xs
xsm
sm
md
lg

เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 23

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 23

บทประพันธ์ : พลอยฝน บทโทรทัศน์ : Once House

เจรมัยปรากฏตัวขึ้นในอดีตกาลที่บริเวณใกล้กับตลาด ละแวกเรือนแถวบ้านเช่าของคหบดีโสภณ ที่ที่เขาเคยพลัดหลงกับมัลลิกาเมื่อคราวก่อน

“นี่เรากลับมาอดีตอีกงั้นเหรอ มะลิ...มะลิ ต้องหามะลิให้เจอ”
เขาเหลียวมองหามัลลิกาไปทั่วๆ อย่างร้อนรนใจ เมื่อไม่เจอก็ออกเดินตามหาไปเรื่อยๆ จนมาถึงตลาด และเจอชายชาวบ้านสองคนคุยกันเรื่องไฟไหม้บ้านเช่าอยู่ ด้วยท่าทีตื่นตกใจ
“ไฟไหม้...ไฟไหม้”
“ไฟไหม้ที่ไหนน่ะ”
“ก็ที่บ้านเช่าท่านโสภณน่ะสิ ไหม้จะทั้งย่านอยู่แล้ว ที่พวกคณะตะลุงเช่าน่ะ ถามอยู่ได้รีบไปช่วยกันดับไฟเร็ว”
“เอาๆ ไปๆ”
เจรมัยได้เบาะแสเลยรีบตามชาวบ้านสองคนไป
“มันต้องเป็นไฟไหม้ ที่ลุงพัฒน์เล่าให้ฟังแน่ๆ”
ในจังหวะที่ทุกคนกำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่นั้น สร้อยพีก็วิ่งแทรกผ่านคนเหล่านั้นรวมทั้งเจรมัยไป โดยที่เจรมัยไม่ได้ทันสังเกต
แหละเที่ยงเองก็รีบวิ่งไปทางบ้านเช่าด้วยความร้อนใจ
เจรมัยปรากฎตัวขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนที่หนีตายจากเหตุการณ์ไฟไหม้ ไม่มีใครมองเห็นเจรมัยเช่นเคย จากจุดที่เจรมัยยืนอยู่ เขาเห็นสร้อยพีวิ่งไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านเช่าตรงจุดที่ไฟไหม้

สร้อยพีวิ่งมาถึงหน้าประตูบ้าน มองเข้าไปในนั้นเห็นแต่ไฟกระพือโหมไหม้วูบวาบอย่างน่ากลัว
สร้อยพีหยุดคิดถึงเรื่องที่ตบมาลี และมาลีก็เข้าตบเธอเช่นกัน ในครั้งที่ทุกคนเห็นมาลีกับเที่ยงนอนกกกอดกันอยู่ในบ้านร้าง ตามแผนชั่วของมณฑาและมารศรี
ยิ่งคิดสร้อยพีก็ยิ่งแค้น และปักใจเชื่อว่ามาลีเป็นคนไม่ดีอยู่เบื้องหลังเรื่องร้ายๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชาวตะลุง
“นังมาลี อีตัวการ มึงทำกับพี่เที่ยงได้ยังไง มึงทำกับตะลุงแบบนี้ได้ยังไง”
สร้อยพีวิ่งเข้าไปในบ้าน และนั่นเองที่ทำให้เจรมัยตัดสินใจวิ่งตามเข้าไปหา แต่เขานึกขึ้นได้ว่าสร้อยพีคงไม่เห็นตน เหมือนคนอื่นๆ ในขณะที่กำลังสิ้นหวัง สร้อยพีก็หันมาทางเจรมัย เธอเห็นเขา และเข้าใจว่าเป็นพี่เที่ยง
“พี่เที่ยง”
“คุณเห็น ผม”
เจรมัยประหลาดใจ เขาหวนคิดถึงคำพูดของหมอพีทที่เคยพูดไว้ว่า
“การที่คนข้ามภพจะถูกเห็นได้มีสองลักษณะ คือ หนึ่ง คนๆ นั้นกำลังจะตาย สอง คนๆ นั้นมีกรรมต่อกัน”
“เร็ว เร็วเข้า ไปกัน” สร้อยพีฉุดเขาให้ไปด้วยกัน
เจรมัยขืนตัวไม่ยอมให้ไป “อย่า สร้อยพีเธออย่าเข้าไป ถ้าเธอเข้าไปเธอจะ…ตาย”
สร้อยพีฉุนกึก “พี่เที่ยง พี่เที่ยงพูดอะไร พี่นี่เปลี่ยนไปมากจริงๆ ไปเล๊ย ไม่ต้องมาสนใจ ไปสนคนบางกอก คนที่มันเผาที่นี่เลยไป”
เจรมัยงง “เธอหมายถึงใคร”
“อีมาลีไง มันถึงจ้างคนมาวางเพลิงที่นี่ พี่เที่ยงไปบอกมันด้วย ฉันจะไม่ยอมให้มันทำสำเร็จหรอก
เมื่อเห็นสร้อยพีขยับตัวจะเข้าไปในกองไฟ เจรมัยรีบวิ่งเข้ามาขวางกันไว้ สร้อยพีขยับตัวหนีเพราะไม่อยากถูกเนื้อต้องตัวกับเที่ยง
“ไม่ต้องมาขวางเลย”
“อย่าเข้าไปเลย ผมเป็นห่วงจริงๆ”
“ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก อย่างวันนี้นัดกันไว้พี่ก็ผิดนัด คงเห็นสร้อยพีเป็นแค่ตัวตลกแล้วซิ ที่จะหลอกนั่น หลอกนี่ หลอกให้คิดไปเองว่า พี่รู้สึกกับฉัน เหมือนที่ฉันรู้สึกกับพี่”
“เธอรู้สึกกับเที่ยง ยังไง”
เจรมัยพูดไม่เต็มเสียงนักในการจะเรียกว่าตัวเองเป็นเที่ยง
สร้อยพียิ่งเสียใจมากขึ้น เมื่อรับรู้ว่าเที่ยงไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของเธอเลยหรือ
“พี่เที่ยงไม่เคยรับรู้ในความรู้สึกของฉันเลยซินะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น คือผม… ไม่ใช่...”
สร้อยพีตัดบท “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันจะเข้าไป”
“อย่าสร้อยพี งั้น ผมจะเข้าไป”
ขาดคำเจรมัยกระโจนเข้าไปกองไฟเป็นคนแรก สร้อยพีถึงกับชะงัก ตะลึงตะไลคาที่

เจรมัยหยุดกลางเปลวเพลิง หันกลับมาหาสร้อยพีที่ยืนตะลึงตกใจสุดขีดอยู่
“ที่ผมเข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะยืนยันว่า ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ ถ้าวันนี้สร้อยพีทำทุกอย่างด้วยความไร้สติ ในอนาคตสร้อยพีจะไม่ใช่คนๆ นี้อีกต่อไปแล้ว”
สร้อยพีงงใหญ่ “พี่พูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ สำหรับฉันแล้วคำพูดของพี่เที่ยงไม่มีความหมายอีกแล้ว ฉันจะคิดยังไง มันก็เรื่องของฉัน”

มีเศษคานไม้ร่วงลงมาเฉียดหน้าเจรมัยไปวูบหนึ่ง แต่โชคดีที่เจรมัยขยับถอยเข้าหนีทันพอดี
สร้อยพีที่ทำเป็นปากแข็งว่าไม่รู้สึกอะไรกับเที่ยง ต้องใจหายกับภาพที่เห็น
เจรมัยรอดมาได้ แต่ก็ยังไม่พ้นอันตราย
“สร้อยพี...สร้อยพีเป็นคนดี เป็นคนที่หวังดีกับทุกๆ คน อย่าให้อารมณ์มาบดบังความดีในตัวเธอเลยนะ ถ้าเธอเป็นแบบนี้ ลูกหลานในวันข้างหน้า พวกเค้ามีแต่กลัวตัวหนัง ไม่มีใครอยากจะอยู่ใกล้ตัวตะลุงทั้งนั้น”
สร้อยพีเริ่มได้สติ ตั้งใจฟังเจรมัยที่เธอเข้าใจว่าเป็นเที่ยงพูด แต่แล้วเศษคานท่อนใหญ่เบ้อเริ่มก็พังลงมาทับร่างเจรมัย สร้อยพีตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น รีบขยับตัวเข้าไปหมายที่จะช่วย
แต่ไฟก็ลุกลามรุนแรงจนมองไม่เห็นร่างของเที่ยงแล้ว


