลินมีแสงวูบวาบๆ เสียงหายใจอย่างเหนื่อยหอบจากความทรมานของนลินเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้นราที่นั่งอยู่ข้างๆ ลืมตาหันมาดูนลิน
นราตกใจกับภาพที่เห็น เธอเอื้อมมือไปกุมมือนลินไว้ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างให้กำลังใจ
“จงตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ ถ้าเราคิดว่าเจ็บมันก็จะเจ็บ แต่หากเราเชื่อว่าเราจะชนะและผ่านมันไปได้ เราก็จะทำได้”
นลินลืมตาขึ้นมองตอบนรา ที่มองมาที่เธออย่างให้กำลังใจ
นลินพยักหน้ารับและหลับตาลงทำสมาธิต่ออย่างมั่นคง

ที่บ้านยายเพียร ชลันตีพาตฤณฤทธิ์มาที่ห้องเก็บสมบัติ
“ถ้าคุณคิดว่าคำสาปของบ้านเรา มีส่วนเกี่ยวข้องกับปราสาทอนันตาปุระ มันก็อาจเป็นไปได้ เพราะสมัยก่อนยายของลินก็เคยบุกเข้าไปทำลายแท่นหลักประหาร เพราะคิดว่ามันจะช่วยล้างคำสาปได้”
“แท่นหลักประหาร”
ตฤณฤทธิ์นิ่งนึกตอนพลเพิ่มทักขึ้นเมื่อเห็นนลินจับแท่นเหล็กกลางลานปราสาท
“แท่นที่คุณลินจับอยู่นั่นก็คือ แท่นประหาร”
ตฤณฤทธิ์พยักหน้าอย่างเริ่มเข้าใจ
“แท่นนั้นถูกคุณยายเพียรทำลายนี่เอง”
“แต่ท่านคิดผิด มันกลับกลายเป็นว่าท่านได้ก่อกรรมจนทำให้ต้องรับช่วงคำสาปกระสือของตระกูลต่อไปอีก”
ตฤณฤทธิ์มองข้าวของเครื่องใช้โบราณที่มีอยู่อย่างมากมายภายในห้องอย่างสนใจ
“ต้นตระกูลของป้าตีทำอาชีพอะไรกันครับ ถึงได้มีสมบัติเก่ามากมายขนาดนี้”
“เป็นพ่อค้าจ้ะ”
ตฤณฤทธิ์แปลกใจ “แล้วข้าวของเครื่องใช้ในห้องนี้ ได้มาจากการค้าขายทั้งหมดหรือครับ”
“เปล่าจ้ะ ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนี้ทั้งหมด เป็นมรดกตกทอดของตระกูล ท่านห้ามไม่ให้นำไปขายหรือใช้พร่ำเพรื่อ ของทั้งหมดก็เลยต้องเอามาเก็บไว้ในห้องนี้อย่างที่เห็น”
สายตาของตฤณฤทธิ์มองสำรวจไปทั่วห้องอย่างรู้สึกแปลกใจ จนกระทั่งเขามองเห็นหีบไม้เก่าๆ ใบหนึ่ง เขาเดินตรงเข้าไปและเปิดมันออก มองของในนั้นอย่างตกใจ
“ผมว่าต้นตระกูลของป้าตี ไม่น่าใช่พ่อค้าแล้วล่ะครับ น่าจะเป็นชนชั้นสูงมากกว่า”
ชลันตีมีสีหน้าแปลกใจ เดินไปดูของในหีบที่ตฤณฤทธิ์เปิดค้างเอาไว้
ภายในหีบเป็นเสื้อผ้าและเครื่องประดับสตรีสูงศักดิ์ในสมัยโบราณ

อีกฝั่งฉัตรฉายวางตัวเป็นคุณนายนั่งจิบชา อ่านนิตยสารแฟชั่นอยู่ภายในห้องรับแขก
ปัณรีเดินเข้าบ้านมากำลังจะขึ้นชั้นบน พลันสายตาก็แลเห็นฉัตรฉายเข้า เธอมองอย่างแปลกใจก่อนจะเดินเข้าไปหาฉัตรฉายถามเสียงขุ่น
“นี่เธอเข้ามาทำอะไรในบ้านฉัน”
ฉัตรฉายวางถ้วยชาลง ยิ้มทักทายปัณรี
“อ้าว...กลับมาแล้วเหรอคะคุณปัณ เมื่อเช้ากะว่าจะทักแต่ก็ไม่ทัน รีบไปไหนแต่เช้าคะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ อย่าสาระแน! อย่าบอกนะ...ว่าเมื่อคืนเธอค้างที่นี่”
“ใช่ค่ะ คุณพลเพิ่มให้ชาช่าค้างที่นี่”
“ฉันรู้ว่าเธอชอบพี่ชายฉัน แต่มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอที่วิ่งแร่มานอนค้างถึงที่บ้านเขาอย่างนี้”
“เกินไปตรงไหนกันคะ ของแบบนี้กล้าได้ก็ต้องกล้าเสีย คุณก็แอ๊วด็อกเตอร์ตฤณอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย”
“เปล๊า ชาช่าก็แค่เห็นว่าคุณน่ะทำเป็นพูดดี เอาแต่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ขนาดนังกระสือนลินมันคาบคุณตฤณไปกินแล้วยังไม่รู้ตัว”
ปัณรีจ้องมองฉัตรฉายด้วยความโกรธ สะบัดหน้าหนีรีบเดินขึ้นบันไดไป ฉัตรฉายมองตามอย่างหมั่นไส้
“โถ่นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็เก่งแต่ปาก”
ฉัตรฉายทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาจิบน้ำชาตามเดิมอย่างไม่สะทกสะท้านหรือเก็บมาใส่ใจ

