ใจลวง ตอนที่ 21
รวิปรียานั่งน้ำตาซึมอยู่ตามลำพังที่มุมหนึ่งของบ้านสวน
อิงอรเดินมาหยุดมองจากด้านหลัง เห็นอาการของลูกสาวแล้วดูออก เธอเข้ามานั่งลงข้างๆรวิปรียา
“รวิ”
รวิปรียาแอบเช็ดน้ำตา พยายามปรับสีหน้าให้ปกติ
“คะ คุณแม่”
“ทะเลาะกับคุณเทวามาหรือลูก”
คำถามของอิงอรเหมือนเข็มหมุดที่ตอกย้ำความเสียใจ น้ำตาของรวิปรียาไหลออกมาอีก แต่ก็ยังทำเป็นส่ายหน้า
“แม่เป็นแม่นะ มีหรือจะดูลูกของแม่ไม่ออก มีเรื่องอะไรกัน”
“รวิเพิ่งจับได้ค่ะว่าเขากับพริ้ง... มีอะไรกัน อาจจะมีมาก่อนที่เขามาแต่งงานกับรวิก็ได้”
“คุณเทวากับพริ้งเนี่ยนะ แน่ใจเหรอลูก”
“รวิเห็นกับตาค่ะคุณแม่ คุณทวาเองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยมาก่อน ส่วนพริ้ง.. เขาก็กำลังทำแบบเดียวกับที่แม่ของเขาทำกับคุณพ่อ ประวัติศาสตร์มันกำลังจะซ้ำรอยเดิมแล้วค่ะคุณแม่”
“แล้วรวิถามคุณเทวาเขาให้ชัดๆหรือยัง”
“ยังไม่ได้คุยกันค่ะ แต่คุยไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาก็คงจะเอาแต่สรรหาคำโกหกมาแก้ตัว”
“แม่ไม่อยากให้รวิตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เหมือนที่แม่เคยทำกับพ่อ ดูแม่กับพ่อเป็นตัวอย่างสิ ถ้าตอนนั้นเราสองคนพูดคุยกันด้วยเหตุผล หันหน้าเข้าหากัน มันก็คงไม่ลงเอยแบบนี้”
เพียงจบคำอิงอร จอยก็เข้ามารายงาน
“คุณอรขา”
อิงอรกับรวิปรียาหันไปมองจอย แล้วเห็นวิษณุตามหลังจอยมา
“ไง รวิ”
“คุณพ่อ สวัสดีค่ะ” รวิปรียายกมือไหว้แล้วเหลือบไปเห็นเพชรแท้ซึ่งตามหลังมา “เพชร ! มาได้ยังไงเนี่ย”
เพชรแท้ยิ้มตามหลังวิษณุเข้ามา ยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณป้าอร สวัสดีครับพี่รวิ”
“ไงเพชร กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อวานครับ”
“กลับมาทั้งที ไม่คิดจะส่งข่าวบอกพี่สักคำเลยนะ”
“มันกระทันหันน่ะครับ มีธุระต้องมาจัดการ พอคุณลุงทราบว่าพี่รวิมาค้างที่บ้านสวน ผมก็เลยอาสาขับรถพาคุณลุงมาที่นี่น่ะครับ”
“พอดีนายสินคนขับรถเขาขอลาพักกลับบ้านที่ต่างจังหวัด แล้วนี่ยังไงกันรวิ แต่งงานออกเรือนไปแล้วแต่ทิ้งสามีมาอ้อนแม่แบบนี้ คุณเทวาเขาจะคิดยังไง”
รวิปรียามีอาการปั้นปึ่งให้เห็น “จะคิดยังไงก็ช่างเขาเถอะค่ะ”
“นี่ล่ะค่ะ อรก็กำลังคุยกับลูกเรื่องนี้อยู่พอดีเลย”
อิงอรถอนหายใจ มองหน้ากับวิษณุ
รวิปรียากับเพชรแท้แยกตัวมาคุยกันอยู่มุมหนึ่ง
“ผมไปพบคุณเทวาที่บ้านบริรักษ์มา”
รวิปรียาชะงักไปเล็กน้อย
“ตอนแรกผมตั้งใจจะไปหาพี่รวิ แต่พี่รวิไม่อยู่ที่นั่น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือในฐานะน้องเขย ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง เป็นผู้ชายที่ดีพอสำหรับพี่รวิไหม”
“แต่ก่อนพี่ก็เคยคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดสำหรับพี่ แต่ตอนนี้..พี่ชักจะไม่แน่ใจแล้ว”
“ทะเลาะกันหรือครับ”
“อย่าพูดถึงมันเลย”
“พี่รวิรักเขาไหมครับ”
“การที่พี่รักเขา คงเป็นเรื่องที่โง่ที่สุดที่พี่เคยทำ”
“แล้วเขาล่ะ รักพี่รวิหรือเปล่า”
“จะมีผู้ชายคนไหนกันล่ะเพชร ที่ทำให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเสียใจซ้ำๆซากๆอยู่แบบนี้ แต่ที่เขายังทำ แสดงว่าเขาไม่ได้รักเราเลย”
“ก็ไม่แน่เสมอไปนะครับพี่ ผมเองก็รักผู้หญิงคนนึงมาก ผมอยากให้เขามีความสุข แต่ในความเป็นจริง ผมกลับทำให้เขาต้องเสียใจเหมือนกัน บางทีสถานการณ์มันก็ซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะอธิบายได้”
ทั้งคู่เงียบไป ก่อนที่เพชรแท้จะพยายามเลียบๆเคียงๆถาม
“พี่รวิครับ พี่ยังคิดถึงพี่พศินอยู่หรือเปล่า”
“พศินเป็นเพื่อนรักของพี่ พี่ไม่เคยลืมเขาอยู่แล้ว ว่าแต่เพชรถามทำไม”
“จู่ๆก็นึกถึงขึ้นมาน่ะครับ จำได้ว่าเขามาที่บ้านเราสองสามครั้ง พี่พศินยังเคยมาช่วยติวการบ้านให้ผม ตอนนั้นผมเรียนอยู่ปีสอง พี่รวิกับพี่พศินเพิ่งเรียนจบ กำลังจะรับปริญญา”
“นั่นสิ จริงด้วยนะ พี่เกือบลืมไปเลยว่าพศินเคยไปติววิชาการตลาดให้เพชร พี่ยังแวะไปหาพศินที่วัดอยู่เรื่อยๆ วันไหนเพชรว่างก็ไปด้วยกันสิ”
“ครับ แล้ว.. พี่พศินเขา..เอ่อ..เขามีแฟนหรือเปล่า”
“พี่ก็ไม่แน่ใจนะ พศินเขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยเล่าอะไรให้ใครฟังแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างพี่ นี่เพชรชักจะถามแปลกๆนะ ..มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมแค่นึกสงสัยขึ้นมาน่ะครับ ว่าอะไรที่ทำให้พี่พศินถึงกับต้องคิดฆ่าตัวตาย”
รวิปรียามีสีหน้าหมองลง คิดว่าสาเหตุก็มาจากเธอนั่นเอง จะมีใคร
ทางด้านอิงอรกับวิษณุกำลังคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่ง วิษณุรู้เรื่องคร่าวๆจากอิงอรแล้ว
“หรือผมควรจะไปบอกเทวาให้เขามาง้อยัยรวิ”
“อย่าไปยุ่งเรื่องของเด็กๆเลยค่ะ คุณเทวาเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาต้องรู้ว่าควรทำยังไง ไม่มีใครรู้ปัญหาได้ดีเท่าพวกเขาสองคนหรอก”
“แต่ผมก็เคยทำพลาดมาก่อนนะ ผมปล่อยให้คุณออกจากบ้านของเรามา โดยไม่เคยคิดจะมาง้อคุณ เพราะคิดเอาเองว่าวันนึงคุณจะใจอ่อนแล้วกลับไปหาผมเอง”
“คุณอยู่กับอรมาตั้งกี่ปี คิดว่าอรเป็นผู้หญิงที่ชอบพูดจากลับคำไปมางั้นหือคะ”
“ผมรู้ว่าคุณเป็นคนเด็ดขาด แต่ผมชะล่าใจเกินไป เพราะคิดว่าคุณจะรักผมมากพอ”
“ตอนนั้นอรเองก็ชะล่าใจเกินไปเหมือนกัน ที่คิดว่าสามีจะไม่มีทางนอกใจไปมีคนอื่น”
“อร.. ผมบอกคุณแล้วไงว่าเรื่องพัชชามันเป็นความผิดพลาด”
“ค่ะ เป็นความผิดพลาดที่ทำให้เราสองคนต้องจบลงแบบนี้ไงคะ”
“สำหรับผมมันยังไม่จบ”
วิษณุมองอิงอรด้วยสายตาจริงจัง ยังคงรักอยู่ อิงอรไม่ตอบอะไร
“แล้วผมก็หวังว่า คุณเทวากับรวิจะไม่ทำพลาดเหมือนเราสองคน”
ต่อมา วิษณุกับเพชรแท้เดินกลับเข้าบ้านมาด้วยกัน
ทั้งคู่พูดคุยกันยิ้มแย้มก่อนที่จะชะงักเมื่อเจอพัชชาหน้ายุ่ง ก้าวมายืนดัก
“กลับกันมาได้แล้วเหรอ นึกว่าจะพากันค้างคืนอยู่บ้านโน้นซะอีก”
เพชรแท้ตั้งใจยั่วโมโห “ถ้าคุณป้าอรยอมให้ค้าง พวกเราก็คงนอนค้างไปแล้วล่ะครับ”
“เพชร! ไม่ต้องมายั่วโทสะแม่ เพิ่งกลับมาถึงบ้านแทนที่จะอยู่กินข้าวที่บ้านกับแม่กับพี่พริ้ง กลับหายหัวออกไปตลอนๆข้างนอกทั้งวัน”
“ไปตะลอนที่ไหนกันล่ะ เพชรเขาก็แค่ขับรถไปให้พี่”
“คุณพี่เองก็เหมือนกัน ทำไมคะ น้ำพริกถ้วยเก่ามันเร้าใจกว่าอาหารที่บ้านหรือไง ถึงได้ต้องไปหากันบ่อยๆ”
“ก็รวิเขาอยู่กับแม่เขาที่นั่น ไปเยี่ยมกันบ้างมันผิดตรงไหน”
“ผมตอบแทนให้ก็ได้ว่าไม่ผิดครับคุณลุง เพราะที่สำคัญก็คือ คุณป้าอรก็ยังได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของคุณลุงอยู่” แล้วหันไปบอกพัชชา “ส่วนพวกเราสามคน ก็ควรจะตระหนักกันไว้บ้างว่า เราเป็นแค่ผู้อาศัย”
“เพชร!”
