xs
xsm
sm
md
lg

ละคร ใจลวง ตอนที่ 24 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ใจลวง ตอนที่ 24  (จบบริบูรณ์) 

วันใหม่ ที่ห้องรับแขก บ้านบริรักษ์

ดาวิกาไหว้ลงที่อกของพ่อ บรมลูบหัวลูกสาวเอ็นดู ทั้งคู่อยู่ท่ามกลางเทวาและดารินซึ่งมองอยู่อย่างโล่งใจ สถานการณ์เหมือนจะคลี่คลาย
“ดาต้องกราบขอโทษนะคะคุณพ่อ ที่ปิดบังความจริงมาโดยตลอด แล้วดาก็ยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดเรื่องยุ่งๆทั้งหมดขึ้น”
“ดารู้ไหม ถึงพ่อจะเข้าใจความจำเป็นของดา แต่พ่อก็ยังเสียใจอยู่ดีว่า ..ทำไมพ่อต้องมารับรู้เรื่องนี้เป็นคนสุดท้าย”
ดารินบอก “โถ คุณพ่อคะ อย่าน้อยใจไปเลยค่ะ รินเองก็เพิ่งมารู้พร้อมๆคุณพ่อนี่แหละ”
“เทวาก็ไม่คิดที่จะบอกพ่อสักคำ แต่กลับปล่อยให้เรื่องมันยุ่งเหยิงซะขนาดนั้น”
“คือผม…”
“ดาเป็นคนขอร้องพี่เทวาเองค่ะ ตอนนั้นดาสับสน ไม่มีทางออก ไม่อยากทำให้คุณพ่อผิดหวังที่มีลูกเลวๆ อย่างดา”
“จะชั่วหรือจะดีลูกก็ยังเป็นลูกของพ่อวันยังค่ำ พ่อไม่มีทางผิดหวังในตัวลูกคนไหนทั้งนั้น พ่อเลี้ยงลูกทุกคนมาไม่ได้หวังว่าลูกจะต้องเป็นเทวดาหรือนางฟ้าที่สมบูรณ์แบบ พ่อแค่หวังให้ลูกเป็นคนที่สมบูรณ์ มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แค่นี้พ่อก็พอใจแล้ว”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
“ทุกคนก็ต้องเคยก้าวพลาดด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งสำคัญก็คือเราเรียนรู้อะไรจากมันบ้าง ถ้าพ่อจะขออะไรดาสักอย่างนึง ดาจะให้พ่อได้ไหม”
“อะไรคะ”
“พ่ออยากให้ดารักษาตัวให้หายขาดจากโรคซึมเศร้า จะไปรักษาที่อเมริกาหรืออยู่ที่บ้านเราก็ได้ ขออย่างเดียว ขอให้ดาหายแล้วกลับมาเป็นดาคนเดิมของพ่อ”
“ค่ะคุณพ่อ ดาสัญญาว่าดาจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด” ดาวิกาหันไปหาเทวากับดาริน “พี่ขอโทษนะริน ขอโทษนะคะพี่เทวาที่ทำให้พี่ต้องเดือดร้อนเพราะดา”
“ก่อนที่คุณแม่จะเสีย พี่เคยสัญญากับคุณแม่ไว้ว่าพี่จะดูแลเธอสองคนให้ดีที่สุด ต่อให้มากกว่านี้พี่ก็ต้องทำเพื่อรักษาสัญญาที่พี่ให้ไว้กับท่าน” เทวาบอก
ทั้งสามคนพี่น้องยิ้มให้กัน บรมพูดทิ้งท้ายให้ดาวิกาได้คิด
“เข้าใจกันก็ดีแล้ว แต่คนที่ลูกควรจะขอโทษน่ะ ไม่ได้มีแค่นี้หรอกนะดา”

วันหนึ่ง ดาวิกายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเจดีย์ที่บรรจุอัฐของพศิน เธอมองภาพถ่ายของพศิน ราวกับว่าวันนี้พศินกำลังส่งยิ้มให้เธอ ไม่นานนัก รวิปรียาเดินก้าวเข้ามาหยุดอยู่ ดาวิกาหันไปมอง ทั้งคู่หยุดมองกันเหมือนนัดกันไว้แล้ว เหมือนผ่านเวลาให้ทั้งคู่ได้ซึมซับความรู้สึกที่เป็นปมในใจของแต่ละคน ที่ได้คลี่คลายแล้ว

รวิปรียากับดาวิกายืนคุยกันอยู่ตรงหน้าภาพถ่ายของพศิน
“รวิคิดโทษตัวเองมาตลอดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้พศินคิดสั้น แล้วมันก็กลายเป็นความรู้สึกผิดในใจที่ไม่เคยลบเลือนมาตลอดห้าปี”
“ตอนนี้คุณรวิคงสบายใจแล้ว”
“ค่ะ มันรู้สึกเหมือนได้ปลดโซ่ที่พันธนาการจิตใจออกซะที”
“ดาก็เหมือนกันค่ะ ตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่อง ดายังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณคุณเลย แล้วดาก็อยากขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”
รวิปรียายิ้มให้ดาวิกา เธอให้อภัยทั้งหมดโดยไม่ต้องมีคำพูด
“ต่อไปนี้เวลาที่เราสองคนคิดถึงพศินก็จะมีแต่ความทรงจำที่ดี ไม่มีภาพเหตุการณ์น่ากลัวมาคอยหลอกหลอนอีก พศินเองก็คงดีใจเหมือนกัน ที่วันนี้ผู้หญิงที่เขารัก กับเพื่อนรักของเขาได้มาปรับความเข้าใจกันที่นี่ ต่อหน้าเขา”
“คุณรวิคิดว่าพศินเขารักดาหรือคะ”
“พศินเขาอาจจะเคยหวั่นไหวกับพริ้งก็เพราะความลุ่มหลง แต่รวิเชื่อว่าพศิน เขาเคยรักคุณด้วยใจจริง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตัดสินใจคบกับคุณหรอกค่ะ”
คำพูดของรวิปรียาทำให้ดาวิการู้สึกดีมากขึ้น
“ในเมื่อความจริงก็เปิดเผยออกมาแล้ว ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดคุณรวิ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดพี่เทวาด้วยเหมือนกัน คุณรวิจะยกโทษให้พี่เทวาได้ไหมคะ”
“สำหรับรวิกับคุณเทวา เราไม่ได้โกรธเกลียดกันนี่คะ เขาไม่จำเป็นต้องขอโทษ และรวิก็ไม่จำเป็นต้องยกโทษให้”
“งั้นก็หมายความว่า..” ดาวิกาคิดว่ามีความหวัง
“หมายความว่าทุกอย่างมันจบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว รวิจะคิดซะว่าเรื่องระหว่างรวิกับเขาไม่เคยเกิดขึ้น แต่ถ้าเราจะต้องเจอกันบ้างเพราะหน้าที่การงาน เราก็จะเป็นได้แค่คนรู้จักกัน จะไม่มีอะไรมากกว่านั้นค่ะ”
“ก่อนหน้าที่จะแต่งงาน คุณสองคนหลอกคนทั้งโลกว่ารักกัน แต่ถึงตอนนี้คุณกลับกำลังหลอกตัวเองว่าไม่ได้รัก อย่างนั้นหรือคะ”
รวิปรียาอึ้งไป ไม่ได้ตอบ
“คุณรู้ไหมคะว่าสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในการจากกันคืออะไร คือการจากกันด้วยความตายไงคะ”
ดาวิกามองไปที่ภาพถ่ายพศิน อารมณ์ท่วมท้น
“ไม่ว่าเราจะคิดถึงเขามากขนาดไหน เราก็จะไม่มีวันได้พบกับเขาบนโลกใบนี้อีกแล้วนั่นแหละค่ะที่ทุกข์ทรมานที่สุด แต่คุณกับพี่เทวายังมีโอกาสได้เจอกัน และต่างก็ยังคงรักกัน แล้วทำไมคุณรวิต้องวิ่งหนีด้วย”
รวิปรียานิ่งอึ้ง

ทางด้านเทวายืนเหม่อคิดถึงรวิปรียา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไล่ดูหาชื่อรวิปรียา หยุดมองสักพัก ชั่งใจ.. แล้วตัดสินวางโทรศัพท์ลง ไม่โทร. เหม่อมองไปข้างหน้าไร้จุดหมาย ด้วยความรู้สึกที่พยายามตัดใจ เพราะคิดว่าทั้งเขาและรวิต่างก็ผ่านอะไรมาเยอะแล้ว การกลับไปเริ่มต้นใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงเป็นไปได้ยาก เทวาถอนหายใจ

ผ่านเวลา ... ดาวิกายังคงนั่งมองภาพพศินอยู่ตามลำพัง
สักพักเพชรแท้ก็เดินเข้ามา ยืนเยื้องๆไปทางด้านหลังดาวิกา ดาวิกาหันไปมองเมื่อรู้สึกว่ามีคนมา
“เพชร”
“วันก่อน ผมก็มาหาพี่พศิน”
“คุณน่ะเหรอมาที่นี่”
เพชรแท้เดินเข้ามาใกล้ๆ ดาวิกาลุกขึ้นยืน
“ใช่ ผมมาบอกพี่พศินว่า ผมรักคุณแล้วก็ขอโอกาสจากเขาให้ผมได้ดูแลคุณ”
“เพชร”
“ผมรู้ว่าคุณยังลืมเขาไม่ได้”
“เขาเป็นรักแรกของดา เป็นพ่อของลูกดา ทั้งชีวิตนี้ดาคงไม่มีทางลืมเขา”
“ผมไม่ได้มาเพื่อขอให้คุณลืมเขา แต่ผมมาเพื่อขอให้คุณเริ่มต้นใหม่”
“ดามาคิดดูแล้ว ดายังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครทั้งนั้น ดาทำผิดต่อพี่สาวคุณไว้มาก จู่ๆจะให้ดาไปคบกับคุณเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ดาคงทำไม่ได้”
“ทุกคนรู้ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ทุกคนเข้าใจคุณ”
“แต่ดาต้องใช้เวลามากกว่านี้ในการเข้าใจตัวเอง แล้วดาก็ยังต้องรักษาตัว ดาไม่อยากเป็นภาระของคุณ”
เพชรแท้คอตกเหมือนยอมแพ้
“โอเค ผมรู้ว่าตอนนี้ผมไม่มีหวัง ... แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมยอมแพ้”
เพชรแท้จับมือดาวิกามากุมไว้
“ผมจะรอจนกว่าคุณจะเป็นอิสระจากพี่พศิน เป็นอิสระจากความทรงจำของคุณ ถึงวันนั้น.. ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ผมก็จะกลับมาหาคุณเอง”
เพชรแท้กอดดาวิกาด้วยความรัก ความเข้าใจ และความอาลัยอาวรณ์
“ขอบคุณนะเพชร ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
เพชรแท้คลายอ้อมกอด มองหน้าดาวิกาให้เต็มตาอีกครั้ง เขายิ้มให้ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป

นิมมานนั่งดื่มบรั่นดีอยู่ในบ้าน สีหน้าหมองและเคร่งเครียด เขากระดกแก้วดื่มเหล้าหมดรวดเดียว
มนัสเข้ามาหยุดยืนมอง ส่ายหน้าระอา
“พอซะทีเถอะพี่นิมมาน พี่ดื่มหนักแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ”
“ปล่อยฉันเหอะน่า ตอนนี้ฉันไม่มีงาน ไม่มีคนรัก คนในครอบครัวก็รังเกียจ ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉันป่ะวะ”
นิมมานกระดกเหล้าอีกแก้ว แล้วพร่ำออกมา
“ตอนนี้ฉันมันก็แค่ไอ้กระจอก ชีวิตฉันพังหมด ไม่เหลืออะไรแล้ว”
“เหลือสิพี่ พี่ยังเหลือศักดิ์ศรีอยู่ไง ความสามารถของพี่ก็ยังมี แค่รอให้คดีและข่าวเงียบ พี่ก็จะได้กลับไปคุมบริษัทอีกครั้ง”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ปี สองปี หรือว่าสิบปี ฉันรอนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก”
“คุณพ่อบอกว่า ตอนนี้สถานการณ์ที่บริษัทไม่ค่อยดีเพราะชื่อเสียงเราเสียไปมาก ทางบริษัทกำลังมองหาผู้ร่วมทุนใหม่ๆเพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆที่น่าเชื่อถือ”
“หาผู้ร่วมทุนใหม่”
“เห็นเขาพูดถึงสยามเอ็นจิเนียริ่งของพี่รวิ แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมว่าเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสยามเอ็นจิเนียริ่งหรือบริรักษ์อีกแล้ว”
“สยามเอ็นจิเนียริ่ง... รวิ... ทางเดียวที่พี่จะกลับไปเป็นที่ยอมรับได้อีกครั้ง ก็คือ..ดึงสยามเอ็นจิเนียริ่งให้มาร่วมทุนกับเราให้ได้”
“พอซะทีเถอะพี่นิมมาน”
“ทำไมจะคิดไม่ได้ ฉันได้ข่าวมาว่ารวิเลิกกับไอ้เทวาแล้ว ฉันยังมีโอกาส”
“ปล่อยพี่รวิเขาไปตามทางของเขาเถอะ ที่ผ่านมาพี่ก็ทำร้ายเขามามากพอแล้ว”
“แกไม่รู้อะไรก็อย่าสะเออะมาสั่งสอนฉัน ถึงตอนนี้ฉันจะสิ้นท่าแต่ฉันก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายแกอยู่”