ที่โต๊ะประชุมงานห้องพักทีมสำรวจ ตฤณฤทธิ์กางแผนผังโครงสร้างของปราสาทออก เขาจ้องมองมันพร้อมกับนึกทบทวนเรื่องราวต่างๆ ก่อนจะใช้ปากกาวงกลมลงไปที่ลานประหาร
“ยายเพียรรับช่วงคำสาปต่อเพราะทำลายแท่นประหาร และ...”
เขานึกถึงตอนนลินถูกฟ้าผ่า
ตฤณฤทธิ์จรดปากกาลงวงกลมที่ลานหน้าปราสาท
ภาพขบวนแห่สาวิตราณีเดินเข้ามาที่หน้าปราสาทผุดซ้อนเข้ามา
ตฤณฤทธิ์จรดปากกาลงวงกลมที่กำแพงปราสาท นึกถึงตอนไปสำรวจพบว่าตรงกำแพงปราสาทตรงที่ถูกขุดทุบเพิ่ม เห็นอักขระภาษาโบราณอยู่ตรงนั้น
ตฤณฤทธิ์นิ่งมองแผนผังแววตาเป็นประกาย
มธุรสเดินผ่านมาเห็นตฤณฤทธิ์ จึงเดินเข้ามาหา มองเห็นแผนผัง
“พี่ตฤณทำอะไรอยู่คะ นี่มันผังปราสาทอนันตาปุระนี่”
“พี่กำลังสืบค้นประวัติของ...”
ตฤณฤทธิ์หยุดชะงักไป มธุรสมองอย่างแปลกใจ
“ของอะไรคะ”
“ของปราสาทน่ะ พี่สงสัยเรื่องอักขระโบราณบนผนังกำแพงที่เราเห็นเมื่อคราวก่อน”
“พี่ตฤณคิดว่ามันบอกเล่าเรื่องราวของปราสาทเอาไว้ใช่ไหมคะ”
“อาจเป็นไปได้ พี่เลยต้องเอามาเทียบกับภาษาโบราณที่ใกล้เคียงในสมัยนั้น”
มธุรสหันมองกองหนังสือภาษาโบราณบนโต๊ะ แล้วนั่งลงเตรียมช่วยงานอย่างแข็งขัน
“มาค่ะ พี่ตฤณ รสช่วย แบ่งหนังสือมาทางนี้เลย”
ตฤณฤทธิ์จัดการแบ่งหนังสือส่งให้มธุรสพร้อมกับยื่นแบบอักขระโบราณให้
“ขอบใจนะรส”
“ไปเป็นไรค่ะ มันเป็นงานนี่คะ”
ตฤณฤทธิ์รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ ยิ้มแห้งๆ ให้มธุรส แล้วทั้งสองก็ลงมือเปิดหนังสือทำงาน

ตกตอนเย็น พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน กำนันสินนั่งกินข้าวอยู่กับโฉมศรี กำนันสินมองหาลูกสาว
“แล้วนี่นังช่ามันไปไหน ไม่มากินข้าว”
“ลูกโทร.มาบอก ว่าเข้าไปมหาลัยตั้งแต่เมื่อวานไงพี่”
“ก็นั่นมันตั้งแต่เมื่อวาน ป่านนี้น่าจะกลับบ้านได้แล้ว อย่าบอกนะว่าวันนี้มันจะไม่กลับ”
“ช่างมันปะไรพี่ ลูกมันโตแล้วปล่อยๆ บ้างเถอะ”
“ก็เพราะมันโตแล้วนี่สิถึงต้องห่วง”
“ไม่มีอะไรหรอกน่าพี่ นังช่ามันเก่ง เลือดแม่มันแรง เอาตัวรอดได้แน่ ไม่ต้องห่วง”
กำนันสินหงุดหงิด “ก็เพราะให้ท้ายกันแบบนี้ นังช่ามันถึงได้ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นมาจะทำยังไง”
โฉมศรีลงมือกินข้าวต่อโดยไม่สนใจ
กำนันสินมองเมียแล้วส่ายหน้าระอาเหลือ พลางทอดถอนใจด้วยความเป็นห่วงลูกสาว

