สาปกระสือ ตอนที่18 ปัณรีกลายเป็นกระสืออีกตัว!
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
มธุรสและบุรัณย์พากันวิ่งเข้ามาหาตฤณฤทธิ์ ถามเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“พี่ตฤณเมื่อกี้มีแสงลอยออกมาจากบ้านคุณนลิน พี่เห็นไหม”
“จับภาพได้ไหมพี่”
ตฤณฤทธิ์นั่งจับกล้องอยู่ หันกลับมามองมธุรสและบุรัณย์ด้วยสีหน้าตกตะลึง เขามองทั้งคู่นิ่งไม่พูดไม่จา
“พี่ตฤณ พี่ตฤณเป็นอะไรไปคะ พี่ตฤณ”
ตฤณฤทธิ์อึกอักท่าเดียว “เอ่อ...”
บุรัณย์เห็นตฤณฤทธิ์เหมือนไม่มีสติ จึงรีบวิ่งเข้าไปดูที่กล้องมธุรสตามมาด้วย
ตฤณฤทธิ์มองสองคน หน้าตาตื่นตกใจ
ฟากกระสือนลินกับหลวงตาคำประจันหน้ากันอยู่กลางป่ากว้าง หลวงตาคำมองกระสือนลินอย่างมีเมตตา
“โยม...อาตมาขอบิณฑบาตเถอะนะ...”
กระสือนลินชะงัก แววตาเริ่มอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“การทำร้าย ทำลายชีวิตผู้อื่นเป็นบาป มันไม่ได้ช่วยดับความกระหายใคร่อยากของโยมให้หมดไปได้ หากโยมยอมหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ อาตมาก็พร้อมจะช่วยชี้ทางให้โยมหลุดพ้นจากบ่วงกรรมที่พันธนาการเอาไว้”
กระสือนลินก้มหน้านิ่งฟังหลวงตาคำอย่างสงบ สายลมพัดจากด้านล่างขึ้นมาวูบใหญ่ ส่งให้ผมของเธอปลิวสยาย
กระสือนลินเงยหน้าขึ้น ดวงตาส่องประกายสีแดงจ้า ก่อนจะลอยออกไปอย่างไม่สนใจ
อนิจจาจิตสำนึกฝ่ายดีแพ้สัญชาติญาณนักล่าของกระสือ
หลวงตาคำนิ่งมอง ก่อนจะหลับตาลงแล้วสวดมนต์แผ่เมตตา
“สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย…”
ส่วนที่ริมรั้วบ้านกำนันสินติดกับบ้านยายเพียร บุรัณย์กำลังเปิดกล้องหาไฟล์วิดีโอหน้าเครียด เพราะแทบปลิ้นกล้องแต่ก็หาไม่เจอ ตฤณฤทธิ์ กับมธุรสอยู่ด้วยกัน
“ทำไม ไม่มีไฟล์วีดิโอของวันนี้บันทึกไว้”
“ดูให้ดีๆ อีกทีซิ มีบันทึกไว้ที่โฟลเดอร์อื่นหรือเปล่า”
“ไม่มี ดูยังไงก็ไม่มี”
บุรัณย์หันมามองตฤณฤทธิ์ ถามเสียงขุ่น มธุรสมองตาม
“พี่ตฤณได้ทำอะไรกับไฟล์ในกล้องหรือเปล่า”
“เปล่านี่ ทำไมเหรอ”
“ก็ในกล้องมันไม่มีการบันทึกภาพแสงเมื่อกี้เลย”
“เป็นไปได้ไง เมื่อกี้ฉันยังหันกล้องไปจับภาพอยู่เลย ลองดูดีๆ ซิ” ตฤณฤทธิ์แก้ตัว
“ผมหาดีแล้ว มันไม่มีบันทึกไว้”
ตฤณฤทธิ์คิดหาทางออก “โจ๊กอาจจะไม่ได้ตั้งเรคคอร์ดเอาไว้หรือเปล่า”
“ไม่มีทาง ไอ้โจ๊กมันมืออาชีพนะพี่ มันไม่มีทางพลาดเรื่องง่ายๆ แบบนี้แน่”
บุรัณย์มั่นใจมากมองจ้องตฤณฤทธิ์อย่างจับพิรุธ ตฤณฤทธิ์หลบสายตาวูบ มธุรสมองสองหนุ่มอย่างหงุดหงิด
“ป่านนี้แล้วจะมาหาคนผิดกันทำไมเนี่ย”
บุรัณย์เอะใจ เปิดดูไฟล์ในถังขยะ
“อาจจะยังอยู่ในไฟล์ขยะ
ตฤณฤทธิ์มองลุ้นๆ บุรัณย์ดูไฟล์ในถังขยะแต่ก็ไม่พบข้อมูลอีก เงยหน้ามองอย่างไม่วางใจ ตฤณฤทธิ์ผ่อนลมหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก
มธุรสหันมองไปทางบ้านของนลินอย่างร้อนใจ
“แทนที่เราจะมานั่งหาไฟล์ ฉันว่าเราตามแสงนั้นไปไม่ดีกว่าเหรอ ดูสิมันหายไปไหนแล้ว”
บุรัณย์รีบร้อนเก็บกล้อง
“งั้นรีบตามไปกันเถอะ”
บุรัณย์รีบเดินออกไป มธุรสรีบตาม ตฤณฤทธิ์ร้อนรนใจ พยายามทัดทาน
“น่าจะไปไกลแล้ว ยังไงก็ตามไม่ทันหรอก เสียเวลาเปล่า”
ทั้งบุรัณย์และมธุรสไม่ฟังเสียง ทั้งคู่รีบวิ่งตามทางที่เมื่อครู่เห็นแสงไป
ตฤณฤทธิ์เครียดจัด
มธุรสและบุรัณย์วิ่งมาหยุดอยู่ที่ชายป่าท้ายหมู่บ้าน สองคนพยายามมองหาแสงที่ตอนนี้ได้หายไปแล้ว บุรัณย์พูดขึ้นอย่างกังวล
“มันหายไปแล้ว ทำไงดี”
มธุรสมองไปทางหนึ่ง
“มันต้องอยู่ทางนั้นแน่ๆ”
“งั้นไป”
บุรัณย์และมธุรสออกตัววิ่ง แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นหลวงตาคำยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า
“จะรีบไปไหนกันหรือโยม”
บุรัณย์และมธุรสหยุดมองอย่างแปลกใจ ยกมือไหว้
“หลวงตา...แถวนี้มีวัดด้วยเหรอครับ”
“อาตมามาออกธุดงค์อยู่แถวนี้”
ห่างออกไปหน่อย ตฤณฤทธิ์วิ่งตามมาเขาหยุดมองมธุรส บุรัณย์และหลวงตาคำ ก่อนจะหันไปมองทางหนึ่งอย่างเป็นกังวล
“หลวงตาเห็นกระสือหรือเปล่าคะ”
หลวงตาคำยิ้มเยือกเย็น มองเลยผ่านทั้งคู่ไปยังตฤณฤทธิ์ เห็นเขาตัดสินใจวิ่งแยกไปอีกทาง
“สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่โยมตามหาอยู่ก็เป็นได้”
มธุรสและบุรัณย์มองหลวงตาคำอย่างไม่เข้าใจ
“เจริญพรนะโยม”
หลวงตาคำเดินถือกลดจากไปด้วยท่าทีอันสงบ มธุรสกับบุรัณย์ยกมือไหว้แล้วรีบวิ่งออกไป
ตฤณฤทธิ์วิ่งฝ่าดงหญ้าออกมา พยายามมองหาดวงไฟ แต่ก็มองไม่เห็น เขารู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก
“หายไปไหนแล้ว”
ในขณะที่ตฤณฤทธิ์สอดสายตามองหาดวงไฟอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงหมาร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด และเงียบไป ตฤณฤทธิ์เหลียวขวับไปมองอย่างตกใจ แล้วเหมือนเห็นบางอย่าง
ที่พงหญ้าด้านหนึ่ง มีแสงไฟสีแดง ส่องประกายวูบวาบๆ อยู่ตลอดเวลา
ตฤณฤทธิ์มองจ้อง มั่นใจว่าต้องเป็นกระสือนลิน เขาสืบเท้าเดินตรงเข้าไปช้าๆ อย่างกล้าๆกลัวๆ
ตฤณฤทธิ์ค่อยๆ เปิดพงหญ้าออกมา เขามองเห็นอะไรบางอย่างแล้วอึ้งไป เห็นหมามีแผลถูกกัดที่คอ นอนตายอยู่ โดยมีกระสือผมยาวจากด้านหลัง กำลังค่อยๆ ลอยตัวลงต่ำเพื่อก้มหน้ากัดไปที่ท้องของมัน
ฝ่ายบุรัณย์และมธุรสก็กำลังเดินใกล้เข้ามาทุกขณะ
“มันหายไปไหนแล้วน่ะรัน”
“มันต้องอยู่แถวๆ นี้แน่ รสหาไปก่อนนะ เราขอตั้งกล้องแป๊บนึง”
ตฤณฤทธิ์ได้ยินเสียงของสองคนอยู่ไม่ห่างนักก็เริ่มกระวนกระวายหนัก เขารู้สึกกลัวจับใจแต่ก็อยากจะช่วยนลิน สุดท้ายตัดสินใจป้องปากร้องบอกไป
“หนีไป”
กระสือนลินไม่ได้ยิน ยังคงซุกหน้ากัดที่ท้องหมาอยู่อย่างกระหาย
ตฤณฤทธิ์ขยับตัวเดินเข้าไปไกล้ขึ้น
“ลิน รีบหนีไปเร็วเข้า”
ยังคงไม่มีอาการตอบสนองใดๆ จากกระสือนลิน
ตฤณฤทธิ์ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงขยับเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปกระตุกซากหมา เพื่อต้องการให้นลินรู้ตัว
ได้ผล กระสือนลินชะงักอึ้งไป ก่อนจะหันขวับมามองตฤณฤทธิ์ด้วยความโกรธ แยกเขี้ยวพุ่งเข้าใส่ตฤณฤทธิ์
ตฤณฤทธิ์ตกใจยกแขนขึ้นป้องกัน กระสือนลินกัดหมับเข้าที่แขนของตฤณฤทธิ์
ด้านมธุรสกำลังมองหาแสงแต่ก็หาไม่เจอ บุรัณย์จัดการตั้งกล้องเสร็จ
“เอาล่ะทีนี้กล้องพร้อมแล้ว เห็นหรือยังรสว่ามันอยู่ไหน”
“ไม่เห็นเลยรัน”
เสียงตฤณฤทธิ์ร้อง “โอ๊ย” ดังเข้ามา
บุรัณย์และมธุรสหันมองไปตามเสียง ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน อุทานอย่างตกใจ
“พี่ตฤณ”
มธุรสและบุรัณย์เดินแหวกพงหญ้าอีกด้านเข้ามา เห็นหมานอนตายเลือดท่วมอยู่ตรงหน้า มธุรสตกใจหันไปกอดบุรัณย์ที่เดินตามกันมาติดๆ
“ว้าย”
บุรัณย์ตกใจกอดตอบมธุรสทันที จนเมื่อเขาตั้งสติได้จึงพูดขึ้น
“รส... รสเป็นอะไร”
มธุรสชี้ออกไป พร้อมกับพูดทั้งที่ซุกหน้าอยู่กับไหล่บุรัณย์
“ตัวอะไรก็ไม่รู้นอนตายอยู่ตรงนั้น”
บุรัณย์มองตามมือของมธุรสไป จึงเห็นว่าเป็นหมานอนตายอยู่
“มันแค่หมาตาย รส...”
มธุรสหันหน้าหน้ามาดูอย่างกล้าๆ กลัวๆ บุรัณย์มองมธุรสยิ้มขำๆ
มธุรสมองผ่านศพหมาไปจนเห็นตฤณฤทธิ์นั่งกุมแขนท่าทางเจ็บปวดอยู่อีกฟากหนึ่ง
“พี่ตฤณ”
มธุรสผละจากบุรัณย์ออกไปหาตฤณฤทธิ์ บุรัณย์ชะงักไปนิดๆ ก่อนจะตามไปช่วย
“พี่ตฤณเป็นยังไงบ้าง ทำไมมีเลือดออกที่แขนด้วย”
“พี่..โดนหมากัดน่ะ”
บุรัณย์มองแขนตฤณฤทธิ์แล้วมองหมาที่นอนตายอยู่ ก่อนจะพูดประชดขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“หมากัด หรือว่ากระสือกัดกันแน่พี่ตฤณ”
ตฤณฤทธิ์มีสีหน้าตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด บุรัณย์ลุกขึ้นมองหาดวงไฟ
“ไหน มันไปทางไหนแล้ว”
ตฤณฤทธิ์คิดปราดเดียว ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย”
มธุรสตกใจเป็นห่วงตฤณฤทธิ์มาก
“พี่ตฤณเจ็บมากเหรอ รันรีบมาพาพี่ตฤณไปหาหมอก่อนเถอะ ดูสิเลือดออกเยอะมากเลย พี่ตฤณใจเย็นๆ นะ รสจะพาพี่ไปหาหมอเดี๋ยวนี้แหละ”
บุรัณย์ชะงักมองไปรอบๆ สลับกับมองตฤณฤทธิ์ที่กำลังโอดครวญเพราะความเจ็บอยู่อย่างสับสน สุดท้ายตัดใจหันกลับมาช่วยตฤณฤทธิ์
เช้ามืด นลินนอนกุมท้องอยู่บนเตียงอย่างทุกข์ทรมานเต็มทน ชลันตีและนวลเปิดประตูเข้ามาปรี่ไปที่เตียงด้วยสีหน้าตกใจ
“ลิน ลินเป็นอะไร ลิน...”