ณ ปัจจุบันกาล ผีสร้อยพีกำลังคุกคามไปที่ป้าๆ
“พวกแกรู้ใช่มั้ยว่าแกต้องได้รับโทษยังไง ที่แกคิดจะทำลายตัวตะลุงที่ทั้งชั้นและพี่เที่ยงบุกลุยไฟเข้าไป พวกแกต้องตายกันทั้งหมดนี่”
จินดาอ้อนวอนขอร้อง “อย่าทำอะไรคนในบ้านเลยนะ ถ้าจะทำให้ทำฉันคนเดียว ปล่อยคนอื่นๆ ไปเถอะ ฉันรู้ว่าเรื่องวุ่นวายในบ้านหรือกับมะลิ ก็มาจากฉันทั้งนั้น เอาฉันไปเถอะแล้วขอให้ทุกอย่างจบลงตรงนี้ได้มั้ย”
พร้อมกับว่าจินดาพยายามจะเข้าไปปกป้องร่างของเจรมัยกับมัลลิกา
“พวกแกไม่ต้องพูดมาก ตายกันทั้งหมดนี่ละ”
ฉับพลันทันใดนั้นเอง เจรมัยก็ฟื้นตื่นขึ้นมา เขามองไปรอบๆ พบว่ามัลลิกายังไม่ฟื้น และเห็นสร้อยพีกำลังจะทำร้ายทุกคน
“หยุดเถอะ สร้อยพี”
สร้อยพีหันไปตามเสียง เห็นเจรมัยยืนอยู่
“พี่เที่ยง”
“สร้อยพี ที่ผมไปเจอไม่ใช่คนแบบนี้ เธอมีน้ำใจ เป็นห่วงเป็นใยคนอื่น เธอสละตัวเองเพื่อปกป้องสิ่งที่คนอื่นรัก”
สร้อยพีปะติดปะต่อเรื่องราว ตอนที่คุยกับเจรมัยซึ่งเธอเข้าใจว่าเป็นพี่เที่ยง ทุกอย่างค่อยๆ กระจ่างชัด ทยอยเข้ามาสู่การรับรู้ของสร้อยพี จนเธอนิ่งงันไป

เมื่ออดีต สร้อยพีพยายามงัดไม้ติดไฟที่กองทับร่างเจรมัยที่เธอเข้าใจว่าเป็นเที่ยงออกอย่างลำบากบากเย็น
“พี่เที่ยง พี่เที่ยงอย่าเป็นอะไรนะ พี่เที่ยง นี่มันเป็นเพราะ ฉันเอง พี่เลยต้องเข้ามาไฟแบบนี้”
ขณะเดียวกันนี้ เที่ยงตัวจริงปรากฏเข้ามาที่ด้านหลังของสร้อยพี มองไปและเห็นว่าสร้อยพีกำลังตกอยู่ท่ามกลางไฟไหม้ จึงรีบเข้ามาฉุดโอบไว้
“สร้อยพี ออกมาเถอะ”
สร้อยพีประหลาดใจมากที่เห็นเที่ยงมาฉุดตน แล้วภาพที่เห็นเมื่อครู่มันคืออะไรเล่า แต่ความดีใจมีมากกว่าความฉงนฉงายในใจ เธอพลิกตัวกลับมาหาสวมกอดเที่ยงด้วยความดีใจ
“พี่เที่ยง พี่เที่ยงยังอยู่”
“สร้อยพี…พี่ขอโทษ ที่พี่ไม่ได้ไปตามนัด”
“พี่ ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
“ฉันคิดว่า ฉันเสียพี่ไปแล้ว”
“หมายถึง เรื่องพี่กับคุณมาลีใช่มั้ย”
สร้อยพีนิ่งงันไป
“ที่พี่นัดกับสร้อยพี ก็เพื่อจะบอกว่า...พี่ไม่อยากให้สร้อยพีรู้สึกว่าเสียพี่ไปด้วยเรื่องนี้เลย เพราะยังไง พี่ก็จะรักและดูแลสร้อยพีเหมือนเดิม เหมือนที่เราเป็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เราโตมาด้วยกันยังไง พี่ก็จะยังรักและเป็นห่วงสร้อยพีเหมือนเดิม”
เที่ยงลูบผมสร้อยพีด้วยความรักและความสงสาร สร้อยพีมองตาเที่ยงด้วยความเข้าใจ
“แล้วนี่คิดจะทำอะไร”
“ฉัน อยากเข้าไปเอาตัวหนังของพวกเรา”
“ถ้าเรื่องนั้น พี่เข้าไปเอง สร้อยพี ออกไปรอที่ข้างนอกเถอะ”
เที่ยงดันสร้อยพีไปทางประตูบ้านเช่า ส่วนตัวเขาหาทางเข้าไปที่ห้องเก็บตัวตะลุง

เที่ยงรื้อไม้ติดไฟที่ขวางประตูออก แล้วกระโดดเข้าไปหาตัวตะลุง เก็บรวบตะลุงทุกตัวเท่าที่ทำได้ จนหันไปเห็นตะลุงอีกชุดถูกไฟไหม้อยู่มุมหนึ่ง
เที่ยงจับตะลุงใส่ที่เก็บ แล้วมองหาตะลุงตัวที่เขาทำให้สร้อยพี จนพบว่ามันตกอยู่ที่พื้น และบริเวณช่วงอกของตัวตะลุงถูกไฟไหม้อยู่ เที่ยงรีบเอามือตบๆ ดับไฟ จากนั้นประคองมันขึ้นมา มีรอยไฟไหม้ตัวหนังจนเป็นรอยโหว่ที่ช่วงอก
เที่ยงน้ำตาไหลด้วยความเสียใจ เมื่อคิดถึงความรู้สึกของสร้อยพี
“พี่เที่ยง”
สร้อยพีฝ่าเปลวไฟตามเขาเข้ามาเที่ยงตกใจ
“เข้ามาทำไม มันอันตราย”
“ฉันเป็นห่วงพี่”
เที่ยงมองตัวหนังในมือ สร้อยพีเองก็มองมาเช่นกันอย่างเต็มตื้น
“พี่เที่ยง...พี่เที่ยงไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ ออกมาเถอะ”
“ไม่ได้ ตัวหนังตัวนี้มันสำคัญสำหรับพี่”
สร้อยพีได้ฟังก็รู้สึกคลายความรู้สึกไม่พอใจลงบ้าง
ทันใดนั้นเองคานไม้ติดไฟก็ทำทีว่าจะหล่นมาใส่เที่ยง สร้อยพีเห็นจึงรีบตะโกนเตือน
“พี่เที่ยงระวัง”
เที่ยงหลบท่อนไม้ติดไฟได้อย่างเฉียดฉิว เที่ยงสบตาสร้อยพีที่ยืนอยู่กรอบประตูห้อง สร้อยพีมีแววตาที่รู้สึกผิดไปกับการกระทำที่เธอทำอยู่ เที่ยงส่งตัวตะลุงให้สร้อยพีรับไว้
“พี่อยากให้น้องให้โอกาสพี่คนนี้ในการดูแลและรักสร้อยพีต่อไป เหมือนที่เป็นมาตลอด”
“พี่เที่ยง ฉันขอโทษ ที่คิดไม่ดีกับพี่”
ฉับพลันทันใดนั้นเองคานติดไฟขนาดใหญ่ก็หล่นมาใส่สร้อยพีจังๆ ต่อหน้าต่อตาเที่ยง
“สร้อยพี”
เที่ยงไม่กลัวตายใดๆ วิ่งเข้าไปยกท่อนไม้ติดไฟออกจนเห็นใบหน้าของสร้อยพี
“สร้อยพี สร้อยพีอย่าเป็นอะไรนะ สร้อยพี”
เที่ยงจับมือสร้อยพีที่พ้นมาจากท่อนไม้ติดไฟไว้ แต่ปรากฏว่าที่ด้านหลังสร้อยพีมีไม้ท่อนใหญ่ทับร่างเธออยู่ จะยกก็ยกไม่ไหว
“พี่เที่ยง...พี่เที่ยงออกไปเถอะ”
“ไม่ได้ พี่จะไปไม่ปล่อยสร้อยพีไว้ที่นี่ เราจะต้องออกไปด้วยกัน พี่บอกแล้วไง พี่จะไม่ยอมเสียน้องไป”
สร้อยพีซาบซึ้งใจเหลือแสน “พี่เที่ยง พี่เป็นห่วงน้องไม่เคยเปลี่ยนเลย”
“สร้อยพี ทำใจดีๆ ไว้ เราจะต้องออกไปด้วยกัน”
เที่ยงงัดไม้ท่อนใหญ่ออกได้สำเร็จ ประคองสร้อยพีออกไป


เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนั้นท่าทีสร้อยพีก็เปลี่ยนไป ทุกอย่างที่ดูมีแต่ความตายรายล้อมอยู่ ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง มวลเงาดำที่ทำให้ทั้งบ้านเป็นสีดำสนิท ก็เริ่มคลายคืนกลับเป็นปกติ ดวงตาขาวโพลนของสร้อยพีก็กลับมาเป็นปกติ
ไม่เท่านั้นร่างกายของสร้อยพีจากที่เคยถูกคลุมด้วยไฟอันน่ากลัว ก็คืนกลับมาสวยงามเหมือนตอนเป็นมนุษย์ ทุกคนเว้นเจรมัยต่างตะลึงตะไลด้วยไม่เคยเห็นสร้อยพียามไม่ใช่ผีร้าย
“สร้อยพี เธอกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว” เจรมัยยิ้มดีใจ

มันเป็นคืนสุดท้ายของชีวิตสร้อยพี
ใบหน้าของสร้อยพีถูกปิดด้วยผ้าพันแผลจนแทบมิด โดยฝีมือหมอ สภาพมือและร่างกายสร้อยพีมีแต่แผลไฟลวกไฟไหม้เต็มไปหมด พยอมช่วยหมอเอาผ้าพันปิดแผลให้
หมอฉีดมอร์ฟีนเข้าที่แขนของสร้อยพี แล้วเดินห่างจากตรงมายังนายโพนที่ยืนรอฟังหมอ ด้วยความหวังเพียงน้อยนิดว่าสร้อยพีจะปลอดภัย ข้างๆ มีทองรออยู่ฟังด้วย
“มอร์ฟีนครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะครับนายโพน หมอขอแสดงความเสียใจด้วยครับ จะเล่นหนังตะลุงตามที่แม่สร้อยขอ หมอว่า…รีบหน่อยก็ดีนะครับ”
นายโพนพยักหน้ายอมรับความเป็นไป ที่สุดวิสัยจะแก้ไขอะไรได้ แล้วมองไปยังแคร่นอนของลูกสาวที่ตอนนี้มีจอหนังตะลุงขึงขึ้นแบบง่ายๆ อยู่ตรงข้ามเธอพอดี
เที่ยงนั่งร้องไห้เสียใจอยู่ที่ด้านหลังฉากตะลุง ที่อยากให้การสูญเสียสร้อยพีเป็นแค่ฝันไปเท่านั้น พยอม เด็กสาวอีกคนของคณะที่กำลังเฝ้าดูและสร้อยพีอยู่ใกล้ๆ ก็ขยับตัวออกห่าง เมื่อเห็นนายโพนเดินเข้ามาหาสร้อยพี ลูกคณะนั่งดูแลอยู่ใกล้ๆ มองดูนายโพนด้วยสีหน้าที่บอกให้รู้ว่าเวลาของสร้อยพีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
นายโพนพยักหน้าเบาๆ เชิงบอกรับรู้ แล้วเดินไปด้านหลังฉากตะลุง
ทองเดินมาสมทบกับนายสน และเพื่อนนักดนตรี ที่อึกอักไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่นตอนไหนดี เพราะอาการของนายหนังที่อยู่หลังฉากตะลุง ที่เอาแต่ร้องไห้ ไม่เริ่มร้องกลอนเสียที หนุ่มคนนั้นมีชื่อว่า “นายเที่ยง”
“ข้าล่ะสงสารทั้งสร้อยพี สงสารทั้งเจ้าเที่ยงจริงๆ” สนว่า
“อืม…น้องข้ากับสร้อยพี มันก็โตมาด้วยกันแต่เล็ก เป็นใครก็ทำใจลำบากทั้งนั้น”
พ้อมกับว่าทองมองไปยังหลังฉากที่เที่ยงก้มหน้าร้องไห้อยู่ โดยมีนายโพนเดินเข้าไปหาแตะบ่าเที่ยงเบาๆ
เที่ยงเงยหน้าขึ้นมองอาโพนด้วยสภาพน้ำตานอง
“เริ่มเถอะพ่อเที่ยง ช่วยเชิดตะลุงให้สร้อยพีดูเป็นครั้ง...สุดท้ายตามปรารถนาสุดท้ายของสร้อยพีทีเถอะ”
ยิ่งฟังคำพูดนายโพนเที่ยงก็ยิ่งเสียใจ เขามองดูรูปตะลุงฤาษี เทวดา ที่ปักตรึงอยู่กับหยวกกล้วย แล้วตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป ทำเอาใครๆ ต่างพากันประหลาดใจ
เที่ยงเดินไปหาสร้อยพีที่นอนมองดูการมาถึงของเขาอยู่ ลงนั่งข้างๆ แคร่ ทำให้เป็นเห็นว่าหน้าของสร้อยพีที่ถูกพันแผลไปครึ่งซีกและลำตัว บางส่วนแผลก็กว้างจนผ้าปิดแผลไม่ได้ ทำให้เที่ยงเห็นแล้วยิ่งสงสารเธอ
“สร้อยพี…พี่จะขอเอาตัวตะลุงของน้อง ไปเชิดนะ”
“พี่เที่ยง ตะลุงตัวนั้นมันถูกไฟไหม้ ไม่สมบูรณ์แล้ว เล่นไม่ได้หรอกพี่”
“ไม่เป็นไร ไม่ว่าตัวตะลุงจะเป็นอย่างไร พี่ก็จะเล่น เพราะมันเป็นหนังตัวที่จะทำให้พี่ คิดถึงสร้อยพีตลอดไป”
“พี่เที่ยง พี่เที่ยงดีกับฉันจริงๆ”
สร้อยพีเต็มตื้นยิ้มด้วยความดีใจ แต่ก็อดหดหู่ไม่ได้ที่ชีวิตของเธอจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไปแล้ว

เวลาผ่านไป เที่ยงเริ่มเชิดตะลุง ไปตามคำร้องขับขานบทเพลงเศร้าบอกเล่าความผูกพันและลาจาก ตัวตะลุงขยับเคลื่อนอย่างสวยงาม ด้วยความชำนาญของเที่ยง ทองกะสนและเหล่านักดนตรีจต่างรู้สึกเศร้าไม่แพ้กัน
สร้อยพีเห็นแล้วก็หวนคิดถึงครั้งที่เที่ยงบรรจงทำหนังตะลุงตัวนี้ให้ไม่ได้ น้ำตาไหลรินออกมาขณะมองดูตัวตะลุงตัวนั้นขยับเคลื่อนไหวไปตามคำร้องของเที่ยง
เงาตะลุงตัวนั้นบนจอสีขาว เห็นชัดว่ามีความเสียหายจากไฟไหม้เป็นช่องโหว่ที่กลางอก
สร้อยพีคิดบางอย่างได้จึงหันไปหาพ่อ
“พ่อ ตะลุงของพี่เที่ยงมันชำรุด พ่อต้องซ่อมให้พี่เที่ยงด้วยนะจ๊ะ”
นายโพนมองตามแล้วพยักหน้ารับคำ
“ไม่ต้องห่วง พ่อจะซ่อมให้นะ มันเป็นหน้าที่ของพ่ออยู่แล้ว”
แต่ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อสร้อยพี่บีบมือพ่อแน่น เพื่อจะบอกบางสิ่ง นายโพนขยับตัวเข้าใกล้เพื่อรอลูกสาวจะพูดอะไร
ในความคิดของสร้อยพีเกิดเป็นภาพ ที่เธอเคยบอกพ่อให้เฉือนเอาผิวหนังของเธอไปซ่อมตัวตะลุง
แต่เอาเข้าจริงๆ สร้อยพีกลับเปลี่ยนคำพูดของตัวเองใหม่
“พ่อไม่ต้องซ่อมตัวหนังตัวนั้นหรอก เก็บมันไว้แบบนั้น ให้คนรุ่นต่อๆ ไปจดจำฉันในแบบที่ฉันเป็นดีกว่า”
นายโพนน้ำตาร่วงยิ้มให้ลูกสาวอย่างเต็มตื้น “หัวใจของเอ็งมันงดงามจริงๆ สร้อยพี”