ตฤณฤทธิ์และมธุรสกำลังง่วนอยู่กับการเทียบตัวอักษรในหนังสือ
“ตัวอักษรพวกนี้มันก็คล้ายกันนะคะ แต่ก็ยังไม่ใช่”
“อืม...พี่ก็เห็นว่ามันคล้ายกัน แต่มันยังแปลไม่ออก”
ตฤณฤทธิ์มีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด มธุรสมองอย่างเห็นใจ
“พักสักหน่อยดีไหมคะพี่ตฤณ เดี๋ยวรสชงกาแฟให้”
มธุรสลุกไปชงกาแฟ ขณะที่ตฤณฤทธิ์ยืดตัวตรงบิดคอเพื่อคลายความเมื่อยล้า
ระหว่างนี้บุรัณย์และวิศวัตเดินเข้ามาในห้อง
“ทำอะไรกันอยู่ครับอาจารย์ โห...หนังสือกองเป็นภูเขาเลย”
บุรัณย์และวิศวัตเดินเข้าไปดูกองหนังสือ และเห็นแผ่นกระดาษตัวอักษรโบราณวางอยู่
บุรัณย์เอ่ยทัก “นี่มันอักขระที่อยู่บนกำแพงหรือเปล่าครับพี่”
“ใช่ ฉันกับรสกำลังค้นกันอยู่ว่ามันแปลว่าอะไรกันแน่”
“งานยากเลยนะครับ ขนาดอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดียังไม่รู้ แล้วใครจะรู้” วิศวัตสัพยอก
“ไอ้นี่ ก็พูดซะฉันเป็นผู้หยั่งรู้คนเดียวในโลก”
“อยากให้ช่วยไหมครับพี่ตฤณ”
“ก็ดีนะ หลายคนช่วยกันงานก็จะสำเร็จได้เร็วขึ้น”
วิศวัตโวยวายออกตัว “ผมไม่เอานะครับอาจารย์ งานนี้มันเกินความสามารถของผม”
มธุรสเดินเอากาแฟมาส่งให้ตฤณฤทธิ์ เขารับไปจิบดื่ม
“ยังไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าความสามารถเราไม่ถึง”
“นั่นสิ ถ้างานนี้เธอทำสำเร็จ ก็เอาปริญญาไปเลย”
ตฤณฤทธิ์ปรินท์ภาพอักขระโบราณตัวใหญ่ในกระดาษ A4 หลายๆ ใบ แล้วเอาไปติดไว้ที่บอร์ด
“ทางลัดสู่ปริญญาเชียวนะวัต ไม่สนใจหรือไง” มธุรสว่า
คราวนี้วิศวัตตาโตขึ้นมาอย่างมีความหวัง
“จริงนะอาจารย์”
วิศวัตหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกดเซลฟี่ภาพตัวเอง
“คลิปนี้ผมจะใช้เป็นหลักฐานคำสัญญาของอาจารย์ตฤณฤทธิ์ สุวรรณครา ถ้าผมสามารถค้นหาความหมายของอักขระบนกำแพงปราสาทอนันตาปุระได้ อาจารย์จะให้ผมจบปริญญาทันที”
บุรัณย์เห็นแล้วยังตกใจ
“เฮ้ย! เอางั้นเลยหรือ”
วิศวัตเดินปรี่ไปหาตฤณฤทธิ์ พร้อมกับเซลฟี่ตนเองกับตฤณฤทธิ์คู่กัน โดยที่ด้านหลังเป็นบอร์ดที่ตฤณฤทธิ์เพิ่งจะติดกระดาษเสร็จ
“อาจารย์ครับ ช่วยพูดยืนยันด้วยครับ”
ตฤณฤทธิ์ขำกับท่าทางตลกๆ ของวิศวัต มองที่กล้องแล้วพูดออกไปว่า
“ครับ ผมตฤณฤทธิ์ สุวรรณครา ขณะที่พูดอยู่นี้ผมมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ ผมรับรองด้วยเกียรติ ถ้านายวิศวัต สามารถถอดอักขระโบราณบนกำแพงปราสาทอนันตาปุระออกมาได้...”
อยู่ๆ ตฤณฤทธิ์ก็ชะงัก เหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่หน้าจอมือถือ เขาหยุดพูดแล้วเพ่งมองอย่างเอาจริงเอาจัง ขณะที่วิศวัตคิดว่าตฤณฤทธิ์แกล้ง
“เอ้า อาจารย์พูดต่อสิครับ ผมกะแล้ว... ว่าอาจารย์ต้องล้อผมเล่น”
วิศวัตลดโทรศัพท์ลงอย่างน้อยใจ ตฤณฤทธิ์รีบคว้าโทรศัพท์มาจากมือวิศวัต
“เดี๋ยวก่อนวัต ฉันขอยืมโทรศัพท์ก่อน”
วิศวัต มธุรสและบุรัณย์ เห็นท่าทางตฤณฤทธิ์แล้วก็ต้องตกใจ
ตฤณฤทธิ์เคลื่อนกล้องเข้าไปใกล้ๆ อักขระที่อยู่บนบอร์ดและมองอย่างตกใจ เขามองตัวหนังสือที่บอร์ด ก่อนจะพูดลอยๆ ออกมาเบาๆ
“อ่านออกแล้ว”