นิมมานมองมนัสดุดัน ดวงตาแข็งกร้าว มนัสทอดถอนใจ

ณ คอนโดเมฆา กระเป๋าเดินทางของเพชรพริ้งตั้งอยู่กลางห้อง

“ฉันย้ายออกมาจากบ้านแล้ว จะมาขออาศัยอยู่กับคุณที่นี่สักพัก”
“คุณพริ้ง ที่คุณไปก่อเรื่องไว้กับคุณดาน่ะ มันไม่ดีเลยนะครับ”
“นี่เมฆา ที่ฉันย้ายมาอยู่กับคุณที่นี่เพราะเชื่อว่าคุณจะไม่เซ้าซี้ ไม่ถาม และจะเป็นคนที่เข้าใจฉันมากที่สุด แต่ถ้าคุณจะพูดเรื่องนี้ล่ะก็ฉันจะไปอยู่ที่อื่น”
“โอเค ผมไม่พูดเรื่องนั้นก็ได้ แต่ผมอยากให้คุณหยุดตอแยคุณรวิกับคุณเทวาซะที”
“นี่คุณเป็นพวกใครกันแน่”
“ที่ผมพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าเพราะผมห่วงสองคนนั้น แต่เพราะผมห่วงคุณ”
เพชรพริ้งเงียบไป
“ถ้าคุณยังเจ้าคิดเจ้าแค้นต่อไปแบบนี้ เมื่อไหร่คุณถึงจะมีความสุขเหมือนคนอื่นเขาซะที”
“ความสุขของฉันคือการได้ทุกอย่างมาจากนังรวิ”
“แล้วไงต่อครับ พอคุณได้ทุกอย่างแล้ว แล้วจะยังไงต่อ คุณอาจจะได้ผู้ชายของคุณรวิ แต่เขาจะรักคุณจริงๆหรือเปล่า คุณอาจจะได้ทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ของพวกนั้นมันก็ซื้อความอบอุ่นทางใจให้คุณได้ไหม คุณอาจจะได้บ้านสิริคุณานันท์ แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณไม่เหลือคนในครอบครัวเลยสักคน”
เพชรพริ้งอึ้งไป คำพูดเมฆาสะกิดเธอขึ้นมาเล็กน้อย ท่าทีเธออ่อนลงเหมือนจะเข้าใจ
“ที่คุณพูดมาก็ถูก สุดท้าย..ฉันก็จะไม่เหลืออะไรเลย งั้นฉันควรจะหยุดใช่ไหม”
“ถ้าคุณอยากจะพบกับความสงบ คุณก็ต้องหยุด”
เมฆาดึงเพชรพริ้งเข้ามากอด เพชรพริ้งทำเป็นยิ้มอ่อนเข้าใจ อีกฝั่ง ใบหน้าของเพชรพริ้ง ... เธอไม่หยุดอย่างที่พูดแน่ๆ หน้าตาเธอออกแนวโรคจิตร้ายกาจ

วันใหม่ ที่โซฟา บ้านบริรักษ์ ดาริน ดาวิกาและตะวันกำลังซุบซิบบางอย่างกันอยู่แล้ว เทวาเพิ่งเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น
พอตะวันเห็นเทวามาก็รีบวิ่งเข้าไปหา
“คุณพ่อขา”
“ว่าไงลูก”
“เมื่อไหร่คุณพ่อจะไปตามคุณแม่กลับบ้านซะทีล่ะคะ”
เทวาอึ้งไป พยายามหาคำตอบที่ดี
“ตะวัน จำได้ไหมลูก ว่าก่อนที่พ่อจะแต่งานกับแม่รวิ เราเคยมีกันแค่สองคนพ่อลูก”
“จำได้ค่ะ”
“ตอนนั้นเราก็อยู่กันได้อย่างมีความสุขดี”
ตะวันพยักหน้ารับ
“งั้นถ้าต่อไปนี้จะไม่มีแม่รวิ เราสองคนก็จะยังอยู่กันได้เหมือนเดิมใช่ไหม และพ่อก็ยังรักลูกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”
ตะวันส่ายหน้ารัวๆ ไม่ยอมรับ
“ไม่ค่ะ ไม่เหมือน ตอนนั้นตะวันยังไม่รู้จักคุณแม่ แต่ตอนนี้ตะวันรู้จักแล้ว ตะวันจะเอาคุณแม่กลับมา”
ตะวันเริ่มทำหน้าเบะ แล้วร้องไห้
“ตะวันคิดถึงคุณแม่ ฮือๆๆๆ”
ดาวิกากับดารินมองหน้ารู้กันว่านี่คือการเล่นละครของตะวัน ดาวิกาดึงตะวันเข้ามาปลอบ
“โอ๋ ตะวัน เงียบซะนะ อาเชื่อว่ายังไงคุณพ่อก็ต้องไปง้อคุณแม่รวิกลับมาอยู่บ้านเราเหมือนเดิม... จริงไหมคะพี่เทวา”
“ถึงพี่ไปง้อเขา เขาก็คงไม่อภัยให้พี่อยู่ดี”
เสียงบรมแทรกขึ้นมาก่อน ก่อนที่จะเข้ามาร่วมวงสนทนา
“ของแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้นี่ จำได้ไหม เมื่อก่อนตอนที่พ่อยุให้แกจีบหนูรวิใหม่ๆ แกก็เอาแต่ป๊อดว่าเขามีแฟนแล้ว แต่ในที่สุดแกก็พิชิตใจเขาได้สำเร็จ ถ้าตอนนั้นแกไม่ลองเสี่ยง แกก็คงมาไม่ถึงวันนี้หรอก”
ตะวันหยุดร้องไห้ ทั้งดารินกับดาวิกามองอย่างลุ้นๆว่าบรมจะเกลี้ยกล่อมเทวาสำเร็จไหม
“แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่ครับคุณพ่อ”
“นึกดูดีๆซิเทวา แกกับหนูรวิน่ะผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งเท่าไหร่ และที่สำคัญตอนนี้แกกับหนูรวิก็ยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน ชีวิตคู่ของแต่ละคู่มันก็มีปัญหาต่างๆกันไป และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ขออย่างเดียว..อย่าเพิ่งยอมแพ้ อย่าหันหลังให้กัน แล้วแกจะผ่านทุกอย่างไปได้”
ตะวันตบมือชอบใจ
“คุณปู่พูดถูกที่สุดเลยค่ะ”
“นี่.. เราเข้าใจด้วยเหรอที่คุณปู่พูดน่ะ” ดารินถามตะวัน
ตะวันยิ้มพยักหน้า ตาใส
“รู้ว่าคุณพ่ออย่ายอมแพ้” ตะวันวิ่งไปจับมือเทวาเขย่า “คุณพ่อ สู้ๆๆ”
“พ่อก็ไม่ได้อยากยอมแพ้ แต่พ่อไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง”
“เริ่มด้วยการพาหนูรวิไปฮันนีมูนซะ ตั้งแต่แต่งงานกันมาแกยังไม่เคยพาเขาไปเที่ยวกันสองต่อสองเลย” บรมบอก
“แค่หน้าผมเขายังไม่อยากจะมองเลย ขืนชวนไปฮันนีมูนเขาคงไล่ผมออกจากบ้านแทบไม่ทัน”
“เรื่องนี้ฉันจัดการให้เอง”
ทุกคนหันไปมองว่าบรมมีแผนอะไร
“แต่งานนี้ฉันต้องมีผู้ช่วย” บรมบอก

วิษณุกำลังพูดโทรศัพท์อยู่กับบรม ที่มุมหนึ่งของบ้านสวน
“ได้เลยครับคุณบรม ผมว่าแผนนี้เข้าท่าเลยทีเดียว”
อิงอรกำลังทำขนมอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น อดตะแคงหูฟังไม่ได้
“ถ้าเป็นเรื่องของรวิกับเทวา ผมยินดีจะช่วยเต็มที่ ถ้าแผนนี้สำเร็จขึ้นมา เราสองคนก็จะได้มีหลานกันสักที”
วิษณุกดวางสายหันมามองหน้ากับอิงอร สายตาอิงอรสงสัยใครรู่ วิษณุยิ้ม ยังไม่ได้บอกอะไร

ในห้องทำงาน รวิปรียากำลังพูดโทรศัพท์อยู่กับวิษณุ
“จะให้รวิไปดูโปรเจกต์ the woodland ที่ปากช่องหรือคะคุณพ่อ ที่นั่นมีปัญหาอะไรหรือคะ”

วิษณุคุยโทรศัพท์กับรวิปรียา
“ก็ปัญหาเรื่องการก่อสร้างนี่แหละ พอดีคุณเทวาเขาไม่ว่าง เขาเลยอยากให้ทางเราไปดูให้หน่อย แต่พ่อไม่อยากให้รวิไปคนเดียว กลัวจะเกิดเรื่องแบบคราวก่อนอีก พ่อก็เลยขอให้เมฆาเขาไปเป็นเพื่อน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
“งั้นพ่อจะให้เมฆาเขาไปรับรวิที่บ้านแต่เช้านะ”
ขณะที่พูด วิษณุก็มองอิงอรซึ่งกำลังส่งสัญญาณขยับปากพูดแบบไม่มีเสียง เตือนว่า “เสื้อผ้า”
“อ้อ.. แล้วก็เตรียมเสื้อผ้าไปด้วยล่ะ ถ้างานไม่เรียบร้อย รวิอาจจะต้องค้างอยู่ที่นั่นสักคืนสองคืน”
“ค่ะคุณพ่อ”
รวิปรียากดวางสายลง ยังไม่ได้เอะใจอะไร

วิษณุเพิ่งวางสายจากรวิปรียา
“คุณนี่นะ ไปแต่งเรื่องหลอกลูกแบบนี้ ถ้ายัยรวิรู้เข้าทีหลังล่ะก็เป็นต้องโกรธแน่ๆ”
“ถ้าเขาคืนดีกันได้จริง ก็คงไม่โกรธหรอก แต่จะขอบคุณสิ่งที่เราทำให้เขามากกว่า”
“ไปคราวนี้ ก็ขอให้ยัยรวิหายโกรธคุณเทวาได้จริงๆซะที”
“แล้วคุณล่ะอร จะหายโกรธผมได้หรือยัง”
อิงอรชะงัก แล้ววางมือจากการทำขนม แล้วตอบ
“ถ้าไม่หายโกรธ ฉันจะปล่อยให้คุณมานั่งเล่น นอนเล่น กินข้าวที่บ้านนี้เกือบทุกวันเหรอคะ คิดบ้างสิ”
วิษณุยิ้มออกมาได้ เดินเข้ามาจับมืออิงอร
“ผมอยากให้อรกลับไปอยู่บ้านเรา ผมอยากนั่งเล่น นอนเล่น และกินข้าวฝีมืออรทุกวัน” วิษณุลากเสียงคำว่า ทุกวัน แล้วเว้นจังหวะเพื่อเน้นคำ “ที่บ้านของเรา”
อิงอรยิ้ม แทนการตอบรับคำ

วันใหม่ กระเป๋าเสื้อผ้าของเมฆาวางอยู่บนโซฟาเตรียมจะออกไปข้างนอก เพชรพริ้งก้าวเข้ามาถาม
“ไปแค่ปากช่อง ทำไมต้องค้างคืนด้วยล่ะคะ”
“ผมต้องขับรถพาคุณรวิไป แต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าคุณรวิจะยอมค้างคืนอยู่ที่นั่นหรือเปล่า ถ้าแผนสำเร็จผมก็อาจจะได้กลับเร็ว”
“แผนอะไรคะ”
“แผนฮันนีมูนของคุณเทวากับคุณรวิน่ะ”
เพชรพริ้งไม่ค่อยพอใจ แต่ระงับอารมณ์ไว้ได้ “สองคนนั้นเขา.. คืนดีกันแล้วเหรอ”
“ยังครับ แต่ไปคราวนี้ ทุกคนต่างก็หวังว่าเขาจะได้คืนดีกันซักที”
เมฆาเดินไปที่ตู้ลิ้นชักหนึ่งในห้อง ไขกุญแจเปิดลิ้นชัก หยิบปืนกระบอกหนึ่งออกมา เพชรพริ้งมองตามเพิ่งรู้ว่าเมฆามีปืน เมฆาเอาปืนเก็บเข้ากระเป๋าเอกสาร แล้วมองหน้าเหวอๆของเพชรพริ้ง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ต้องเดินทางไกล ผมเอาไปเผื่อไว้เฉยๆ”
เพชรพริ้งพยักหน้ารับรู้ เมฆาไปคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าแล้วจะออกจากห้อง
“ผมไปนะ มีอะไรก็โทรหาผมได้”
“ค่ะ”
เพชรพริ้งยิ้มหวานส่งให้ เมฆาออกจากห้องไป พอเมฆาคล้อยหลังไปแล้วเธอก็กดโทรศัพท์ออกหาพัชชา
“คุณแม่คะ มีข่าวนังรวิค่ะ ถ้าเราจะจัดการนังรวิก็ไม่มีโอกาสไหนดีกว่านี้อีกแล้ว”