ที่อีกด้านหนึ่งของจอ เที่ยงร้องกลอนห้องสุดท้ายจบลง แต่เขาก็ยังกำไม้เชิดตะลุงไว้แน่น พยายามหักห้ามตัวเองไม่ให้เสียใจไปกว่านี้เก็บซ่อนความรู้สึกอยู่ที่หลังจอตะลุง ทองมองดูเที่ยงด้วยความเห็นใจ จนกระทั่งได้ยินเสียงพยอมขานชื่อ “สร้อยพี” ด้วยความใจหาย ก็รับรู้โดยอัตโนมัติว่า สร้อยพีจวนเจียนจะสิ้นใจแล้ว
เที่ยงรีบลุกไปหาด้วยความใจหายไม่ต่างกัน ทุกคนเลี่ยงเปิดทางให้เขาเข้าไปอยู่ใกล้ๆ สร้อยพี ที่พยายามพูดบางอย่างด้วยน้ำเสียงที่แหบโหยเบาหวิว
เที่ยงขยับตัวเข้าใกล้ จนได้ยินคำขอร้องของสร้อยพี แม้จะเป็นคำขอที่เที่ยงได้ยินเพียงคนเดียว แต่ด้วยมีคนอยู่รายรอบไปหมด จึงดูเหมือนว่าทั้งหมดต่างเป็นสักขีพยานในการรับปากครั้งนี้โดยปริยาย
แม้ในความคิดของสร้อยพี จะเห็นเป็นภาพที่เธอเคยกดดันให้เที่ยงตกปากรับคำว่าจะไม่แต่งงานกับมาลี แต่จริงๆ แล้ว สร้อยพีได้เปลี่ยนคำพูดใหม่
“พี่จะยังเเต่งงานอยู่ใช่ไหม”
เที่ยงอัดอัดและหนักใจที่จะตอบออกไป ซึ่งดูเหมือนสร้อยพีจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น
“ใช่”
“ถ้าพี่เที่ยงมีความสุขฉันก็ขอยินดีกับพี่เที่ยงด้วย”
สร้อยพียิ้มให้ เที่ยงยิ้มชื่นใจตอบ


ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย บ้านตาเทียบที่ถูกเงาดำครอบคลุมก็กลับคืนสู่ปกติ บรรดาป้าๆ ก็ยังตกอยู่ในความกลัวเพราะไม่รู้ว่าสร้อยพีจะออกฤทธิ์อะไรอีกหรือเปล่า จรรยาที่อยู่ใกล้ตัวตะลุงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง โดยพบว่าตัวหนังส่วนที่เป็นหนังคน ตอนนี้กลายเป็นละอองปลิวหายไปในอากาศ
“ผิวส่วนนี้หายไปแล้ว ดูซิจินดา”
“ใช่พี่ หรือทุกอย่างกำลังจะเป็นปกติแล้ว”
เจรมัยก็ยังไม่ไว้ใจในท่าทีของสร้อยพี แม้เวลานี้จะคืนร่างจากผีร้ายเป็นหญิงสาวสวยงามแล้วก็ตาม ลุงพัฒน์เดินอ่อนแรงเข้ามาหา สร้อยพีมองบิดาในชาติภพปัจจุบันอย่างห่วงใย
“สร้อยพี อย่าทำร้ายใครอีกเลยนะ ชาติที่แล้วใครทำกรรมกับลูกไว้ พ่อก็อยากให้อโหสิกรรมให้เค้า ถึงแม้ชาตินี้ลูกจะก่อกรรมกับใครๆ ไว้ พ่อจะขอไปขมาและชดใช้ให้เอง เพื่อให้เค้าอโหสิกรรมให้ หยุดคิด หยุดแค้น หยุดทำร้ายคนอื่นเถอะนะสร้อยพี พ่อเชื่อว่าลูกเป็นคนดีมากในชาติที่แล้ว เพียงแค่มีความค้างคาใจมันเลยทำให้เป็นแบบนี้”
สร้อยพีน้ำตาไหลพราก เต็มตื้นที่ได้ยินลุงพัฒน์เรียกแทนตัวเองว่า พ่อ และ พูดให้แง่คิด
เจรมัยเสริมว่า “สร้อยพี ผมขอโทษที่เคยสัญญากับคุณว่าจะไม่แต่งงานกับมาลี แต่สุดท้ายผมก็แต่ง ทำให้คุณต้องติดบ่วงกรรมนี้ แต่ตอนนี้คุณก็รู้แล้วใช่มั้ยว่าผมรักและเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะ หยุดเวรกรรมต่อกันนะสร้อยพี”
จรรยาพยักหน้าสนับสนุนคำพูดลูกชาย สร้อยพีไล่สายตามองทุกคนรวมถึงมัลลิกาที่นอนเป็นผักอยู่บนเตียง
“ฉัน” สร้อยพีรู้สึกผิดกับตัวเอง “เป็นคนเห็นแก่ตัว รักแต่ตัวเองมาตลอด บัดนี้ฉันขอเสียสละพี่ให้กับคนที่พี่รักขอให้พี่ได้อยู่กับคนที่พี่รักนะ และฉันขออโหสิกรรมให้กับทุกคน”
ร่างของสร้อยพีค่อยๆ จางหายไป
“สร้อยพี”
เงาที่ปกคลุมทั่วบ้านค่อยๆ สลายจางหายไปจนสิ้น บ้านทั้งหลังกลับกลายเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว
“เงามืดหายไปแล้ว ผีเงานั่นก็คงจะหายไปด้วย มะลิก็คงจะฟื้นแล้วใช่มั้ย เจ” เจนจิราถามขึ้น
ลุงพัฒน์นึกขึ้นได้ “คุณเจ คุณรีบไปดูหนูมะลิก่อน”
“ลุงก็อดทนนะครับ ผมเรียกรถพยาบาลให้แล้ว”
เจรมัยรีบมาดูมัลลิกา เห็นยังคงเห็นนอนแบบ สงบนิ่งไม่มีท่าทีตอบสนองอย่างใดเหมือนเดิม
“มะลิ...มะลิ”
มัลลิกายังคงนิ่ง
“ฟื้นสิ มะลิ”
ทุกอย่างเงียบสนิท
“เป็นยังไงบ้างลูก หนูมะลิฟื้นมั้ย” จิราถามแทนทุกคนในที่นั้น
“ไม่ครับ ทุกอย่างเหมือนเดิมครับ ผมภาวนาว่าอย่าให้มะลิต้องไปอยู่ในมิติที่หลงทางอย่างที่หมอพีทบอกไว้เลย”
จิตราทวนคำอย่างงุนงง “มิติที่หลงทาง”
“ครับ จิตที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาภพหรือห้วงเวลาของตัวเอง ถ้าปล่อยนานไป จิตนั้นก็จะไปติดอยู่ในมิติที่หลงทาง ซึ่งยากที่หาทางกลับมาได้อีก”