ที่บ้านพลเพิ่มคืนนั้น ปัณรีนั่งกอดเข่าใช้ความคิดอยู่บนเตียงในห้องนอนนึกถึงเรื่องที่คุยกับฌาณ
ฌานหลับตา พอลืมตา สีหน้าจอมอาคมก็ยิ่งเคร่งเครียด นิ่งมองปัณรีก่อนจะพูดขึ้น
“ตอนนี้ไม่มีทางแก้หรือขับไล่มันไปได้”
ปัณรีมีสีหน้าตกใจ
“อาจารย์แน่ใจเหรอคะ”
“แต่...ถ้าเราอยากรู้ทางแก้ปัญหา เราต้องรู้ต้นเหตุของปัญหานั้นก่อน”
“ปัณก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่ามันเกิดจากอะไร”
“ผมรู้สึกได้ว่ากลิ่นไอปีศาจของคุณคล้ายกับ...ใครบางคน”
“ใครคะอาจารย์”
ปัณรีดึงความคิดกลับมา กัดฟันกรอด
“นี่แกทำอะไร ทำไมฉันถึงได้กลายเป็นกระสือแบบแก นังลิน…”
ปัณรีกำมือแน่นด้วยความแค้นใจ

ฝ่ายพลเพิ่มกำลังพยายามโทรศัพท์หานลิน แต่กลับมีเสียงตอบกลับมาว่า “เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” พลเพิ่มกดวางโทรศัพท์อย่างหัวเสีย
“ทำไมติดต่อไม่ได้เลยนะคุณลิน”
พลเพิ่มเดินมาหยิบแก้วเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะตะโกนขึ้น
“เจี๊ยบ! เหล้าได้หรือยัง”
พลเพิ่มมองหาเจี๊ยบ แต่กลับแปลกใจเมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามาแทน ฉัตรฉายในชุดนอนเซ็กซี่ เดินถือถาดใส่ขวดเหล้าเข้ามาหาพลเพิ่ม
“หงุดหงิดอะไรคะ”
ฉัตรฉายวางขวดเหล้าลงที่โต๊ะ แล้วเทเหล้าใหม่ใส่แก้วส่งให้พลเพิ่ม ขณะจงใจก้มตัวลงอย่างยั่วยวน
“วิสกี้ค่ะ”
พลเพิ่มหันมารับแก้ว เห็นฉัตรฉายก้มตัวเข้าอย่างจัง เขารับแก้วเหล้าไปดื่มและเมินไปมองที่อื่น
“คุณยังไม่กลับอีกเหรอ”
“ยังค่ะ เห็นคุณไม่สบายใจแบบนี้ ชาช่าเป็นห่วงนะคะ”
ทั้งคู่จ้องตากัน ฉัตรฉายส่งยิ้มให้ พลเพิ่มหลุบตาลงมองต่ำแล้วถอนหายใจอย่างพยายามระงับอารมณ์
“ผมว่าคุณรีบกลับไปซะดีกว่า ผมไม่อยากผิดใจกับกำนันสินเรื่องคุณ”
ชาช่าขยับเสื้อลงต่ำเผยให้เห็นร่องอกมากยิ่งขึ้น
พลเพิ่มยกแก้วไวน์ค้าง กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ฉัตรฉายยิ้มชอบใจ
พลเพิ่มตัดสินใจลุกขึ้นจะกลับห้อง แต่ฉัตรฉายเข้ามากอดเขาไว้จากด้านหลัง
พลเพิ่มชะงัก ค่อยๆ หันไปทางฉัตรฉาย อีกฝ่ายยิ้มยั่วอย่างท้าทายมาให้
“อย่ากังวลไปเลยค่ะ ทุกอย่างมันเป็นความต้องการของชาช่าเอง”
เพียงเท่านั้นแขนของพลเพิ่มก็คว้าตัวฉัตรฉายนอนลงที่เก้าอี้ทันที

อ่านต่อตอนที่23


กำลังโหลดความคิดเห็น