ต่อมา เมฆาขับรถมาจอดที่บันไดหน้าบ้านสิริคุณานันท์
รวิปรียาออกมาจากบ้าน ขึ้นรถพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า
 
รถของเมฆาเคลื่อนออกจากบริเวณนั้น ผ่านประตูรั้วบ้านไป

อีกมุมหนึ่งที่หน้ารั้วบ้าน รถคันหนึ่งจอดซุ่มรออยู่
 
ในรถมีพายุและลูกน้อง2 คนกำลังมองตามรถของเมฆา

ที่ถนนเข้าบ้าน นิมมานกำลังขับรถเข้ามามุ่งหน้าไปทางบ้านสิริคุณานันท์ สายตาเขาพลันเห็นรถของเมฆาที่มีรวิปรียานั่งไป นิมมานจอดรถมองตามรถเมฆา แล้วเห็นว่ารถของพายุก็ขับตามหลังรถของเมฆาไปเช่นกัน

ทางด้านเทวาถูกประกบซ้ายขวาด้วยดารินและดาวิกาขณะที่เดินมาที่ห้องนั่งเล่น ต่างคนต่างพูดกำชับให้เทวาทำตามแผน
“ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ค่ะ เมฆาน่าจะพาคุณรวิไปถึงรีสอร์ตตอนประมาณเที่ยง”
ทั้งสามคนหยุดยืนอยู่มุมหนึ่ง เทวาหันไปหาดาริน
“รินโทรไปกำชับทางรีสอร์ตให้เขาจัดห้องสวีทสุดแสนจะโรแมนติกไว้ให้แล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่เจ้าบ่าวที่ต้องเอาตัวไปถึงที่โน่นให้ทันเวลา ก่อนที่พี่รวิจะรู้ตัวว่านี่เป็นแผน”
เทวาหันไปหาดาวิกา ตอนดาวิกาพูด
“พี่เทวาต้องเอาดอกไม้ช่อใหญ่ๆไปด้วย ดาสั่งดอกไม้ไว้ให้แล้ว แล้วก็อย่าลืมแหวนแต่งงานที่คุณรวิเขาคืนมา พี่ต้องเอากลับไปให้เขาอีกครั้ง”
ดารินจับเทวาให้หันมาฟังเธอ
“จำที่พวกเราสอนไว้ได้ไหมคะ พอไปถึงพี่ก็ต้องพูดกับพี่รวิเขาดีๆ เขาจะด่าจะว่าอะไรก็ยอมแต่โดยดี ทำหน้าเศร้าๆ น้ำตาซึมเล็กน้อย ดราม่าเกาหลีแบบเนี้ยผู้หญิงที่ไหนก็ใจอ่อน”
ดาวิกาจับแขนเทวาให้หันมาฟังเธอต่อ
“อย่าให้พลาดเด็ดขาดนะคะพี่เทวา ใช้โอกาสนี้พิชิตใจคุณรวิกลับมาให้ได้”
เทวารีบยกมือให้บรรดาน้องสาวหยุดพูดซะที
“โอเคๆ นี่เธอสองคนแย่งกันพูดจนพี่มึนไปหมดแล้ว”
“ขอพูดอีกประโยคเดียว พอคืนดีกันได้แล้วก็อย่าเพิ่งรีบกลับ อยู่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันก่อนสักสองสามวัน เข้าใจไหมคะ” ดารินบอก
ก่อนที่เทวาจะตอบ เสียงเล็กๆของตะวันก็ดังเข้ามา
“น้ำผึ้งพระจันทร์นี่มันอร่อยไหมอ่ะคะคุณพ่อ”
ทุกคนหันไปมองตะวันที่หยุดยืนฟังอยู่มุมหนึ่งมาสักพักแล้ว แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“ตะวันอยากลองดื่มบ้าง”
ดารินเข้าไปลูบหัวตะวันขำๆ
“เอาไว้ให้โตเป็นสาวก่อนเถอะนะเราน่ะ” ดารินบอก
“ตะวันไปกับคุณพ่อด้วยได้ไหมคะ ฟังดูน่าสนุกจัง”
“คราวนี้ตะวันไปด้วยไม่ได้จ้ะ เพราะนี่เป็นธุระส่วนตัวของคุณพ่อกับคุณแม่สองคนเท่านั้น” ดาวิกาบอก
“ว้า…”
“งั้นวันนี้ตะวันไปเที่ยวสวนสนุกกับอาดามั้ย”
ตะวันตาโตขึ้นมาทันที พยักหน้าหงึกๆ
“ไป งั้นเราไปเตรียมตัวกันดีกว่า”
ดาวิกาจูงมือตะวันออกไป เทวามองตาม เขายิ้มสุขใจที่เห็นความสัมพันธ์ของดาวิกากับตะวันดีขึ้นเรื่อยๆ


รถของเมฆาแล่นอยู่บนถนนใหญ่ที่มุ่งหน้าสู่ปากช่อง ถึงช่วงที่ค่อนข้างเงียบไม่ค่อยมีรถสัญจรผ่านไปมา
รวิปรียานั่งอยู่ที่เบาะหลังในรถของเมฆา เธอเพิ่งกดวางสายโทรศัพท์จากใครบางคน
“ตกลงว่าที่ไซต์งานเดอะวู้ดแลนด์เขามีปัญหาอะไรกันแน่ นี่ถามใครก็ยังไม่มีใครตอบได้สักคน”
“เดี๋ยวไปถึงคุณรวิก็ทราบเองล่ะครับ”
รวิปรียาเริ่มสงสัย “นี่มีอะไรหรือเปล่าเมฆา”
“ไม่มีครับ”
เมฆาตอบรวิปรียาแล้ว สายตามองกระจกส่องหลัง เห็นรถของพายุที่แล่นตามหลังมาด้วยระยะห่างพอประมาณ
เมฆาพึมพำ “อะไรของมัน”
“อะไรเหรอ”
“รถข้างหลังเราน่ะครับ ตามเรามาตั้งแต่ออกจากรุงเทพแล้ว”
รวิปรียาหันหลังกลับไปมองผ่านกระจกด้านหลังรถ เห็นรถของพายุที่แล่นตามมาห่างๆ
“ผมว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
พอขาดคำเมฆา รถของพายุก็เร่งความเร็วแซงขึ้นมา เมื่อรถของพายุแล่นมาประกบข้างรถของเมฆา จังหวะนั้นเอง รวิปรียาหันไปมองแล้วเห็นพายุนั่งอยู่ในรถคันนั้น กำลังส่งสายตามองมาที่เธอ รวิปรียาตาโต ใจหายวาบ
“พายุ!”
“ใครครับ คุณรวิ”
ยังไม่ทันได้ตอบ รถของพายุที่เร่งความเร็วแซงขึ้นไปข้างหน้าก็ปาดหน้าขวางทางรถเมฆาไว้ เมฆาเยียบเบรคกระทันหัน
“อะไรของมันวะ”
เมฆาโมโหเปิดประตูลงจากรถไป จะคุยให้รู้เรื่อง รวิปรียาอ้าปากจะห้าม
“อย่าลงไป..”
แต่ไม่ทันเมฆาที่ลงจากรถไปแล้ว เดินไปแค่ 4-5 ก้าวพ้นหน้ารถพอดี
พายุและพวกพากันลงมาจากรถของตัวเองเช่นกัน ทั้งสามเดินดาหน้าเข้ามาหาเมฆาอย่างพร้อมเอาเรื่องเช่นกัน พายุดึงปืนออกมาจากด้านหลังถือไว้ในมือเป็นการขู่
เมฆาชะงักเห็นท่าไม่ดี จึงรีบหันหลังกลับมาที่รถทางฝั่งรวิ เปิดประตูฝั่งคนนั่งแล้วเปิดเก๊ะที่หน้ารถ เอาปืนออกมากุมมั่นไว้พร้อมจะใช้หากเกิดเรื่องร้าย แล้วบอกรวิปรียา
“พวกมันมีปืน ท่าทางไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะครับคุณรวิ”
“พวกมันมาจับตัวฉัน มันเคยทำแบบนี้มาแล้วตอนที่อยู่บ้านสวน”
“งั้น เราคงอยู่ไม่ได้แล้ว หนีเถอะครับคุณรวิ”
รวิปรียาลงจากรถ เมฆาคว้าข้อมือรวิปรียาพาหนีไปด้วยกัน โดยหันหน้ามุ่งไปยังทิศที่มีป่าข้างทาง
“มันจะหนีแล้วพี่” ลูกน้อง 1 บอก
ลูกน้องพายุ 2 คนยิงปืนใส่ไปทางเมฆาเพื่อสะกัดไว้แต่กระสุนไม่โดนรวิปรียาหรือเมฆา พายุตะโกนห้ามลูกน้อง
“เฮ้ยหยุด! อย่ายิงมั่วซั่ว กูต้องการตัวนังรวิปรียาเป็นๆ อย่างน้อยก่อนที่มันจะตาย กูจะทำให้มันทรมานเพื่อชดใช้สิ่งที่มันทำกับลูกกู ตามมันไป”
เมฆาพารวิปรียาเข้าไปในป่าริมทาง พายุนำลูกน้องตามไปในทิศเดียวกัน
เพียงคล้อยหลังพายุ รถของนิมมานก็แล่นเข้ามาจอดที่บริเวณนั้น เขามองรถของเมฆาและพายุที่จอดอยู่ในสภาพนั้นแล้วเข้าใจสถานการณ์ นิมมานหยิบปืนออกมาจากลิ้นชักหน้ารถเตรียมพร้อมที่จะตามรวิปรียาไป ทันใด เสียงปืนก็ดังขึ้นสองสามนัดติดต่อกัน

ในป่าข้างทาง เมฆากำลังพารวิปรียาหนี เพิ่งยิงใส่พวกพายุไปสามนัดนั้น พายุและพวกพากันหลบลูกกระสุนตามหลังต้นไม้ แล้วเมฆาก็พารวิปรียาหนีต่อไป
พายุส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องแยกกันไปทางด้านข้างเพื่อตีโอบเมฆา ลูกน้องสองคนแยกกันไปคนละข้าง
เมฆาพารวิปรียาหลบที่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง ชาย1ลูกน้องพายุเดินเข้าไปใกล้บริเวณนั้น เมฆาโผล่หน้ามาจากหลังต้นไม้ เล็งปืนไปที่ชาย1 พอชาย1 หันมาเห็นเขา เขาก็ลั่นไกออกไป ชาย1 ล้มลงแน่นิ่งกับพื้น แต่ยังไม่ทันที่เมฆาจะลดปืนลงเขาก็ถูกพายุยิงใส่จากอีกมุมหนึ่ง
ปัง! เมฆาถูกยิงเข้าที่หัวไหล่อย่างจัง เขาล้มลงกับพื้น
“ว้าย ... เมฆา”
นิมมานเพิ่งวิ่งมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ เขาหลบเข้าที่หลังพุ่มไม้พรางตัวดูสถานการณ์
เมฆานอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น รวิปรียาทรุดนั่งลงดูอาการของเมฆา ชาย2 ลูกน้องพายุปรียาเข้ามาดึงแขนรวิปรียาขึ้น พายุเดินเข้ามามองด้วยสายตาอำมหิต
“คราวที่แล้วผัวเธอมาช่วยไว้ได้ทัน แต่วันนี้..ไม่มีใครช่วยเธอได้แน่”
พายุลากตัวรวิปรียาไป
“แล้วไอ้จ๊อดล่ะพี่”
“ไปดูมันสิ ถ้ามันยังไม่ตาย ก็พาตัวมันไป อย่าปล่อยไว้ให้ตำรวจสาวมาถึงเรา”
ชาย1 เดินไปก้มดูร่างของเพื่อนที่แน่นิ่งอยู่กับพื้น ระหว่างนั้นพายุก็มองไปที่ร่างเมฆาซึ่งนอนบาดเจ็บสีหน้าเจ็บปวด เขาตัดสินใจจะจัดการเมฆาซะ เขาย่างเท้าเข้าไปหาเมฆาพร้อมกับที่ลากรวิปรียาได้ด้วย
“นี่แกจะทำอะไรเมฆา อย่านะ”
“จะปล่อยมันไว้ทำซากอะไรล่ะ”
“ไม่นะ!”
พายุจ่อปืนไปที่เมฆา ซึ่งได้แต่กระเสือกกระสนขยับตัวหนีทีละน้อย ไม่มีปัญญาจะตอบโต้ พายุจ่อนิ้วที่ไก
นิมมานที่หลังพุ่มไม้ เล็งปืนมาที่พายุ
พายุเตรียมจะเหนี่ยวไก
“อย่า...”
นิมมานตัดสินใจยิงออกไป
เสียงปืนดังปัง! อีกหนึ่งนัด แต่คนที่โดนยิงคือพายุ กระสุนเฉี่ยวเข้าที่แขน เขาสะดุ้งปล่อยมือจากรวิปรียา ปืนกระเด็นหลุดจากมือ เมฆารอดจากความตายไปหวุดหวิด
รวิปรียารีบวิ่งหนีไปหาที่หลบเพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ชาย2 ยิ่งปืนใส่กระสุนไม่ยั้งไปตรงพุ่มไม้ที่นิมมานซ่อนอยู่ แต่นิมมานวิ่งหลบรอดลูกปืนไปได้หวุดหวิด
“มีคนมาช่วยงั้นเหรอ ...หามันให้เจอแล้วฆ่ามันซะ” พายุสั่ง
ลูกน้องพายุวิ่งหายไปทางหนึ่ง
 
