xs
xsm
sm
md
lg

สาปกระสือ ตอนที่14 ที่แท้สาวิตราณีกับสิงหลมีลูกด้วยกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สาปกระสือ ตอนที่14 ที่แท้สาวิตราณีกับสิงหลมีลูกด้วยกัน

บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์

ที่กรมศิลป์วันนี้ ขณะที่คนอื่นๆ ก้มหน้าทำงานใครมันกันอยู่ อชินีกำลังนั่งอาเจียนอยู่ที่ข้างโต๊ะ มีถังขยะเล็กๆ รอง แคทเดินกลับเข้ามาเห็นก็ตกใจปรี่เข้ามาดู

“อุ้ม เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”
แคทช่วยลูบหลังให้ อชินีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างหมดแรง เอามือแตะที่หน้าอกแล้วหายใจเข้าลึกๆ
“ไม่รู้เป็นอะไร ช่วงนี้มันมึนๆหัว อยากอ้วกอย่างเดียวเลย สงสัยคงจะเครียด”
แคทรีบหยิบกระดาษชำระยื่นให้อชินีเช็ดหน้า
“ท่านรองตามหาแกอยู่ ให้ฉันไปบอกมั้ยว่าแกไม่สบาย”
อชินีมองสงสัย “ตามหาฉัน...มีอะไรเหรอ”

กวิตาซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามรองปราโมทย์ในห้องทำงานท่าน ถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ท่านรองจะส่งใครไปแทนลินคะ”
ปราโมทย์กำลังจะตอบ แต่มีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้นก่อน
“เข้ามาเลย”
ประตูเปิดเข้ามาโดยอชินี เธอยกมือไหว้รองปราโมทย์ สีหน้ากวิตาเหวอๆ ไป
“อชินีเหรอคะ”
ปราโมทย์บอกกับอชินีว่า “เชิญนั่งก่อน”
อชินีลงนั่งข้างๆ กวิตา ด้วยสีหน้างุนงง “มีอะไรให้อุ้มช่วยเหรอคะ”
“ผมจะให้คุณไปช่วยแทนนลินพรุ่งนี้ คุณสะดวกหรือเปล่า”
อชินีตกใจ “พรุ่งนี้เลยเหรอคะ อุ้มกลัวจะเตรียมตัวไม่ทัน”
ปราโมทย์ถอนหายใจ “เอาตรงๆนะ ตอนนี้ไม่มีใครที่พอจะส่งไปช่วยได้เลย ยังไงคุณช่วยประสานงานไปก่อนได้ไหม เดี๋ยวผมจะหาคนเข้าไปเสริมอีกที”
กวิตาพูดเหน็บอชินี “เพื่อหน่วยงานแล้วต้าเป็นมืออาชีพพอค่ะ จะร่วมงานกับใครได้หมดอยู่แล้ว”
“อุ้มก็ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะต้าคงทำคนเดียวไม่ไหวแน่ ถ้างานเกิดหลุดขึ้นมา จะเสียชื่อหน่วยงานเราได้”
ตอนท้ายอชินีปรายตามองสาวคู่ปรับด้วย กวิตามองหน่ายๆ
“เอาละ งั้นวันนี้พวกคุณกลับไปเตรียมตัวเดินทางกันได้เลย”
สองสาวยกมือไหว้ลารองปราโมทย์ แล้วลุกเดินออกไป

อีกฟากหนึ่ง อาจารย์ฌานกำลังสวดทำพิธีไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หน้ากำแพงปราสาทอนันตาปุระ แต่แล้วจู่ๆ เกิดลมพัดแรงเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจ ฌานมองไปรอบๆ มาหยุดที่กำแพงมองจ้องอย่างใช้ความคิด
พลเพิ่มลองใช้ไม้เคาะดู เอากำปั้นทุบๆก้อนอิฐ แล้วลองฟังเสียง
“เหมือนมีเสียงสะท้อนมาจากข้างใน”
ฌานมองผ่านรูตรงกำแพงเข้าไป สีหน้าเหมือนเห็นอะไรบางอย่างในนั้น
ฌาณเดินเข้ามาใกล้ๆ เอามือซ้ายแตะที่กำแพงแล้วทำปากขมุบขมิบสวดใส่มือขวาที่ถือเกลืออยู่ ก่อนจะเอาเกลือสาดใส่กำแพง แล้วเพ่งมองอีกครั้ง คราวนี้จอมอาคมมีสีหน้าแปลกใจ
“อักขระโบราณ...”
ที่กำแพงเห็นรอยอักขระตัวหนังสือโบราณแกะสลักอยู่บนนั้น มีแสงเรืองรองอยู่รอบๆ
พลเพิ่มมองตามแล้วหันไปหาฌานเชิงหารือ
“มันหมายความว่าอะไร”
“ผมอ่านไม่ออก ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาถอด แต่คิดว่าน่าจะเป็นยันต์สะกดอะไรสักอย่าง”
พลเพิ่มเอามือถือขึ้นมาถ่ายภาพตัวอักขระไว้ ก่อนจะมองลอดเข้าไปในรูโหว่นั้นเพื่อดูว่าข้างในมีอะไร
“ไม่เห็นมีอะไร ข้างในมืดไปหมด”
แต่อยู่ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหว มันสะเทือนรุนแรงถึงกับทำให้หินก้อนหนึ่งตกกระเด็นใส่หัวพลเพิ่มเต็มแรง นักการเมืองหนุ่มล้มลงไปกับพื้น
ทุกคนมองตะลึง ตกใจทั้งแถบ
“ท่าน”
ฌาณปราดเข้าไปดูพบว่าพลเพิ่มหมดสติไปแล้ว และไม่รู้ว่าร่างไร้สตินั้นดำดิ่งสู่อดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน

มันเป็นเหตุการณ์ภายหลังจากที่สาวิตราณีถูกประหารตายไปแล้ว
ทหารได้ช่วยกันก่ออิฐปิดผนังกำแพงคุก ซึ่งใกล้จะสำเร็จแล้ว โดยมีองค์อนันตราชยืนสั่งการด้วยสีหน้าอันโกรธแค้น
“จงก่ออิฐปิดทับสองชั้น อย่าให้มันได้เห็นเดือนเห็นตะวันดวงเดียวกันกับข้าให้มันทุกข์ทรมานจนมิอยากจะหายใจ”
เสียงสิงหลที่อยู่ในคุกด้านในกำแพงร้องเรียกหาสาวิตราณีด้วยความเจ็บปวดปานจะขาดใจ
“สาวิตราณี ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ”
“ไอ้อีผู้ใดหักหลังกู จะต้องมีจุดจบน่าสังเวชอย่างพวกมึง”
อนันตราชมองไปรอบๆ เพื่อประกาศให้ทุกคนเกรงกลัวไม่กล้าทำตาม
ทุกคนต่างไม่กล้าสบตา อนันตราชหันมองไปที่คุกหลังกำแพงอย่างเคียดแค้น
“มึงจะต้องเจ็บปวดกว่ากูเป็นร้อยเท่า พันทวี มึงจงอยู่กับความทุกข์ที่มึงเป็นผู้ก่อเถิดไอ้สิงหล”
อนันตราชหัวเราะอย่างสะใจ
พราหมณ์หลวงซึ่งก็คืออาจารย์ฌาณในโลกปัจจุบัน กราบทูลกับองค์เหนือหัวว่า
“พวกมันจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสาสมพระเจ้าข้า”
“มึงจะไม่มีวันได้ครองคู่สมหวัง ไม่ว่าภพใด ชาติใด”
อนันตราชหัวเราะเสียงดังกึกก้องด้วยความสะใจ