“ป้าตีคะ ลินปวดท้อง ลินปวดท้องมากเลยค่ะ”
“แย่แล้ว หรือว่าระหว่างที่คุณหนูออกไปเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ชลันตีวิตกอย่างมาก “ลินถูกใครทำร้ายมาใช่ไหม”
นวลมั่นใจ “ต้องใช่แน่เลยค่ะคุณตี อาการแบบนี้เหมือนตอนที่คุณท่านถูกทำร้ายกลับมา หลังจากนั้นก็ป่วยมาตลอด”
“เปล่าค่ะ ลินไม่ได้ถูกใครทำร้าย” นลินบอก
ชลันตีกับนวลหันมองหน้ากันอย่างสงสัย ชลันตีเดินไปนั่งดูใกล้ๆ
“แล้วลินเป็นอย่างนี้ได้ยังไง
นลินพยายามฝืนเล่าทั้งที่ยังคงปวดท้องอย่างทรมาน
“ลิน...”
นลินนึกถึงเหตุการณ์ตอนตฤณฤทธิ์กระตุกซากหมา จนเธอโมโหพุ่งกัดแขนตฤณฤทธิ์ แต่เมื่อเล่าออกมานลินตัดสินใจพูดข้ามเรื่องที่เจอกับตฤณฤทธิ์ไป
“ลินยังไม่ได้กิน พอดีมีคนมา ลินก็เลยรีบหนี”
ชลันตีนิ่งฟังนลินแล้วคิดตามก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น น่าจะเป็นเพราะลินยังไม่ได้กินอะไรสินะ”
นวลเดินไปหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดเหงื่อที่หน้าให้นลิน รู้สึกสงสารจับใจ
“โธ่ คุณลิน...”
“แล้วทำยังไงถึงจะหายคะป้าตี ลินปวดท้องมากเลย”
“เราคงทำอะไรไม่ได้ จนกว่าจะถึงวันโกนครั้งหน้า”
นลินมองชลันตีอย่างตกใจ
ทางด้านตฤณฤทธิ์กำลังนั่งให้หมอทำแผลอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาลในตัวเมือง โดยมีบุรัณย์และมธุรสยืนมองดูอยู่ไม่ห่าง
“ไปโดนอะไรมาครับ”
“คือ..หมากัดครับ”
หมอมองหน้าตฤณฤทธิ์อย่างแปลกใจ
“ผมว่าไม่น่าไช่รอยเขี้ยวหมานะครับ”
“ใช่สิครับ พอดีผมเห็นหมามันกัดกัน ผมเข้าไปห้ามก็เลยถูกมันกัด”
บุรัณย์ถามหมออย่างสงสัย
“แล้วหมอว่าเป็นรอยเขี้ยวอะไรครับ”
“ลักษณะเหมือนฟันของคนมากกว่า”
บุรัณย์มองตฤณฤทธิ์อย่างไม่แน่ใจ มธุรสจึงชิงพูดขึ้นมาเอง
“รสเห็นหมามันนอนตายอยู่แถวนั้นด้วยนะคะ”
ตฤณฤทธิ์ยืนยันคำเดิมกับหมอ “มันเป็นหมาจริงๆ ครับ”
“คุณว่างั้นเหรอครับ... แต่หมอว่ามันไม่น่าเป็นเขี้ยวหมานะ” หมอยังไม่คลายสงสัย แต่ตัดบทออกไป “ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณคิดว่าเป็นหมาจริงๆ หมอก็จะฉีดยากันพิษสุนัขบ้าให้ แล้วก็กลับมาฉีดอีก 4 ครั้งตามใบนัดนะครับ”
“ขอบคุณครับหมอ”
ตฤณฤทธิ์โล่งใจ ขณะที่บุรัณย์นิ่งมองตฤณฤทธิ์อย่างสงสัยไม่หาย
กลับจากโรงพยาบาล บุรัณย์เดินเข้าห้องพักมา เห็นโจ๊กกำลังนอนกรนอยู่บนเตียงอย่างสบายเฉิบก็รู้สึกหมั่นไส้
“โห...ไอ้นี่ หลับสบายเชียวนะ”
บุรัณย์เดินเข้าไปถีบโจ๊กจนตกจากเตียง โจ๊กตกใจตื่นแหกปากร้องละเมอลั่น
“เร็ว! หนีเร็ว แผ่นดินไหว หนีเร็วเข้า”
บุรัณย์เซ็งปนขำ “แผ่นดินไหวพ่อมึงน่ะสิไอ้โจ๊ก”
โจ๊กมองไปรอบๆ งงๆ พบว่าตัวเองตกเตียง “อ้าว...ผมละเมอตกเตียงหรอกเหรอ”
“ละเมออะไรล่ะ กูนี่แหละถีบมึงลงไปเอง”
“โธ่พี่รัน ทำไมทำกับโจ๊กยังงี้ล่ะ”
“ก็เพราะมึงไม่เช็คกล้องไง เมื่อคืนเลยไม่ได้อะไรเลย มันน่าโดนอีกสักทีนัก”
บุรัณย์ยกเท้าจะถีบซ้ำอีกที โจ๊กกระโจนหนีแทบไม่ทัน
“โอ๊ยเดี๋ยวๆ นี่พี่จะบอกว่าเมื่อคืนเจอกระสือเหรอ”
“เออสิวะ”
โจ๊กแปลกใจ “ไม่น่าเป็นไปได้นะพี่ ผมแน่ใจว่ากดเรคคอร์ดไปแล้ว ผมตั้งชื่อโฟลเดอร์กระสือขึ้นมาต่างหากด้วยนะ พี่หาดีหรือเปล่า”
“หาดี มันไม่มีอะไรบันทึกไว้เลย...” บุรัณย์เอะใจขึ้นมาอีกครั้ง
โจ๊กมองสภาพบุรัณย์ดูออกว่าเขาเพิ่งจะกลับมา
“แล้วนี่พี่วิ่งตามล่ากระสือทั้งคืนเลยเหรอเนี่ย”
“ล่าทั้งคืนอะไรล่ะ ฉันเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลโว้ย”
โจ๊กตกใจร้องลั่น
“โรงพยาบาล”
ตอนสายๆ นลินยังคงนอนปวดท้องอยู่ในห้อง กระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง กวิตาเพิ่งมาถึงและรู้เรื่องจากนวลแล้ว รีบเปิดประตูห้องนอนเข้ามาเห็นนลินก็รีบเข้าไปดู
“ลิน แกเป็นไงบ้าง ปวดท้องมากเลยเหรอ”
นลินลืมตาขึ้นมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่ง กวิตาช่วยพยุง
“ต้า แกมาได้ยังไง”
“ฉันเห็นข่าวไอ้พีท…”
นลินหลบตากวิตาวูบสีหน้าเศร้า กวิตาเห็นก็ใจไม่ดี
“ลิน..ฝีมือแกหรือเปล่า”
นลินหันมามองกวิตาอย่างตกใจ
“เปล่านะต้า ฉันไม่ได้ทำ แกก็รู้ว่าฉันจะเป็นเฉพาะวันโกน แต่วันนั้นไม่ใช่ แล้วฉันก็ไม่ฆ่าคนด้วย”
กวิตาถอนหายใจอย่าโล่งอก “ฉันก็ว่าแกไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ แต่ข่าวที่ออกไปมันดังมาก ใครๆ ก็ว่ากระสือกินไส้คน”
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
นลินหน้าเศร้าลงไปอีก กวิตามองเห็นใจ เปลี่ยนเรื่องคุย
“เรื่องไอ้พีทช่างมันเถอะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไป แล้วนี่แกเป็นไงบ้าง เห็นป้าตีกับป้านวลบอกว่า เพราะแกไม่ได้กิน แกถึงต้องนอนปวดท้องอยู่อย่างนี้”
นลินพยักหน้า เริ่มปวดท้องรุนแรงขึ้นอีกครั้ง กวิตามองแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดตาม
“แล้วนี่ต้องรอจนกว่าจะถึงวันนั้นอีกครั้งเลยเหรอแกถึงจะหาย”
นลินพยักหน้ารับ “เรื่องปวดท้องนี่ไม่เป็นไรหรอกต้า ฉันทนได้ แต่....”