พายุก้มเก็บปืนของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง สอดส่ายสายตามองหารวิปรียา

นิมมานหลบอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง
 
มือกำปืนไว้มั่นเตรียมพร้อม ชาย2 เดินเข้ามาใกล้จากทางด้านหลัง ใกล้เข้ามาทุกขณะ
ในช่วงเวลาที่กำลังลุ้นระทึก นิมมานครุ่นคิดว่าจะเอายังไง เมื่อนึกออกก็ก้มลงเก็บกิ่งไม้จากพื้นขึ้นมา แล้วโยนออกไปทางหนึ่งให้พ้นตัว
ชาย2 หันขวับเล็งปืนไปทางที่เกิดเสียง แล้วเพิ่งเห็นว่าเป็นกิ่งไม้ที่นิมมานโยนออกมาล่อ เมื่อหันกลับไปทางทิศที่นิมมานอยู่ก็ไม่ทันเสียแล้ว นิมมานเล็งปืนมาทางชาย2 แล้วยิงรัวเข้าหน้าอก3 นัด ชาย2 ล้มลงขาดใจตาย
หลังจากยิงคนตายไปแล้ว สายตานิมมานก็เหี้ยมเกรียมขึ้น

เสียงปืนที่เพิ่งเงียบไป ทำให้รวิปรียาที่กำลังซ่อนตัวอยู่สะดุ้ง ตาเบิ่งค้าง ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พายุก็ชะงัก แล้วยิ่งหงุดหงิดเมื่อกังวลว่าจะเสียลูกน้องไป เขาเดินหารวิปรียาต่อไป
รวิปรียาได้ยินเสียงเดินของพายุมาหยุดทางทิศด้านขวา เธอจึงค่อยๆ คลานเลี่ยงไปทางซ้ายอย่างเบาๆ และระแวดระวังหลัง
แต่แล้วเมื่อเธอหันหน้ากลับมาก็เห็นเท้าของพายุยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าเธอ รวิปรียาตกใจหน้าซีด
“นังรวิ แกนี่มันดวงแข็งจริงๆ ฉันชักจะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว ในเมื่อมันยุ่งยากนัก แกก็ตายซะตรงนี้เลยแล้วกัน”
พายุจ่อปืนไปที่รวิปรียา ทำท่าจะยิงจริงๆ รวิปรียาหลับตาแน่น คิดว่างานนี้คงไม่รอดแล้ว
เสียงนิมมานดังขึ้นจากด้านหลังของพายุ
“เฮ้ย!”
พายุหันกลับไปตามเสียงด้วยสัญชาตญาน ทันใดนั้น นิมมานก็ยิงใส่พายุ พายุล้มลงแน่นิ่งกับพื้น
รวิปรียารีบลุกขึ้น วิ่งเข้าไปนิมมานอย่างดีใจที่รอดชีวิต
“นิมมาน”
“คุณปลอดภัยแล้วรวิ”
รวิปรียามองที่ร่างพายุ“เขา.. เขาตายไหม”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ขอบคุณมากนะนิมมาน ถ้าคุณมาไม่ทัน รวิคงถูกพวกมันฆ่าไปแล้ว แล้วนี่คุณตามมาถูกได้ยังไง”
“ผมกำลังจะไปหารวิที่บ้าน แต่เห็นรถพวกมันตามหลังรถคุณมา ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจ ผมก็เลยตามมา”
รวิปรียานึกถึงเมฆาขึ้นมาได้ “เมฆา.. รีบไปดูเมฆาก่อนเถอะค่ะ”
รวิปรียาวิ่งไปนั่งลงข้างเมฆา ที่นอนเจ็บปวดอยู่บนพื้น
“เมฆา เป็นยังไงบ้าง”
เมฆาค่อยพยุงตัวขึ้นนั่งพิงต้นไม้อย่างยากเย็น
“โดนแค่ที่ไหล่น่ะครับคุณรวิ ยังไกลหัวใจ”
“แต่คุณเสียเลือดไปมาก ปล่อยไว้แบบนี้ต้องแย่แน่ นิมมานคะ พาเมฆาไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ”
นิมมานยืนเฉย ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
“เป็นอะไรของคุณน่ะ งั้นเราต้องโทรแจ้งตำรวจ คุณมีโทรศัพท์หรือเปล่า”
นิมมานไม่ตอบแต่เข้าไปดึงแขนรวิปรียาให้ไปด้วยกัน
“นี่คุณจะทำอะไรของคุณ”
นิมมานยกปืนขึ้นมาเป็นเชิงขู่ รวิปรียาหน้าเสีย
“คุณต้องไปกับผม”
“หยุดนะนิมาน นี่คุณเป็นบ้าอะไรขึ้นมา แล้วคุณจะพาฉันไปไหน”
นิมมานลากตัวรวิปรียาไปจากตรงนั้น
“คุณรวิ”
เมฆากระเสือกกระสนควานหาโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง พยายามกดหาเบอร์ แล้วโทรออก

เทวาเดินตรงไปที่รถเปิดประตู ขณะกดรับสายจากเมฆา
“โทรมาได้เวลาพอดีเลยเมฆา นี่ฉันกำลังจะออกจากบ้าน นายถึงไหนแล้ว …” หลังฟังเรื่องราวจากเมฆาก็ตกใจ “ว่าไงนะ”

วิษณุเพิ่งวางโทรศัพท์ลง อิงอรย้ายกลับมาอยู่บ้านวิษณุแล้ว ยืนฟังอยู่ข้างๆ
“เป็นไงบ้างคะคุณ เจอตัวรวิหรือยัง”
“ทางตำรวจกำลังแกะรอยรถนิมมานอยู่ คนร้ายถูกยิงเสียชีวิตคนนึง ส่วนอีกคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ส่วนเจ้าพายุมันหนีไปได้ ผมเสียใจจริงๆที่ครั้งก่อนไม่เอาเรื่องมันเพราะคิดว่าเป็นญาติกับพัชชา และพวกเขาคงไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้อีก แต่ที่ไหนได้ ครั้งนี้ผมจะเอาเรื่องพัชชากับพายุให้ถึงที่สุด”
อิงอรหันไปมองเห็นเพชรแท้ พร้อมกระเป๋าเดินทางเตรียมกลับอเมริกา ตกใจ คิดว่าเพชรแท้คงได้ยินที่วิษณุพูด
“เพชร” วิษณุหันมามองตาม สงสารหลานชาย
“ผมขอโทษแทนคุณแม่ด้วยนะครับคุณลุง คุณป้า” เพชรแท้ยกมือไหว้
“เดี๋ยวลุงให้คนไปส่งที่สนามบินนะเพชร”
“ผมคิดว่าจะเลื่อนไฟท์ รอฟังข่าวพี่รวิก่อน”
วิษณุเดินเข้ามาจับบ่าเพชรแท้หลายชายที่เปรียบเสมือนตัวแทนของน้องชายที่เขารัก
“ไม่เป็นไรเพชร” วิษณุไม่อยากให้หลานอยู่เห็นแม่ถูกจับติดคุก “มีอะไรเดี๋ยวลุงส่งข่าว เพชรรีบกลับไปเรียนให้จบแล้วมาช่วยลุงกับพี่รวิทำงานนะ”
เพชรแท้ไหว้ลาวิษณุและโผเข้าไปกอดด้วยความรู้สึกหลากหลาย เหมือนตัวเขาไม่เหลือใครนอกจากลุง

ด้านเทวากำลังว้าวุ่นใจ อยู่ที่บ้าน นั่งไม่ติดเดินไปเดินมาเป็นห่วงรวิปรียา ดารินนั่งกระวนกระวายอยู่ใกล้ๆ
“ตอนนี้ตำรวจกำลังเคลียร์สถานการณ์ทางโน้นอยู่ เมฆาถูกพาส่งโรงพยาบาลแล้ว เขาปลอดภัยดี”
“พี่เทวาลองโทรหาพี่รวิอีกทีดีมั๊ยคะ”
“พี่โทรเป็น 100 แล้วนะริน”
มนัสเดินกลับมาจากด้านนอก มือเพิ่งกดวางสายโทรศัพท์แล้วรายงานต่อทันที
“ผมก็พยายามโทรหาพี่นิมมานมาตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่รับสายเลย”
“ถ้าเราพยายามคิดในแง่ดี นิมมานอาจกำลังพาพี่รวิกลับมาส่งที่กรุงเทพก็ได้”
“จะคิดในแง่ดีก็ต้องอิงความเป็นจริงด้วยริน ขนาดผมเป็นน้องชายผมยังไม่คิดแบบนั้นเลย”
“พี่ก็ไม่คิดแบบนั้นเหมือนกัน ถ้านิมมานคิดจะช่วยรวิด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขาก็น่าจะช่วยพาเมฆาไปส่งโรงพยาบาลตั้งแต่แรก แล้วก็ไม่น่าตัดการติดต่อกันแบบนี้ แต่ที่พี่กำลังสงสัยคือเขาต้องการอะไรกันแน่”
“คืนก่อนที่ผมเจอพี่นิมมานที่บ้าน เขาก็พูดอะไรแปลกๆ นะครับ เขาอยากได้บริษัทพี่รวิมาร่วมทุนกับนิรมิต เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขากลับมาบริหารบริษัทได้”
“แต่พี่กลัวว่ามันจะไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ ตอนนี้นิมมานเหมือนสุนัขจนตรอกที่สูญเสียทุกอย่าง เขาพร้อมที่จะทำอะไรบ้าๆได้ทุกเมื่อ”
ทุกคนกังวลใจมากขึ้น
ดารินหันไปถามมนัส
“นี่คุณไม่มีไอเดียเลยเหรอว่าพี่ชายคุณ จะพาพี่สะใภ้รินไปที่ไหนได้บ้าง”
“ผมไม่ได้สนิทกับพี่นิมมานมาก เอาตรงๆก็แทบไม่รู้เรื่องส่วนตัวของเขาเลย”
ดารินถอนใจผิดหวัง แล้วนึกบางอย่างออก
“แต่มีคนนึงที่อาจจะรู้ค่ะ”

นิมมานพารวิปรียามาที่บ้านพักตากอากาศ ลากแขนรวิปรียาเข้ามาในบ้าน มือหนึ่งยังคงถือปืนอยู่เพื่อขู่
“นี่คุณจะทำอะไรน่ะนิมมาน”
นิมมานเหวี่ยงร่างรวิปรียาลงบนเตียง
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณให้รู้เรื่อง”
นิมมานดึงกุญแจมืออกมาจากกระเป๋ากางเกง จัดการล็อคข้อมือรวิปรียาเข้ากับเสาที่หัวเตียง
“แล้วทำไมเราไม่คุยกันดีๆล่ะ ทำไมต้องล็อคฉันไว้ด้วย นี่คุณจะบ้าไปแล้วเหรอ”
นิมมานไม่ตอบ เขาดูเครียดจัดแล้วเดินออกไปนอกห้อง รวิปรียาพยายามดิ้นพร้อมโวยวาย
“นี่ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะนิมมาน”

พัชชาเดินไปเดินมาในบ้านเช่าเหมือนหนูติดจั่น กระวนกระวายใจ เพชรพริ้งเข้ามาในบ้านพอดี
“คุณแม่”
“พริ้ง มาได้เวลาพอดี แม่กำลังใจไม่ดีอยู่เลย โทรหาลุงพายุเขาก็ไม่รับสาย ที่จริงป่านนี้เขาน่าจะทำงานสำเร็จไปแล้ว”
“พริ้งโทร.หาเมฆาตอนมาที่นี่ ตอนนี้เมฆาถูกยิงบาดเจ็บ”
“แล้วพวกนั้นได้ตัวนังรวิไปไหม”
“นิมมานน่ะสิ มาช่วยนังรวิไว้ได้ เสนอหน้าไม่เข้าเรื่องจริงๆเลย ส่วนพวกของเราโดนยิงกันหมด ไม่รู้ว่าตายหรือเปล่า”
พัชชาใจหาย ลนลาน
“งั้นต้องเก็บของ แม่ต้องไปแล้ว”
“คุณแม่จะไปไหนคะ”
“ไปไหนก็ได้ จะอยู่ไปให้ตำรวจมาตามลากคอเข้าตารางหรือไง ป่านนี้ ไอ้พายุมันอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
“ตายก็ดีสิคะ จะได้ไม่มีใครซัดทอดมาถึงคุณแม่กับพริ้งได้ อีกอย่างนึง เราสองคนไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เราไม่ได้จ้างเขาให้ไปฆ่านังรวินี่คะ เขาอาสาทำให้เราเอง”
“ที่แกพูดก็จริง แล้วเวลานี้เราควรทำยังไง”
“คุณแม่ต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
พัชชาพยักหน้าตกลง ดวงตาเพชรพริ้งแข็งกร้าวยังไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ

เทวา ดาริน มนัส และรริศาเดินตรงไปยังบ้านตากอากาศเบื้องหน้า
“เท่าที่ริศานึกออก ก็มีแต่ที่นี่ล่ะค่ะ”
รริศาพาทุกคนมาที่บ้านพักหลังนี้
“คุณนิมมานเคยพาริศามาที่นี่ เขาบอกว่าเขาตั้งใจสร้างบ้านหลังนี้ให้เป็นของขวัญแต่งงานระหว่างเขากับคุณรวิ ถ้าเขาพาคุณรวิมาเพื่อจะขอคืนดี ก็คงจะพามาที่นี่ล่ะค่ะ”
“พี่จะเข้าไปข้างใน”
“เดี๋ยวก่อนค่ะพี่เทวา อย่าบุ่มบ่ามเลยค่ะ มันอันตรายนะคะ” ดารินบอก
“นั่นสิครับ ตอนนี้เรายังเดากันไม่ออกว่าพี่นิมมานเขาอยู่ในอารมณ์ไหน ผมโทร.แจ้งตำรวจแล้ว เดี๋ยวสักพักตำรวจก็คงมาถึง” นมัสบอก
“ก็เพราะนิมมานเขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้นี่แหละ ที่สำคัญเขามีปืนด้วย รวิกำลังตกอยู่ในอันตราย พี่รอนานขนาดนั้นไม่ได้”
“ใจเย็นๆเถอะครับคุณเทวา ผมว่าพี่นิมมานคงไม่ทำอะไรุนแรงกับพี่รวิหรอกครับ”
 
มนัสบอก

รวิปรียายังถูกใส่กุญแจข้อมือล็อคอยู่
 
เธอพิงหลังอยู่กับเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ท้อใจกับการพยายามดิ้นหนีที่ไม่สำเร็จ นิมมานยื่นแก้วน้ำมาตรงหน้า รวิปรียาหันมามอง
“ผมเอาน้ำมาให้คุณ คุณยังไม่ได้ดื่มอะไรเลยตั้งแต่มาถึงที่นี่”
“ไม่ ฉันไม่หิว ไม่กินอะไรทั้งนั้น ฉันอยากกลับบ้าน ปล่อยฉันไปเถอะนิมมาน มากักตัวกันไว้แบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
นิมมานวางแก้วน้ำไว้ใกล้ๆบริเวณนั้น
“ผมปล่อยคุณได้ แต่ผมให้คุณกลับไม่ได้ จนกว่าคุณจะรับปากว่าจะยอมให้สยามนิรมิตมาร่วมทุนกับนิรมิต”
“ที่คุณจับฉันมากักตัวไว้ตั้งหลายชั่วโมงก็เพื่อเรื่องแค่นี้เองเหรอ”
นิมมานยังไม่ตอบ
“งั้นก็ปล่อยฉัน แล้วมาคุยกันดีๆ แบบที่มืออาชีพเขาทำกัน คุณเคยเป็นมืออาชีพไม่ใช่เหรอ”
“ได้ ผมจะปล่อยคุณแล้วเรามาคุยกัน”
นิมมานใจอ่อนเล็กน้อย ตัดสินใจไขกุญแจมือให้ ทันทีที่รวิปรียาเป็นอิสระเธอก็คว้าแก้วน้ำ สาดใส่หน้านิมมาน ถีบนิมมานออกไปจากเตียง แล้วก็ลุกวิ่งไปที่ประตูห้อง
นิมมานลุกขึ้นวิ่งตามไปแล้วยืนบังประตูไว้ได้ทันเวลา
“ในเมื่อคุณหลอกผม.. ก็ดี จะได้ไม่ต้องเกรงใจกัน ผมจะบอกให้ก็ได้ว่าเรื่องธุรกิจมันเป็นแค่ผลพลอยได้ สิ่งที่ผมต้องการมีอย่างเดียว ก็คือ คุณ”
รวิปรียาชะงักแล้วถอยหลังกรูด แล้วหันหลังจะหนี นิมมานเข้ามารวบตัวไว้
“ผมยังรักคุณอยู่นะรวิ”
“ถ้าคุณรักฉันจริงอย่างที่คุณพูด คุณก็ต้องปล่อยฉันเป็นอิสระ ที่คุณทำอยู่นี่เขาไม่เรียกว่ารัก เขาเรียกว่าขี้ขลาดเห็นแก่ตัว”
“คุณจะเรียกผมว่าเห็นแก่ตัวก็ได้ ผมไม่แคร์อะไรอีกแล้ว ขอแค่คุณลืมไอ้เทวาซะแล้วกลับมาหาผม ผมไม่แคร์ว่าคุณจะเป็นของมันมาก่อน ผมรักคุณนะรวิ”
นิมมานกดร่างรวิปรียาลงบนเตียง ซุกไซ้พยายามจะจูบ แต่รวิพยายามร้องห้ามและพยายามดิ้นหนี แต่นิมมานก็รัดไว้ไม่ปล่อย
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! นี่คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง”
“ใช่ ผมบ้าเพราะผมมันจนตรอกแล้วไง ผมไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว นี่จะเป็นการเสี่ยงครั้งสุดท้ายของผม ที่จะได้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม”

เทวาใจคอไม่ดี หันกลับมาบอกดาริน
“พี่รอไม่ไหวแล้ว ถึงยังไงพี่ก็จะเข้าไป”
“พี่เทวา”
เทวาเดินมุ่งหน้าไปทางตัวบ้าน ไม่ฟังเสียงทัดทานของดาริน
ขณะที่เทวากำลังเดินตรงไปยังตัวบ้าน รถตำรวจก็แล่นเข้ามาในบริเวณนั้นพร้อมเปิดไฟไซเรน ทุกคนชะงัก เทวาหยุดแล้วหันไปมอง

ในบ้าน นิมมานกำลังปลุกปล้ำรวิปรียา รวิปรียาดิ้นหนีขัดขืนสุดชีวิต
“หยุดนะ”
รวิปรียาผลักนิมมานออกแล้วจะลุกหนี แต่นิมมานกระชากตัวเธอกลับมาบนเตียง เริ่มคลั่ง
“ผมรักคุณคนเดียวไม่เคยเปลี่ยน แต่คุณไม่เคยเห็นค่าของผมเลย คุณมองผมเป็นแค่เศษสวะ แสดงความรังเกียจผมทุกครั้งที่เราเจอกัน คุณลืมไปแล้วเหรอว่า เราเคยรักกันมากขนาดไหน เพราะไอ้เทวาใช่ไหม มันคนเดียวที่ทำให้คุณเปลี่ยนไป งั้นผมจะทำให้คุณลืมมันเอง”
และแล้วทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูหน้าบ้าน นิมมานชะงักทันที
นิมมานลุกขึ้นมา แต่ยังไม่ไปเปิดประตูทันที เขาแหวกม่านหน้าต่างเป็นช่องเล็กๆ มองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอกอย่างระแวดระวัง เห็นรถตำรวจจอดอยู่ด้านนอกของบ้าน จนท.ตำรวจกำลังยืนคุยกัน
“หาเจอจนได้”
นิมมานเริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ เดินวนไปวนมาหาทางออก เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นอีกครั้ง นิมมานเครียดขึ้น ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
นิมมานพึมพำกับตัวเอง “คนอย่างนิมมาน ยอมตายดีกว่าโดนจับ”
จากนั้นนิมมานก็ยิงขู่ออกไปทางหน้าต่าง
ตำรวจนอกเครื่องแบบที่หน้าบ้านก้มหลบลงด้วยสัญชาตญาน
ทุกคนตรงที่จอดรถด้านนอกพากันก้มหลบ
“จะบ้าหรือไงวะพี่นิมมาน นี่ชักจะหนักมือเกินไปแล้วนะ”
“ฉันว่าพี่ชายคุณเขาคลั่งไปแล้วจริงๆ”
รริศาสีหน้าตื่นตระหนกและกังวล
ที่หน้าต่างช่องหนึ่งของตัวบ้าน เทวาปีนหน้าต่างข้ามเข้ามาแล้วเดินลัดเลาะตามหาห้องรวิปรียาอยู่
นิมมานตัดสินใจจะหนีต่อ เขาเข้าไปดึงแขนรวิปรียาจะพาออกไปจากนอกห้อง
“คุณต้องไปกับผม”
“ไปไหนอีก พอได้แล้วนิมมาน คุณไม่มีทางหนีรอดหรอก”
“เงียบๆเถอะน่า”
นิมมานพารวิปรียาออกไปจากห้องนั้น