ในห้องขังอันมืดทึมทึบ สิงหลถูกจองจำอยู่ในนั้น เขาตะโกนก้องตอบโต้ออกมาด้วยความโกรธแค้น
“มึงไม่เคยรู้จักรักแท้ และไม่มีวันใดที่มึงจะได้รู้จัก กูขอให้มึงทนทุกข์อย่างโดดเดี่ยวไปชั่วกัปชั่วกัลป์ กูเจ็บปวดเช่นใด มึงต้องเจ็บปวดเช่นนั้น”
อนันตราชเดินอยู่ที่กำแพงชั้นนอกได้ยิน หัวเราะเยาะอย่างเหี้ยมเกรียม
“เช่นนั้นมึงจงอยู่กับรักแท้ของมึงเถิดสิงหล รักแท้ที่แลกมาด้วยความเจ็บปวด มึงต้องทุกข์ทรมานตรอมใจจนกว่าชีวิตจะหาไม่” อนันตราชสั่งการกับพราหมณ์ “ทำยันต์สะกดมันไว้ที่กำแพง ให้มันอยู่ในนี้ไปชั่วกับชั่วกัลป์”
พราหมณ์รับเอาคำเสียงเข้ม “พระเจ้าข้า”
สิงหลแค่นหัวเราะน้ำเสียงแข็งกร้าว “กูมิเคยกลัวความตายที่อยู่ตรงหน้า มิเคยสิ้นศรัทธาในความดี ต่อให้มึงเผาร่างกูเป็นผงธุลี มึงก็มิอาจแยกความรักของกูกับสาวิตราณีได้ ไม่ว่าจะภพใดชาติใด กูกับสาวิตราณีจะตามไปครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป”
สิงหลเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยี่หระต่อความตาย
อนันตราชโกรธจนตัวสั่นเอามือต่อยที่กำแพง มือเป็นแผลมีเลือดออก อนันตราชประกาศกึกก้อง
“เลือดนี้ กูขอหลั่งเพื่อสาปแช่ง ให้ลูกหลานผู้สืบสันดานของพวกมึง พบชะตากรรมเดียวกับพวกมึงตลอดไป”
เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังเปรี้ยงขึ้น
เด็กทารกน้อยลูกของสิงหลกับสาวิตราณี ร้องไห้จ้า ราวกับรับรู้ถึงคำสาปแช่งนั้น

ทางด้านตฤณฤทธิ์นั่งทำงานกับโน้ตบุ๊คอยู่ที่โต๊ะสนามใต้ต้นไม้ในสวนสวยบ้านกำนันสิน
ภาพบนจอโน้ตบุ๊คเป็นภาพข้าวของโบราณวัตถุที่ขุดพบจากปราสาทอนันตาปุระ
ตฤณฤทธิ์คลิกดูภาพไปเรื่อยๆ จนถึงภาพกำแพง มีเสียงดังขึ้น
“พี่ตฤณดูเครียดจังเลยนะคะ”
ตฤณฤทธิ์พยายามปิดภาพนั้นแต่ก็ปิดไม่ได้ แถมจอคอมค้างไปดื้อ เขาเลยตัดสินใจปิดจอลง
ปัณรีโผล่หน้าเข้ามาใกล้ๆ จนตฤณฤทธิ์ตกใจ
“อ้าว...คุณปัณ”
“พี่ตฤณทำอะไรอยู่คะ”
“พอดีทำข้อมูลแล้วคอมมีปัญหานิดหน่อย คุณปัณมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“งั้นเอาคอมไปเช็คดูในเมืองไหมคะ พอดีปันอยากจะชวนพี่ตฤณไปหาอะไรกินในเมืองด้วย”
ตฤณฤทธิ์อึกอัก “อืม...มันแค่ค้าง เดี๋ยวก็คงหาย”
ปัณรีเข้ามาจับแขนตฤณพูดออดอ้อน “งั้นพาปันไปหาอะไรกินในเมืองหน่อยนะคะ พี่พลก็มัวแต่ทำงาน ปันไม่รู้จะไปชวนใครแล้วค่ะ”
ตฤณฤทธิ์อึกอักอยู่อย่างนั้น “แต่คุณพ่อกับคุณแม่...”
ปัณรีตัดบท “ปันชวนแล้วค่ะ ท่านบอกให้เราไปกันได้เลย จะได้ซื้อของอร่อยๆ มาฝากท่านด้วยเลยไงคะ”
ตฤณฤทธิ์จำใจ “งั้นเดี๋ยวพี่เอาของเข้าไปเก็บก่อนนะครับ”
ปัณรียิ้มหน้าบานสุขใจ

นลินกับชลันตีเดินออกมาจากสำนักงานที่ดินจังหวัด สองป้าหลานทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดินคุยกันที่ลานจอดรถหน้าสำนักงานที่ดิน
“เรียบร้อยสักทีนะลูก ต่อไปนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เป็นของลินอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ลินจะทำอะไรกับทรัพย์สินพวกนั้นก็ได้”
นลินมีสีหน้าอึดอัด เหมือนไม่อยากได้ “ที่จริงป้าตีควรจะเก็บไว้บ้างนะคะ ลินไม่รู้จะเอาสมบัติมากมายไปทำอะไรเหมือนกัน”
“ลินอยากใช้อะไรก็ใช้ไปเถอะ เท่าที่คุณยายของลินให้ป้ามาก็มากมายเกินพอแล้ว”
“ป้าตีไปเที่ยวพักผ่อนบ้างก็ดีนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงลินหรอกค่ะ”
ชลันตียิ้มรับ “ลินจะไปไหนอีกไหม แวะซื้ออะไรหรือเปล่า”
“เดี๋ยวลินขอแวะธนาคาร และกะว่าจะซื้อของใช้นิดหน่อยค่ะ”
ทั้งคู่เดินขึ้นรถออกไปด้วยกัน โดยนลินเป็นคนขับ

ตฤณฤทธิ์และปัณรีเดินซื้อของด้วยกัน ปัณรีมีสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุขเหลือแสน ขณะที่ตฤณฤทธิ์ช่วยถือของให้ราวกับเป็นคู่รักกันกระนั้น
นลินขับรถผ่านมาเห็นเข้าพอดี รีบหลบไม่ให้ทั้งคู่เห็น สีหน้านลินหมองเศร้าดูออกว่าเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ในใจ