นลินลังเลว่าจะเล่าเรื่องตฤณฤทธิ์ให้เพื่อนรักฟังดีไหม กวิตามองอย่างสงสัย
“อะไรลิน เล่ามาเถอะไม่ว่าเรื่องอะไรเราจะช่วยกันแก้”
“เมื่อคืนคุณตฤณ..เขาเห็นฉัน” นลินหน้าเครียดมาก “แล้ว...ฉันก็กัดเขาด้วย”
กวิตาตกใจมาก
ขณะที่นวลกวาดลานบ้านอยู่ สีหน้าวิตกกังวลห่วงคุณหนูไม่หาย พยายามสอดตามองซ้ายแลขวารอบๆ รั้วบ้านว่ามีใครมาด้อมๆ มองๆ อยู่หรือเปล่า ก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ กับตัวเอง
“หวังว่า ไอ้คนที่เห็นคุณลิน จะไม่รู้จักแล้วก็จำคุณลินไม่ได้”
นวลกวาดไปจนถึงหน้าประตู เธอหันมองไปมาจนทำไม้กวาดหลุดจากมือ
นวลหันมองไป-มา อีกรอบ ก่อนจะถอนหายใจแล้วก้มลงเก็บไม้กวาด แต่เมื่อเธอจะเงยหน้าขึ้น สายตาของเธอก็เจอเข้ากับอะไรบางอย่าง
นวล เห็นเท้าชายชราใส่รองเท้าแตะ ภาพค่อยๆ ทิลท์ขึ้นเห็นขาและชายผ้าเหลือง กระทั่งเห็นตัว และหยุดภาพที่ใบหน้าหลวงตาคำ
นวลสีหน้าตกใจระคนดีใจ
“คุณท่าน”
นวลนั่งลงกับพื้น ก้มกราบหลวงตาอย่างดีใจ
ชลันตีเดินออกมาจากในบ้านสีหน้าสงสัย
“มีอะไรน่ะนวล”
ชลันตีเดินเข้ามาใกล้ ฝีเท้าของเธอเริ่มช้ากระทั่งหยุดลง
ชลันตีนิ่งมองหลวงตาคำแล้วอึ้งไป
ที่บ้านพลเพิ่ม ปัณรีนั่งมองกล่องกำไลที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าหลงใหล ดีใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะค่อยๆ เปิดออก พลเพิ่มเดินโวยวายลงบันไดบ้านมา
“ปัณ เอา...”
ปัณรีขัดขึ้น “พี่พลใจร้าย รับปากจะให้กำไลน้อง แต่ก็ไม่ให้สักที ไม่ยอมให้ดีๆ ปัณก็ต้องขโมยแบบนี้แหละ”
พลเพิ่มเหนื่อยใจ “ทำไมปัณถึงดื้อแบบนี้นะ”
“พี่พลก็รู้ว่าถ้าปัณอยากได้อะไร ปัณก็จะต้องเอามาให้ได้ ถ้าพี่พลเอาคืนไป ปัณก็ขโมยกลับมาอีก” ปัณรีขู่พลางจ้องตาพี่ชายอย่างท้าทาย “จะเอาคืนไปไหมคะ”
พลเพิ่มทิ้งตัวลงนั่งโซฟาด้วยสีหน้าระอากับความเอาแต่ใจของน้องสาว
ปัณรีไม่สน หยิบกล่องกำไลมาเปิดออกดูอย่างสุขใจ ก่อนจะยื่นแขนออกไปตรงหน้าพลเพิ่มเชิงบอก พลเพิ่มจำใจหยิบกำไลออกจากกล่องแล้วลุกขึ้นสวมมันให้กับปัณรี
“อย่าใส่ออกไปอวดใครข้างนอกล่ะ มันยังเป็นของร้อนอยู่”
ปัณรียิ้มปลื้มมองกำไลด้วยความหลงใหล
จู่ๆ ภาพใบหน้าท้าวอนันตราชก็ซ้อนเข้ามาแทนที่ใบหน้าพลเพิ่ม เป็นคนที่สวมกำไลให้เธอแทน
“กำไลวงนี้เป็นดั่งตัวแทนความรักของพี่ที่จะมีต่อเจ้าตลอดไป”
ปัณรีแปลกใจว่าทำไมคำพูดและน้ำเสียงของพลเพิ่มเปลี่ยนไป เธอเงยหน้าขึ้นมามองพี่ชาย แต่เห็นเป็นท้าวอนันตราชยิ้มมองมาอย่างเสน่หา
ปัณรีชักมือออกจากมือพลเพิ่มด้วยความตกใจ กำไลหลุดจากแขนปัณรีหล่นลงพื้น
ทุกอย่างในห้องกลับคืนสู่สภาพเดิม พลเพิ่มมองปัณรีอย่างตกใจ รีบก้มไปเก็บกำไลขึ้นมา มองดุน้องสาว
“เป็นอะไรน่ะปัณ ตอนแรกเห็นอยากได้จะเป็นจะตาย พอได้ไปแล้วกลับมาทำแบบนี้”
“ขะ...ขอโทษค่ะพี่พล”
“หยิบขึ้นมาดูสิว่าเสียหายหรือเปล่า”
“เอ่อ..ค่ะ”
ปัณรีนิ่งมองกำไลสลับกับมองพลเพิ่มอย่างหวั่นกลัว ไม่กล้าหยิบ
ภายในโถง ตรงหน้ารูปยายเพียรในกรอบที่ติดอยู่บนฝาผนังบ้าน หลวงตาคำยืนมองภาพนั้นอยู่ด้วยท่าทีสงบ ก่อนจะหันไปมองนวลและชลันตีที่ยืนมองอยู่
“โยมเพียรคงหลุดพ้นแล้วสินะ”
ชลันตีตอบเสียงขุ่น ไม่ชอบใจนัก “ให้หลุดพ้นยังไง ท่านก็คงไปไม่สงบนักหรอกค่ะ”
หลวงตาคำพยักหน้าอย่างเข้าใจ ที่แท้ท่านคือสามีของยายเพียรที่หายตัวไปนานแล้วนั่นเอง
“แล้วนี่โยมหลานเป็นอย่างไรบ้าง”
“หลวงพี่จะมาถามอะไรตอนนี้ หลวงพี่ทิ้งพวกเราไป ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า พวกเราต้องเผชิญกับปัญหาที่หนักหนาสาหัสขนาดไหน”
“คุณตีคะ บางทีท่านอาจจะมีเหตุผลก็ได้นะคะ เหมือนกับที่เราต้องปิดบังคุณหนูเรื่องที่คุณตีเป็นน้องสาวของคุณท่าน”
คำเตือนของนวลทำให้แววตาชลันตีอ่อนลง เมื่อหันกลับไปมองหลวงตาคำอีกครั้ง
“ตีไม่อยากให้หลานเสียใจ ที่ต้องมารับช่วงต่อจากพี่เพียร แม้ว่าตามลำดับแล้วตีควรจะเป็นคนรับมากกว่า”
“แต่ก็เพราะคุณตีไม่ได้ทำอะไรผิดนี่คะ” นวลปลอบ
“สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม แต่กรรมหนักจะกลายเป็นเบาได้ เมื่อเรารู้ทางแก้”