ท่านโสภณพร้อมลูกสาวทั้งสามนั่งคุยกันอยู่ในห้องโถง ในมือคหบดีโสภณยามนี้เป็นพิมพ์เขียวแบบบ้านหลังใหม่ ซึ่งมันจะกลายเป็นบ้านตาเทียบในภายภาคหน้า มณฑามองตาขุ่น
“อะไรอีกล่ะคะคุณพ่อ เราก็แบ่งกิจการตลาด และ บ้านเช่าทั้งละแวกไปแล้วนี่คะ คุณพ่อจะประเคนอะไรให้มาลีมันอีก”
“ก็ใช่ แต่ตอนนี้แถวนั้นมันถูกไฟไหม้หมดแล้ว พ่อก็เลยคิดว่ามาลีควรจะได้อย่างอื่นเพิ่มเติม เพื่อชดเชยสิ่งที่เสียหายไป”
“คุณพ่ออย่าบอกนะว่า คุณพ่อจะยกเรือนใหม่ที่กำลังสร้างให้ สองคนนั้น”
มณฑาชำเลืองมองพิมพ์เขียวอย่างขุ่นเคืองใจ แต่ก็เบื่อจะคัดค้าน
“ก็เอาที่คุณพ่อว่าเถอะค่ะ ไอ้เรือนเล็กนั้น มณฑาไม่สนใจหรอก แต่ลูกขอเลยนะคะ ว่าอย่ามายุ่งกับกิจการท่าเรือที่พ่อยกให้ลูกก็แล้วกัน”
“อืม…งั้นมาลีลูกก็รับไว้แล้วกันนะ เอาไว้เป็นหลักเป็นฐานในอนาคตนะลูก”
“แล้วแต่คุณพ่อเห็นควรเลยค่ะ”
มณฑามองค้อน “อยากให้มันย้ายออกไปวันนี้พรุ่งนี้ซะจริงๆ”
ท่านโสภณเหนื่อยใจกับนิสัยของธิดาคนโต

ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันเรื่องมรดกอยู่นั้น มัลลิกายืนอยู่ในบ้าน และได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมดไปด้วย เธอเหลียวมองไปรอบๆ อย่างคุ้นตา
“นี่มันบ้านปัจจุบันของครอบครัวเจรมัยนี่”
ระหว่างนี้ตำรวจหลายนายก็เดินเข้ามาในโถงบ้าน ตำรวจที่ดูมียศสูงสุดแสดงความเคารพท่านโสภณ
“ขออนุญาตครับท่าน”
“ว่าไงครับคุณเจ้าหน้าที่”
“คือคดีเรื่องไฟไหม้บ้านเช่าของท่านน่ะครับ”
“มีอะไรคืบหน้าเหรอครับ”
ตำรวจรายนั้นมองไปยังคนในบ้านแล้วมีท่าที่อึกอักจนท่านโสภณแปลกใจ
“เอ้า ว่าไงล่ะคุณตำรวจ ทำไมเงียบไป”
ตำรวจลำบากใจ แต่ก็ต้องพูดบอกออกมา “คืองี้ครับ ทางเราได้พบเบาะแสเป็นน้ำมันก๊าด ในที่เกิดเหตุ เป็นน้ำมันก๊าดที่นำเข้าจากบริษัทของท่าน และคิดว่าไม่มีใครในบ้านนั้นน่าจะใช้ เพราะราคาแพง ประจวบกับเราจับกุมผู้ต้องสงสัย2คนได้ และรับสารภาพ ว่าทำการวางเพลิงจริง แต่ว่า…”
โสภณมองจ้องหน้า “อะไรล่ะ คุณเจ้าหน้าที่”
“ขอรับ คนร้าย 2 คนนั้น ได้ซัดทอด มาถึงคุณมณฑา มารศรีว่าเป็นผู้ว่าจ้างให้ทำครับ”
มณฑาได้ยินรีบตั้งสติแหวใส่ทันที “คุณตำรวจ อย่ามากล่าวหากันลอยๆ อย่างนี้นะ แล้วไอ้คนร้ายนั่นมันมีหลักฐานอะไรมาหาว่าชั้นสองคนจ้างมัน”
“ครับ มันก็ไม่มีมูลเหตุให้เป็นอย่างนั้น เพราะย่านนั้นก็เป็นของท่านโสภณทั้งหมด”
มารศรีโพล่งขึ้นอีก “นั่นไง คุณพ่ออย่าไปเชื่อนะคะ”
“ใจเย็นๆ ขอพ่อฟังก่อน แล้วยังไงต่อครับ”
ท่านโสภณปรามลูกๆ หันไปฟังเรื่องราวต่อ
“แต่มันก็ยังมีประเด็นที่ยังไม่สามารถตัดทิ้งได้คือ คือ ได้ยินมาว่าคุณมณฑาไม่ค่อยชอบใจชาวคณะตะลุงเท่าไหร่ มันเลยยังมีประเด็นเรื่องเผาไล่ที่อยู่ ยังไงเสียเนี่ยผมต้องขอรบกวนเชิญคุณมณฑา กับคุณมารศรีไปสอบปากคำที่โรงพักหน่อยนะขอรับ”
มณฑาไม่ยอมรับเด็ดขาด “ไม่ๆ ทำไมชั้นต้องไป ไอ้พวกบ้านนอกนั่น มันเผาเองหรือเปล่า พวกนั้นมันเกลียดฉันจะตาย มันอาจจะเผาเพื่อระบายอารมณ์ก็ได้”
“คุณพ่อช่วยพูดอะไรกับคุณเจ้าหน้าที่หน่อยได้มั้ยคะ ว่าพวกลูกไม่ได้ทำ”
“ทางเราก็ลำบากใจ แต่ผมว่าอย่าขัดขืนดีกว่านะขอรับ”
ตำรวจเสียงแข็งขึ้น ทำให้มณฑาและมารศรีต้องยินยอมถูกควบคุมตัวไปโรงพัก


มัลลิกามองตามไป เห็น มณฑากับมารศรีถูกจับกุมไป และน่าจะเป็นคนวางแผนเรื่องเผามากกว่ามาลี มัลลิกาเดินออกห่างออกมาแล้วหันกลับไปดูเหตุการณ์ครู่หนึ่ง
มัลลิกากำลังเดินๆ อยู่ ก็รู้สึกว่า เส้นทางตรงหน้าเธอมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น
มัลลิกาเห็นว่าทางข้างหน้าเริ่มกลายเป็นสีดำ และคืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นๆ พอถอยตัวหนีแต่ก็กลายเป็นว่า แวดล้อมข้างๆ กลายเป็นสีดำจนเข้ามาประชิดตัวเธอ มัลลิกากรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“ช่วยด้วย นี่มันอะไรเนี่ย ช่วยด้วยๆ”

ตรงหน้าของมัลลิกากลายเป็นหาดทรายสีดำสนิท และท้องฟ้าที่มีดาวประหลาดล้ำไม่คุ้นตา
มัลลิกาเดินอยู่ลำพังท่ามกลางความเวิ้งว้างของทะเลอันกว้างใหญ่ และหาดทรายสีดำที่ทอดยาวไปจนสุดลูกตา พายุลมแรงพัดต้องกายเป็นระยะ มัลลิกาเดินไปอย่างไร้จุดหมาย หยุดเหลียวกลับไปมองทางข้างหลัง โดยไม่รู้ว่าหาดทรายนี้จะไปจบลงที่ตรงไหน
แต่มัลลิกาก็ยังคงออกเดินต่อไปอย่างมีความหวัง

เจนจิรายืนมองอยู่ตรงระเบียงหน้าห้องไปยังหน้าบ้าน รอจนรถตำรวจแล่นออกจากบ้านไปหมด จึงเดินกลับมาที่ประตูหน้าห้องพักมัลลิกา หยุดมองเข้าไปในนั้นเห็นเจรมัยนั่งอยู่ข้างเตียงมองร่างมัลลิกานอนนิ่งยังไม่ได้สติ ก่อนจะ ก้มหน้าลงไปจูบปากมัลลิกาเบาๆ หวังว่ามันจะนำเขาย้อนกลับไปสู่อดีตกาลได้อีก แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“วิธีนี้ มันไม่ได้ผลแล้ว ผมก็ไปไม่ได้ คุณเองก็กลับมาไม่ได้ ผมหมดหวังแล้วจริงๆ ใช่มั้ย”
เจรมัยถอยมานั่งที่เก้าอี้อย่างหมดหวัง และเห็นว่าเจนจิรายืนมองอยู่จึงหันไปหา เจนจิราเดินเข้ามาหา
“เจ ลุงพัฒน์ไปกับรถพยาบาลแล้ว รวมทั้งป้าจรรยาด้วย ส่วนเรื่องหมอพีท พี่ให้การกับตำรวจแล้ว เจไม่ต้องห่วงนะ”
“ครับ”
เจนจิราจับไหล่เจรมัยบีบเบาๆ เชิงปลอบ พบว่าร่างเจรมัยสั่นสะท้านก็ยิ่งสางสาร
“ทำไมผมกลัวขนาดนี้”
“เพราะความรักไง เจไม่ผิดที่จะกลัวหรอกนะ พี่เชื่อว่า ความรักนี่ล่ะที่จะช่วยเราปกป้องแล้วเอาชนะความกลัวทุกอย่างได้ เจ รักมะลิมากใช่มั้ย”
“ครับ ผมรักมะลิ”
“งั้นเจ ก็ต้องใช้ความรักของเจ ช่วยมะลิฟื้นขึ้นมาสิ พี่เชื่อว่าเจทำได้” เจนจิราบอก
เจรมัยมองหน้ามัลลิกานิ่งนาน