ด้านพนิชนอนเอามือก่ายหน้าผากนอนอยู่บนเตียงในห้องพักบ้านกำนันสิน กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก มีเสียงเคาะประตูดังรัวๆ พนิชทำเสียงรำคาญก่อนจะลุกไปเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นใครก็มีสีหน้าตกใจ
เป็นโฉมศรียืนหน้าถมึงทึงอยู่หน้าห้อง
“แทนที่จะเอาเวลาไปคิดแผนจับนังนลิน แล้วนี่อะไรมุดหัวอยู่แต่ในห้อง”
“ผมขอเวลาหน่อยนะครับ วันนั้นไปซุ่มรอทั้งคืนก็ยังไม่เจออะไรเลย”
“อย่าให้นานล่ะ เสียเวลา เปลืองค่าน้ำค่าไฟ”
“ครับ อีกไม่นานหรอกคุณนายได้หน้าแน่ๆ”
โฉมศรีมองค้อน “ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ”
“คุณนายครับผมขอถามอะไรหน่อยสิ กำนันกับคุณพลเพิ่มรู้จักกันมานานแล้วเหรอ”
โฉมศรีมองสงสัย “เกี่ยวอะไรกับผัวฉันล่ะ”
“ผมก็แค่หาข้อมูลไว้ เห็นคุณพลเพิ่มไปที่บ้านลิน จะได้รู้ที่ไปที่มาแค่นั้นเอง”
“อ้อ...แล้วไป พี่กำนันกับคุณพลเพิ่มรู้จักกันมานานแล้ว” คุณนายโม้ใหญ่ “ถ้าไม่มีพี่กำนันคุณพลเพิ่มก็ไม่มีทางได้ตำแหน่งมาได้หรอก”
พนิชหลอกถามหาข้อมูล “อย่างนี้กำนันกับคุณพลเพิ่มก็ทำธุรกิจร่วมกันด้วยใช่ไหมครับ”
โฉมศรีไม่รู้เรื่องธุรกิจที่กำนันกับพลเพิ่มแอบทำ จึงมองพนิชงงๆ
“ธุรกิจอะไร...ไม่มี แค่ช่วยชาวบ้านก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว”
พนิชกลอกตาไปมาอย่างมีแผนชั่วในใจ

ฝ่ายพลเพิ่มค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจากสลบ มองไปรอบๆ เต็นท์อย่างสงสัย ก่อนจะลุกขึ้นนั่งท่าทางงงๆ ฌาณเดินถือน้ำเข้ามาให้
“ตื่นแล้วเหรอครับ สลบไปนานดื่มน้ำหน่อยนะท่าน”
พลเพิ่มรับน้ำมาดื่ม แล้วจับที่หัว ตรงที่หินหล่นใส่ท่าทางเจ็บ
“ดีที่หัวไม่แตก ผมทายาให้แล้ว เดี๋ยวคงดีขึ้น”
พลเพิ่มงงไม่หาย “ผมฝันแปลกๆ มันเหมือนจริงมาก”
“ฝันว่าอะไรครับ”
“ฝันเกี่ยวกับกำแพง ที่นั่นมันต้องมีอะไรแน่ๆ โดยเฉพาะตัวอักขระโบราณ”
ฌาณคิดตาม “มันน่าจะเป็นอักขระสะกดอะไรสักอย่าง”
“หรือข้างในจะเป็นสมบัติล้ำค่า ทำยังไงถึงจะหาเจอ”
ฌาณส่ายหน้า “กำแพงนั่นคงจะมีมนต์บังตาอยู่โดยผู้มีอาคมแก่กล้า ต้องหาคนมาถอดอักขระให้ได้ก่อน ถึงจะเปิดกำบังตาได้”
พลเพิ่มสีหน้าครุ่นคิดสงสัย

กรุงเทพฯ ยามเช้า
อชีนีเดินไปเดินมาอยู่ที่ลานจอดรถกรมศิลป์ ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย มองหาใครบางคน สลับกับมองดูนาฬิกาด้วยท่าทางหงุดหงิด สักครู่ใหญ่เธอขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นกวิตาเดินถือข้าวของพะรุงพะรังตรงมาหา
“กว่าจะมาได้นะยะ”
กวิตายิ้มแห้งๆ “ขอโทษ พอดีหาแท็กซี่ออกมาเกือบไม่ได้ เลยเวลาไปสิบห้านาทีเองอย่าซีเรียสเลย”
“ผีโฮโซอะไรเข้าสิงล่ะ ปกติก็เห็นนั่งรถเมล์มานี่” อชินีหมั่นไส้ ไปสะดุดตากับกล่องใส่กระเป๋าแบรนด์เนมที่กวิตาถือมาด้วย “แล้วนี่อะไร ไปเก็บกล่องกระเป๋าใครมาถือยะ”
กวิตาอวด “ไม่ใช่แค่กล่อง ข้างในมีกระเป๋าด้วยจ้ะ”
อชินีมองดูแคลน ไม่เชื่อ “งานมิเรอร์ล่ะซิ”
กวิตาชักโมโห อ้าปากจะด่า อชินีขัดขึ้นก่อน
“ถ้าจะด่าอะไรก็ไปเองแล้วกัน”
อชินีเดินหนีขึ้นรถ สตาร์ตรถเสียงดัง แล้วขยับรถออกเหมือนจะทิ้งกวิตาไว้จริงๆ กวิตาตกใจ
“เฮ้ย...ยัยอุ้ม”
กวิตารีบวิ่งขึ้นรถแทบไม่ทัน อชินีเคลื่อนรถขับออกไป

ตฤณฤทธิ์ถือโน้ตบุ๊กเดินมาตามทางกำลังจะกลับห้องพัก สายตามองไปเห็นพนิชเข้า ตฤณฤทธิ์ฉากหลบแอบดู เห็นหลังพนิชไวๆ กำลังเดินมุ่งหน้าไปทางบ้านนลิน
ตฤณฤทธิ์มองสงสัยกลัวเกิดเรื่องกับนลิน

จังหวะนี้รถอชินีกำลังเลี้ยวเข้าบ้านกำนัน สวนกับพนิชที่เดินไปทางบ้านนลิน กวิตาเห็นพนิชจากด้านหลังไกลๆ
“ใครอะทำไมคุ้นๆ”
อชินีไม่ทันเห็น มัวแต่ดูทาง “อะไรของเธอต้า”
“เปล่าๆไม่มีอะไร” กวิตาชี้บอกทาง “เลี้ยวเข้าไปจอดตรงนั้นเลย”
อชินีถอนหายใจ “ถึงซะที”
กวิตามีสีหน้าสงสัยคาใจอยู่อย่างนั้น

พนิชยืนตะโกนโหวกเหวกเรียกนลินที่ประตูหน้าบ้าน
“ลิน...ลิน...ออกมาคุยกับผมหน่อย”
นวลได้ยินรีบวิ่งมาที่รั้วหน้าบ้าน เปิดประตูออกไปดู ตวาดด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“หยุด จะมาโวยวายอะไรตรงนี้”
“ป้าไปตามลินให้ผมหน่อย ผมมีเรื่องจะคุยกับลินจริงๆ”
เสียงชลันตีดังเข้ามา “ใครโวยวายอะไรนวล”
พนิชยิ้มแห้งๆ ยกมือไหว้ ชลันตีมองอย่างเย็นชาไม่รับไหว้
“มีอะไรมิทราบ”
“ผมมาตามลินครับ เรามีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ผมแค่อยากอธิบาย”
ชลันตีขึงตามองไม่พอใจ “กลับไปซะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก”
พนิชตื๊อไม่เลิก รีบเอารูปคู่เขากับนลินในมือถือยื่นให้ชลันตีกับนวลดู
“ผมเป็นแฟนลินจริงๆ ดูสิครับ ผมไม่ได้โกหกนะครับ”
นลินเดินออกมา
“เดี๋ยวลินคุยกับเขาเองค่ะ”
นวลกับชลันตีมองนลินอย่างแปลกใจ พนิชยิ้มกริ่ม