“เอาล่ะๆ อย่ามาเถียงกันตรงนี้เลยพัชชา พี่ขอล่ะ.... เพชรขึ้นห้องไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนเถอะไป”
“ครับ”
เพชรแท้เดินเลี่ยงพัชชาหายขึ้นบันไดบ้านไป พัชชาหันมาโวยกับวิษณุต่อ
“คุณพี่คะ คุณพี่ก็เลิกกับคุณอรมาตั้งหลายปี ทำไมถึงไม่ทำเรื่องหย่ากันให้เป็นเรื่องเป็นราวซะที คนในวงสังคมเขาก็รู้กันหมดแล้วว่าพัชเป็นเมียคุณพี่ แต่เวลามีคนถามว่าพัชอยู่ในฐานะอะไรแน่ พัชเองก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง บางครั้งเขาก็นินทาว่าพัชเป็นเมียน้อย พัชอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“เรื่องหย่ากับอรมันคงเป็นไปไม่ได้นะพัช เพราะอรเขาไม่ได้ทำอะไรผิด พี่ต่างหากที่ผิด”
“แล้วคุณพี่จะให้พัชดำรงตำแหน่งเมียน้อยแบบนี้ไปจนตายหรือคะ พัชเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างๆคุณพี่ในเวลาที่คุณพี่ไม่มีใคร แล้วคุณพี่จะให้เกียรติพัช จะช่วยกู้ศักดิ์ศรีให้พัชบ้างไม่ได้หรือไงคะ”
วิษณุหนักใจ แต่ยังไม่ทันตอบอะไร เด็กรับใช้ก็มารายงาน
“ขอโทษนะคะคุณผู้ชายคะ คุณพัชคะ มีคนมาขอพบคุณพัชค่ะ”
พัชชาหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะ “ใคร!”
“บอกว่าเป็นญาติของคุณพัชมาจากต่างจังหวัดค่ะ”
“ญาติเญิตที่ไหนกันเล่า ใครจะมาหาเอาป่านนี้”
“ตอนนี้เขาอยู่หน้าบ้านแล้วอ่ะค่ะ ให้เรียกเข้ามาไหมคะ”
“เอาล่ะๆ ไปเรียกเขามาไป”
พายุโผล่หน้ามาจากประตูเข้าบ้าน ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมแต่สายตาลุกวาวเมื่อมองพัชชา
พัชชาพึมพำเบาๆกับตัวเอง เบาเท่าเสียงกระซิบ “แก...”
ต่อมา พายุนั่งอยู่ที่โซฟาตัวหนึ่ง ท่าทางพินอบพิเทา ยกมือไหว้วิษณุ
“สวัสดีครับท่าน ผมชื่อพายุครับ ผมเป็นญาติของคุณพัชชา”
“ไม่เห็นพัชเคยบอกเลยว่ามีญาติ”
“อ๋อ.. ก็ญาติห่างๆน่ะค่ะ ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ว่าแต่พี่มาที่นี่ทำไม”
พายุหันไปบอกวิษณุแทน “ผมเพิ่งมาจากต่างจังหวัดน่ะครับ ว่าจะมาหางานทำที่กรุงเทพ ก็เลยลองแวะมาหาพัชเขาดูเผื่อว่าจะมีงานอะไรให้ทำบ้าง”
พัชชาท่าทางอึดอัดใจ
“แต่ที่นี่ไม่มีงานอะไรให้พี่พายุทำหรอกนะ คนใช้คนสวนที่บ้านนี้ก็เต็มไปหมดแล้ว อย่ารบกวนคุณวิษณุเขาเลย”
“หรือว่าพัชอับอายที่มีญาติจนๆอย่างพี่ ... ที่จริงสมัยก่อน ตอนที่ยังเป็นหนุ่มๆสาวๆ เราสองคนก็สนิทสนมกันดีนะครับท่าน แต่จู่ๆพัชเขาก็ตามมาสามีไปอยู่เมืองนอก ผมก็แทบไม่เจอเขาอีก ถ้าคุณวิษณุอยากรู้เรื่องพัชในอดีต....” พายุพูดดูมีเลศนัย
พัชชารีบขัดขึ้นทันที “เอาล่ะ พี่พายุ อย่ามัวแต่พูดมากเลย คุณวิษณุเขาไม่ได้มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระ เอาเป็นว่าฉันจะช่วยพี่หางานที่อื่นให้ก็แล้วกัน”
“แต่พี่ไม่อยากไปที่อื่น”
พายุมองพัชชาเหมือนกำลังข่มขู่ ว่ารู้ความลับบางอย่าง พัชชาเริ่มจนแต้ม
“งั้นเราหางานอะไรให้พี่พายุเขาทำหน่อยแล้วกันนะคะคุณพี่ รปภ.ที่บริษัทก็ได้ ถือว่าช่วยสงเคราะห์แก”
“ขับรถเป็นไหมล่ะเรา”
“เป็นครับ”
“งั้นก็ดีเลย ช่วงนี้คนขับรถของฉันเขาลากลับบ้านที่ต่างจังหวัด บอกจะไปสักเดือนนึง ยังไงก็มาช่วยขับรถให้ฉันชั่วคราวไปก่อนแล้วกันนะ”
“ได้ครับ ขอบพระคุณมากครับท่าน”
พายุยกมือไหว้วิษณุซึ่งไม่รู้เรื่องราวอะไร แต่ลอบเหลือบมองพัชชาอย่างเป็นต่อ
เวลาต่อมา พัชชาวางกระเป๋าโครมลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ โพล่งใส่พายุ
“ฉันเคยบอกแล้วไงว่าอย่าเสนอหน้าไปให้คุณวิษณุเห็น นี่พี่กลับไปของานเขาทำหน้าตาเฉย พี่ต้องการอะไร”
พายุยังใจเย็น ไม่เดือดร้อนใจไปกับพัชชา มีแผนอยู่ในใจ
“ฉันลงทุนทำขนาดนั้นแล้ว เธอยังไม่รู้อีกเหรอว่าฉันต้องการอะไร”
“เงินงั้นเหรอ ฉันไม่มีให้หรอกนะ”
“ฉันต้องการไปอยู่ใกล้ๆเธอต่างหากเล่า แล้วที่สำคัญ ฉันอยากเจอ..พริ้ง”
พัชชาหน้าตื่น
“นี่รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา พี่ไม่มีสิทธิ์ไปเรียกร้องอะไรจากพริ้งทั้งนั้นเข้าใจไหม”
“รู้แล้วน่า ฉันก็แค่อยากรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเธอกับพริ้งเป็นอยู่กันยังไงบ้าง นี่พัชชา ฉันมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไอ้เศรษฐีนั่นมันไม่ได้รักใคร่ใยดีอะไรเธอสักเท่าไหร่หรอก เธอเองก็ดูเหมือนจะเกรงใจมันไปซะทุกเรื่อง ดูแล้วอย่างกับเป็นแค่คนอาศัย แบบนี้อึดอัดตาย”
พัชชานิ่งไป รู้ว่าที่พายุพูดก็ถูก
“ที่พี่ว่ามา มันก็ใช่นั่นแหละ”
“ว่าแล้วเชียว ดีซะอีกที่ฉันไปคอยอยู่ใกล้ๆเธอ มีอะไรฉันจะได้คอยช่วยไง”
“แล้วฉันจะเชื่อใจพี่ได้ยังไง”
“นี่.. พัช ถึงยังไงเราก็เคยเป็นผัวเมียกันมา ถึงฉันเคยโกรธเธอแต่มันก็ผ่านไปนานแล้ว อีกอย่างพริ้งก็เป็นลูกสาวฉัน ตอนนี้ฉันก็แค่อยากหาทางให้ตัวเองมีชีวิตที่สบายขึ้น”
พัชชาเริ่มคล้อยตาม
“จะว่าไป ที่จริง.. พี่มาอยู่ใกล้ๆคุณวิษณุก็ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยฉันสืบอีกแรงว่าวันๆ คุณพี่วิษณุไปที่ไหน ทำธุรกิจยังไง แล้วบริษัทที่เขาเป็นเจ้าของอยู่น่ะทำเงินได้มากขนาดไหน”
“อย่าบอกนะว่าเธออยู่กับเขามา7-8ปีนี่ เธอไม่รู้อะไรเลย”
พัชชาหน้างอเป็นการยอมรับ ยิ่งพูดถึงยิ่งอารมณ์คุกรุ่น พายุมองยิ้มๆ อ่านเกมส์ออก
“ไม่ใช่แค่ไม่รู้ล่ะสิ แต่เธอไม่เคยได้อะไรเลยอีกต่่างหาก”
“ที่ฉันได้มันก็แค่เศษเงินที่เขาทำทานมาให้เท่านั้นแหละ”
“งั้นฉันจะช่วยเธอเอง”
วันใหม่ ที่ห้องนั่งเล่น
ตะวันนั่งบีบน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยมีจ๊ะเอ๋นั่งถอนหายใจอยู่ข้างๆ สักพักเทวาก็เดินเข้ามาในห้อง จ๊ะเอ๋เห็นเทวาก่อนแล้วจึงสะกิดมือตะวันส่งสัญญาณรู้กัน ตะวันยิ่งบีบน้ำตาร้องไห้ดังขึ้น ตอนที่เทวาเข้ามาถึงพอดี
“ตะวัน เป็นอะไรลูก”
“ตะวันคิดถึงคุณแม่ค่ะ ฮือๆๆๆ”