บ้านตาเทียบสดใสอยู่ในแสงสวยตอนเช้าวันใหม่
เจรมัยฟุบหลับอยู่ข้างเตียง จนมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่มีมือของใครบางคนลูบไล้สัมผัสใบหน้าของเขา พร้อมกับส่งเสียงเรียกปลุก
“เจๆ ตื่นได้แล้ว”
เจรมัยลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อพบว่ามัลลิกานั่งมองจ้องหน้าเขาอยู่
“มะลิ นี่คุณกลับมาแล้ว ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่ คุณรู้ใช่มั้ย”
มัลลิกาพยักหน้า เจรมัยรั้งร่างตัวเธอเข้ามากอดไว้ มัลลิกากอดตอบ
จู่ๆ มัลลิกาก็สะอื้นไห้ เจรมัยละตัวออก ประคองใบหน้ามัลลิกาปลอบโยน
“มะลิ ร้องทำไม นี่คุณได้กลับมาแล้วนะ”
“ทำไม อะไรๆ ก็มืดไปหมด มะลิ เห็นแต่สีดำ”
เมื่อมองชัดๆ เจรมัยต้องตื่นตกใจสุดขีด เมื่อพบว่าตาของมัลลิกาทั้งสองข้างกลายเป็นสีดำทั้งดวง
“เจ มะลิกลัว”

ที่แท้เจรมัยฝันร้าย และเขาสะดุ้งตัวตื่นจนพบว่าตัวเองนอนฟุบอยู่ที่ข้างเตียงของมัลลิกา เขามองดูร่างไร้สติของเธอด้วยความเป็นห่วง
“มะลิ คุณต้องไม่เป็นอะไร ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้คุณฟื้นขึ้นมาให้ได้”

เจรมัยตัดสินใจแวะเข้าไปหาภวัตที่ออฟฟิศ
“คุณได้ข้อมูลอะไรมาบ้างครับ”
“ผมมีข้อมูลบางอย่าง ที่ผมให้แว่นไปสืบข้อมูลมาจากเรื่องที่น่าจะเกี่ยวพันกับตะลุงตัวนี้ และตะลุงของคุณ คือผมให้เริ่มต้นจากบ้านหลังนี้ก็พอจะได้ข้อมูลมาว่า ก่อนที่คุณทวดของคุณจะมาอยู่บ้านหลังนี้ บ้านหลังนี้เป็นสมบัติของคหบดีเศรษฐีใหญ่ ชื่อโสภณ ซึ่งเป็นพ่อของคุณมาลี แต่หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านเช่าของคณะลุงก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายหลายๆ อย่าง ลูกสาว 2 คน ถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนวางเพลิงเอง และนั่นก็ทำให้ คหบดีโสภณกับลูกสองคน ขายทุกอย่างแล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และก็ไม่มีใครได้ข่าวของพวกเค้าอีกเลย”
เจรมัยเห็นเป็นภาพเหตุการณ์ที่บ้านคหบดีโสภณ เมื่อครั้งอดีต ตามคำบอกเล่าของภวัต


โดยเวลานั้น ท่านโสภณเซ็นเอกสารบางอย่างให้คุณกำจรอยู่ที่โต๊ะในห้องโถง ขณะที่มณฑากับมารศรีหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ลงบันไดเรือนมาหยุดมอง ทั้งสองสาวมีผ้าคลุมผมพรางตัว
“ขอบคุณที่ช่วยซื้อบ้านนี้นะคุณ”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ เราเป็นเพื่อนกันนี่”
“ถ้าวันหนึ่งผมกลับมา อาจจะมาขอซื้อกลับนะขอรับ คุณกำจรคงไม่ว่า”
“โอ้ เรื่องนั้นไม่แน่ใจ เพราะผมกะขายบ้านนี้ต่อเหมือนกัน เห็นว่า พวกคนต่างชาติเล็งๆ ย่านนี้ไว้...ผมขายได้ก็สุดแล้วแต่คนซื้อจะเอาไปทำอะไร ขอโทษทีนะคุณโสภณ”
โสภณใจหายที่ได้ยินดังนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มณฑาเดินเข้ามาหา
“ไปกันเถอะคุณพ่อ อย่าช้าเลย”
กำจรอดถามไม่ได้ “จะไปอยู่ประเทศไหนกันหละ”
“ไว้ผมสะดวกจะบอกอีกทีนะคุณกำจร ผมกับลูกๆ ขอตัวก่อน”
มีรถมาจอดรอที่หน้าตึกใหญ่แล้ว มณฑากับมารศรียัดกระเป๋าใส่รถ แล้วขึ้นรถออกไปพร้อมกับท่านโสภณ

เจรมัยแปลกใจเมื่อรู้เรื่องนี้ “อ้าว แล้วทำไมคุณทวดมาลีถึงไม่ไปด้วย พอรู้มั้ยครับ
“เท่าที่ประวัติในหนังสือเล่มนี้บอกไว้ ที่คุณทวดมาลีไม่ไป คงเป็นเพราะอยากอยู่ช่วยคุณเที่ยงทำคณะตะลุงอยู่ที่นั่นและนี่ คือหลักฐานที่เราพอจะทำสำเนาออกมาให้ดูได้โชคยังพอเข้าข้าง ที่ทวดมาลีพอเป็นคนที่กว้างขวางในสังคม เลยมีการเก็บหนังสืองานศพของทวดไว้ ที่หอสมุด นี่ครับ อ้อ แล้วอีกอย่างนึง นี่”
ภวัตหยิบกระดาษใบที่เจรมัยเคยให้เมื่อครั้งก่อนออกมา เจรมัยมองอย่างสนใจ
“รู้อะไรอีกบ้างครับ”
“มันเป็นวิธีแก้เหมย เป็นเรื่องการขอครูบาอาจารย์ ฉะนั้น ถ้าคุณขอท่านแล้วมะลิตื่นขึ้นมา คุณต้องแก้เหมย เหมือนการแก้บนน่ะครับ”
เจรมัยหยิบหนังสือกับวิธีแก้เหมยที่ภวัตยื่นให้มาดู

เมื่อในอดีต หลังการเสียชีวิตของสร้อยพี นายโพนได้มอบตะลุงที่มีหนังสร้อยพีให้กับเที่ยง เขานำไปเชิดเล่นตะลุงตามงานทั่วพระนคร โดยมีมาลีคอยตามไปช่วยดูแล
คณะตะลุงของเที่ยงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว เขามีรายได้จากการเล่นตะลุงมากขึ้น ราวกับว่าเป็นเพราะตะลุงสร้อยพีตัวนั้น มีคนมาติดต่อคณะตะลุงไปเล่นแทบไม่ว่างเว้น
อย่างในวันนี้เที่ยงกำลังเจรจางานแสดงกับผู้ว่าจ้างที่ติดต่อเข้ามา
“ได้ครับ เล่นที่ นางเลิ้งวันที่ 15 นะครับ ได้ครับ”
เที่ยงวางโทรศัพท์ลง มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้าบ้านมา เป็นเด็กชายเทียบลูกชายนายทองนั่นเอง
“เทียบ อย่าวิ่งเร็วสิ เดี๋ยวล้ม”
“ครับ”
เด็กชายเทียบวิ่งช้าลง
“แล้วนี่เอ็งจะรีบไปไหน”
“ไปซื้อเหล้าให้พ่อครับ”
เที่ยงส่ายหัว “พ่อทองเอ็งนี่จะเมาแต่หัววันเชียวรึ เอาๆ ไปเถอะ อย่าซื้อให้กินมากล่ะ
“ครับอา”