กำนันสินกับโฉมศรีเดินออกมาต้อนรับอชินีกับกวิตา สองสาวไหว้ทักทาย
“ยินดีต้อนรับนะครับคุณ”
อชินีแนะนำตัว “อชินีค่ะ หรือจะเรียกว่าอุ้มก็ได้นะคะ”
“พี่เตรียมห้องให้แล้วจ้ะ พักด้วยกันใช่ไหม” โฉมศรียิ้ม
“คนเดียวค่ะ ปล่อยให้ต้าเขาไปพักกับนลินเถอะค่ะ”
โฉมศรีบ่นบ้าเบาๆ “ไม่กลัวกระสือหรือไง”
กำนันสินได้ยิน ส่งสายตาปรามเมีย
อชินีมองสงสัย “กลัวอะไรนะคะ”
โฉมศรียิ้มกลบเกลื่อน “กลัว...กลัวตุ๊กแกค่ะตุ๊กแกเยอะ”
“ไม่เห็นเคยเจอเลย” กวิตาขอตัว “ต้าขอตัวไปบ้านลินนะคะ”
“งั้นตามสบาย มีอะไรก็บอกคุณนายเขาแล้วกันนะ”
โฉมศรีบอกกับอชินีว่า “เดี๋ยวเข้าไปเอากุญแจห้องให้ก่อนนะ”
อชินีพยักหน้ารับ กำนันสินกับโฉมศรีเดินเข้าบ้านไป
ขณะยืนรอ อชินีแกล้งทำเป็นพูดดีกับกวิตาเพราะอยากจะไปเห็นบ้านนลิน
“งั้นเดี๋ยวเราไปส่ง”
“ไม่เป็นไรอุ้ม เดี๋ยวเราเดินไปเอง” กวิตาหันไปเจอตฤณฤทธิ์พอดี “อ้าว อาจารย์ตฤณ สวัสดีค่ะ”
ตฤณฤทธิ์เดินเข้ามาถามกวิตา
“กำลังจะไปบ้านคุณลินเหรอครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“เดี๋ยวอุ้มไปส่งเองค่ะ จะได้ไปเจอลินด้วย ไม่ได้เจอกันนานละ”
กวิตามองอชินีอย่างระแวง

ทางด้านนลินเดินออกมานอกรั้วหน้าบ้าน นวลกับชลันตียืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ พนิชยิ้มพอใจจะเดินเข้ามาหา นลินบอกเสียงเข้มมองด้วยแววตาแข็งกร้าว
“หยุด ถ้ายังอยากจะคุยก็หยุดตรงนั้นแหละ”
พนิชชะงัก ไม่กล้าเข้าใกล้ ส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ “ลิน...เรากลับมาเหมือนเดิมไม่ได้เหรอลิน ทำไมลินเฉยชากับผมแบบนี้ ผมทรมานมากนะลินรู้ไหม”
“ต้องการอะไร เมื่อไหร่จะปล่อยฉันไปซะที แค่นี้ชีวิตฉันยังพังไม่พอหรือไง จะเอาอะไรอีก”
ชลันตีแทรกขึ้น บอกกับพนิชอย่างไม่พอใจ “เธอออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้นะ ที่ผ่านมาเธอทำร้ายหลานฉันมามากพอแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมให้เธอมาทำอะไรหลานฉันอีก”
ชลันตีมองจ้องพนิชด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
พนิชไม่สนใจถลาเข้าไปจับมือนลินมากุม “ลิน...มองผมสิ บอกทุกคนสิว่าเราเป็นอะไรกัน เราผ่านอะไรมาด้วยกันนะลิน ลินจะทิ้งผมไปอย่างนี้ไม่ได้นะ”
นลินสะบัดมือออกแล้วตะโกนใส่ “คุณมันก็แค่ความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน”
พนิชตื๊อไม่เลิก จับไหล่นลินตรึงไว้ ทำเป็นน้อยอกน้อยใจ
“ลินพูดอย่างนี้จะทิ้งผมไปจริงๆ เหรอ ลินมีคนใหม่แล้วใช่ไหม”
นลินพยายามสะบัดออก “ปล่อย!ปล่อยฉันนะ”
พนิชยื่นหน้ามาพูดข้างหูนลินเบาๆ “ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอเป็นคนขโมยทับทิมก็อยู่นิ่งๆไม่งั้นฉันจะพูดให้หมด”
นลินไม่กลัวสักน้อง แถมตะโกนท้าใส่หน้า “พูดไปเลย ถ้ามีหลักฐานก็พูด แต่ถ้าไม่มีฉันจะแจ้งตำรวจให้ดำเนินคดีกับคุณนะคุณพนิช”
พนิชอึ้งไปนึกไม่ถึง นลินมองพนิชด้วยสายตาโกรธแค้น
มีเสียงบีบแตรรถดังขึ้น ทุกคนต่างพากันหันไปมองที่รถ
อชินีมองดูเหตุการณ์จากในรถ และมีท่าทีฮึดฮัด บีบแตรใส่อยู่อย่างนั้น จนกวิตาอึ้งๆ แปลกใจว่าทำไมอชินีต้องโกรธขนาดนี้

ตฤณฤทธิ์กับมธุรสนั่งดูข้อมูลจากโน้ตบุ๊กที่ศาลาในสวนหน้าบ้านกำนันสิน มีปัณรีขนาบอีกข้าง ศันสนีย์มองดูลูกชายกับมธุรสแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพึงพอใจ สะกิดให้ดิษย์หันไปมองด้วย
ยินเสียงบีบแตรรถดังขึ้นติดๆ หลายๆ ครั้ง จนทุกคนตกใจ
ทุกคนออกมาที่หน้าบ้านกำนัน มองหาต้นเสียง บางวิ่งหอบแฮ่กๆ มารายงานกำนัน
“พ่อกำนันๆ มีเรื่องแล้ว ผัวเมียตีกันใหญ่เลยที่หน้าบ้านยายเพียร”
“ใคร นังชมพู่กับไอ้ผันเหรอ
“หลานยายเพียร” บางหยุดหอบ พูดไม่ไหว
ตฤณฤทธิ์ถามเบาอย่างร้อนใจ “ใครนะพูดใหม่ชิ”
“ก็คุณลินไงครับ”
ตฤณฤทธิ์ตกใจจะวิ่งออกไป ศันสนีย์ดึงแขนไว้ไม่ให้ไป
“ไม่ได้นะลูก เรื่องของผัวเมียให้เขาเคลียร์กันเอง เราไม่ใช่คนที่นี่อย่าไปยุ่ง”
“ผมต้องรีบไปช่วยคุณลินครับแม่”
มธุรสเห็นด้วย ออกตัวกับศันสนีย์ “รสว่าให้พี่ตฤณไปเถอะนะคะ บ้านนั้นมีแต่ผู้หญิง มีอะไรจะได้ช่วยกันทัน”
ปัณรีมองมธุรสเหมือนไม่ยอมแพ้ พูดเอาใจตฤณ “ปันเห็นด้วยกับที่คุณรสพูดค่ะ ให้พี่ตฤณไปเถอะนะคะ”
ศันสนีย์เสียงแข็ง “ไม่ได้ ตฤณต้องอยู่ที่นี่กับแม่ แม่จะไม่ยอมให้ตฤณไปเด็ดขาด”
นายพลดิษย์ดึงคุณหญิงศันสนีย์ไว้ “คุณหญิง ปล่อยลูกไปเถอะ คงไม่มีอะไรหรอกน่า”
“งั้นไปด้วยกันกับผม เดี๋ยวผมจัดการเอง” กำนันว่า
ตฤณฤทธิ์ร้อนใจไม่รอคำตอบ รีบวิ่งออกไปโดยไว
ทุกคนรีบวิ่งตามกันไปเป็นขบวน