จ๊ะเอ๋ช่วยเสริม “โถ น่าสงสารจังเลยคุณตะวันของจ๊ะเอ๋ นี่ร้องมาตั้งแต่เช้าแล้ว ยังไม่หยุดเลยนะคะคุณเทวา”
“คุณแม่ไปไหนคะคุณพ่อ ทำไมไม่กลับมาบ้านเราซะที”
“คุณแม่เขาไปหาคุณยายที่บ้านสวนน่ะลูก” เทวาบอก
“แล้วทำไมคุณพ่อไม่ไปตามคุณแม่กลับมาล่ะคะ”
“คือพ่อ”
“คุณพ่อไม่รักคุณแม่ ไม่รักตะวันแล้วใช่ไหมคะ” ตะวันร้องไห้ยิ่งขึ้นไปอีก
“อย่าหาจ๊ะเอ๋สอดเลยนะ ถึงตอนนี้คุณรวิจะโกรธ แต่ปกติแล้วคุณรวิเป็นคนใจดีแล้วก็ใจอ่อนด้วย ถ้าคุณเทวาไปง้อคุณรวิต้องหายโกรธแน่ๆเลยค่ะ”
เทวาถอยใจยาว ลำบากใจ อีกใจคือเกรงใจดาวิกา
“ฮือๆๆๆ ถ้าคุณพ่อไม่ไปตามคุณแม่กลับมา ตะวันจะไม่กินข้าว ไม่กินขนม ไม่ไปโรงเรียนด้วย”
“ไปเอานิสัยช่างต่อรองแบบนี้มาจากใครกันนะเรา วันนี้พ่อยังไม่สะดวก เอาไว้วันหลังนะลูกนะ”
ตะวันไม่ยอมท่าเดียว “คุณพ่อใจร้าย ตะวันไม่รักคุณพ่อแล้ว”
เทวาเริ่มจะใจอ่อน หันไปถามจ๊ะเอ๋ที่กำลังแอบยักคิ้ว ยกนิ้วโป้งให้กับการแสดงของตะวันอยู่
“นี่คุณดาไปไหน”
จ๊ะเอ๋สะดุ้งกลับมา รีบทำเนียนๆ
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ออกไปข้างนอกกับคุณรินน่ะค่ะ”
เทวาเริ่มเห็นโอกาสอันดี หันไปยิ้มให้ตะวัน
“ตะวัน อยากไปกับพ่อไหมลูก”
“ไปไหนคะ”
“ก็ไปเจอคนที่ลูกอยากเจอที่สุดไง”
ตะวันหยุดร้อง เช็ดน้ำตา ฉีกยิ้มทันที
พายุเปิดประตูรถให้วิษณุ วิษณุลงไปนั่ง พายุอ้อมไปที่นั่งคนขับ
ในรถ วิษณุนั่งอยู่ที่เบาะหลัง พายุกำลังจะขับรถออกจากบ้าน วิษณุเริ่มชวนคุย
“นายมาจังหวะเหมาะพอดี นึกว่าช่วงนี้ฉันต้องขับรถไปบ้านสวนเองซะแล้ว”
“ท่านไปทำอะไรที่นั่นหรือครับ”
“ไปหาลูกกับเมียฉันน่ะสิ”
พายุทำรับรู้ แล้วทำตัวสุภาพไม่ซักไซ้มาก ออกรถไป
“นายนี่ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่พูดมากดี ขับรถก็ดี ว่าแต่เคยทำงานอะไรมาก่อน”
“ประวัติผมไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่ ท่านอย่ารู้เลยครับ”
“ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร เรื่องของอดีตไม่สำคัญเท่ากับการกระทำในปัจจุบันหรอกนะ ว่าไหม ฉันเองก็ไม่ใช่คนที่จะตัดสินใครด้วยเรื่องอดีตอยู่แล้ว”
พายุขับรถไปนิ่งๆ แต่ยังมีแอบเหลือบมองวิษณุ ศึกษาท่าทีวิษณุผ่านทางกระจกส่องหลัง
วิษณุมาหาอิงอรพร้อมของฝากในมือ กำลังส่งของให้จอยรับไป
อิงอรนั่งร้อยพวงมาลัย จัดดอกไม้อยู่มุมหนึ่ง ทำนิ่งๆแม้ข้างในใจจะดีใจ
“นี่คุณจะมาทำไมกันบ่อยๆ ไม่ทำงานทำการบ้างหรือไง รวิก็ลาพักอยู่ด้วย”
“ผมเป็นผู้บริหารนะ สั่งงานทางโทรศัพท์เอาก็ได้ วันนี้เลยว่าจะมาฝากท้องที่นี่สักมื้อ”
รวิปรียาเดินเข้ามาสมทบ
“แล้วอีกอย่าง รวิก็อยู่ที่นี่ด้วย เราจะได้กินข้าวพร้อมหน้ากันสามคน จริงไหมลูก”
“ค่ะ”
รวิปรียายิ้มน้อยๆให้แบบรู้กันกับวิษณุ แต่อิงอรทำค้อนเบาๆ จอยซึ่งยืนอยู่ใกล้รวิปรียา เอียงตัวเข้าไปกระซิบ
“หมู่นี้คุณวิษณุมาบ๊อยบ่อยนะคะ สงสัยจะมีการคืนดีกันเร็วๆนี้”
อิงอรเหล่มองจอยปรามๆ
“จอย”
“ขา...”
“จะไปทำอะไรก็ไปทำไป”
“ค่า”
จอยยิ้มๆ ถือถาดขนมเดินหายเข้าไปทางหลังบ้าน
ฝ่ายพายุกำลังเดินดูลาดเลาอยู่บริเวณรอบๆบ้านสวน ขณะที่รอวิษณุ
รถของเทวาขับเข้ามาจอดที่มุมหนึ่ง เพียงรถจอดสนิท ตะวันก็เปิดประตูลงจากรถมาก่อน แล้ววิ่งเข้าไปทางบ้านด้วยอาการลิงโลดตื่นเต้น
“คุณแม่”
เทวาลงจากรถทีหลัง พยายามเรียกตะวันไว้ก่อน
“ตะวัน ใจเย็นๆ วิ่งระวังด้วยลูก”
แต่แล้ว ตะวันก็เกือบชนเข้ากับพายุที่เดินมาพอดี ตะวันชะงักเงยหน้ามอง พายุสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาวาววับดูน่ากลัวสำหรับเด็ก ตะวันมองพายุกลัวๆ เทวาตามหลังมาพอดี
“พ่อบอกแล้วไงให้ระวัง เกือบชนคุณลุงเข้าแล้ว” เขามองพายุอย่างสงสัยใครรู้ “นี่มาหาใครหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ.. เปล่าครับ ผมเป็นคนขับรถของคุณวิษณุน่ะครับ”
“อ๋อ คงเป็นคนขับรถคนใหม่ของคุณพ่อ”
“ครับ ผมเพิ่งมาทำงานแทนคนเก่า”
“แล้วนี่คุณพ่อมาถึงนานแล้วหรือครับ”
“ก็สักพักแล้วครับ”
เทวาพยักหน้ารับรู้ แล้วจูงมือตะวันพากันตรงไปทางตัวบ้าน
“ไปลูกไป”
พายุมองตาม พยายามเก็บข้อมูลทุกอย่าง
ตะวันวิ่งนำเข้าบ้านมาก่อน ตรงมาหารวิปรียาซึ่งนั่งอยู่กับอิงอรและวิษณุ
“คุณแม่”
รวิปรียาหันมามองอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงเรียก เมื่อเห็นตะวันก็ยิ้มดีใจเช่นกัน
“ตะวัน”
ตะวันวิ่งเข้ามากอดรวิปรียาแน่น
“ตะวันคิดถึ๊งคิดถึงคุณแม่ค่ะ”
“แม่ก็คิดถึงตะวันค่ะ แล้วนี่มาได้ยังไง”
เทวาเดินขึ้นบ้านมาอีกคน แล้วยกมือไหว้วิษณุกับอิงอร พ่อตาและแม่ยายยิ้มรับไหว้
“สวัสดีครับ”
รวิปรียาชักสีหน้าทันที
“คุณมาทำไม”
ตะวันบอก “คุณพ่อก็พาตะวันมาหาคุณแม่ไงคะ เนี่ยถ้าคุณพ่อไม่พามา ตะวันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอคุณแม่ซะที”
วิษณุกับอิงอรเผลอหันมายิ้มให้กันอย่างพอใจ แล้วอิงอรก็รู้สึกตัวจึงหุบยิ้ม
“ว่าแต่.. ตะวันเห็นไหมคะว่ามีใครอยู่ด้วย” รวิปรียาพยักเพยิดไปทางอิงอรกับวิษณุ
ตะวันเข้ามาใกล้ๆอิงอรกับวิษณุ นั่งลงยกมือไหว้ลงบนตักเรียบร้อย
ตะวันยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณตา แล้วก็สวัสดีค่ะคุณยาย”
“จ้า น่ารักจริงๆเลยหลานยาย”
“ดูสิอร รวิแต่งงานไปได้ไม่ทันไร เราสองคนก็มีหลานน่ารักมาคอยประจบประแจงเลย”
“ตะวันกับคุณพ่อมารับคุณแม่กลับบ้านค่ะ ขออนุญาตเอาตัวคุณแม่กลับบ้านได้ไหมคะคุณยาย”
“ได้เลยจ้ะ รีบเอาไปเลย ยายไม่รั้งไว้หรอก”
ตะวันมองเห็นพวงมาลัยและดอกไม้ตรงหน้าอิงอร “ดอกไม่สวยจังค่ะ”
“ยายร้อยมาลัย ยายจะเอาไปถวายพระพรุ่งนี้”
“ตะวันอยากช่วยร้อยมาลัยจังเลย”
“ถ้าอยากร้อย ตะวันก็ต้องไปเก็บดอกไม้มาก่อนสิ แล้วยายจะสอนให้”
“เย้ๆๆ ไปเก็บดอกไม้กันเถอะค่ะคุณแม่”
“ตะวันชวนคุณพ่อไปด้วยสิลูก” อิงอร มองเทวาเป็นนัยๆ เปิดโอกาสให้
เทวายิ้มรับอย่างเต็มใจ ตะวันยิ้มหวานอ้อนๆ ให้แม่แล้วจับมือรวิปรียาแน่น