เวลาผ่านไป มาลีไม่สบายแต่ยังฝืนทำงาน เที่ยงให้ไปพัก มาลีล้มป่วยนอนซมอยู่ที่เตียง มีเที่ยงคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เจรมัยไม่ยอมเข้าไปหามัลลิกาในห้อง เขาหยุดอยู่หน้าประตูที่แง้มเปิดอยู่ มองเข้าไปเห็นมะลิยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม
จากนั้นเจรมัยพาตัวเองไปที่ห้องนอน ตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งโบราณ ค้นหาอะไรบางอย่าง จนเจอสมุดบันทึก ซึ่งอยู่ในกล่องเก็บของส่วนตัวของทวดมาลี ที่พบเมื่อไม่กี่วันก่อน
เจรมัยนั่งอ่านข้อความในสมุดเล่มนั้น เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง มีบทกลอนตะลุง ที่เขียนด้วยลายมือของนายเที่ยง ซึ่งเจรมัยเดาเอาว่านายเที่ยงอาจเขียนขึ้นเพื่อการแสดงครั้งใดครั้งหนึ่ง
บันทึกในนั้นยังบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางจากบ้านที่นครศรีธรรมราชมาเล่นตะลุงที่พระนคร แล้วได้เจออะไรหลายๆ อย่าง ทั้งดีและร้าย
เจรมัยเก็บกระดาษบันทึกต่างๆ ที่อ่านไว้ที่เดิม
จรรยาเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เดินเข้ามาหาลูก เจรมัยเห็นรีบเข้าไปประคองพามานั่ง จรรยาดูแข็งแรงมากขึ้นแล้ว
“มานั่งทำอะไรตรงนี้ลูก”
“ก็นั่งคิดไรไปเรื่อยเปื่อยครับ พอดีได้อ่านหนังสือของคุณทวดด้วย”
เจรมัยหยิบบันทึกที่เพิ่งอ่านมาให้แม่ดู
“แม่ครับ ผมอยากจะลองไปที่จุดเริ่มต้นของที่คุณทวดเที่ยงมา อาจจะพอมีอะไรที่ช่วยมะลิได้”
“ที่นครศรีธรรมราชเหรอ”
“ครับ แต่ผมก็เป็นห่วงทางนี้”
“แม่เข้าใจ เอาเป็นว่าถ้าสิ่งไหนเป็นการที่จะช่วยหนูมะลิได้ เจก็ทำเถอะลูก ไม่ต้องห่วงทางนี้นะ แม่จะดูแลหนูมะลิเอง”
“ขอบคุณนะครับแม่”


วันหนึ่ง สี่พี่น้อง จิตรา จินดา จรรยา และ จิรา นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก
“เมื่อไหร่หนูมะลิจะฟื้นเนี่ย นี่เราก็หากันมาหลายวิธีแล้วนะ ทำไมไม่ฟื้นสักทีก็ไม่รู้” จิราปรารภเชิงบ่น
“แต่ชั้นเชื่อนะว่ายังไงหนูมะลิก็ต้องฟื้น” จรรยาบอก
“ชั้นก็คิดแบบนั้นล่ะพี่ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้นี่นา”
จินดานั่งนิ่งเหมือนสำนึกผิดที่ตัวเองทำเรื่องร้ายแรงเอาไว้
“ชั้นขอโทษนะพี่ เพราะชั้นเองเรื่องทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้ถ้าชั้นไม่กลัวมาก จนเอาหนูมะลิเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องก็ไม่เป็นแบบนี้ คนก็คงไม่ตายกันมากแบบนี้เป็นเพราะชั้นเอง”
“อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิจินดา พวกเราเข้าใจที่เธอทำไปเพราะห่วงหนูจ๋า” จรรยาปลอบ
“นั่นสิ คนเป็นแม่น่ะทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องลูก” จิราเสริม
จิตราบอกเชิงดุว่า “เลิกโทษตัวเองแล้วหาทางแก้ไขกันดีกว่านะจินดา พวกเราเข้าใจไม่งั้นเธอไม่ส่งหนูจ๋าไปอยู่บ้านปู่หรอก”
ยิ่งเห็น พี่ๆ น้องๆ ช่วยกันปลอบ จินดาก็ยิ่งเต็มตื้น ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ
“ชั้นว่าชั้นจะไปบวชชีพราหมณ์ถือศีลทำบุญให้กับทุกคนน่ะค่ะ พอดีหนูจ๋าก็ปิดเทอมพอดี เราปรึกษากันแล้วว่าจะไป หนูจ๋าก็อยากจะช่วยหนูมะลิเหมือนกัน”
“ดีเลยงั้นพี่ไปด้วย พี่มีคนรู้จักที่ชอบไปบวช เค้าบอกแถวเชียงใหม่สงบดี” จิตราว่า
“งั้นเดี๋ยวชั้นไปส่งละกัน เรื่องบวชสำหรับชั้นมันคนละทางกัน” จิราหันมาทางจรรยา “พี่จรรยาล่ะ ไปด้วยกันมั้ย”
จรรยาออกตัว “พี่อยู่ที่นี่ดีกว่า ต้องอยู่ช่วยตาเจดูหนูมะลิ”
จิราเห็นด้วย “อืม ดีแล้วล่ะ”
“งั้นเราควรรีบไปให้เร็วที่สุด เพื่อบุญนี้จะได้ส่งไปถึงหนูมะลิเร็วๆ”
ทุกคนพยักหน้ารับเอาคำที่จิตราบอก

เจรมัยถึงนครศรีธรรมราชแล้ว เขาเดินอยู่ริมถนนเหงาๆ ส่วนมัลลิกายังหลงทางอยู่คนเดียวที่ชายหาดทะลเสีดำอีกมิติหนึ่ง
แม้อยู่กันคนละโลก แต่สองคนต่างมีจิตประหวัดถึงกัน ทั้งคู่ต่างเฝ้าคิดถึงคืนวันเก่าๆ หลายเหตุการณ์ที่เขาและเธอเคยมีความสุขด้วยกัน
เจรมัยคิดถึงตอนเขาได้พบมัลลิกาครั้งแรกในงานพบสื่อของเจรมัย เจรมัยฉุดแขนมัลลิกาเอาไว้ทำให้ทั้งคู่เสียหลักทำให้สองคนเนื้อตัวเบียดกัน
เจรมัยแอบดูมัลลิกา โพสท่าถ่ายแบบเป็นนางแบบนิตยสาร
ฝ่ายมัลลิกาอ่อนล้าโรยแรงลงไปทุกขณะ แต่ยังคงฝืนเดินต่อไป เธอคิดถึงเจรมัยเช่นกัน
ตั้งแต่ตอนที่ทั้งคู่มาทะเลด้วยกันครั้งแรก สองคนนั่งสามล้อหัวโยกหัวคลอนบางจังหวะหัวโขกกัน ต่างคนต่างขำ
มัลลิกาเฝ้าดูเจรมัยร้องเพลงในห้องอัก
ตอนนั้นเจรมัยเปิดไฟฉายจากมือถือส่องทางให้มัลลิกาเดินบนเวที

เจรมัยลงนั่งที่ข้างทางอย่างเหนื่อยล้า ส่วนที่ทะเลดำ มัลลิกามีท่าทีเหนื่อยล้าโรยแรงทรุดตัวลงนั่ง
ทั้งคู่มองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย แต่ต่างก็มีความหวังว่าจะได้กลับมาเจอกับคนที่ตัวเองรัก

เจรมัยเดินเรื่อยเปื่อยเข้ามาในวัด หลังไหว้พระพุทธรูปในโบสถ์เสร็จ เขาหยิบหนังสือสวดมนต์ที่วางอยู่แถวนั้นมาเปิดดู ในนั้นมีวิธีนั่งสมาธิ กำหนดจิตเพื่ออุทิศบุญกุศล เจรมัยนั่งสมาธิตามที่หนังสือบอก