นิมมานพารวิปรียามาถึงโถงกลางบ้าน เจอกับเทวาที่กำลังจะไปดูที่ห้องนอนพอดี
รวิปรียาดีใจไม่คิดว่าจะเจอเทวาที่นี่
“รวิ”
“เทวา”
“ไอ้เทวา มึงเข้ามาในนี้ได้ยังไง”
“ผมมารับเมียผมกลับบ้าน พอได้แล้วคุณนิมมาน ทุกอย่างมันจบแล้ว คุณอย่าทำให้เรื่องมันเลวร้ายไปกว่านี้เลย”
เทวาขยับตัวเข้ามาเพื่อหยั่งเชิง
“เทวา ระวังนะเขามีปืน”
“หยุดอยู่ตรงนั้น ห้ามขยับเข้ามาเด็ดขาด ไม่งั้นกูยิงมึงแน่”
เทวาชะงัก
“มึงมาได้ถูกเวลาพอดี งานนี้ถ้าจะมีใครต้องตาย ก็มึงนี่แหละ ที่จะตายเป็นคนแรก ถ้าไม่มีมึงสักคน รวิก็จะกลับมารักกู” เขาจ่อปืนตรงไปยังเทวา
“หยุดนะ อย่าทำอะไรเขา”
“รักมันมากใช่ไหม ก็ดี.. ถ้าคุณไม่อยากให้มันตายก็บอกมันไปว่าคุณจะกลับมาอยู่กับผม พูดต่อหน้ามันตรงนี้แล้วผมจะไว้ชีวิตมัน”
รวิปรียามองเทวาทั้งรักทั้งห่วง เธอตัดสินใจหันไปบอกนิมมาน
“ฉันจะกลับไปอยู่กับคุณก็ได้”
“ไม่นะรวิ”
“ถ้าฉันทำแบบนั้นแล้วมันจะช่วยชีวิตเทวาได้ แต่่คุณก็จะได้แค่ตัวฉัน คุณจะไม่มีวันได้ความรักจากฉัน เพราะความรักของฉัน ... ฉันยกให้ผู้ชายคนนี้ไปหมดแล้ว”
นิมมานอึ้ง
“คุณจะได้ไปแค่เปลือกของฉัน ได้แค่ความสงสาร ความสมเพชเวทนา คุณรับได้หรือเปล่า”
“ไม่ คุณต้องกลับมารักผม ถ้าไอ้เทวาตายไปซะคน คุณก็จะกลับมารักผม !”
“ถึงเขาตายฉันก็จะยังรักเขา จะคิดถึงเขา ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหนฉันก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจกลับไปรักคุณ”
นิมมานซึม เสียใจ ผิดหวัง แต่ยังคงจ้องปืนไปที่เทวา
“ออกไปมอบตัวซะเถอะนิมมาน ตอนนี้ตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว คุณหนีไปไหนไม่รอดหรอก”
“ให้กูตายไปซะยังจะดีกว่ายอมถูกจับ แต่ถ้าจะตาย เราก็ต้องตายไปด้วยกัน”
นิมมานเบี่ยงปืนไปหารวิปรียาแทนเทวา เทวาตกใจ
“ผมจะยิงคุณก่อน”
“จะทำบ้าอะไรของคุณ รวิไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าคุณทำร้ายรวิ คนที่เสียใจที่สุดก็คือตัวคุณเอง”
“ไม่เสียใจหรอก เพราะหลังจากที่ผมยิงรวิแล้ว ผมก็จะยิงตัวเอง ตายตามคุณไป เราสองคนจะไปด้วยกัน แต่ไอ้เทวา มึงจะต้องเจ็บปวดอยู่ตามลำพังคนเดียวตลอดไป”
“หยุดนะนิมมาน” เทวาว่า
นิมมานไม่ฟังเทวาอีกต่อไป
“เพราะถึงผมจะรอดไปได้ แต่ถ้าต้องอยู่โดยไม่มีความรัก ไม่มีคุณ ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเหลืออยู่ มันก็เหมือนตกนรก ตายทั้งเป็นอยู่ดี”
“ไม่!”
เทวาเป็นห่วงรวิปรียาพุ่งเข้ามาจะแย่งปืนจากนิมมาน ทั้งคู่สู้ยื้อแย่งปืนกัน
“นี่ พอได้แล้ว หยุดเถอะ”
จังหวะหนึ่งที่ปืนถูกลดลงต่ำ (ภาพเห็นแค่ใบหน้า) เทวากับนิมมานออกแรงแย่งปืนในมือ ประจันสายตากันไม่มีใครยอมใคร และแล้ว.. เสียงปืนก็ดังปังขึ้นหนึ่งนัด
“ว้าย”
รวิปรียาตกใจ แต่ยังไม่รู้ว่าใครโดนกระสุน เธอยืนมองสถานการณ์ตาเบิ่งค้าง
ร่างสองร่างของนิมมานกับเทวาค่อยๆผละออกจากกัน ปืนยังอยู่ในมือเทวา ร่างของเทวาค่อยๆล้มลงกับพื้น ..เขาคือคนที่ถูกยิง
“เทวา”
รวิปรียาโผเข้าไปดูร่างเทวา ดวงตาทั้งสองปิดสนิท แน่นิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหว
“ไม่นะเทวา ไม่!! มันต้องไม่เป็นแบบนี้”
ตำรวจนำกำลังพังประตูบ้านเข้ามาหลังจากได้ยินเสียงปืน ตร.ทุกนายยกปืนขึ้นเล็งไปที่นิมมาน นิมมานตัดสินใจยกปืนขึ้นจ่อศีรษะตัวเอง
“อย่าเข้ามานะ”
มนัส ดาริน และรริศาตามหลังตำรวจเข้ามา ดารินตกใจเมื่อเห็นร่างเทวาที่พื้นและรวิปรียากำลังร้องไห้อยู่ข้างๆ แต่ยังไม่ถลันเข้าไป
“พี่เทวา !”
นิมมานเพิ่งเห็นว่ารริศามาด้วย เธอมองนิมมานเศร้าๆ และห่วงใย
“อย่าทำอะไรบ้าๆนะพี่” นมัสบอก
“พี่ไม่เหลืออะไรแล้วมนัส ไม่เหลืออะไรเลย”
รริศาบอก “พอเถอะค่ะนิมมาน อย่าทำร้ายคนอื่นหรือตัวเองอีกต่อไปเลย ถึงโลกนี้จะไม่มีใครเห็นค่าคุณแต่ริศาเห็น ทำไมรู้ไหมคะ เพราะริศารักคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไงริศาก็รักคุณ ถึงคุณจะไม่เหลืออะไรเลย ริศาก็จะอยู่ข้างคุณ วางปืนลงซะเถอะนะคะ”
“ริศา”
“วางปืนลงเถอะพี่นิมมาน ใจเย็นๆ ทุกอย่างมันแก้ไขได้นะพี่”
รวิปรียาร่ำร้องไห้อยู่ข้างๆเทวา
“เทวา ลืมตาสิคะเทวา คุณอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ ฉันยังไม่เคยบอกคุณเลยว่า ฉันรักคุณ เทวา...”
นิมมานมองภาพรวิปรียากับเทวาอย่างสะท้อนใจ ไม่ว่าตอนนี้หรือในอนาคตเขาก็ไม่มีทางได้หัวใจรวิปรียากลับมา นิมมานยอมแพ้.. เขาลดปืนลง แล้วโยนมันลงที่พื้น ตำรวจกรูเข้ามาจับนิมมานแล้วพาตัวออกไป รริศาตามไปด้วย
มนัสกับดารินยืนมองเทวากับรวิปรียาเศร้าๆ
“ลืมตามาฟังฉันพูดก่อน ฉันรักคุณ ฉันรักคุณ” รวิปรียาร้องไห้อีก
น้ำตาของเธอหยดลงบนแขนของเทวา
เทวา ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ
มนัสกับดารินยิ้ม แล้วหันมายิ้มรู้กัน พากันออกไปจากบริเวณนั้นปล่อยเทวาไว้กับรวิปรียาสองคน
รวิปรียาเห็นเทวาฟื้นขึ้นมา ทั้งดีใจทั้งแปลกใจ
“นี่คุณ..”
เทวาเปิดกระดุมเสื้อตัวเองออก เผยให้เห็นเสื้อกันกระสุนข้างใน
“เสื้อกันกระสุนน่ะ ตำรวจเขาให้ยืมใส่มา”
รวิปรียาถอนหายใจโล่งอก ยิ้มออกมาได้
“คุณจะยกโทษให้ผมได้หรือยัง”
“ฉันยกโทษให้ตั้งแต่เห็นคุณปีนหน้าต่างเข้ามาแล้ว”
เทวาพยุงตัวลุกขึ้นมานั่ง
“ผมเพิ่งได้ยินคุณบอกรักผมเป็นครั้งแรกนะรวิ”
“ต่อไปนี้คุณคงได้ยินอีกหลายครั้งค่ะ”
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน สบตาถ่ายทอดความรักให้กัน สักพักเทวานึกขึ้นได้
“ผมเอาของบางอย่างมาให้คุณด้วย”
เทวาล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นแหวนแต่งงานวงเดิมที่รวิปรียาคืนให้เขาไป
“แต่งงานกับผมอีกครั้งนะ”
รวิปรียาพยักหน้าและรับแหวนไป ทั้งคู่มองหน้ากัน ยิ้มมีความสุข เต็มไปด้วยความรัก
“คุณรู้ไหม.. เราอาจจะหลอกคนได้ทั้งโลก แต่สิ่งที่เราหลอกไม่ได้มีอยู่อย่างเดียว”
“ก็คือหัวใจของเราเอง”

ทั้งคู่สวมกอดกันอยู่กลางพื้นบ้านนั้นอย่างรักใคร่ อบอุ่น

นิมมานถูกจับใส่กุญแจมืออยู่
 
ตำรวจคุมตัวอยู่บริเวณที่จอดรถ มนัสกับดารินกำลังพูดคุยกับนิมมานอยู่
“ดูๆแล้ว ถ้าพี่รวิกับพี่เทวาเขาไม่เอาเรื่อง พี่ก็คงไม่โดนคดีร้ายแรงเท่าไหร่ อาจจะแค่กักขังหน่วงเหนี่ยว ส่วนที่พี่ยิงลูกน้องนายพายุตาย ก็ถือว่าเป็นการป้องกันตัว”
ดารินยังหมั่นไส้อยู่ “แต่รวมๆกับคดีฉ้อโกงการก่อสร้างโครงการเมืองใหม่ ก็คงจะนักหนาอยู่ล่ะค่ะ อยู่ในคุกเล่นๆสักสิบปีให้สำนึกตัวได้ก่อนแล้วค่อยออกมาก็ดีเหมือนกัน”
มนัสปรามๆ “ริน”
ดารินลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินเลี่ยงไป รริศาเข้ามาหานิมมาน
“นิมมานคะ ที่คุณบอกว่าคุณไม่เหลืออะไรแล้วน่ะ ไม่จริงเลยค่ะ คุณยังเหลือริศาอยู่อีกคนนึง”
“คุณไม่โกรธผมเหรอ”
“ไม่ค่ะ ริศาจะรอคุณนะคะ ไม่ว่านานแค่ไหนริศาก็จะรอ”
“ขอบคุณมากริศา”
เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนิมมานเข้ารถตำรวจไป จังหวะที่เข้าประตูรถ นิมมานไม่ได้มองใคร ผ่านไปที่รริศายืนมองนิมมานเศร้าน้ำตาไหลออกมา จนรถตำรวจเคลื่อนออกไป มนัสและดารินยืนมองภาพตรงหน้า แล้วทั้งคู่หันมามองหน้ากัน ทั้งคู่ประสานมือกัน มนัสเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมจะไม่ปล่อยมือคุณไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักๆ ขนาดไหนก็ตาม”
ดารินยิ้มให้มนัส ทั้งคู่กระชับมือกันแน่น

วันใหม่ พัชชากำลังเดินไปมาในบ้านเช่า คิดไม่ตก ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ร้อนรนกระวนกระวายใจกลัวความผิด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเธอสะดุ้งเฮือก ที่หน้าจอโทรศัพท์โชว์เบอร์ที่เธอไม่คุ้น เธอกดรับสายใจตุ๊มๆต่อม
“ฮะ ฮัลโหล”
“นี่ฉันเองพายุ”
พัชชาตกใจ “พี่..พี่อยู่ที่ไหนน่ะ ฉันนึกว่าพี่ตายไปแล้วซะอีก”
“ฉันถูกยิง แต่หนีมาได้ก่อน เธอยังอยู่ที่บ้านใช่ไหม”
“ชะ ใช่”
“ฉันอยู่ใกล้ๆนี่แหละ รอฉันอยู่ที่นั่นนะ เดี๋ยวฉันจะไปหา”
แววตาพัชชาตื่นกลัว จะเอายังไงต่อ

ทางด้านเมฆาเปิดประตูเข้ามาในห้อง ที่แขนมีสายคล้องกับคออยู่ เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลและยังบาดเจ็บอยู่ เพชรพริ้งรีบเข้าไปประคองเอาใจ
“เป็นไงบ้างคะเมฆา”
“ยังเจ็บแผลอยู่นิดหน่อยครับ หมอบอกว่าให้งดออกแรงสักเดือนนึง”
เพชรพริ้งพาเมฆามานั่ง แล้วไปหาน้ำมาให้ดื่ม
“พริ้งห่วงคุณแทบแย่ แล้วพวกโจรพวกนั้นมันต้องการอะไรหรือคะ”
“ก็คงต้องการทำร้ายคุณรวิด้วยเหตุผลบางอย่าง” ในใจก็สงสัยเพชรพริ้ง “นี่ผมยังสงสัยอยู่ว่าพวกมันรู้ได้ยังไงว่าผมจะพาคุณรวิไปไหนเมื่อไหร่”
เพชรพริ้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เธอเอาแก้วน้ำมาวางไว้ให้ ชวนคุย
“แล้วพวกโจรพวกนั้น...? มันตายหรือเปล่าคะ”
“พวกมันตายไปคนหนึ่ง แล้วถูกผมยิงบาดเจ็บไปคนนึง”
“แค่สองคน แล้วอีกคนนึงล่ะคะ”
“อีกคนนึง...” เมฆากำลังจะตอบ แล้วนึกได้ “คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกมันมีสามคน ผมยังไม่เคยบอกคุณเลย”
“อ๋อ.. อะ..เอ่อ..ก็เห็นข่าวบอกว่ามี 3 คนนี่ค่ะ”
“ไม่มีข่าวไหนลงรายละเอียดว่าโจรมีกี่คนเพราะไม่อยากให้เสียรูปคดี ผมเช็คมาหมดแล้ว”
เมฆาจ้องหน้า เพชรพริ้งหลบตา เมฆาเค้นเสียงถาม
“คุณรู้ได้ยังไง”
“คือ พริ้ง”
“ทุกอย่างเป็นฝีมือคุณอีกแล้วใช่ไหมพริ้ง”
เพชรพริ้งเลิกเสแสร้าง ใส่อารมณ์ออกมา “ใช่ ฉันเอง ฉันเป็นคนบอกคุณแม่เรื่องที่คุณจะพานังรวิไปปากช่อง พวกโจรที่ตามไปก็เป็นพวกของแม่ฉันเอง”
“เมื่อไหร่คุณจะหยุดซะที คราวก่อนที่เราคุยกัน ผมนึกว่าคุณจะคิดได้แล้วซะอีก”
“ฉันยังไม่หยุด และจะไม่มีวันหยุด”
ดวงตาเพชรพริ้งแวววาวน่ากลัว
“ถ้าคุณจะไปตามตำรวจมาจับฉันก็เชิญ”
“คุณก็รู้ว่าผมจะไม่มีทางทำแบบนั้น”
“งั้นก็ดีแล้ว”
เพชรพริ้งลุกเดินหนีออกไปจากคอนโดไปหาพัชชา เมฆากลุ้มใจทั้งรัก ทั้งเจ็บปวด ทั้งเหนื่อยใจ

พัชชาหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า อีกมือหนึ่งกำลังกึ่งลากกึ่งจูงเพชรพริ้งออกมาจากบ้าน
“ไปเร็วพริ้ง ถ้ามันยังไม่ตายมันก็ต้องกลับมาที่นี่แน่”
“แล้วทำไมคุณแม่ต้องหนีมันด้วยล่ะคะ”
“เพราะตอนนี้มันกำลังโดนตำรวจตามล่าตัวอยู่ แม่ไม่อยากติดร่างแหไปกับมันด้วย แกก็ต้องไปกับแม่นะพริ้ง ไม่งั้นแกจะซวยไปด้วย”
“แล้วเราจะไปไหนกันล่ะคะ”
“กลับอเมริกา เราไปขออยู่กับเพชรสักพัก อย่างน้อยก็ครอบครัวเดียวกัน เพชรไม่ทิ้งเราสองคนแน่”
“แต่แม่คะ”
เพียงแค่ก้าวพ้นประตูบ้าน พายุก็ปรากฏตัวดักหน้าทันเวลา เขามีร่องรอยบาดเจ็บตามตัว
“นี่จะไปไหนกัน”
พัชชาชะงักตกใจ
“ฉัน.. ฉันจะพาพริ้งไปหลบที่ต่างจังหวัดสักสองสามวัน”
“ฉันรู้นะ เธอกำลังจะหนีใช่ไหม”
“ก็เพราะแกโง่ทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าน่ะสิ ฉันกับลูกถึงต้องพลอยซวยไปด้วย”
ในมือพายุกำเครื่องบันทึกเสียงเครื่องเล็กๆไว้ นิ้วมือกดปุ่มอัดเสียงก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกง
“ซวยงั้นเหรอ เธอนั่นแหละที่เป็นตัวต้นคิดให้ฉันไปจัดการนังรวิ งานนี้ฉันไม่ยอมเจ็บคนเดียวแน่ เธอต้องรับผิดชอบด้วย”
“ใช่ ฉันเป็นคนต้นคิด เพราะถ้านังรวิตาย ลูกของเรา” เพชรพริ้งหันมามองหน้า งง สงสัย “ก็จะได้สมบัติทุกอย่างของคุณพี่วิษณุ ฉันวางแผนให้แกจัดการมัน แต่แกมันไม่ได้เรื่องเอง ทำงานล้มเหลวทั้งสองครั้ง ถ้าฉันรู้ว่ากระจอกขนาดนี้ฉันไม่มายุ่งกับแกให้เสียเวลาหรอก”
พัชชาจูงมือเพชรพริ้งจะไป แต่พายุขยับมาดักหน้า
“ฉันไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น ถ้าจะไป เราสามคนพ่อแม่ลูกก็จะไปด้วยกัน”
“ลูก? จะบ้าเหรอ ฉันไปเป็นลูกแกตั้งแต่เมื่อไหร่” เพชรพริ้งแว๊ด
“บอกลูกสิพัช”
“ใช่แล้วพริ้ง ผู้ชายคนนี้เป็นพ่อแท้ๆของแก”
“ว่าไงนะ”
“ใช่ เลือดเนื้อของเธอครึ่งนึงมันมาจากฉัน รู้แล้วจะเรียกพ่อว่าพ่อได้หรือยัง”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันคะคุณแม่ นี่พริ้งไม่ใช่ลูกคุณพ่อเหรอ”
“แม่ท้องพริ้งก่อนที่จะเจอกับคุณพ่อ แต่พริ้งไม่ต้องไปสนใจอีกต่อไป เราสองคนจะไปตามทางของเรา ... ส่วนแกก็เลิกตามตอแยฉันกับลูกได้แล้ว”
ไม่ทันขาดคำ รถตำรวจก็แล่นเข้ามาจอดปิดทางเข้าออกที่ถนนหน้าบ้าน ตำรวจ 3-4 คนลงมาจากรถพร้อมปืน
“นี่แกเรียกตำรวจมาจับฉันงั้นเหรอ อีงูพิษ แต่ก่อนแกเคยเลวหักหลังฉันยังไง ตอนนี้แกก็ยังเลวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”
ตร.1บอก “นายพายุ นายไม่มีทางหนีแล้ว มอบตัวเดี๋ยวนี้”
“กูไม่ยอมโดนจับง่ายๆหรอกโว้ย” พายุชักปืนออกมาจากด้านหลัง
พายุคว้าตัวพัชชามาล็อคคอไว้ ขณะเพชรพริ้งยังอึ้งกับชาติกำเนิดของตัว สติลอยหายไปชั่วครู่
“ว้าย นี่แกจะทำอะไรน่ะ”
พายุตะโกนบอกตำรวจ “ถอยไป ถ้าเข้ามากูยิงอีนี่จริงๆด้วย”
“จะบ้าเหรอไอ้พายุ”
พายุกระซิบบอกพัชชา “เล่นละครหน่อยน่า ถ้าเธอร่วมมือ เราสองคนก็รอดจากตรงนี้ไปได้”
“วางอาวุธเดี๋ยวนี้นายพายุ ไม่งั้นเราจำเป็นต้องยิง”
พายุกระซิบบอกพัชชา “พวกนั้นมันไม่กล้ายิงหรอกน่า พอจบเรื่องนี้แล้วเราสองคนจะได้หนีไปด้วยกัน”
พัชชาพึมพำกับตัวเอง “ไปด้วยกันงั้นเหรอ ถ้าเรารอดไปแกอาจจะฆ่าฉันก็ได้”

พัชชาคิดแผนในใจ ทำยังไงถึงจะรอดจากพายุ

พอช่วงที่พายุค่อยๆถอยหนีตำรวจ เขาเสียหลัก
 
พัชชาได้โอกาสผลักพายุออกไปแล้วก้มตัวนั่งลง พายุไร้เกราะกำบัง กลายเป็นเป้าเต็มสายตา เขารู้ว่าจะไม่รอดแล้ว ยกปืนขึ้นทำท่าจะยิงสู้ แต่เหล่าตำรวจยิงสวนกลับมาหลายนัด พายุล้มลงกับพื้น หายใจรวยริน
เพชรพริ้งมองภาพ ช็อคๆ สับสนกับหลายเรื่องที่ประดังเข้ามาในเวลาเดียวกัน
พัชชาเข้าไปดูพายุใกล้ๆ แล้วพูดเยาะๆ
“ขอโทษนะพายุ ฉันไม่มีทางไปกับแกหรอก ชีวิตฉันมันเคยไปได้ไกลมากแล้ว ฉันไม่กลับไปจมปลักเหมือนเดิมอีก”
พายุมองหน้าพัชชาเคียดแค้น แต่พูดไม่ได้แล้ว ตำรวจกรูกันเข้ามาดูร่างพายุ พายุใช้กำลังเฮือกสุดท้ายล้วงเครื่องอัดเสียงจากกระเป๋ากางเกงส่งให้นายตำรวจคนหนึ่ง แล้วยิ้มเยาะพัชชาก่อนจะขาดใจตาย
นายตำรวจเปิดเทปเสียงฟังตรงนั้นทันที เสียงพัชชาลอยขึ้นมาจากเครื่องนั้น

“ซวยงั้นเหรอ เธอนั่นแหละที่เป็นตัวต้นคิดให้ฉันไปจัดการนังรวิ งานนี้ฉันไม่ยอมเจ็บคนเดียวแน่ เธอต้องรับผิดชอบด้วย”
“ใช่ ฉันเป็นคนต้นคิด เพราะถ้านังรวิตาย ลูกของเราก็จะได้สมบัติทุกอย่างของคุณพี่วิษณุ ฉันวางแผนให้แกจัดการมัน แต่แกมันไม่ได้เรื่องเอง ทำงานล้มเหลวทั้งสองครั้ง ถ้าฉันรู้ว่ากระจอกขนาดนี้ฉันไม่มายุ่งกับแกให้เสียเวลาหรอก”
พัชชาหน้าซีดเผือด
ตร.1สั่งลูกน้อง “จับตัวผู้หญิงคนนี้ไปด้วย”
ตำรวจที่เหลือเข้ามาจับพัชชาแล้วพาออกไป พัชชามองเพชรพริ้งที่หมดแรงทรุดนั่งลงอยู่ข้างทาง สายตาเธอทั้งสับสนและเสียใจ พัชชาถูกพาไปแล้ว เพชรพริ้งนั่งจมอยู่อย่างนั้น เหมือนทุกอย่างพังทลายไปต่อหน้า

วันใหม่ อิงอรนั่งอยู่กับรวิปรียา เธอจับมือแม่อยู่ข้างๆ
“รวิดีใจที่คุณแม่กลับมาอยู่บ้านเรา อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้”
อิงอรยิ้มพยักหน้ารับ ตบหลังมือลูกเบาๆ
สักพักวิษณุก็เข้ามาหาเพิ่งกดวางสายโทรศัพท์
“ตำรวจเขาโทรมาเล่าเรื่องให้ฟังหมดแล้ว ตอนนี้พัชาถูกจับข้อหาสมรู้ร่วมคิด”
“แล้วพริ้งล่ะคะ..” รวิปรียาถาม
“พริ้งหายตัวไปตั้งแต่เกิดเรื่อง ตอนนี้ยังไม่มีใครได้ข่าว”
“จะเตลิดไปไหนซะแล้วก็ไม่รู้ น่าสงสารจริงๆ” อิงอรว่า
“ในเทปที่พายุอัดเสียงไว้ ยังมีการพูดคุยกันเรื่องที่พริ้งไม่ใช่ลูกของกุเทพด้วย เขาเป็นลูกของพายุ”
“นี่มันเวรกรรมอะไรกัน เพิ่งมารู้ว่าพ่อที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กไม่ใช่พ่อแท้ๆ พอได้รู้จักพ่อแท้ๆ พ่อก็มาถูกยิงตายต่อหน้า แล้วนี่แม่ยังโดนจับเข้าคุกอีก”
“น่าเห็นใจพริ้งเขาเหมือนกันนะคะ รวิจะโทรบอกเพชร ให้เขาทราบเรื่อง”
วิษณุพยักหน้ารับ ทุกคนได้แต่ทอดถอนใจ

เพชรพริ้งกำลังสิ้นหวังจนแทบจะเป็นบ้า เธอนั่งนิ่งอยู่ในแสงสลัวรางของห้องคอนโดของเมฆา น้ำตาไหลออกมาช้าๆ ทั้งเจ็บ ทั้งแค้น สูญสิ้นทุกอย่าง สักพักเธอก็ปาดน้ำตา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหารวิปรียา
“รวิ ฉันเอง เธอคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ฉันถูกจับ พ่อฉันถูกยิงตาย ฉันไม่ใช่ลูกของพ่อกุเทพแต่เกิดมาพร้อมกับเลือดโจรชั่วๆ รวิ.. ฉันไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง เธอคงสะใจแล้วสินะ แต่ก็แปลกนะรวิ ถึงเราจะเกลียดกันเข้าใส้ แต่ในเวลาแบบนี้ คนเดียวที่ฉันนึกถึงก็คือเธอ ฉันเป็นคนทำให้พศินตาย ฉันกำลังจะไปชดใช้ให้เขา เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”
เพชรพริ้งเปิดลิ้นชักในห้องเมฆา หยิบปืนกระบอกนั้น

รวิปรียาเพิ่งวางสายจากเพชรพริ้ง คิดถึงคำพูดของเพชรพริ้ง
“ กำลังจะไปชดใช้ให้พศิน หรือว่า...” เธอนึกได้แล้วใจหาย “ฉันอาจจะไม่ชอบเธอนักนะพริ้ง แต่ถึงยังไงฉันก็ถือว่าเธอเป็นญาติคนนึง เป็นพี่สาวของเพชร ฉันจะปล่อยให้เธอทำแบบนั้นไม่ได้”
รวิปรียารีบออกไปจากบริเวณนั้น