ชลันตีและนวลมองหน้ากัน ก่อนจะหันมองหลวงตาคำอย่างเริ่มเข้าใจและสายตามีความหวัง
ทางด้านปัณรีเปิดประตูห้องนอนถือกล่องใส่กำไลเดินเข้ามาในนั้น เธอวางมันลงที่โต๊ะหัวเตียงก่อนจะเปิดมันออก นิ่งมองอย่างสงสัยว่าเมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น
ภาพท้าวอนันตราช ยิ้มมองมายังปัณรีด้วยแววตาเสน่หาผุดขึ้นมาอีกคราในห้วงคิด
“หรือจะเป็นเจ้าของกำไล ไม่น่าใช่! ผีมีจริงที่ไหนกัน”
ปัณรีส่ายหน้าพยายามสลัดความคิดออกไป มองกำไลวงนั้นอย่างสนใจ เธอหยิบมันขึ้นมา แล้วหยิบผ้ากำมะหยี่ที่อยู่ในกล่องออกมาเช็ดทำความสะอาดกำไลอย่างทะนุถนอม
ฉับพลันกำไลก็เรืองแสงขึ้นมา
ปัณรีมองกำไลด้วยสายตาที่ลุ่มหลง ค่อยๆ บรรจงสวมมันเข้าที่ข้อมือแล้วเอาแนบไว้ที่อก หลับตาลงโดยไม่รู้ตัว
กำไลวงนั้นพาปัณรีดำดิ่งสู่อดีตกาล ณ อุทยานหลวง วังอนันตาปุระ
รุจิเทวีค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ก้มลงมองกำไลด้วยสายตาที่น้อยเนื้อต่ำใจ ตัดพ้อน้ำตาคลอ
“นี่หรือตัวแทนความรักที่จะมีต่อข้าตลอดไป”
รุจิเทวีเงยหน้าขึ้นจากกำลังข้อมือแล้วมองออกไปข้างหน้า น้ำตาค่อยๆไหลออกมาด้วยความรู้สึกโกรธแค้น
“ท้าวอนันตราชผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอสาปแช่งท่าน จากนี้ไป ไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ชาติภพ ท่านจะต้องรักข้าแต่เพียงผู้เดียว”
เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงขึ้น เห็นแสงฟ้าผ่าบนท้องฟ้าอันมืดมิดเหนือวังหลวงอย่างน่ากลัว
เวลาเดียวกันนั้น หลวงตาคำนั่งสมาธิอยู่ในห้องพระชั้นบนบ้านยายเพียร หันหน้าออกมาทางประตู ชลันตีเปิดประตูให้ กวิตาและนวลพยุงนลินที่ยังคงมีอาการปวดท้องเข้ามา
หลวงตาคำลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะพูดขึ้น
“นั่งลง ทำสมาธิ เพื่อคลายความเจ็บปวดทรมาน”
กวิตาและนวล พานลินนั่งลง จากนั้นทั้งสาม ชลันตี กวิตา และนวล พากันขยับตัวร่นมานั่งรวมกันอยู่ที่มุมห้องมองดูทั้งคู่เงียบๆ
นลินนั่งขัดสมาธิแต่ก็ยังไม่สามารถทำสมาธิได้ เพราะเธอปวดท้องจนตัวงอ หลวงตาคำเลื่อนขันน้ำมนต์ไปที่ด้านหน้านลิน
“ดื่มน้ำมนต์เสีย มันจะช่วยให้อาการปวดทุเลาลง”
นลินหยิบขันน้ำมนต์ขึ้นมาดื่ม สักพักเธอเริ่มรู้สึกดีขึ้น และเริ่มทำสมาธิ หลวงตาคำนั่งมองอยู่ เห็นนลินเริ่มดีขึ้น จึงบอกเพิ่มว่า
“ทุกสิ่งที่เกิดล้วนเป็นกรรมเก่า นับจากนี้โยมจงสวดมนต์ทำสมาธิอยู่ในห้องนี้ ห้ามออกไปไหน”
หลวงตาคำหยิบหนังสือสวดมนต์ออกมาจากย่ามแล้ววางมันลงที่ด้านหน้านลิน ก่อนจะลุกขึ้น
นลินนิ่งมอง แล้วกราบหลวงตาคำ
“ขอบพระคุณค่ะหลวงตา”
หลวงตาคำมองนลินนิ่ง แล้วหันไปหาชลันตี นวล และกวิตา พยักหน้าให้ตามออกไป หลวงตาคำเดินนำออกไป สามคนเดินตามออกไปด้วยกันแล้วปิดประตูลง
นลินพยายามข่มความเจ็บปวดนั่งสมาธิและหลับตาลง
ชลันตี นวล และกวิตา เดินมาส่งหลวงตาคำที่หน้าบ้าน หลวงตาหยุดและหันมามองทั้ง 3 คน ซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างมากนัก
“หลวงพี่จะไปจำวัดที่ไหนคะ”
“อาตมาปักกลดไว้ที่ชายป่าท้ายหมู่บ้าน”
ชลันตีอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น
“ตีต้องกราบขอขมาหลวงพี่ด้วยนะคะ ที่คิดมาตลอดว่า หลวงพี่หายไป เพราะรังเกียจพวกเรา”
“อย่าคิดมากเลยโยม ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นอนิจจัง รัก โลภ โกรธ หลง มีในจิตใจของสัตว์โลกทุกผู้ทุกคน ระหว่างนี้จงช่วยกันดูแลโยมลินให้ดี อย่าให้ใครไปรบกวน”
“ทำแบบนี้แล้ว ลินจะหายเจ็บปวดตลอดไปเลยใช่ไหมคะหลวงตา” กวิตาถาม
“มันเป็นเพียงการระงับความเจ็บปวดชั่วคราวเท่านั้น แต่จงจำไว้ให้ดี อย่าให้โยมลินออกมาจากห้องนั้นเป็นอันขาด”
“ไม่ต้องห่วงค่ะหลวงตา ต้าจะเป็นองครักษ์ พิทักษ์ลินเอง”
หลวงตาคำมองกวิตาก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วเดินออกไป สามคนพนมมือไหว้ลา
ที่บ้านกำนันสินเย็นนั้น ตฤณฤทธิ์เดินลงเรือนมา เขาหยุดหันมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ จึงรีบเดินออกไปที่ถนน มุ่งหน้าไปยังบ้านยายเพียร