ในระหว่างที่เจรมัยนั่งสมาธิอยู่นั้น เกิดลมพัดมาปะทะที่ตัววูบใหญ่ จนเขาต้องลืมตาตื่นขึ้น และพบว่าเวลานี้เขาประจันหน้าอยู่กับสร้อยพี
“พี่เที่ยง”
เจรมัยลุกขึ้นงงๆ ตกใจไม่หายที่เห็นสร้อยพีมายืนอยู่ตรงหน้า
“สร้อยพี เข้ามาได้ยังไงเนี่ย”
สร้อยพีไม่ตอบแต่ย้อนถามเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พี่รักมาลีจริงหรือเปล่า”
“หากจะมีอะไรที่ผมทำได้ เพื่อให้เป็นการยืนยันว่าผมรักเธอ ก็ขอให้บอกมาได้เลย”
“กล้าไปกับฉันมั้ย ถ้าจะทำให้มะลิฟื้น”
“ได้ซิ ให้ผมไปกับคุณที่ไหนก็ได้ ถ้าจะทำให้มะลิฟื้นได้จริงๆ”
“ถึงแม้มันจะแลกด้วยชีวิต พี่ก็จะยังไปมั้ย”
เจรมัยตอบโดยไม่ลังเล “ผมยืนยัน ผมจะไป”
สร้อยพียื่นมือมาให้ เจรมัยเดินเข้าไปหาใกล้ๆ สองคนจับมือกัน
ในวินาทีที่เจรมัยสัมผัสมือสร้อยพีนั้นเอง เขาก็รับรู้ถึงพลังบางอย่างที่วูบเข้ามาในร่าง ตาเจรมัยเบิกโพลง และกลายเป็นสีดำทั้งดวงตา


มัลลิกาเดินมาตามชายหาดทะเลสีดำ ด้วยท่าทีอันเหนื่อยล้าอ่อนแรงลงเต็มที เธอเดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
จังหวะหนึ่งมัลลิกามองไปเบื้องหน้าเห็นเงาของใครคนหนึ่ง ค่อยๆ เคลื่อนตัวใกล้เข้ามา เธอพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือออกไป
“ช...ช่วยด้วย”
เมื่อเงานั้นเข้ามาใกล้ๆ มัลลิกาก็ยิ่งตกใจเพราะเงาที่เห็นคือสร้อยพี
“สร้อยพี”
ทว่าสร้อยพียามนี้ดูสวยงามและสงบเยือกเย็นจนเห็นได้ชัด มองจ้องหน้ามัลลิกานิ่งๆ
“เธอคงมาจัดการกับชั้น ใช่มั้ย เมื่อชาติที่แล้ว ฉันคงมีแต่แย่มากในสายตาเธอใช่มั้ย ฉันยินดีที่จะทำทุกอย่าง เพื่อเป็นการรับผิดชอบ ต่อความรู้สึกของเธอนะสร้อยพี”
“ชั้นมาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อที่มาอาฆาตเธอหรือ ให้เธอขอโทษชั้นหรอกมาลี แต่เป็นว่า ชั้นมาที่นี่ ก็เพื่อมาขอให้เธอ อโหสิกรรมให้ชั้น ในทุกๆ สิ่งที่ชั้นทำกับเธอนะมาลี เธอจะอโหสิกรรมให้ชั้นได้มั้ย”
แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่สร้อยพีพูด แต่มัลลิกาก็พร้อมจะทำตามทุกอย่างที่อีกฝ่ายขออยู่แล้ว
“ได้สิ เอาจริงๆ ฉันไม่เคยถือโทษอะไรเธอด้วยซ้ำ”
“ชั้นขออโหสิกรรมให้เธอนะ ไม่ว่ากรรมใดๆ ที่เราเคยทำกับกัน ชั้นขออโหสิกรรมและหยุดเวรกรรมทุกกรรมที่เคยเกิดขึ้นต่อกันไว้แต่เพียงชาตินี้ อย่าอยู่ในความทุกข์ความโศกเศร้า อีกเลยนะสร้อยพี”
สร้อยพียิ้มชื่น เหมือนได้ชีวิตใหม่ที่ได้รับการให้อภัยอย่างสูงสุดแล้ว
“ขอบใจเธอมาก”
มัลลิกายิ้มรับ
“ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย อย่างน้อยการที่ฉันติดอยู่ที่นี่ มันก็ยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นได้”
สร้อยพีหันมามัลลิกาอย่างสนใจ
“เรื่องดีๆ ยังมีอีกเรื่องนะ”
มัลลิกางุนงง “อะไร”
สร้อยพียื่นมือไปจับมือมัลลกา
“ชั้นมาพาเธอกลับ”
มัลลิกาประหลาดใจ “จริงซิ”
“จิตที่ติดอยู่ในมิติที่หลงทาง จะกลับภูติตัวเอง ต้องอาศัยจิตที่มีหัวใจรักอันบริสุทธิ์นำทางกลับไป” สร้อยพีบอก
“แล้วใครล่ะที่…”
มัลลิกาถามไม่ทันจบ เสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น “ผมเอง”
มัลลิกาเหลียวไปทางเสียง เห็นเงาของใครคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆ มัลลิกายิ้มกว้างดีใจเหลือเกินที่เห็นเป็นเจรมัย
“กลับบ้านกันเถอะมะลิ”
“แล้วคุณมาที่นี่ได้ยังไงล่ะ”
“สร้อยพีเป็นคนพาผมมา” เขาบอก
“ฉันเพียงถามคำถามว่า กล้าไปกับฉันมั้ย ถ้าจะทำให้มะลิฟื้น ถึงแม้มันจะแลกด้วยชีวิต และคำตอบนั้นก็ทำให้ ฉันมั่นใจว่า เธอจะได้จิตที่มีใจรักเธอนำทางกลับบ้านแล้ว” สร้อยพีว่า
มัลลิกากับเจรมัยมองหน้ากันอย่างลึกซึ้ง แม้มัลลิกาจะไม่ค่อยมีแรงยืนมากนัก
“พี่เที่ยง เห็นแสงสว่างนั้นมั้ย พี่เที่ยงพามาลีเดินไปที่นั่น เธอทั้งสองคนก็ปลอดภัยแล้ว”
มัลลิกาใจหายวาบ “ทั้งสองคน ทั้งสองคนได้ไง แล้วสร้อยพี เธอไม่ไปกับเราเหรอ”
สร้อยพียิ้มแทนคำตอบ “เธอไปกันเถอะ”
“ทำไมล่ะสร้อยพี ไปด้วยกันซิ”
“ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องแลกหรอกพี่เที่ยง การที่เธอสองคนจะปลอดภัยกลับไป ที่ตรงนี้ต้องมีคนคนหนึ่งอยู่ตรงนี้ต่อไป”
มัลลิกาตกใจ “ไม่นะสร้อยพี ชั้นไม่อยากทำผิดกับเธออีก เธอกลับไปเถอะ ชั้นขอชดใช้เธอนะสร้อยพี”
“งั้นผมก็จะอยู่กับมะลิที่นี่ด้วยเหมือนกัน”
“ที่ผ่านมาชั้นทำบาปกับพวกเธอไว้หนักนัก ขอให้ฉันได้ไถ่บาปนั้นเถอะ เธอสองคน ยังมีคนเฝ้ารออีกมาก ยังสร้างประโยชน์ให้กับครอบครัวไปอีกนาน กลับไปเถอะ คิดว่าทำเพื่อฉัน”
“แต่...” มัลลิกาทักท้วง สร้อยพีตัดบทว่า
“เวลามีไม่มากแล้ว รีบไปซะ”
“สร้อยพี...ขอบคุณมากนะสร้อยพี ขอบคุณมากจริงๆ” เจรมัยยิ้มเต็มตื้น

สร้อยพียิ้มเป็นมิตรมาให้ เจรมัยกับมัลลิกายิ้มตอบ ก่อนที่ทั้งสองคนจะประคองกันเดินจากไป

อ่านต่อ ตอนที่ 24


กำลังโหลดความคิดเห็น