นลินสะบัดพนิชออกแต่เขาไม่ยอมปล่อย ชลันตีเข้ามาช่วยดึงตัวนลิน นวลเข้ามาช่วยแกะมือพนิชออกจากนลินอย่างวุ่นวาย
“ปล่อย!มาจับผมทำไม ผมแค่มาคุยกับเมียผม”
ชลันตีตะโกนด่า “หยุดพูดพล่อยๆ ได้แล้ว ใครก็ได้ไปแจ้งตำรวจที”
กวิตาวิ่งลงมาจากรถแล้วตรงเข้าไปตีพนิชอย่างแรง
“ไอ้เลว แกทำเพื่อนฉัน”
ขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับแต่พนิชนั้น จู่ๆ อชินีก็กระโจนเข้ามาจิกหัวนลินแล้วกระชากลงไปนอนกองกับพื้น ก่อนจะขึ้นคร่อมตบหน้านลินไม่ยั้ง นลินสู้ยิบตาผลักอชินีออกเต็มแรง ร่างกระเด็นไป กวิตาโผนเข้ามาจิกผมอชินีจากด้านหลังให้หยุด
ตฤณฤทธิ์มาถึง วิ่งเข้ามาประคองลินให้ลุกขึ้นสภาพนลินผมเผ้ายุ่งเหยิงมีรอยตบที่แก้ม
อชินีไม่ยอมหยุด จะเข้าไปตบนลินอีก ตฤณฤทธิ์เข้ากันไว้ เลยโดนตบหน้าอย่างแรง ศันสนีย์โมโหเข้าไปผลักอชินีออก
“เธอทำอย่างนี้กับลูกฉันได้ยังไง”
ดิษย์ช่วยดึงศันสนีย์ออก “คุณหญิงใจเย็นๆก่อน”
กวิตาด่าอชินี “แกเป็นบ้าอะไรอุ้ม อยู่ๆก็วิ่งไล่กัดชาวบ้านไปทั่ว”
อชินีไม่ตอบมองไปยังพนิช ฝ่ายนั้นหลบตาวูบ
โดยไม่มีใครคาดคิด อชินีตรงเข้าไปตบหน้าพนิชฉาดใหญ่
“ที่แกหายหัวไปนี่ มาแอบกกนังนี่ใช่ไหม” อชินีปล่อยโฮ มองเอาเรื่องนลิน “แกก็เหมือนกันเมื่อไหร่จะเลิกยุ่งกับผัวฉันสักที อีหน้าด้าน”
นลินช็อกแล้วอึ้งไป คนอื่นๆ ก็อึ้งกันทั้งแถบ
นลินมองอชินีที มองพนิชที น้ำตาคลอ “ที่แท้พวกเธอ...”
กวิตาถึงบางอ้อ ด่าอชินีกับพนิชเสียงดังลั่น “เลวจริงๆ แอบไปคบกันแล้วยังจะมาหาเรื่องลินอีก”
“จะโทษผมคนเดียวก็ไม่ได้นะ ลินเองก็แอบมีชู้ตั้งแต่ยังไม่เลิกกับผม แล้วมาทำเป็นใสซื่อ ไหนๆก็ไหนๆแล้วเปิดตัวชู้รักเลยแล้วกัน” พนิชพาลใส่ตฤณฤทธิ์ “ว่าไงคุณ”
ทุกคนตกใจ โดยเฉพาะคุณหญิงศันสนีย์
“ผมกับคุณลินไม่เคยทำอะไรเสียหาย คุณอย่ามาใส่ร้ายคุณลินนะ”
พนิชพูดลอยหน้าใส่ตฤณฤทธิ์ “ไปหากันถึงในบ้าน เข้านอกออกในกันไปกี่รอบแล้วล่ะ”
ตฤณฤทธิ์โมโหต่อยเข้าที่หน้าพนิชอย่างแรง จนพนิชร่วงลงไปนอนกองที่พื้นเหมือนสลบไป
ทุกคนยกเว้นอชินีร้องและมองด้วยความสะใจ

ทุกคนต่างรอฟังว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอะไรเป็นอะไร กำนันสินหันไปถามนลิน
“เรื่องมันเป็นมาอย่างไง”
“ลินกับพนิชเราเลิกกันนานแล้วค่ะ”
“ต้าเป็นพยานได้นะคะว่าลินไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้พีทเลย มีแต่มันที่หาแต่เรื่องมาให้ลิน”
“พวกเธอเป็นเพื่อนกันจะพูดยังไงก็ได้นี่ ถ้าผู้หญิงไม่ร่านพีทจะตามมาถูกได้ไงหา” อชินีเถียง
กวิตาโมโห “คำก็ร่านสองคำก็ร่าน แล้วอย่างเธอเรียกอะไร ซุปเปอร์ร่านเหรออุ้ม รู้ทั้งรู้ไอ้พีทมันเป็นแฟนลินเธอยังจะเอาเลย”
อชินีจะถลาเข้าใส่กวิตาอีก กำนันสินรีบปราม
“โอเคๆ เงียบๆ เดี๋ยวต้องรอให้ต้นเรื่องฟื้นก่อนจะได้ถามเอาความจริง”
ตฤณฤทธิ์เอ่ยขึ้นว่า “ผมว่าควรถามคุณลินมากกว่านะครับว่าจะเอาเรื่องไหม เพราะทุกครั้งที่ผมเห็นก็มีแต่นายพนิชมาตามตอแยคุณลินมากกว่า และคุณลินก็เป็นฝ่ายเสียหายด้วย”
นลินมองอชินีอย่างคาดโทษ “ครั้งนี้ลินจะถือว่าเราเคยร่วมงานกันมาก่อน ลินไม่ติดใจเอาความค่ะ แต่ถ้ามีอีก ลินคงต้องดำเนินคดีตามกฏหมายเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
กวิตามองเยาะอชินี
ที่แท้พนิชยังมีสติ ชายชั่วต้นเหตุของเรื่องค่อยๆ ลืมตาประเมินเหตุการณ์ แล้วแกล้งสลบต่อ