บุรัณย์เดินออกมามุมหนึ่งของบ้านพัก มองตฤณฤทธิ์ด้วยสีหน้าสงสัย
ไม่นานต่อมา ชลันตี และ นวล ยืนขวางตฤณฤทธิ์อยู่ที่ประตูรั้วหน้าบ้าน ท่าทางตฤณฤทธิ์ร้อนใจมาก
“ขอร้องล่ะครับป้าตี ป้านวล ขอให้ผมเข้าไปคุยกับลินหน่อย ไม่นานหรอกครับ”
“ก็ฉันบอกว่าลินไม่สบายเลยเข้านอนไปแล้ว เอาไว้วันหลังค่อยมาคุย”
นวลบอกกับตฤณฤทธิ์ดีๆ เชิงขอร้อง “เชื่อคุณตีเถอะนะคะคุณตฤณ กลับไปก่อน”
“ไม่ครับ ยังไงผมก็ไม่กลับ ผมมีเรื่องสำคัญมากที่จะคุยกับลิน” ตฤณฤทธิ์ร้องตะโกนเข้าไปในบ้านเสียงดังลั่น “ลิน คุณได้ยินผมไหมลิน ออกมาคุยกับผมหน่อย ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ ลิน”
ในห้องพระชั้นบน นลินนั่งสมาธิอยู่ในนั้น ลืมตาขึ้นมาอย่างตกใจ
“คุณตฤณ”
ชลันตีและนวลตกใจอย่างคาดไม่ถึงที่เห็นตฤณฤทธิ์ตะโกนเรียกนลินลั่น
“คุณตฤณ คุณจะตะโกนทำไม ประเดี๋ยวชาวบ้านก็ออกมาดูกันหมดหรอก”
ชลันตีและนวลหันมองซ้ายขวา กลัวว่าจะมีชาวบ้านออกมาดู
ตฤณฤทธิ์สบโอกาส รีบแทรกตัวผ่านประตูรั้วบ้านเข้าไปด้านในทันที ชลันตีและนวลมองตามอย่างตกใจ
“ตายแล้ว...ทำไมคุณตฤณถึงได้ดื้ออย่างนี้คะ”
“เห็นนิ่งๆ ไม่คิดว่าบทจะรั้นก็ไม่ยอมใครเลย”
ชลันตีและนวลรีบวิ่งตามตฤณฤทธิ์เข้าไปโดยลืมปิดประตู
ในช่วงชุลมุนนี้ไม่มีใครเห็นว่าบุรัณย์แอบตามเข้ามาเงียบๆ
ตฤณฤทธิ์เดินผ่านประตูเข้ามาในโถงบ้านตะโกนเรียกนลินด้วยสีหน้าร้อนรน
“ลิน คุณอยู่ไหนลิน ลิน!...”
ในห้องพระนลินไม่มีสมาธิแล้ว ลุกขึ้นอย่างกระวนกระวายใจ
“คุณมาที่นี่ทำไม”
ตฤณฤทธิ์ก้าวเข้ามาภายในโถงบ้านมองหานลิน
กวิตาเธอพุ่งเข้ามาผลักตฤณฤทธิ์ออกไปเต็มแรง จนตฤณฤทธิ์เซถอยไปชนประตูบ้านเสียงดัง
ชลันตีและนวลตามเข้ามาเห็นเหตุการณ์ ทั้งคู่หยุดมองอย่างตกใจ
“คุณบุกเข้ามาในบ้านของคนอื่นแบบนี้ หมายความว่ายังไงคุณตฤณ” กวิตาโกรธ
“ผมมีธุระสำคัญที่ต้องคุยกับลิน”
“คุณกลับไปเดี๋ยวนี้นะ วันหลังค่อยมา”
ตฤณฤทธิ์มองกวิตาอย่างสงสัย
“ทำไมต้องเป็นวันหลัง ทำไมถึงเป็นวันนี้ไม่ได้”
“คุณกลับออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ หัดมีมารยาทซะบ้าง”
“ผมรู้ว่าคุณจะไม่ยอมพูดความจริง”
กวิตาอึ้งไปชั่วขณะ แล้วเข้ามาผลักให้ตฤณฤทธิ์ออกไปอีก
“กลับไปซะเถอะ”
ตฤณฤทธิ์ไม่ยอม จ้องหน้ากวิตาเขม็ง
“หรือว่าคุณก็รู้”
กวิตาอึ้งไปอีกครั้ง
“อะไร รู้อะไร มั่วแล้ว”
ตฤณฤทธิ์จ้องอย่างจับผิด กวิตาตกใจเดินถอยหลังหนี ตฤณฤทธิ์เดินตามอย่างคาดคั้น
“คุณบอกผมมาดีกว่า คุณก็รู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับลิน”
ชลันตีและนวลเห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามาช่วยขวาง
“คุณต้องการอะไรกันแน่คุณตฤณฤทธิ์”
กวิตาหลบหลังชลันตี จ้องลึกเข้าในในดวงตาตฤณฤทธิ์เหมือนต้องการความแน่ใจสักอย่าง ตฤณฤทธิ์จ้องตอบอย่างไม่ละสายตา
กวิตาจับแขนชลันตีกระตุกเบาๆ บอกว่า
“เขาบอกว่าเขารู้”
ชลันตีและนวลนิ่งอึ้งไปอย่างตกใจ ทั้งคู่หันมองตฤณฤทธิ์
ตฤณฤทธิ์มองตอบทั้งคู่แล้วพยักหน้ารับ
“ใช่ครับ ผมรู้หมดแล้วว่าลินเป็นอะไร ที่ทุกคนออกมาช่วยกันขวางผมไว้อย่างนี้ แสดงว่าลินยังไม่ได้นอนใช่ไหมครับ”
กวิตา ชลันตีและนวล อึกอักไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นวลจึงชิงพูดขึ้น
“คุณหนูออกมาพบคุณตฤณไม่ได้”
“ออกมาไม่ได้ หมายความว่ายังไงครับ”
มีเสียงโทรศัพท์มือถือของใครบางคนดังขึ้น ทุกคนได้ยิน พบว่าเสียงดังมาจากนอกเรือน มองไปที่หน้าประตูด้วยสีหน้าตกใจ
ที่แท้มือถือในกระเป๋ากางเกงบุรัณย์ดังขึ้น เขาตกใจมาก
“เดินหาจนทั่วหมู่บ้านไม่เห็นมีสัญญาณ เกิดมามีอะไรตอนนี้วะ”
บุรัณย์ควานหาโทรศัพท์มาปิดเสียง แล้วรีบวิ่งหนีไปจากที่นั่น
เมื่อนวลเปิดประตูบ้านเดินออกมาดูมองหาที่มาของเสียงจึงไม่เห็น นวลมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหวาดระแวงก่อนจะเดินกลับเข้าไปปิดประตูลง
ชลันตีและกวิตา พากันยืนจ้องหน้าตฤณฤทธิ์อย่างไม่พอใจและหวาดระแวง จนกระทั่งนวลเปิดประตูบ้านเดินเข้ามา ชลันตีจึงรีบถามขึ้น
“เป็นไง เจอไหมนวล”
“ไม่เห็นมีใครอยู่ข้างนอกเลยค่ะ สงสัยจะหนีไปแล้ว”