รวิปรียาเดินหนีมาที่บริเวณสวนของบ้าน
เทวาตามมาด้านหลัง รวิปรียาหยุดเดินแล้วหันมาส่งเสียงแบบไม่พอใจ
“คุณมาทำไม”
“ตะวันเขาขอให้ผมพามา ลูกคิดถึงคุณมากนะรวิ”
“แล้วเป็นความผิดของใครล่ะ ที่ฉันกับตะวันต้องแยกจากกันแบบนี้”
“ผมรู้ว่าผมผิด ถึงได้ตามมาขอโทษคุณไง”
รวิปรียาอึ้งไป ไม่ได้เตรียมรับคำขอโทษจากเทวามาก่อน
“ผมขอโทษนะรวิที่ผมเข้าใจคุณผิด ตอนนี้ผมรู้ความจริงทุกอย่าง ทั้งเรื่องที่คุณไม่ได้เป็นคนเอาเอกสารการประมูลไปจากห้องทำงานผม ทั้งเรื่องที่คุณพยายามเป็นแม่สื่อให้มนัสกับยัยริน แล้วก็เรื่องนิมมาน ตอนนี้ผมมั่นใจว่าคุณกับนิมมานไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ”
“ตอนที่ฉันพยายามอธิบาย คุณไม่เคยคิดจะฟัง ต้องรอจนคนอื่นมาช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของฉันคุณถึงจะยอมเชื่อ คำพูดของฉันมันไม่มีความหมายอะไรกับคุณเลยใช่ไหม”
“ก็ตอนนั้นผมโกรธ เพราะผมหึง แล้วที่ผมหึงก็เพราะว่าผมรักคุณ”
“อย่ามาทำตบหัวแล้วลูบหลังกันง่ายๆแบบนี้เลย คุณเทวา”
“ผมยอมรับผิดแล้วนะรวิ คุณจะยกโทษให้ผมไม่ได้เหรอ”
สีหน้ารวิปรียายังมึนตึงไม่ยอมง่ายๆ เพราะเรื่องเพชรพริ้งก็ยังค้างคาใจ
ตะวันเข้ามาหาทั้งคู่พอดี พร้อมถือตะกร้าสำหรับใส่ดอกไม้มาด้วย เธอส่งเสียงมาแต่ไกล
“คุณพ่อ คุณแม่ขา ไปเก็บดอกไม้กันได้หรือยังคะ ตะวันพร้อมแล้วค่ะ”
รวิปรียากับเทวาจำต้องหยุดเถียงกันชั่วคราว หันไปมองตะวัน
ในบ้านสวน รวิปรียาเดินเคียงคู่ไปกับตะวัน พากันชี้ให้ดูต้นไม้ ดอกไม้ เทวาเดินตามห่างๆ
ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง รวิปรียากำลังจะเก็บดอกไม้ให้ตะวัน แต่ดอกไม้อยู่สูงไปหน่อย เธอพยายามเอื้อมมือไปเด็ด แต่มือของเทวาเข้ามาช่วยเด็ดดอกไม้ให้ รวิปรียาหันขวับมามองหน้าบูดๆ เทวาพยายามยิ้มสู้ แต่รวิปรียาไม่สนใจเดินหนีไป
ตะวันจึงเข้ามาผลักหลังของเทวาให้เดินตามรวิปรียาไป
อีกมุมหนึ่ง รวิปรียากับตะวันกำลังเดินจับมือกัน สักพักตะวันก็ปล่อยมือวิ่งเข้าไปหาเทวา ดึงมือเทวามาหา
รวิปรียา แล้วจับมือกันเดินสามคน โดยมีตะวันอยู่ตรงกลาง
“ดีจังเลย เราไม่ได้จับมือกันสามคนแบบนี้มานานแล้วนะคะ”
เทวายิ้มเห็นด้วย แต่รวิปรียาพยายามเลี่ยง ดึงมืออกจากตะวัน
“ตะวันจ๊ะ ตะวันอยู่กับคุณพ่อนะ เดี๋ยวแม่จะไปดูพี่จอยทางด้านโน้น จะได้ให้พี่จอยเตรียมขนมอร่อยๆไว้ให้”
รวิปรียาพูดแล้วก็เดินไป เทวากับตะวันหันมองหน้ากัน หน้าจ๋อย
วิษณุกับอิงอรยืนคุยกันอยู่ที่นอกชาน วิษณุอารมณ์ดี ชวนคุยยิ้มๆ
“ตอนผมตามจีบคุณใหม่ๆ ผมก็มาเดินตามคุณเก็บดอกไม้ร้อยมาลัยต้อยๆ แบบนี้เหมือนกัน”
“อย่าพูดเลยค่ะ ดอกไม้ดอกไหนที่คุณเก็บเนี่ยนะ ถ้าไม่ช้ำก็กลีบหลุดจนใช้งานไม่ได้ คนอะไรมือไม้หนักไปหมด”
“ก็ตอนนั้นผมเป็นวิศวกรนะอร จะให้หยิบจับอะไรนุ่มนวลเหมือนผู้หญิงก็คงจะไม่ใช่”
อิงอรตั้งกำแพงขึ้นมาอีก “แล้วนี่จะพูดเรื่องเก่าๆขึ้นมาทำไมคะ”
“ก็พูดถึงเรื่องเก่าๆแล้วมันมีความสุขนี่ อีกไม่กี่ปีผมก็จะรีไทร์แล้ว ถึงตอนนั้นผมอยากมาอยู่ซะที่บ้านสวนนี่”
“พูดแบบนี้ถามเจ้าของบ้านหรือยัง”
“ก็ถามอยู่นี่ไง คุณจะว่าไง คุณยอมให้ผมมาอยู่ด้วยไหม”
“ไม่ อย่าลืมสิคะว่าเราเลิกกันไปหลายปีแล้ว”
“ก็แค่แยกกันอยู่ ยังไม่ได้หย่ากันซะหน่อย”
“ก่อนจะคิดทำอะไรก็ไปจัดการคนที่บ้านคุณให้ได้ซะก่อนเถอะค่ะ คนบ้านโน้นเขาคงไม่ยอมง่ายๆ”
อิงอรพูดแล้วลุกขึ้นเดินเลี่ยงออกไป
อิงอรกำลังนั่งสอนตะวันร้อยมาลัย
“แล้วตะวันก็เอาเข็มสอดไปตรงนี้ แบบนี้นะลูก เข็มนี่ไม่แหลมแล้ว ยายให้เขาหักปลายมันออกเรียบร้อยแล้ว”
มือน้อยๆของตะวัน ทำตามที่อิงอรบอกอย่างงกๆเงิ่นๆ จนร้อยดอกสุดท้ายเข้ากับเชือกได้สำเร็จ พวงมาลัยเป็นแบบง่ายๆ ฝีมือเด็กทำ
“เสร็จแล้วค่ะคุณยาย”
“เก่งมากเลยลูก”
อิงอรมัดปลายเชือกจบเข้าหากันให้ เทวานั่งมองตะวันอยู่ ยิ้มๆ
“สนุกไหมลูก ตะวัน”
“สนุกที่สุดเลยค่ะ เรามาที่นี่บ่อยๆนะคะคุณพ่อ”
“ได้สิ ไว้วันหลังพ่อจะพามาอีก”
“ถ้าวันหลังพ่อเขาไม่ว่าง ก็โทร.หาตาได้เลย เดี๋ยวตาพามาเอง”
ตะวันยิ้มพยักหน้าชอบใจ แล้วรับพวงมาลัยจากอิงอร หันไปหาเทวาเอาพวงมาลัยไปโชว์ให้เทวาดู เทวารับไปพลิกดู
“สวยไหมคะคุณพ่อ”
“สวยจ้ะ เก่งเหมือนกันนะลูกคนนี้”
“เป็นลูกคุณพ่อก็ต้องเก่งสิคะ”
ทุกคนหัวเราะ รวิปรียาถือถาดใส่ขนมเข้ามาสมทบพอดี
“รวิมาพอดี เดี๋ยวทานของว่างกันก่อนนะคะทุกคน”
ตะวันมองเทวาพยักเพยิดส่งสัญญาณไปทางรวิปรียา เทวางงๆ
“อะไร”
ตะวันกระซิบ “พวงมาลัยไงคะ”
“ทำไม ให้พ่อเหรอ”
ตะวันเอียงตัวไปกระซิบข้างหู “เปล่าค่ะ ให้คุณพ่อเอาไปให้คุณแม่”
เทวาพยักหน้าอ๋อ.. เข้าใจ แล้วลุกไปหารวิปรียาที่เพิ่งวางถาดขนมเรียบร้อย
“รวิ พวงมาลัยนี่สวยไหม ยัยตะวันร้อยเองกับมือเลยนะ”
รวิปรียาไม่พูดกับเทวา หันไปบอกตะวันแทน “ตะวันเก่งมากเลยจ้ะ”
ตะวันรีบส่งต่อ
“คุณพ่อเอาพวงมาลัยคล้องคอให้คุณแม่สิคะ”
เทวาจะยื่นมือที่ถือพวงมาลัยไปใกล้รวิปรียา แต่รวิปรียาไม่เล่นด้วย
“ทุกคนทานขนมกันก่อนนะคะ รวิขอตัวไปทำธุระก่อน”
รวิปรียาเดินหายไป ปล่อยเทวายืนจ๋อยอยู่ตรงนั้น ตะวันโบกมือไล่พ่อให้ตามไป
อิงอรกับวิษณุมองหน้ากันถอนหายใจ
รวิปรียาเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้องนอน
ก่อนที่จะปิดประตู เทวาก็ตามมาทันพอดี
“เดี๋ยวสิ รวิ”
รวิปรียาหันขวับกลับมา หน้ายังบึ้ง เทวาจึงหยุดอยู่แค่ตรงประตูห้อง
“ถึงคุณจะใช้ตะวันเป็นเครื่องมือ ก็อย่าคิดว่าฉันจะใจอ่อน”
“คุณพูดผิดแล้ว ตะวันต่างหากที่ใช้ผมเป็นเครื่องมือให้พาแกมาหาคุณ ผมยอมรับผิดทุกอย่างแล้วนะรวิ คุณจะไม่หายโกรธจริงๆเหรอ”
“เรื่องที่คุณเข้าใจฉันผิดนั่นก็เรื่องนึง แต่สิ่งที่คุณทำผิดกับฉันไม่ได้มีแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว”
“ถ้าเป็นเรื่องคืนนั้นที่คอนโดผม ผมไม่มีอะไรจะขอโทษ”
“นี่คุณเทวา!”