ในเวลาต่อมา ที่โถงรับแขกชั้นช่างของบ้านยายเพียร ปัณรีช่วยทำแผลให้นลิน พยายามตีสนิท พูดอย่างคนหวังดีเต็มที่
“ที่จริงคุณลินน่าจะเอาเรื่องคนพวกนั้นให้เข็ด จะได้ไม้กล้ามายุ่งกับคุณลินอีกไงคะ”
“ลินไม่อยากให้มันเป็นเรื่องค่ะ”
กวิตาหงุดหงิด “ลินก็อย่างนี้แหละ เห็นใจคนอื่นไปทั่ว”
“คุณลินนี่จิตใจดีจริงๆเลยนะคะ พี่พลนี่ตาถึงจริงๆ”
กวิตามองปัณรีแปลกๆว่าไปสนิทกับนลินตั้งแต่ตอนไหน
ชลันตีบอกกับนลินว่า “ป้าว่าเจอเรื่องวุ่นวายมาทั้งวันแล้ว ไปพักหน่อยก็ดีนะลิน”
กวิตาเห็นด้วย และโมโหอชินีขึ้นมาอีก “ลินแกไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันเอาน้ำแข็งไปประคบหน้าให้จะได้ไม่บวม พูดแล้วยังเจ็บใจนังอุ้มไม่หายนะลิน”
นลินปราม “ช่างเถอะต้า ใครผิดแกก็น่าจะรู้ดี อุ้มก็คงโดนหลอกเหมือนกัน”
“งั้นปันขอตัวกลับก่อนนะคะ คุณลินจะได้พัก”
นลินยิ้มรับ ปัณรียกมือไหว้ชลันตีแล้วเดินออกไป กวิตามองตามอย่างสงสัย รอจนฝ่ายนั้นลับตัวไปจึงหันมาถามนลิน
“แกไปสนิทกับยัยคุณปันนี่ตั้งแต่ตอนไหน”
“ไหนแกบอกจะให้ฉันไปพักไง แล้วนี่มานั่งถามอะไรเนี่ย” นลินตัดบทไม่อยากคุย
“โอเค งั้นไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันไปด้วย ขอตัวนะคะป้าตี”
“ตามสบายจ้ะ”
กวิตากับนลินเดินขึ้นห้องไป

อีกฝ่าย ศันสนีย์ดึงตฤณฤทธิ์กับมธุรสมาคุย ตรงมุมหนึ่งข้างเรือนใหญ่บ้านกำนันสิน
“ไปเก็บของนะลูกแล้วกลับบ้านกับแม่ ที่นี่มันอันตรายเกินไป”
“คุณแม่กลับไปก่อนเถอะครับ ผมยังต้องอยู่ทำงานให้เสร็จก่อน ส่วนรสก็แล้วแต่เขา อย่าไปบังคับเลยครับ”
“ตฤณ นี่แม่เป็นห่วงลูกนะ อยู่ที่นี่มันอันตราย ไหนจะไอ้ที่มีเรื่องกันอีก ถ้ามันไม่ยอมแล้วแอบมาทำร้ายลูก แม่จะทำยังไง” คุณหญิงมองหน้ามธุรสเชิงขอร้อง “กลับเถอะนะลูก”
มธุรสจับมือศันสนีย์ปลอบ “คุณหญิงป้าไม่ต้องกังวลไปนะคะ พวกเราดูแลตัวเองได้ค่ะ”
นายพลดิษย์เดินเข้ามา ศันสนีย์รีบดึงสามีเข้ามาให้ช่วย
“คุณมาก็ดีละ ช่วยพูดกับลูกทีว่าให้กลับไปพร้อมกันกับเรา”
“ไม่...ผมไม่ได้มาบังคับลูก ผมแค่มาดูว่าลูกอยู่ยังไง”
“คุณนี่ก็อีกคน” ศันสนีย์มองไม่พอใจ
“คุณเองก็ควรให้พื้นที่ลูกบ้าง ไหนบอกจะมาดูความเป็นอยู่ลูกแล้วก็กลับไงคุณหญิง แล้วนี่อะไรกัน”
“คุณไม่เห็นเหรอ ไอ้นั่นมันประกาศปาวๆว่าลูกเราเป็นชู้กับเมียมัน ขืนอยู่ต่อมีหวังมีเรื่องกันอีกแน่ๆ”
“คนเรามันก็ต้องมีบาดแผลกันบ้าง ชีวิตก็แบบนี้แหละมีทั้งสุขและอุปสรรค ตอนผมจีบคุณยังมีอุปสรรคเลยจำไม่ได้เหรอ”
“มันไม่เหมือนกัน” ศันสนีย์ซักฟอกลูกชายอีก “แล้วที่มันบอกว่าตฤณไปหาเมียเขาถึงบ้านจริงหรือเปล่าลูก แล้วที่โดนต่อยครั้งก่อนอย่าบอกนะว่าก็ไอ้คนนี้”
“แม่ครับ มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย”
มธุรสมองตฤณฤทธิ์สีหน้าเศร้า เหมือนรู้ใจตฤณฤทธิ์แล้วว่าอยู่ที่ใครเวลานี้
“ไม่รู้ล่ะ ต่อจากนี้ไปตฤณห้ามไปวุ่นวายกับผู้หญิงคนนั้นอีก แม่ดูๆแล้วท่าจะไม่เบาเหมือนกัน เห็นคุณพลเพิ่มก็ตามเป็นเงาอีกคน เดี๋ยวได้มีเรื่องกันไปหมด”
“ผมขอตัวก่อนนะครับแม่” ด๊อกเตอร์เดินออกไปเลย
“ตฤณจะไปไหนแม่ยังพูดไม่จบเลยนะ”
ศันสนีย์จะตามตฤณฤทธิ์ไปแต่ดิษย์ดึงไว้แล้วมองปราม สีหน้าเด็ดขาด

มุมหนึ่งในตลาดตรงข้ามร้านเสริมสวยเจ๊หวัน โฉมศรีจับกลุ่มคุยกันกับชาวบ้านในตลาดอย่างสนุกปาก
“จริงจริ๊งง ไอ้บางมันเล่าให้ฉันฟังเป็นฉากๆเลย ฉันก็ว่าแล้ว ทำเป็นนิ่งๆที่แท้ก็ชอบแอบกินขโมยกิน เหมือน...อะไรนะ อ้อ...กระสือไง”
ชาวบ้านกลุ่มที่เชื่อว่านลินเป็นกระสือต่างพากันหัวเราะชอบใจ
“ก็ผิดศีลกาเมไงถึงได้ต้องมารับกรรมเป็นกระสือแทนยายเพียร”
“แกคิดเหมือนฉันเลย นลินนี่แหละทายาทกระสือของแท้ พวกเรารู้ตัวกันหมดแล้วเนอะ จะมีก็แต่พวก” โฉมศรีพยักพเยิดเห็นด้วย แอบชำเลืองมองไปทางร้านเจ๊หวัน
“พวกนั้นมันไม่ยอมเปิดหูเปิดตา เดี๋ยวสักวันได้โดนกระสือลากไปกินจะรู้สึก” ชาวบ้านอีกคนว่า
โฉมศรีโกหกพยายามใส่ร้ายลิน “เรื่องจริงเป็นไงฉันรู้ดี ไอ้พนิชนั่นมันพักบ้านฉันแล้วมันก็เล่าเรื่องนลินให้ฉันฟังทุกอย่าง นลินแอบกิ๊กกั๊กกับคุณด็อกเตอร์ตั้งแต่อยู่กรุงเทพ แล้วนี่อะไรพอมาที่นี่กะจะจับคุณพลเพิ่มอีกคน ผู้หญิงดีๆที่ไหนเขาทำกัน”
ชาวบ้านเมาท์ต่อกันอย่างสนุกสนาน โฉมศรียิ้มสะใจ