ตฤณฤทธิ์นิ่งฟังและคิดตาม ชลันตีหันมาเห็นสีหน้าตฤณฤทธิ์แล้วนึกสงสัย
“คุณพาใครมาด้วย”
“เปล่านะครับ ผมแอบออกมาคนเดียว”
“อย่ามาโกหก พวกเราได้ยินชัดๆ ว่าเสียงเมื่อกี้เสียงโทรศัพท์มือถือ” ชลันตีเสียงขุ่น
“นอกประตูนั่นจะต้องมีคนแอบฟังที่พวกเราคุยกันอยู่” กวิตาบอก
“ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ ครับ ผมมาที่นี่เพราะเป็นห่วงคุณลิน” ตฤณฤทธิ์ว่า
“ถ้าห่วงคุณหนู คุณตฤณก็กลับไปก่อนดีกว่าค่ะ” นวลบอก
“ไม่ครับป้านวล วันนี้ถ้าผมไม่ได้เจอลิน ยังไงผมก็ไม่กลับ เลิกปิดบังเรื่องลินกับผมซะทีเถอะครับ ผมรู้หมดแล้วว่าลินเป็นอะไร ที่ผมมานี่ก็เพื่อต้องการจะช่วย”
ชลันตีเคืองไม่หาย “อย่างคุณจะช่วยอะไรลินได้ มีแต่จะทำไห้เรื่องมันยุ่งมากขึ้นน่ะสิไม่ว่า วันนี้คุณบอกว่าคุณยอมรับลินได้ แต่สักวันคุณก็จะทิ้งลินไป”
“ผมไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ครับ ผมรักลิน ผมจะไม่มีวันทิ้งลินไปไหน”
กวิตาฟังแล้วมองตฤณฤทธิ์ด้วยความทึ่ง ขณะที่ชลันตีมองตฤณฤทธิ์อย่างไม่อยากเชื่อ
“แต่ยังไงวันนี้ ตอนนี้คุณก็พบกับลินไม่ได้เด็ดขาด ไป! กลับไปเดี๋ยวนี้”
พร้อมกับว่าชลันตีเดินเข้ามาจับแขนตฤณฤทธิ์พาออกจากบ้านไป ตฤณฤทธิ์ขืนตัวไว้ไม่ยอมขยับไปไหน
“ไม่ครับป้าตี”
“มาช่วยกันหน่อยสินวล หนูต้า”
นวลและกวิตาเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก รีบเข้ามาช่วยชลันตีดึงตฤณฤทธิ์ให้ออกจากบ้าน
“คุณตฤณเชื่อป้า กลับไปก่อนนะคะ” นวลบอก
กวิตาขอร้องดีๆ “ขอเถอะนะคะคุณตฤณ”
ตฤณฤทธิ์พยายามขืนตัวไว้อย่างสุดแรง จนเขาตัดสินใจตะโกนขึ้นไปบนบ้าน
“ลิน คุณได้ยินผมไหมลิน ผมรักคุณ ผมไม่มีวันทำร้ายคุณ! ผมรักคุณ ลิน…ผมรักคุณ...”
ขณะที่ทุกคนกำลังยื้อยุดเป็นที่ชุลมุนอยู่นั้น เสียงประตูห้องพระด้านบนดังขึ้น เห็นนลินเดินออกมาร้องตะโกนบอก
“พอได้แล้วค่ะ ทุกคน หยุดได้แล้ว”
พูดจบนลินก็กระอักเลือดออกมา ร่างทรุดฮวบลงกับพื้น ทุกคนหันไปมองด้วยความตกใจ
“ลิน” / “คุณหนู”
ตฤณฤทธิ์อุ้มนลินไปวางลงที่เตียง โดยมีชลันตีและกวิตามองอยู่ด้วยความเป็นห่วง ตฤณฤทธิ์หลีกทางให้นวลเอาผ้าและชุบน้ำมาเช็ดเลือดให้กับนลิน เขาเดินเข้ามาหาชลันตีและพูดขึ้น
“ผมว่าพาลินไปหาหมอดีกว่านะครับ”
“หมอช่วยอะไรลินไม่ได้หรอก”
“แล้วเราจะปล่อยให้ลินทรมานอยู่อย่างนี้เหรอครับ”
ชลันตีหันมองตฤณฤทธิ์ด้วยสายตาตำหนิ
“เพราะคุณนั่นแหละที่ทำให้ลินต้องเป็นแบบนี้”
ตฤณฤทธิ์อึ้งไป กวิตามองสงสารก่อนจะอธิบายให้ฟัง
“ก่อนที่คุณจะมา ยัยลินกำลังทำสมาธิอยู่ในห้องพระเพื่อระงับอาการป่วยอยู่น่ะค่ะ”
ชลันตีมองตฤณฤทธิ์อย่างโมโห “เป็นเพราะคุณเข้ามาก่อความวุ่นวาย ทำลายพิธี ทำลายสมาธิ จากที่อาการไม่หนักถึงต้องเจ็บหนักขนาดนี้”
ตฤณฤทธิ์รู้สึกผิด “ขอโทษครับ ผมไม่รู้จริงๆ”
ชลันตีมองท่าทีตฤณฤทธิ์แล้วก็อดสงสารไม่ได้
“เอาล่ะๆ ยังไงตอนนี้เราก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คงต้องรอให้ถึงวันโกนครั้งต่อไป ลินก็จะหายทรมาน”
ตฤณฤทธิ์นิ่งฟัง แล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนเขาเข้าไปกระตุกซากหมาออกจากกระสือนลิน ตฤณฤทธิ์มองนลินด้วยความสงสารและรู้สึกผิดเต็มประตู
ชลันตีและตฤณฤทธิ์เดินคุยกันออกมาหน้าบ้าน
“คุณช่วยเก็บเรื่องของลินไว้เป็นความลับได้ไหม คุณตฤณ”
“ป้าตีเชื่อใจผมได้เลยครับ ผมไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับใครแน่นอน”
“ก็ดีค่ะ เพราะถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ลินอาจจะเป็นอันตรายได้ สิ่งที่คุณสามารถช่วยลินได้ในตอนนี้ก็มีเพียงเท่านี้”
“ไม่มีวิธีแก้เหรอครับ”
“ถ้ามีทางแก้ ต้นตระกูลเราคงหาทางได้นานแล้ว”
ตฤณฤทธิ์ยิ่งเสียใจ “ขอโทษนะครับป้าตี ผมมีเรื่องข้องใจอีกเรื่องที่อยากจะถาม”
“ถามมาได้เลยค่ะ ป้าไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังคุณแล้ว”
“สาเหตุที่นายพีทตาย เป็นฝีมือนลินหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ เพราะวันที่นายพนิชตายไม่ใช่วันนั้น”
ตฤณฤทธิ์พยักหน้าเข้าใจ ชลันตีหยุดเดินเมื่อใกล้ถึงหน้าประตูรั้วและพูดขึ้น