“ผมไม่ขอโทษ เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมไม่ได้มีอะไรกับเพชรพริ้ง ทุกอย่างที่คุณเห็นมันแค่การจัดฉากของเขา”
“ผู้ชายอย่างคุณนี่เหลือเกินจริงๆ ฉันจะเรียกคุณว่าอะไรดี พอทำผิดแล้วก็แก้ตัวด้วยการโยนบาปให้ผู้หญิง”
“แต่ผมพูดจริง ตอนนั้นผมเมา”
รวิปรียาเบะปากเยาะๆ ไม่อยากเชื่อ “ผู้ชายมักง่าย พอเผลอเข้าก็อ้างว่าเมากันทั้งนั้น”
“ผมรู้ ว่าคำแก้ตัวนี่มันเก่าแล้ว แต่ผมไม่ได้โกหก คืนนั้นผมเมาแล้ว พริ้งเขาพาผมกลับไปที่ห้อง ผมไม่รู้ว่าคุณจะไปหาผมตอนนั้นพอดี พอคุณไปแล้วผมก็รู้สึกตัวขึ้นมา แล้วผมก็ไล่เพชรพริ้งกลับ ผมไม่ได้มีอะไรกับเขาจริงๆ”
“ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก ใครจะไปรู้ คุณกับพริ้งอาจมีอะไรๆกันก่อนหน้าที่คุณจะแต่งงานกับฉันแล้วก็ได้”
“ รวิ ผมไม่ใช่ผู้ชายเหลวไหล ไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรออกมาพล่อยๆ ถ้าผมเคยพูดว่าผมรักคุณ ก็หมายความว่าผมจะมีคุณคนเดียว ไม่มีคนอื่น”
“ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว”
เธอเดินมาไล่เทวาให้ถอยไป จะปิดประตูห้อง
“ผมรู้ว่าแค่คำขอโทษไม่กี่คำมันคงทำให้คุณใจอ่อนไม่ได้ แต่ผมก็จะไม่ยอมแพ้”
“ก็เรื่องของคุณ”
รวิปรียาผลักเทวาออกไป แล้วปิดประตูใส่ เทวาถอนหายใจอยู่หน้าห้องแต่ก็จะไม่ยอมแพ้อย่างที่พูดไว้
ทางด้านเพชรแท้เดินมาตามทางเดินที่ตรงไปสู่เจดีย์บรรจุอัฐิของพศิน
เขาหยุดยืนที่หน้าช่องเล็กๆ ที่มีภาพถ่ายของพศิน เชามองดูภาพถ่ายนั้นสักพัก
“พี่พศิน ผมมาที่นี่เพื่อบอกพี่ว่าผมรักดาวิกา ถึงดาเขาจะไม่ได้รักผมเท่าที่เขารักพี่ แต่ผมก็จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ดาหายเป็นปกติ และอีกเรื่องนึงที่สำคัญที่สุด.. ผมต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพี่กันแน่ อะไรทำให้พี่คิดสั้น”
เพชรแท้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
พัชชาคุยอยู่กับพายุในบ้านเช่า ท่าทางหงุดหงิด อารมณ์เสีย
“นี่เขาแอบไปหานังอิงอรอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ นอกจากวิษณุแล้ว วันนี้ ลูกเขยมันที่ชื่อเทวาก็ไปที่บ้านนั้นด้วย”
“คุณเทวา? เขาไปทำไม”
“ได้ยินว่าทะเลาะกับเมีย เมียหนีไปอยู่บ้านแม่ ก็คงไปตามเมียกลับบ้านล่ะมั้ง”
“คุณเทวาทะเลาะกับนังรวิ สมน้ำหน้า”
“แต่คุณวิษณุเขาไปบ้านสวนบ่อยๆแบบนี้ มันไม่ดีกับเธอนะพัชชา”
พัชชาหงุดหงิด ไม่อยากพูดถึง “ฉันรู้น่า”
พายุยิ้มล้อๆ “เสน่ห์ของเธอมันคงไม่ร้อนแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะสิท่า เธอถึงได้มัดใจไอ้วิษณุไว้ไม่อยู่” พายุก้าวเข้ามาหาทางด้านหลัง ยื่นหน้าไปใกล้ๆ ยั่วอารมณ์ “มันไม่ได้ให้สิ่งที่เธอต้องการมานานเท่าไหร่แล้ว”
พายุเอามือจับไหล่พัชชาไว้
“หยุดนะ อย่ามาทำรุ่มร่าม”
“อย่าทำใจแข็งไปหน่อยเลยน่า เธอยังสาว ยังสวย เธอคงไม่ยอมเหี่ยวแห้งไปจนตายพร้อมกับไอ้เศรษฐีไร้น้ำยานั่นหรอกใช่ไหม”
พัชชาเริ่มหยุดคิดตาม พายุเริ่มโลมไล้
“จำไม่ได้เหรอว่าแต่ก่อนเราสองคนเคยสนุกกันแค่ไหน คนที่รู้ใจเธอดีที่สุดก็คือฉัน ถึงจะผ่านไปหลายปี ฉันก็ไม่เคยลืมเธอ แล้วฉันก็เชื่อว่าเธอเองก็ไม่เคยลืมรสรักของผัวเก่าคนนี้เหมือนกัน เวลานี้เป็นเวลาที่เราต่างก็ต้องการกันและกันมากที่สุด”
พัชชาคิด แล้วตัดสินใจบางอย่าง
“นั่นสิ เวลาแบบนี้เป็นเวลาที่เราต้องพึ่งพากัน ในเมื่อเขากลับไปหาเมียเก่าได้ ฉันก็กลับมาหาผัวเก่าฉันได้เหมือนกัน”
ทั้งคู่มองหน้ากัน พร้อมที่จะก้าวสู่ขั้นต่อไป
วิษณุซึ่งนอนหลับอยู่บนเตียง สักพักก็พลิกตัวนอนตะแคง แล้วลืมตาตื่นขึ้นมา มองไปที่ที่ว่างด้านข้างซึ่งเป็นที่ของพัชชา แต่ตอนนี้ว่างเปล่า
วิษณุมองนาฬิกาที่หัวเตียง เป็นเวลาเกือบตีหนึ่ง
“ป่านนี้ยังไม่กลับอีก”
วิษณุนอนถอนหายใจ ส่ายหน้าแบบเบื่อหน่ายในการเป็นสาวสังคมของพัชชา
ที่บ้านเช่า พัชชากำลังแต่งตัว หลังจากที่เพิ่งนอนกับพายุเสร็จ พายุเข้ามากอดหอม พัชชาเบี่ยงตัวหลบ
“พอได้แล้วน่า นี่.. ฉันขอบอกไว้ก่อนนะพี่พายุ ถ้าไม่อยากให้ฉันกับลูกเดือดร้อน เรื่องของเราจะต้องเหยียบไว้ให้สนิท”
“ฉันรู้น่าว่าต้องทำยังไง อันที่จริง เธอน่าจะขอเงินก้อนใหญ่จากไอ้วิษณุมาสักก้อน แล้วก็เลิกกับมันซะ”
“เศษเงินพวกนั้น ฉันไม่เอาหรอก รู้ไหมฉันลงทุนไปเท่าไหร่กว่าจะมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ถ้าเลิกตอนนี้ก็เท่ากับว่าฉันเสียเวลาไปเปล่าๆตั้งหลายปีน่ะสิ”
“แล้วเธอต้องการอะไร”
“ทุกอย่าง! หรืออย่างน้อยที่สุด ก็สมบัติครึ่งนึงของสิริคุณานันท์ ตามสิทธิ์ที่พริ้งกับเพชรควรจะได้ เพราะที่จริงพริ้งก็นับได้ว่าเป็นทายาทคนนึงของสิริคุณานันท์เหมือนกัน”
พัชชาจงใจพูดถึงเพชรพริ้ง แววตาของพายุฉายแววความห่วงใยออกมา
“แต่ถ้ามันยังไม่ยอมหย่ากับเมียเก่า ฉันกับลูกคงไม่ได้อะไรเลย”
“แล้วต้องทำยังไงพริ้งถึงจะได้สมบัติทุกอย่าง”
“พริ้งต้องได้ทุกอย่างแน่ ถ้าไม่มีนังรวิ”
“รวิ?”