นลินถือกล่องกระเป๋าแบรนด์เนมเดินมาพร้อมกวิตา เจอตฤณฤทธิ์ที่ลานหน้าบ้าน เขามองนลินอย่างเป็นห่วง
“อ้าว...คุณมาทำอะไรครับ ผมกะจะไปเยี่ยมอยู่พอดี”
“คุณหญิง แม่คุณตฤณอยู่ไหมคะ”
“มีธุระอะไรกับฉันมิทราบ”
ศันสนีย์กับดิษย์เดินออกมาที่ลานหน้าบ้าน นลินกับกวิตารีบยกมือไหว้
“พอดีลินอยากมาขอโทษ ที่ลินทำน้ำหกใส่กระเป๋าคุณหญิงวันนั้น และเรื่องที่เกิดวันนี้ด้วยค่ะ” นลินไหว้อีกครั้ง
ศันสนีย์มองนลินหัวจรดเท้า ด้วยสายตาดูแคลน
“ขอโทษให้ตายยังไงลูกฉันก็โดนตบไปแล้ว จะทำอะไรได้ล่ะ”
“คุณหญิง” ดิษย์ปรามเมีย หันมายิ้มให้กับนลิน “ไม่เป็นไรหรอก ถือว่ามันผ่านไปแล้ว”
“ลินขอโทษนะคะ และจะขอชดใช้คุณหญิงด้วยของชิ้นนี้...”
นลินยื่นกล่องกระเป๋าให้ศันสนีย์
ศันสนีย์ยิ้มรับ แต่โดยไม่มีคาดคิด คุณหญิงโยนกระเป๋าใส่หน้านลินดีว่าเธอหลบทัน เฉี่ยวหน้าไป
“เธอคิดว่าของปลอมๆ จะมาหลอกฉันได้เหรอ ฉันใช้แต่ของจริง”
กวิตารีบวิ่งเข้าคว้ากระเป๋าไว้ทันด้วยสีหน้าตกใจ ตฤณฤทธิ์เข้ามาดูนลิน ดิษย์กับมธุรสเข้าห้ามศันสนีย์
“คุณลิน...เจ็บไหม” ตฤณฤทธิ์มองห่วงเอามือเปิดผมดูว่าโดนตรงไหน
นลินถอยตัวออก “ไม่ค่ะ”
“ถึงกับต้องโยนใส่หน้าเลยเหรอคะคุณหญิง กระเป๋าใบนี้ชาวบ้านแถวนี้เขาซื้อรถได้เป็นคันเลยนะคะ” ท่านนายพลตำหนิ
“จะจริงหรือปลอมก็ไม่ได้ทำให้ฉันมองเธอดีขึ้นหรอก เชิญกลับไปได้แล้ว”
ศันสนีย์สะบัดหน้าเดินเข้าบ้าน ดิษย์ส่ายหน้า รีบตามไป
กวิตาพูดตามหลังเบาๆ “เป็นคุณหญิงได้ไงเนี่ย นี่แม่คุณตฤณจริงๆเหรอ”
นลินกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ รีบปาดน้ำตาแล้ววิ่งหนีไป
ตฤณฤทธิ์จะวิ่งตาม แต่กวิตาห้ามไว้
“คุณตฤณไปดูคุณแม่เถอะ เดี๋ยวต้าไปดูนลินเอง”
กวิตาวิ่งตามนลินไป
ตฤณฤทธิ์มองตามหลังนลินเศร้าๆ มธุรสแอบมองตฤณฤทธิ์น้ำตาซึมๆ
ปัณรีเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น มองตามนลินด้วยสีหน้าครุ่นคิด

คุณหญิงศันสนีย์เดินหนีมานั่งที่ม้านั่งในสวน ท่าทางงอนๆ นายพลดิษย์เดินตามเข้ามาต่อว่า
“ผมว่าคุณทำเกินไปนะ คุณน่าจะให้เกียรติลูกบ้าง”
ศันสนีย์พาล “ฉันทำแค่นั้นมันยังน้อยไปสิ ลูกเราเจ็บกว่าตั้งเยอะ”
นายพลดิษย์ถอนหายใจ “ผมก็ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายลูก และผมก็คิดว่าพ่อแม่ของนลินเองก็คงไม่ต่างจากเรา คุณนึกถึงคนอื่นบ้างสิคุณศันสนีย์”
ศันสนีย์แววตาเริ่มอ่อนลง ตฤณฤทธิ์เดินเข้ามาพอดี
“คุณแม่ทำแบบนี้ ต่อไปผมจะมองหน้าคุณลินเขายังไง”
ศันสนีย์แววตาแข็งกร้าวขึ้นมาอีก “ก็ไม่ต้องมอง คนที่ควรจะมองแกกลับมองไม่เห็น มีตาแต่ไม่มีแวว”
ตฤณฤทธิ์งง “แม่พูดถึงใคร”
“ไม่รู้เลยเหรอว่าหนูรสเขารู้สึกยังไง เขาจะเจ็บปวดแค่ไหนที่เห็นตฤณไปวิ่งตามคนอื่น”
“ผมไม่ได้คิดอะไรกับรส มีแต่แม่ที่พยายามจับคู่ให้เราเท่านั้น”
มธุรสตามมาหยุดยืนฟังอยู่มุมหนึ่ง ได้ยินที่ตฤณฤทธิ์พูดทุกคำ มธุรสน้ำตาคลอด้วยความเจ็บปวด
ส่วนพนิชนอนอยู่บนเตียง จู่ๆ อชินีเปิดประตูเข้ามาคว้าหมอนฟาดพนิชด้วยความโกรธ
“ไอ้พีทแกหลอกฉันเหรอ”
“โอ๊ยๆ เจ็บ ผมเจ็บนะอุ้ม มีใครมาด้วยหรือเปล่า”
“นี่แกรอนังลินอยู่เหรอไอ้พีท”
อชินีกระโดดขึ้นคร่อมแล้วบีบคอพนิชด้วยความแค้น พนิชทำท่าหายใจไม่ออก จับมืออชินีให้ปล่อย
“อุ้ม...ฟังพีทพูดก่อน”
“มีอะไรจะแก้ตัวอีก”
พนิชพลิกตัวขึ้นมานั่ง “ผมรักอุ้มนะ”
อชินีตบหน้าพนิช “แกยังไม่เลิกเล่นละครอีกเหรอพีท”
พนิชจับหน้าด้วยความเจ็บ “ผมเจ็บนะอุ้ม”
“มันไม่เจ็บเท่าที่ฉันเจ็บหรอก”
พนิชกอดปลอบใจออดอ้อนเอาใจ อชินีสะบัดออกอย่างรังเกียจ
“ออกไปฉันขยะแขยง”
จู่ๆ อชินีรู้สึกเหม็นขึ้นมา ทำท่าจะอ้วกจริงๆ พนิชรีบเข้ามาดู
“อุ้มเป็นอะไร...หรือเปล่า”
อชินีหน้าซีด