รวิปรียาขึ้นมาถึงดาดฟ้าคอนโดของพศิน รอบบริเวณดูว่างเปล่า เงียบเชียบ เยือกเย็น ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิดของกรุงเทพ เพชรพริ้งยืนหันหลังอยู่ตรงขอบกำแพง
รวิปรียาเดินมาใกล้เพชรพริ้งอย่างระวังดูท่าที
เพชรพริ้งยืนมองเหม่อไปที่ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของกรุงเทพ สายตานิ่งเฉย รวิปรียาเข้ามายืนข้าง
“พริ้ง เธอโอเคหรือเปล่า”
“ มาแล้วเหรอรวิ ฉันเดาไว้ไม่ผิดเลยว่าเธอจะต้องมา”
“นี่เธอคงไม่คิดจะกระโดดลงไปใช่ไหม”
“คนที่จะกระโดดน่ะ ไม่ใช่ฉันหรอก แต่เป็นแก!” เพชรพริ้งเอาปืนออกมา เล็งขู่ไปที่รวิปรียา
รวิปรียาผงะหนี
“นี่เธอคิดจะทำอะไร”
“ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เธอก็ยังโง่เหมือนเดิม นี่ยังไม่รู้อีกหรือว่าฉันหลอกให้แกมาที่นี่”
รวิปรียารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น “ ส่วนเธอก็ยังเลวเหมือนเดิม”
“ฉันเลวได้มากกว่านี้อีก ฉันก็แปลกใจเหมือนกันนะรวิ ว่าทำไมฉันถึงเกลียดแกได้มากขนาดนี้ ตั้งแต่เด็กจนโต ฉันไม่เข้าใจว่าฉันด้อยกว่าแกตรงไหน แต่ทำไมแกถึงได้เหนือกว่าฉันทุกอย่าง ทำยังไงฉันก็ไม่เคยชนะแก แต่วันนี้ฉันจะเอาชนะแกให้ได้ กระโดดลงไป!”
“ฉันจะไม่เล่นตามเกมส์ของเธอ ฉันจะกลับ” รวิปรียาหันหลังจะกลับ เพราะไม่เชื่อว่าเพชรพริ้งจะกล้ายิง
แต่เพชรพริ้งยิงขู่ออกไปจริงๆ หนึ่งนัด รวิปรียาสะดุ้ง หยุดชะงัก หันกลับมา
“พริ้ง นี่เราจะไม่จบกันง่ายๆใช่ไหม ต้องเอาให้ตายกันไปข้างนึงใช่มั้ย!”
“ใช่! เพราะแกคนเดียวรวิ แกเป็นมารผจญทุกเรื่องในชีวิตฉัน ชีวิตฉันต้องพังพินาศ ที่แม่ฉันต้องถูกจับก็เพราะแก ในเมื่อเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นที่นี่ ก็ให้มันจบลงที่นี่ ชีวิตแกก็ต้องจบด้วย”
รวิปรียามองลงไปที่พื้นเบื้องล่าง ความสูงจากพื้นถนนถึงดาดฟ้าดูหวาดเสียว
“แกมีทางเลือกสองทาง หนึ่ง..กระโดดลงไปเอง สอง..ฉันจะยิงแกให้ตายอยู่ตรงนี้ แต่ฉันรับรองได้ว่าแกจะไม่ตายสบายนักหรอก ฉันจะยิงแกทีละส่วน ทีละส่วน ให้แกได้ลิ้มรสความทุกข์ทรมานก่อนจะตายอย่างช้าๆ แต่ถ้าแกไม่อยากเจ็บปวดก็กระโดดลงไป”
“เธอเป็นบ้าไปแล้วพริ้ง”
เพชรพริ้งจ้องรวิปรียาแน่วแน่เอาจริง รวิไม่ยอมกระโดดแน่ๆ เธอกลัวแต่ก็ทำใจดีสู้เสือมองเพชรพริ้งอย่างวัดใจ
“ก็ได้.. งั้นก็เริ่มจากขาแกก็แล้วกัน”
เพชรพริ้งพร้อมจะเหนี่ยวไก แต่แล้ว.. เทวากับเมฆาก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงดาดฟ้านั้นพอดี
“อย่านะคุณพริ้ง!” เมฆาร้องห้าม
“พวกแกมาทำไม!”
“ปืนผมหายไป ผมสงสัยว่าจะเป็นฝีมือคุณ ผมสังหรณ์ใจก็เลยเรียกคุณเทวาตามมาดูที่นี่”
“อย่าทำอะไรรวินะคุณพริ้ง” เทวาบอก
“ทำไมทุกครั้งที่ฉันจะจัดการแกถึงต้องมีคนมาคอยช่วยแกอยู่เรื่อยนังรวิ แต่คราวนี้..ฉันจะไม่ปล่อยให้แกรอดอีกแล้ว”
“อย่าก่อเรื่องอีกเลยนะพริ้ง ผมรักคุณจริงๆ ถึงคุณจะไม่เหลือคนอื่นในชีวิต แต่คุณก็ยังมีผม พอเถอะนะ เลิกเจ้าคิดเจ้าแค้น แล้วกลับมามีชีวิตปกติเหมือนคนอื่นเขา”
“ไม่!”
เพชรพริ้งไม่ฟังอีกแล้ว เธอหันปืนไปยิงขู่ทางเทวาและเมฆา สองชายหนุ่มหลบลูกปืนกันจ้าละหวั่น
จากนั้นเพชรพริ้งก็หันปืนกลับมาที่รวิปรียา เหนี่ยวไกจะยิง
“แกจบแล้วนังรวิ”
เทวาร้อง “รวิ!”
เทวาตกตะลึงพุ่งตัวเข้ามาหารวิปรียาจะบังลูกกระสุน
เมฆาตกตะลึงเช่นกัน
พริ้งเหนี่ยวไกลูกกระสุนวิ่งออกมาจากปากกระบอกปืนหลายนัดจนหมดแม็ก ปังๆ ๆ
สายตาเพชรพริ้งเบิกโพลง ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองทำอะไรลงไป
เมฆาคือคนที่เข้ามารับกระสุนแทน ด้านหลังเขา... เทวากำลังกอดบังรวิปรียาอยู่
เทวากับรวิปรียาร้องเรียกเมฆาเสียงหลงพร้อมๆกัน
“เมฆา!”
ร่างเมฆานอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้น เพชรพริ้งทิ้งปืนแล้วถลันเข้ามาดูเมฆา
“ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ ทำไม!! นี่คุณต้องการปกป้องสองคนนี้จนต้องเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกเลยงั้นเหรอ”
เมฆารวบรวมลมหายใจสุดท้ายพูดกับเพชรพริ้ง
“เปล่า ผมไม่ได้ปกป้องเขา ผมทำเพื่อปกป้องคุณ ผมไม่อยากให้คุณทำผิดอีกแล้วพริ้ง”
“เมฆา.. ไม่!! คุณเป็นคนเดียวที่รักฉันและห่วงฉันด้วยใจจริง ต้องไม่ใช่คุณ ไม่.”.
“เพราะผมรักคุณ ผมถึงอยากให้คุณหยุด หยุดความแค้น ความอาฆาต แล้วมีความสุขเหมือนคนอื่นเขา พอเถอะนะ... พอ...”
เมฆาหมดลมหายใจขณะที่สายตายังคงจับจ้องใบหน้าเพชรพริ้ง เพชรพริ้งร้องไห้ราวกับจะเป็นบ้า
เทวากับรวิปรียามองเมฆาอย่างเสียใจ และหดหู่ เวทนาเพชรพริ้ง

บนดาดฟ้า เรื่องราวของ 4 คน เป็น 1 เรื่องราวบนโลกใบนี้ ...

วันใหม่ ตะวันในชุดนางฟ้าตัวน้อยถือไม้คฑา
 
ตะวันกำลังซ้อมละคร เคาะคฑาเสกคาถา
“และในที่สุด เจ้าหญิงกับเจ้าชาย ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
ตะวันหมุนตัวไปรอบๆ และย่อเข่าถอนสายบัว ทุกคนในครอบครัวพากับตบมือให้ตะวัน
“เก่งมากเลยหลานปู่ นี่เราจะแสดงเป็นนางฟ้าแบบนี้ในงานละครโรงเรียนใช่ไหม” บรมถาม
“ใช่ค่ะ”
“ถึงวันงานเราจะยกขบวนไปกันทั้งบ้านเลย”
“ชุดนี้สวยจังเลยนะตะวัน ไปเอามาจากไหน อาไม่ได้ซื้อให้ซะหน่อย” ดารินบอก
ดาวิกายิ้มมีความสุขมองดูตะวัน
“อาดาซื้อให้ค่ะ” ตะวันมองรวิ “คุณแม่ขา ตะวันขอใส่ชุดนี้ทั้งวันเลยได้ไหมคะ”
“ไม่ได้ค่ะ เพราะว่าชุดนี้ต้องเก็บไว้ใส่ในวันงานพรุ่งนี้ ถ้าตะวันใส่วันนี้เดี๋ยวมันจะสกปรกซะก่อน”
ตะวันหน้ามุ่ย “ว้า.. งั้นใส่อีกแป๊บเดียวได้ไหมคะ”
“อืม.. แม่ให้อีก5นาที แล้วให้พี่จ๊ะเอ๋พาไปอาบน้ำใส่ชุดใหม่ แล้วลงมาทานข้าวพร้อมกันนะคะ”
“ค่ะ”
ตะวันตอบอย่างลิงโลด จ๊ะเอ๋มาพาตะวันขึ้นห้องไป
“ต้องแม่รวินี่แหละค่ะเอาอยู่ พูดให้ทำอะไรยัยตะวันไม่เคยอิดออด”
บรมมองดาวิกาอย่างเป็นห่วงความรู้สึกลูก
“ดา.. ดาอยากจะบอกตะวันไหม”
ทุกคนเงียบ มองดาวิกา
“พ่ออยากให้พวกเธอตกลงกันเอง ส่วนพ่อยังไงก็ได้ ไม่ว่าใครจะเป็นพ่อเป็นแม่ ตะวันก็ยังเป็นหลานของพ่ออยู่ดี”
“รวิก็ไม่มีปัญหาค่ะ ไม่ว่าใครจะเป็นแม่ รวิก็รักตะวันเหมือนเดิม”
“สิ่งที่ดาฝันมาตลอดก็คือการได้กลับมาดูแลตะวันในฐานะแม่ แล้วก็เฝ้ารอให้ตะวันเรียกดาว่าแม่สักคำ”
ทุกคนฟังดาวิกาอย่างเข้าใจ
“แต่ถึงตอนนี้ ดาว่ามันไม่จำเป็นอีกแล้ว ไม่ว่าตะวันจะเรียกดาว่าอาหรือแม่ ตอนนี้ดาก็มีความสุขแล้ว เพราะดารู้ว่าตะวันเองก็มีความสุขที่มีพี่รวิเป็นแม่ ปล่อยทุกอย่างไว้แบบที่เป็นอยู่เถอะค่ะ ดาเชื่อค่ะว่าพี่รวิจะดูแลตะวันได้เป็นอย่างดี”
เทวากับรวิปรียายิ้มให้กัน ทุกคนมีความสุข

วันใหม่ เทวานั่งอยู่ตามพังที่มุมหนึ่งในสวน มองเหม่อไปไกลๆ ภาพนั้นของเทวาถูกใครบางคนจับภาพแล้วเป็นภาพนิ่ง
เทวาหันมามองกล้องที่ใครบางคนกำลังแอบถ่ายอยู่ เขาลุกขึ้นเดินมาหากล้อง ทำหน้าเหมือนถามว่าทำอะไร
รวิปรียาลดกล้องถ่ายรูปลงยิ้มให้
“มาแอบถ่ายรูปผม นี่คุณแอบชอบผมเหรอ”
รวิปรียาตอบล้อๆ “ก็ใช่น่ะสิ แอบชอบมาตั้งนานแล้วไม่รู้ตัวเลยหรือไงคะ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“อืม.. มันก็ตอบยากนะ บางทีความรักสำหรับบางคนมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นปุ๊บปั๊บแบบ รักแรกพบ แต่มันค่อยเป็นค่อยไป มันเติบโตขึ้นทุกๆวัน แล้ววันนึงเราก็พบว่าตัวเองหลงรักคนๆนั้นเข้าซะแล้ว”
“ผิดกับผมนะ ผมตกหลุมรักคุณแบบปุ๊บปั๊บเลย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอคุณที่ร้านดอกไม้ล่ะมั้ง”
“แต่ตอนนั้นมันเป็นแค่แผนของคุณหรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่เลย ผมชอบคุณก่อนที่จะรู้ว่าคุณคือรวิปรียาซะอีก หลังจากนั้น ถึงผมจะพยายามวางแผนเข้าใกล้คุณแต่เอาเข้าจริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่แผนหรอก เพราะทุกสิ่งที่ผมทำผมก็ทำตามสิ่งที่หัวใจตัวเองต้องการ ผมพยายามหลอกตัวเองว่าไม่รักคุณแต่ผมก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้”
“ฉันก็เหมือนกัน เราอาจจะหลอกใครต่อใครได้ แต่เราหลอกตัวเองไม่ได้”
“วันที่ได้ยินคุณบอกรักผม ผมดีใจมากแค่ไหนคุณรู้ไหม ถึงตอนนั้นผมจะตายไปแล้วจริงๆ แต่ถ้าได้ยินเสียงของคุณบอกรัก ผมก็คงฟื้นขึ้นมาฟังมันซ้ำๆ”
“เกินไป”
“คุณบอกรักผมอีกทีได้ไหม”
รวิปรียากวักมือเป็นทำนองให้เทวายื่นหน้าเข้ามา แล้วเธอก็เอียงตัวไปเหมือนจะกระซิบ แต่แล้ว..แทนที่จะพูดอะไรเธอก็หอมแก้มเทวาซะอย่างนั้น
“อะไรของคุณ”
“ก็แค่ลองดูว่าคุณหลอกง่ายมั้ย คุณนี่หลอกง่ายจริงๆเลย อย่าปล่อยให้สาวอื่นหลอกหอมแก้มแบบนี้ได้ล่ะ”
“คุณนี่จริงๆเลย”
เทวาจับไหล่รวิปรียาให้หันมา ทั้งคู่มองตากันซึ้งๆ กำลังจะจูบกัน ใบหน้าเลื่อนใกล้กันทุกทีๆ แต่แล้ว...
“คุณพ่อคุณแม่ขา”
ทั้งคู่ชะงักหันกลับไปมองตามเสียง ตะวันกำลังวิ่งกลับมาหาหลังจากไปวิ่งเล่นมา
“เล่นอะไรกันอยู่คะ”
เทวากับรวิปรียามองหน้ากันขำๆ
“ไปเล่นตรงโน้นกันเถอะค่ะ”
ตะวันเข้ามาจับมือรวิปรียากับเทวาแล้วพาเดินออกไปด้วยกัน 3 คน
สามคนพ่อแม่ลูกเดินจับมือไปด้วยกัน ตะวันกระโดดโลดเต้นมีความสุข สักพักรวิปรียาก็จูงมือตะวันวิ่งหนีไปข้างหน้า
 
เทวาวิ่งไล่ตาม ในบรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของทุกคน

จบบริบูรณ์

#ใจลวง #thaich8 #ละครออนไลน์
กำลังโหลดความคิดเห็น