“มันคอยเป็นมารผจญยัยพริ้งทุกเรื่อง มันคอยจ้องแต่จะแย่งทุกอย่างที่พริ้งควรจะได้ ทั้งสมบัติ เงินทอง ผู้ชายดีๆ และที่ยัยพริ้งต้องเลิกกับสามี ต้องเสียใจจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมัน”
“งั้นเราก็จัดการมันซะเลยสิ”
“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย ฉันไม่อยากให้ทำอะไรรุนแรงเกินไป”
“งั้น.. ถ้านังรวิถูกจับตัวไปเรียกเงินสักสิบยี่สิบล้านจะมีคนยอมจ่ายมั้ย”
พัชชายิ้มกระหยิ่มด้วยกับแผนการนี้
“พ่อเป็นถึงเจ้าของบริษัท ผัวก็ร่ำรวยมหาศาล มันต้องไม่อยู่เฉยแน่”
“นอกจากจะได้แก้แค้นให้พริ้งแล้ว ยังอาจจะมีเงินใช้สักสิบยี่สิบล้าน” พายุบอก
แววตาพายุแข็งกร้าว พร้อมจะลงมือทำอะไรบางอย่าง
วันใหม่ รวิปรียากำลังจะเดินออกจากบ้านไปที่สวน
เธอเจอกับเทวาที่กำลังจะเข้าบ้านมา ดักหน้าไว้พอดี
รวิปรียาทำทีปั้นปึ่ง แม้ในใจจะดีใจ
“นี่คุณมาทำไมอีก”
“ก็มาตามเมียผมกลับบ้านน่ะสิ”
“ใครบอกคุณว่าฉันจะกลับ”
“หัวใจคุณบอก”
“อย่ามาทำกะล่อนแถวนี้นะ กลับไปเลยไป”
“ไม่กลับ คุณจะโกรธผมนานแค่ไหนก็ได้ แต่ห้ามให้ผมมาที่นี่ไม่ได้ แล้วผมจะมาตามง้อคุณอยู่แบบนี้จนกว่าคุณจะใจอ่อนยอมยกโทษให้”
“คุณมีสิทธิ์ที่จะมาในฐานะแขกของคุณแม่ ไม่ใช่แขกของฉัน อยากทำอะไรก็ทำไป แต่ฉันก็มีสิทธิ์จะไม่สนใจคุณเหมือนกัน”
“เมื่อไหร่คุณจะหายโกรธซะที คุณอยากให้ผมทำอะไร ผมยอมหมดทุกอย่าง”
รวิปรียากำลังจะขยับปากไล่ แต่เทวารู้ทันเลยรีบพูดสวนขึ้นก่อน
“ยกเว้นบอกให้ผมเลิกตามง้อคุณ”
รวิปรียาอ่อนใจ
“ผมรู้ว่าภารกิจนี้มันไม่ง่าย แต่ผมก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะไม่ยอมแพ้”
อิงอรกับจอยออกมาพอดี เห็นเทวามาถึงบ้าน
“อ้าวคุณเทวา วันนี้มาซะเย็นเลยนะคะ”
“สวัสดีครับคุณแม่” เทวายกมือไหว้
“มาก็ดีแล้ว จะได้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันเลย” อิงอรบอก
“ที่จริงคุณเทวาน่าจะค้างซะที่นี่เลยนะคะ ขับรถกลับดึกๆ มันอันตราย” จอยบอก
“แน่อยู่แล้วครับ ผมเตรียมเสื้อผ้ามาค้างที่นี่ด้วย”
รวิปรียารีบขัดขึ้นทันควัน “ไม่ได้”
“ได้สิ”
“คุณแม่!”
“ก็เทวาเป็นลูกเขยแม่ แล้วนี่ก็เป็นบ้านแม่ แม่มีสิทธิ์ที่จะอนุญาต”
“ขอบคุณครับคุณแม่”
“จะค้างก็ค้างไป แต่ห้ามเข้าไปในห้องฉัน แล้วฉันก็ขอเตือนนะ ว่าอย่าเข้าใกล้ฉันเด็ดขาด”
รวิปรียาเดินหนีไปแบบไม่สบอารมณ์ จอยเกาหัวแกรกๆ บ่นขึ้นมา
“ไม่ให้นอนในห้อง แล้วคุณเทวาจะนอนที่ไหนล่ะคะ”
ตกกลางคืน มุ้งหลังหนึ่งกางอยู่ที่กลางบ้าน เทวามุดเข้าไปในมุ้ง แล้วจัดที่นอน หมอน ผ้าห่มให้เข้าที่ ก่อนจะล้มตัวลงนอน ดูไม่ค่อยสบายตัว
อิงอรกับรวิปรียายืนมองอยู่ห่างๆ
“แบบนี้จะดีหรือลูก นอนตรงนั้นมันไม่สบายเลยนะ”
“ก็ไล่ให้กลับไปนอนบ้านสบายๆ แล้วเขาไม่ไปเองนี่คะ ช่างเขาปะไร”
รวิปรียาไม่สนใจเทวาแล้วเข้าห้องไป อิงอรมองตามลูกสาวส่ายหน้ากับตัวเอง
รวิปรียานั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน แล้วลุกขึ้นยืนกระสับกระส่าย ในใจยังอดห่วงเทวาไม่ได้
เธอตัดสินใจไปเปิดประตูห้อง แล้วค่อยๆย่องออกไป เดินทำเสียงให้เบาที่สุดมาดูที่มุ้งของเทวา มองผ่านมุ้งไปเห็นเทวานอนพลิกตัวไปมา มือปัดยุงบ้าง ตบยุงบ้างทั้งที่หลับอยู่
รวิปรียามองแล้วก็เห็นใจ เดินเข้ามาดูใกล้ๆ เห็นว่าประตูมุ้งเปิดแง้มอยู่ ปิดไม่เรียบร้อย
“มุ้งก็ไม่ปิด ยุงถึงรุมกัดอยู่แบบนี้ไง ไม่เคยนอนมุ้งหรือไงกัน”
รวิปรียาปิดประตูมุ้งแล้วเอาสอดทับเข้าใต้ที่นอนให้อย่างเบามือ กลัวเทวาจะตื่นมาเห็น พอเรียบร้อยแล้วเธอก็กลับห้องไป
ภายในมุ้ง เทวาลืมตาขึ้นมาแวบหนึ่ง ยิ้มกับตัวเองที่อย่างน้อยรวิปรียาก็เป็นห่วงเขาอยู่ ก่อนจะหลับตาลงอย่างสุขใจ
บรรยากาศบ้านสวน ยามเช้า
เทวาเพิ่งตื่นได้ไม่นาน กำลังยืนอยู่ที่นอกชาน มองหารวิปรียาไปรอบๆ อิงอรเข้ามาหา
“ตื่นแล้วหรือคะ คุณเทวา”
“ครับ รวิไปไหนครับคุณแม่ ที่ห้องก็ไม่อยู่แล้ว”
“เขาออกไปตักบาตรที่หน้าบ้านน่ะค่ะ ตามไปสิคะ”
เทวายิ้มรับ
รวิปรียาเพิ่งตักบาตรเสร็จ ขณะที่เธอกำลังเก็บของที่หน้าบ้าน ชายฉกรรจ์2คน ซึ่งเป็นลูกน้องพายุ ก็เข้ามาจู่โจมดึงแขนรวิปรียา
“ว้าย...”
รวิปรียาถูกกระชากอย่างแรงก็ตกใจ ขันใส่ข้าวร่วงหล่นลงพื้นกระจาย
“นี่อะไรกันน่ะ”
ชาย1 พยายามรวบตัวรวิปรียาไว้ แต่รวิปรียาดิ้นขัดขืน ชาย2 จึงเข้ามาต่อยที่ท้อง
รวิปรียาจุกจนหมดแรง ชาย2 จึงเอาผ้าออกมา
“มัดมือมัดปากมัน แล้วเอาตัวไป”
เทวาเดินออกมาจากตัวบ้าน มาถึงหน้าประตูรั้ว แต่บริเวณนั้นไม่มีร่างของรวิปรียา เทวามองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ
“ไหนคุณแม่ว่ามาตักบาตร แล้วหายไปไหนของเขา”
ก่อนจะขยับขาต่อไป เทวาเหลือบเห็นบางอย่างที่พื้น เขาก้มลงมองดู เห็นขันใส่ข้าว ทัพพี ถาดอาหาร ตกเกลื่อนกลาด เทวาใจหาย สังหรณ์ใจว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้น จอยตามออกมาอีกคนพอดี
“จอยไปโทร.บอกตำรวจให้มาที่บ้าน แจ้งว่าอาจมีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่บ้านเรา”
“เหตุร้าย! .. คุณรวิหรือคะ”
“รีบไปเร็ว”
“คะ.. ค่ะๆ”
จอยรับคำลนลาน กระวีกระวาดกลับเข้าบ้านไป
รวิปรียาถูกแบกขึ้นบ่าชาย1 มาถึงรถตู้คันหนึ่งซึ่งจอดซุ่มรออยู่ที่ถนนริมสวนผลไม้
ประตูรถเปิดออก พายุก้าวลงจากรถ
รวิปรียามีแรงกลับมาอีกครั้ง เธอพยายามดิ้นขัดขืนจนชาย1 ต้องปล่อยร่างเธอลง
พายุปรากฏตัวขึ้นตรงหน้ารวิปรียา รวิปรียาตาเบิกโพลงเมื่อเห็นพายุแล้วจำได้ว่าเป็นคนขับรถของวิษณุ แต่ปากยังโดนผ้าปิดอยู่ จึงได้แต่ทำเสียงอู้อี้
“ใช่ ฉันเอง”
พายุก้าวเข้ามายืนตรงหน้ารวิปรียาใกล้ๆ
“ถึงจำได้ฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอกนะ เพราะฉันก็ไม่ได้คิดจะทำงานให้พ่อเธออีกแล้ว ไปอยู่กับฉันสักสองสามวัน ถ้าทำตัวดีๆ ฉันก็จะดีด้วย ไม่ปล่อยให้เธอลำบากหรอก”
รวิปรียาถือโอกาสที่พายุเผลอ ยกเท้าขึ้นกระทืบลงบนเท้าของพายุอย่างแรง
“โอ๊ย”
พายุสะดุ้งร้อง รวิปรียาจึงออกตัววิ่งหนี แต่ไม่ทันไรลูกน้องพายุก็มาขวางหน้าไว้ พายุเข้ามาคว้าแขนรวิปรียาไว้แล้วตบฉาดอย่างแรงจนรวิปรียาหน้าหัน เลือดซึมออกมาจากมุมปาก
“ฤทธิ์มากนักนะนังนี่ … เอาตัวมันขึ้นรถ” พายุสั่งลูกน้อง
ทางด้านเทวาเดินอย่างร้อนรนกังวลใจมาตามทางเดินริมถนน มองหารวิปรียาไปรอบๆ
“รวิ รวิ”
ลูกน้องพายุกำลังช่วยลากตัวรวิปรียาขึ้นรถตู้ จับตัวรวิปรียาเข้าไปในรถได้สำเร็จ ชาย 2 เข้าไปนั่งประกบแล้วปิดประตู
ชาย1 รีบวิ่งไปประจำที่คนขับ โดยมีพายุนั่งรออยู่ที่เบาะนั่งข้างคนขับแล้ว
รวิปรียาส่งเสียงอู้อี้
“เอาผ้าปิดปากมันออกได้แล้ว” พายุบอก
ชาย2 ดึงผ้าออกจากปากรวิปรียา
“นี่พวกแกจะพาฉันไปไหน แล้วพวกแกต้องการอะไร”
พายุไม่ตอบ แต่สั่งลูกน้องที่เป็นคนขับ
“ออกรถ”
ขณะที่ชาย1 ใส่เกียร์กำลังจะออกรถ ก็ปรากฏร่างของเทวาวิ่งมาดักหน้ารถไว้ได้ทันเวลา
“คุณเทวา!”