ภายในเต็นท์ พลเพิ่มนั่งมองดูมือถือที่ถ่ายอักขระโบราณมาจากกำแพง
“ต้องหาคนอ่านอักขระพวกนี้ให้ได้ก่อน ถึงจะถอดปมคำสาปที่กำแพงออกได้”
พลเพิ่มยิ้มเหมือนคิดออก “ผมรู้แล้วว่าใครจะมาปลดล็อคนี้ได้”
ฌาณมองอยากรู้ ลูกน้องวิ่งเข้ามา ท่าทางตกใจ
“ท่านครับ พวกเราขุดเจอของครับ”
ลูกน้องยื่นของที่ขุดขึ้นมาได้ให้ทั้งคู่ดู มีพระพุทธรูป เครื่องประดับชิ้นเล็กๆ และกำไลข้อมือวงหนึ่ง พลเพิ่มมองของเหล่านั้นแววตาลุกวาว
“ถือว่ารอบนี้คุ้มจริงๆนะท่าน” ลูกน้องบอก
ฌาณยิ้มให้กับพลเพิ่ม “สมบัติมันก็ต้องวิ่งเข้าหาเจ้าของเป็นเรื่องธรรมดา”
“ของทุกอย่างสภาพสมบูรณ์มาก มันต้องมีอะไรในนั้นอีกแน่ๆ”
พลเพิ่มหัวเราะอย่างพอใจสมใจ

พระอาทิตย์อัสดงใกล้ตกดินเต็มที เสื้อผ้ากระจัดกระจายเกลื่อนพื้น อชินีนอนซุกตัวหลับอยู่ในอ้อมกอดพนิชบนเตียง
พนิชขยับตัวออกจากผ้าห่ม อชินีรู้สึกตัวค่อยๆ ลืมตาขึ้น พนิชหอมที่หน้าผากเอาใจ
“ตื่นแล้วเหรอ...ไปหาอะไรกินไหม ผมหิวแล้ว”
พนิชหยิบเสื้อขึ้นมาใส่ อชินีมองออกไปนอกหน้าต่าง
“จะไปกินที่ไหนล่ะ แถวนี้ไม่เห็นมีที่กินเลย”
พนิชแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวผมพาอุ้มไปหาอะไรกินในเมืองก็ได้ รีบแต่งตัวเถอะ”
พนิชยื่นเสื้อผ้าให้ อชินีสวมแล้วรูดซิบหลังไม่ได้ พนิชเข้ามาช่วยรูดให้แล้วกอดอชินีจากด้านหลัง
“อุ้มรู้ไหมผมคิดถึงอุ้มมากเลยนะ”
อชินียิ้มชื่นสุขใจ “ต่อจากนี้ไป สัญญาได้ไหมพีทว่าจะไม่มีอะไรปิดบังอุ้มอีก”
“สัญญาสิ” เขาทำหน้าจริงจัง “ผมก็นึกว่าเรื่องมันจะจบง่ายๆ นึกว่ามาทวงแล้วลินจะยอมคืนเงินให้ผมบ้าง แต่นี่อะไรไม่คืน แถมยังไล่เหมือนหมูเหมือนหมาอีก”
“ทีหลังจะทำอะไรปรึกษาอุ้มก่อนนะพีท เห็นไหมอุ้มเกือบเข้าใจผิดไปกันใหญ่”
“นี่ขนาดผมพูดถึงเรื่องทับทิม ลินยังไม่กลัวเลยนะ”
“พีทเองไม่ได้เก็บหลักฐานอะไรไว้ จะเอาเรื่องนี้มาพูดทำไมให้โดนฟ้องเปล่าๆ ยิ่งตอนนี้ลินรู้แล้วว่าเราอยู่ด้วยกัน เราต้องช่วยกันคิดหาแผนใหม่นะพีท”
พนิชเหลือบมองอชินีเหมือนเป็นลูกไก่ในกำมือ

ทางด้านนลินนั่งปาดน้ำตาอยู่บนเตียงในห้องนอน มีเสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้น
“ลิน...ฉันขอเข้าไปได้ไหมลิน”
นลินรีบเช็ดน้ำตาแล้วเดินมาเปิดประตูให้ กวิตาถือกระเป๋าพะรุงพะรังเข้ามาวางของลงแล้วมองหน้านลินสงสัย
“ลินแกร้องไห้เหรอ” กวิตาจับหน้านลินว่าเจ็บตรงไหน “คุณหญิงนั่นโยนโดนหน้าแกเต็มๆเลย เจ็บไหม”
“แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ฉันทำให้ลูกเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะฉันตั้งหลายครั้ง นี่ยังถือว่าน้อยไป”
กวิตาไม่พอใจมาก “แต่ก็ไม่สมควรปะแก เป็นถึงคุณหญิงแต่ดุเป็นบ้า มิน่า ลูกชายถึงได้โสด”
นลินปราม “ต้า”
“ก็ฉันพูดเรื่องจริงนี่ แกก็ดีเกิน แค่ทำน้ำหกใส่กระเป๋า ถึงขนาดต้องซื้อกระเป๋าใหม่คืน แล้วถ้าแกไปทำน้ำหกใส่บ้านคุณหญิง แกไม่ต้องซื้อบ้านคืนเขาเลยหรือไง”
นลินหัวเราะออกมาได้ “แกก็คิดได้เนอะ ขอบคุณพ่อแม่แกนะที่สร้างคนอย่างแกขึ้นมาบนโลกใบนี้”
“ยิ้มออกแล้วนี่ ก็คนอย่างฉันนี่แหละที่เกิดมาเพื่อเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก” กวิตายิ้มยืดภูมิใจ
“ขอกอดหน่อย”
ทั้งคู่กอดให้กำลังใจกันและกัน กวิตาเอากระเป๋ายื่นคืนให้นลิน
“เอากระเป๋าแกคืนไป”
นลินยื่นคืนให้กวิตา “จะถือไหมล่ะถ้าฉันจะให้แก”
“แกๆ” กวิตาปากสั่นตาโตตกใจจนติดอ่าง “หะ...ให้ฉันจริงๆเหรอ ฉะ...ฉันถือนะ
นลินมองตกใจ “ไม่เอาเหรอ”
“ถือนี่คือ ถือทุกวันอะแก” กวิตายิ้ม “แต่มันก็มากไปนะลิน มันแพงเกิน แกเก็บไว้เถอะ”
“ไม่มากหรอกสำหรับเพื่อนแล้วมากกว่านี้ฉันก็ให้ได้”
“แกฉันซึ้งว่ะ กระเป๋าใบนี้ไตรภาคยิ่งกว่าเดอะลอร์ดออฟเดอะริงเสียอีกนะ” กวิตาแกล้งร้องไห้กอดกระเป๋าแน่น ทำท่าเลียนแบบกอลลัมในหนัง “กระเป๋านี้เป็นของข้า”

นลินยิ้มหัวไปกับเพื่อน แสร้างทำเป็นสบายใจ ทั้งที่แววตาโศกศัลย์เต็มไปด้วยความทุกข์ขมกินใจ

อ่านต่อตอนที่15


กำลังโหลดความคิดเห็น