“ฉันส่งคุณแค่นี้นะคุณตฤณ”
“ไม่ต้องห่วงครับป้าตี รีบกลับเข้าไปดูแลลินเถอะครับ”
ชลันตียิ้มและพยักหน้าให้ตฤณฤทธิ์ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
ตฤณฤทธิ์มองขึ้นไปที่หน้าต่างชั้นบนของบ้านอย่างรู้สึกเป็นห่วงใครคนนั้นเหลือเกิน
ท้องฟ้าเหนือบ้านพลเพิ่มคืนนี้มืดครึ้มดูน่ากลัว ปัณรีกำลังนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง
ที่แขนมีกำไลข้อมือสวมอยู่ จู่ๆกำไลข้อมือนั้นก็เกิดเรืองแสงขึ้นอย่างประหลาด แสงค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ จนสว่างจ้า
ข้อมือปัณรีเริ่มมีเส้นสีดำคล้ายเส้นเลือดดำชัดขึ้น เส้นนั้นเริ่มยาวออกไปจนดูเหมือนไหลขึ้นไปหาต้นแขน และเลยมาที่หัวไหล่กระทั่งไปที่คอของปัณรี
ปัณรีเริ่มดิ้นทุรนทุราย สองมือของเธอยกขึ้นมาตะปบเข้าที่คอตนเอง กระทั่งปรากฏเส้นสีแดงรอบคอของปัณรี
ปัณรีรู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างเห็นได้ชัด จนสุดท้ายทนไม่ไหวกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น
พลเพิ่มนอนหลับอยู่บนเตียง เสียงปัณรีกรีดร้องดังเข้ามา ปลุกให้เขาสะดุ้งตื่นอย่างตกใจ
“ปัณ”
ปัณรียังคงหลับตานอนดิ้นอย่างทุรนทุรายอยู่บนเตียง มือจับอยู่ที่คอตัวเองตลอดเวลา พลเพิ่มเปิดประตูเข้ามาร้องถามอย่างเป็นห่วง
“ปัณ ปัณเป็นอะไร ปัณ”
พลเพิ่มปรี่เข้ามานั่งข้างเตียงจับไหล่ปัณรีเขย่าปลุก
“ปัณ ปัณตื่น ปัณ”
ปัณรีเริ่มรู้สึกตัว เธอลืมตาตื่นลุกขึ้นนั่งแต่สองมือยังคงกุมที่คอไม่ยอมปล่อยถามเสียงแหบแห้ง
“พี่พล...”
“ฝันอะไรฮึ ทำไมถึงได้ร้องลั่นขนาดนี้ ทำเอาพี่ตกใจหมด”
ปัณรีกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก
“พี่พล ปัณหิวน้ำ”
พลเพิ่มขยับไปรินน้ำที่โต๊ะข้างเตียงมาส่งให้ ปัณรีรับไปดื่มอย่างกระหาย
“โตจนป่านนี้ยังจะนอนละเมออีก ยัยเด็กขี้เซา”
พลเพิ่มมองปัณรีดื่มน้ำอย่างหิวกระหาย จนสายตาไปสะดุดกับรอยสีแดงรอบคอปัณรี
“ปัณไปแพ้อะไรมาน่ะ”
ปัณรีมองพลเพิ่มด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ก็รอยสีแดงๆ ที่คอไง ดูสิเป็นเส้นรอบคอเลย ไปโดนอะไรมา”
ปัณรีจับดูที่คออย่างตกใจ
“รอยสีแดง รอบคอเลยเหรอพี่พล”
“ใช่”
ปัณรีตกใจกระโดดลงเตียง ตรงไปที่หน้ากระจกจับดูที่คอเห็นเส้นสีแดงรอบคอ ก็ตกใจ
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าส่องแสงเรื่อเรือง ผสานเสียงไก่ขันยามเช้า นวลเปิดประตูบ้านถือตะกร้าหวายเดินออกมาเตรียมไปตลาด บ่นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่รู้ว่าวันนี้คุณลินจะกินอะไรได้บ้างไหม เฮ้อ...”
นวลถอนหายใจ กระทั่งเดินมาจนถึงม้านั่งหน้าเรือน กับตกใจร้องลั่น
“คุณตฤณ! ทำไมถึงมานอนตรงนี้คะ”
ตฤณฤทธิ์งัวเงียตื่นขึ้นมา เห็นนวล
“ลินเป็นยังไงบ้างครับ ป้านวล”
ที่บ้านกำนันสิน บุรัณย์ตื่นสักพักแล้ว เขาเดินมาที่หน้าห้องพักมธุรส กำลังจะเคาะประตูเรียก แต่มธุรสเปิดประตูออกมาพอดี
“อ้าว! รัน มาแต่เช้าเลย จะมาตามไปกินข้าวเช้าใช่ไหม”
“อืม...ว่าจะคุยกับรสเรื่องพี่ตฤณด้วย”
มธุรสมองฉงน “เรื่องพี่ตฤณ”
“รสเชื่อจริงๆ หรือว่าพี่ตฤณจะฆ่าหมาได้”
“แต่พี่ตฤณบอกว่าหมามันกัดกัน”
“ถ้าหมากัดกันจริง มันจะถึงขั้นฆ่ากันตายเชียวเหรอ”
มธุรสอึ้งไป มองบุรัณย์นิ่ง ท่าทีเหมือนเริ่มคล้อยตาม
“แล้วรันคิดว่ายังไง”
“เราว่า พี่ตฤณต้องโกหกเรื่องสาเหตุที่หมาตาย”
“รัณคิดว่าเป็นฝีมือกระสืองั้นเหรอ”
“ก็อาจเป็นไปได้”
“แล้วพี่ตฤณจะโกหกเราทำไม รสว่าเราไปถามพี่ตฤณตรงๆ เลยดีกว่า”
มธุรสทนไม่ได้จะเดินไปถามที่ห้องพักของตฤณฤทธิ์ บุรัณย์คว้าแขนมธุรสไว้
“เดี๋ยวรส พี่ตฤณไม่ได้อยู่ที่ห้อง”
มธุรสแปลกใจ “ไปไหนแต่เช้า”
“พี่ตฤณแอบออกไปบ้านคุณลินตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว ยังไม่กลับเลย”
“ทำไมต้องแอบออกไปด้วย”
“เราถึงว่ามันแปลกไง แล้วถ้าพวกเราไปถามพี่ตฤณ รสคิดว่าพี่ตฤณจะพูดความจริงกับพวกเราหรือเปล่า พี่ตฤณน่าจะมีอะไรปิดบังพวกเราอยู่แน่ๆ”
สีหน้ามธุรสเต็มไปด้วยความสงสัย
อ่านต่อตอนที่19