เทวาจ้องมองเข้ามาในรถ เห็นรวิปรียาและพายุ
“รวิ...”
“เอาไงดีพี่”
พายุจ้องมองเทวาสายตาเอาจริง เทวาเองก็ไม่หลบไปไหน ตั้งใจจะขวางให้ถึงที่สุด “ชนมัน”
ชาย1 ออกรถ เหยียบคันเร่งพุ่งเข้าหาเทวา เทวาต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาทีว่าจะเอายังไงต่อ
รถตู้แล่นตรงเข้าไปหาเทวาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้ามันไม่หลบก็ชนเลย”
รวิปรียาหน้าตาตื่น กลัวเทวาจะได้รับอันตราย
เมื่อรถใกล้จะเข้าชนเทวาเข้าจริงๆ เทวาขยับหลบ แต่ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ที่ในรถ รวิปรียาก็ยื่นตัวไปล็อคคอชาย1 ทันควัน โดยไม่มีใครได้ทันตั้งตัว เพื่อให้เสียหลัก
“เฮ้ย”
ชาย2 ดึงตัวรวิปรียากลับ แต่มือของรวิปรียายังคงพยายามยื้อที่คอของชาย1 เกิดเป็นความชุลมุนอยู่ในรถ
“จัดการมันสิวะ”
ชาย1 เสียหลักหักพวงมาลัยซ้ายขวา
รถตู้คันนั้นแล่นส่ายไปมาซ้ายขวา แล้วเสียหลักก็พุ่งออกจากถนนไปตกข้างทาง ชาย1เหยียบเบรคเอี๊ยดทันเวลาพอดี
เทวาวิ่งตามมาที่จุดเกิดเหตุ พายุลากตัวรวิปรียาลงมาจากรถ ตามมาด้วยลูกน้องทั้งสอง
“รวิ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ”
“ห่วงกันนักหรือมึง” พายุสั่งลูกน้อง “จัดการมันสิ”
ลูกน้องของพายุพุ่งตัวเข้ามาหมายจะจัดการเทวา เทวาคว้าท่อนไม้ที่ข้างทาง ถือกระชับไว้ในมือแล้วใช้ไม้ฟาดเข้าที่ศีรษะของชาย 2 ชาย2 หัวแตกล้มลงกับพื้น
ชาย 1 ถีบมือของเทวาจนท่อนไม้ตกพื้น แล้วก็ชกต่อยกันไปมา แต่เทวาดูท่าจะได้เปรียบ
พายุที่มือหนึ่งยังคงจับแขนของรวิอยู่ เห็นจังหวะที่ลูกน้องจะเสียท่า ก็ชักปืนออกมาจากเอว จ่อไปที่เทวาแล้วตะโกนขู่
“เฮ้ยหยุด!”
พายุจะเหนี่ยวไกยิงเทวาจริงๆ
“คุณเทวา ระวัง”
รวิปรียาที่แขนยังถูกมัดอยู่ โถมทั้งตัวเข้าชนพายุเพื่อให้พายุพลาดเป้า เสียงปัง! ดังลั่นขึ้นหนึ่งครั้งจากปลายกระบอกปืนของพายุ แต่ไม่โดนใคร พายุเองก็เซล้มลงไป มือหลุดจากรวิปรียา
รวิปรียาถือโอกาสนั่นวิ่งไปหาเทวา
“หนีเร็วรวิ”
เทวารีบเข้ามาโอบรวิปรียาแล้วพากันวิ่งหนีเข้าสวนข้างทางไป
พายุทรงตัวขึ้นมาได้ก็จ่อปืนตามหลังเทวา แล้วยิงปังออกไป
จอยกับอิงอรสะดุ้งเมื่อเสียงปืนดัง ทั้งคู่นั่งกระสับกระส่ายคอยรวิปรียาอยู่ในบ้าน
“ว้าย” จอยร้อง
“เสียงปืนนี่จอย !”
“ใช่แน่ๆเลยค่ะ”
อิงอรร้อนใจ
“จะเกี่ยวกับรวิหรือเปล่า ทำไมตำรวจไม่มาสักที จอยไปตามชาวบ้านมาช่วยหารวิก่อนดีกว่า”
“ได้ค่ะ” จอยวิ่งออกไป
“ขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
เทวากับรวิปรียาวิ่งหนีพวกพายุเข้ามาในสวนผลไม้ของชาวบ้าน
พายุกับลูกน้องวิ่งตามมาห่างๆ พายุหยุดแล้วยิงปืนออกไปเพื่อสกัดเทวากับรวิปรียาอีกนัด แต่ก็พลาดเป้าไป
เทวากับรวิปรียาพากันวิ่งหนีจนหลุดพ้นสายตาของพวกพายุ มาจนถึงมุมหนึ่งที่มีต้นไม้หนาแน่น เทวาเห็นว่าเหมาะแก่การซ่อนตัว จึงดึงแขนรวิปรียาให้เข้าไปหลบหลังพุ่มไม้
ทั้งคู่นั่งลงหายใจหอบๆ
“ผมจะแก้มัดให้คุณก่อน”
เทวาจะแก้เชือกที่มัดมือให้รวิปรียา รวิปรียาหันไปมองเทวาก็เห็นว่าที่ต้นแขนมีเลือดไหลออกมา รวิปรียาตกใจตาค้าง
“นี่คุณถูกยิงนี่!”
เทวาจับแขนตัวเอง กระสุนแค่เฉี่ยวไปมีเลือดซึมออก
“แค่เฉี่ยวๆน่ะ ไม่เป็นไร”
เทวาแก้เชือกให้รวิปรียา ทั้งที่ตัวเองก็เจ็บแขนอยู่
กลุ่มของพายุวิ่งมาจนถึงจุดหนึ่งแล้วหยุดเมื่อไม่เห็นเทวากับรวิแล้ว
“พวกมันหายไปไหนแล้วไม่รู้พี่พายุ”
“คงจะอยู่แถวๆนี้แหละ”
“ไอ้ผู้ชายนั่นถูกลูกปืนพี่พายุเข้าแน่ๆ”
ทุกคนหยุดมองหาไปรอบๆ พายุมองลงที่พื้นเห็นรอยหยดเลือดลงบนพื้น แล้วยิ้มกระหยิ่มชี้ให้ทุกคนดู
ลูกน้อง2คนพยักหน้าเข้าใจ แล้วพากันเดินตามรอยเลือดที่หยดไปตามรอยทางเป็นจุดห่างๆกัน
เมื่อเทวาแก้เชือกให้รวิปรียาได้แล้ว รวิปรียาก็โผเข้ากอดเทวาอย่างดีใจ
“ผมดีใจที่คุณปลอดภัย”
“พวกนั้นมันต้องการอะไรกันแน่”
พวกพายุเดินมาหยุดอยู่ใกล้บริเวณนั้น เทวาได้ยินเสียงคนเดินมาจึงเงียบไว้ แล้วใช้นิ้วจุปากให้รวิปรียาเงียบเช่นกัน
“รอยเลือดหายไปแล้วพี่”
“มันไปไหนได้ไม่ไกลหรอก คงจะซ่อนอยู่แถวนี้แหละ แยกกันตามหาพวกมัน”
รวิปรียาตาเบิกโพลงเมื่อรู้ว่าอันตรายเข้ามาใกล้ทุกที เทวาโอบกอดรวิปรียาไว้
“อย่าทำอะไรรุนแรงนะโว้ยพวกมึง กูต้องการตัวผู้หญิงคนนั้นเป็นๆ ส่วนไอ้ผู้ชายถ้ามันสร้างปัญหามากนักก็ยิ้งทิ้งซะ”
เทวากับรวิปรียามองหน้ากัน เริ่มกลัว
พวกพายุแยกกันตามหารวิปรียากับเทวาไปรอบๆบริเวณ
ชาย1 มองไปที่พุ่มไม้ซึ่งเทวากับรวิปรียาซ่อนอยู่ นึกสงสัยว่าทั้งคู่อาจหลบอยู่ตรงนั้น เขาเดินย่างเท้าเข้าไป
ที่มุมของเทวา เท้าของลูกน้องพายุ ใกล้ๆเข้ามาทุกทีๆ ทั้งคู่กอดกันแน่นขึ้น รวิปรียาเฝ้าภาวนาในใจ
ก่อนที่ชาย1 จะไปถึงพุ่มไม้นั้นเพียง2-3ก้าว เสียงชาวบ้านก็ดังขึ้น
“จอยเจอหรือยังพี่”
ทุกคนตรงบริเวณนั้นชะงัก รู้ว่าชาวบ้านมาแล้ว เสียงชาวบ้าน 3 คน เดินคุยกันใกล้เข้ามา
“ไม่เจอเลย แต่น่าจะอยู่ใกล้ๆนี่แหละ”
“เสียงปืนมันดังมาจากแถวนี้นี่นา” จอยบอก
พายุกับพวกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เอาไงพี่”
“กูไม่อยากให้เรื่องบานปลาย หลบไปกันก่อนดีกว่า” พายุบอก
ทั้งสามคนล่าถอยออกไปจากบริเวณนั้น
เทวากับรวิปรียาที่หลังพุ่มไม้ ถอนหายใจโล่งอก
จอยกับชาวบ้านมาถึงบริเวณนั้น เทวาประคองรวิปรียาออกมาจากหลังพุ่มไม้พอดี จอยร้องออกมาอย่างดีใจ
“คุณรวิ คุณเทวา!”
ต่อมา รวิปรียากำลังใช้ผ้าพันแผลพันต้นแขนให้เทวาอยู่ สีหน้าเป็นห่วง
“คุณต้องมาเจ็บตัวเพราะช่วยฉันแท้ๆเลย”
“เจ็บตัวแค่นี้ แต่คุณปลอดภัยมันยิ่งกว่าคุ้มซะอีก”
“เกือบเอาชีวิตไม่รอดกันแล้ว ยังจะมาทำพูดดีอีก”
“โอ๊ย.. เบาๆหน่อยสิ เจ็บนะรวิ”
รวิปรียาหน้าเสีย “ขอโทษค่ะ”
“ที่จริงไม่เจ็บหรอก อยากเรียกร้องความสนใจไปอย่างนั้นเอง”
“คุณนี่จริงๆเลย”
อิงอรที่นั่งอยู่ห่างออกไป สีหน้ายังคงกังวล
“แม่ว่าพาเทวาไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม”
“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ครับ แผลไม่ได้ลึกอะไร”
“นี่ยังถือว่าโชคดีนะ ที่คุณเทวากับรวิไม่ได้เป็นอะไรมาก แม่ล่ะเสียขวัญซะจนเกือบเป็นลม อยากรู้เหลือเกินว่าไอ้พวกนั้นมันทำแบบนี้ทำไม”
“ผมว่าตำรวจน่าจะตามจับตัวได้ไม่ยากครับ จากข้อมูลที่เราให้ไป”
“ทำไมคุณวิษณุถึงรับคนแบบนี้มาขับรถได้นะ”
“คุณแม่รีบโทรบอกคุณพ่อก่อนดีกว่านะครับ เผื่อว่ามันย้อนกลับไป”
อิงอรพยักหน้ารับ
วิษณุที่อยู่ในห้องนั่งเล่นกำลังโทรศัพท์พูดสายอยู่กับอิงอร รับรู้ข่าวด้วยความตกใจ
“ว่าไงนะอร” พอฟังแล้ว สีหน้าตกใจขึ้นเรื่อยๆ “แล้วอรบอกว่าเป็นฝีมือของใครนะ.... ไอ้พายุ คุณบอกให้ยัยรวิกลับมากรุงเทพเถอะนะ ส่วนคุณเองก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน เอาเป็นว่าผมจะส่งคนไปอยู่ที่บ้านสวนเพิ่มอีกสักสองสามคนจะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา.... จ้ะ แล้วเดี๋ยวผมโทร.ไปใหม่นะ”
วิษณุกดวางสาย นึกถึงพายุพึมพำทวนชื่อครุ่นคิด
“พายุ... “ แล้วนึกได้ “พัชชา”
พัชชาแก้ตัวทันควัน
“พัช..พัชไม่รู้เรื่องนะคะคุณพี่”
วิษณุโวยวายใส่พัชชาด้วยความโกรธจัด ไม่เคยมีอารมณ์มากขนาดนี้มาก่อน
“ไม่รู้ได้ยังไง ในเมื่อไอ้พายุมันเป็นญาติเธอ เธอเองก็เป็นคนรับประกันให้มันมาทำงานขับรถให้ฉัน แล้วดูสิ ว่ามันทำอะไรลงไป!”
“แล้วหนูรวิเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ยังจะมาถามอีกเหรอ”
“ก็พัชไม่รู้เรื่องจริงๆนี่คะ แล้วเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พัชเองก็เป็นห่วงรวิเหมือนกัน”
“ยัยรวิเป็นแก้วตาดวงใจของฉัน ถ้าลูกสาวฉันเป็นอะไรขึ้มา ฉันไม่เอามันไว้แน่ รวมถึงคนที่มันรวมหัวกันสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา”
วิษณุเหล่มองพัชชา ไม่ไว้ใจอีกต่อไป พัชชาหน้าเสีย สะดุ้งเฮือก แต่ยังทำใจดีสู้เสือ
“แล้วนี่คุณพี่แจ้งตำรวจหรือยังล่ะคะ ถ้าไอ้พายุมันทำจริงๆ ก็ต้องลากคอมันเข้าตะราง เอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด”
“เรื่องนั้นเธอไม่ต้องห่วงหรอกพัช เป็นห่วงตัวเองเถอะถ้ามันซัดทอดเธอขึ้นมา”
“พัชกับมันเป็นแค่ญาติกันนะคะคุณพี่ ไม่ได้เจอมันมานานหลายปีแล้ว เจอหน้าอีกทีก็พร้อมกับคุณพี่เมื่อวันก่อน มันไปทำเลวอะไรที่ไหนพัชจะไปรู้ได้ยังไง”
“งั้นโทรหามันสิ เดี๋ยวนี้”
“วะ ว่าไงนะคะ”
“โทร.หามัน ต่อหน้าฉันตรงนี้ เดี๋ยวนี้”
วิษณุมองอย่างบีบบังคับ พัชชาจำใจต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทร. ออกไปยังชื่อของพายุ รอสายอยู่สักพัก จนกระมั่งมีเสียงพายุรับสาย
“ฮัลโหล”
วิษณุแย่งโทรศัพท์จากพัชชามาฟังเสียงจากปลายสายทันที โดยพัชชาไม่ทันตั้งตัว เสียงพายุโวยลั่นออกมา
“โทรมาก็ดีแล้ว เธอรู้ไหมว่าแผนของเราล้มเหลวหมดแล้ว ตอนนี้ฉันต้องหาทางกบดานสักพัก”
วิษณุตาลุกวาวกดตัดสายทันที มือกำโทรศัพท์แน่นอย่างโกรธจัด ยังไม่พูดอะไร แล้วก็ขว้างโทรศัพท์ทิ้งลงพื้นอย่างแรง พัชชาสะดุ้ง
พัชชาพยายามอ้อนวอน ทำเสียงเครือ ตาแดง จะร้องไห้ “คุณพี่คะ”
วิษณุนิ่งๆ ข่มอามรณ์โกรธ “ไปซะพัชชา”
พัชชาร้องไห้กระซิก “คือพัช”
“พอได้แล้ว เลิกตอแหล เลิกตลบตะแลงปลิ้นปล้อนซะที ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธออีกแล้ว เห็นแก่เวลาหลายปีที่เธออยู่กับฉันมา ฉันจะไม่แจ้งความเอาเธอเข้าคุก แต่ออกไปจากบ้านนี้ซะ แล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก” วิษณุเด็ดขาด
พัชชาร้องไห้คร่ำครวญเข้ามากอดวิษณุ
“ไม่นะคะคุณพี่ พัชไม่เกี่ยวจริงๆ ไอ้พายุพูดอะไร คุณพี่อย่าไปเชื่อมันนะคะ”
“ต่อไปนี้เธอกับฉัน เราสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แล้วถ้าจะไปเธอก็ไปคนเดียว พริ้งกับเพชรแท้ยังถือว่าเป็นหลานของฉัน ให้เขาสองคนอยู่ที่นี่”
วิษณุเดินหนีออกไปทางหนึ่งโดยไม่มองหน้าพัชชา พัชชาทรุดตัวนั่งลงหมดแรง ทุกอย่างพังทลาย
ต่อมา พัชชาจัดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว วางอยู่ข้างตัวพัชชา เธอนั่งครุ่นแค้นอยู่กับตัวเอง
“ไม่ให้อยู่ก็ไม่อยู่ แต่คนอย่างพัชชาไม่มีทางจนตรอกหรอก ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่”
เพชรแท้ที่จะมาดูแม่ ยืนมองอยู่หน้าห้องประตูเปิดอยู่ แววตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เมื่อได้ยิน
“นี่ผมผิดหวังในตัวแม่จนไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว”
พัชชาหันมามองเพชรแท้
“ฉันรู้.. ว่าตั้งแต่เด็กจนโตมา แกไม่เคยภูมิใจในตัวฉันเลย แต่จะบอกให้นะเพชร แม่ก็ยังเป็นแม่แกวันยังค่ำ หน้าที่ของแม่ก็คือปกป้องลูก แล้วก็ทำทุกอย่างให้ลูกได้มีชีวิตอยู่อย่างสบายที่สุด”
“อย่าอ้างพวกเราเลยครับ ที่แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อตัวเอง เพราะกิเลส เพราะความอิจฉาริษยาในใจของแม่เอง”
“แกจะเข้าใจแม่แบบนั้นก็แล้วแต่แก แต่ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้ แม่ก็จะทำเหมือนเดิม แม่ไม่เคยเสียใจเลย เพราะแม่สามารถพาลูกๆออกจากบ้านเช่ารังหนูที่อเมริกามาอยู่อย่างสุขสบายที่นี่ได้”
“เมื่อไหร่แม่จะสำนึกได้ซะทีว่าสิ่งที่แม่ทำมันผิด!”
พัชชาเหมือนไม่ฟังสิ่งที่เพชรแท้พูดเลย ยังคงจ่อมจมและดึงดันในความคิดตัวเอง เธอลุกขึ้นมามองหน้าเพชรแท้ใกล้ๆ
“ไปเรียนต่อซะให้จบแล้วกลับมารับช่วงต่อกิจการของคุณลุงให้ได้ เพชรเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณพ่อ เป็นหลานแท้ๆของคุณลุง ทุกอย่างที่บ้านนี้และที่บริษัทจะต้องเป็นของเพชรโดยชอบธรรม”
“พอซะทีเถอะแม่ มีสติหน่อยสิ ของพวกนี้ไม่ใช่ของของเรา ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”
“แม่จะจัดการเรื่องนี้ให้แกเอง แล้วแม่จะโทร. หานะ”
“แม่...”
พัชชาลากกระเป๋าออกจากห้องไป โดยมีเพชรแท้มองตาม ทั้งเศร้า ทั้งสมเพชใจ
อ่านต่อตอนที่ 22
#ใจลวง #thaich8 #ละครออนไลน์