xs
xsm
sm
md
lg

ละคร ใจลวง ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ใจลวง ตอนที่ 5

รวิปรียาเคาะประตู หน้าบ้านพักของเทวา คนที่เปิดประตูออกมารับคนแรกคือตะวัน

ตะวันร้องเสียงดัง
“น้ารวิ มาแล้วค่ะคุณพ่อ”
“นี่มาเปิดประตูให้น้าเองเลยหรือคะ”
“ค่ะ เพราะว่าตะวันรอน้ารวิอยู่”
เทวาโผล่หน้าออกมา ในชุดลำลองสบายๆ สวมผ้ากันเปื้อนดูมืออาชีพ
“ตะวันตื่นเต้นน่ะครับที่คุณรวิจะมากินอาหารเย็นด้วยกัน พอได้ยินเสียงเคาะประตูก็วิ่งปร๋อมาเลย” เทวาเบี่ยงตัวเชิญรวิปรียาเข้าบ้าน “เชิญครับ”
รวิปรียาจับมือตะวันเข้าบ้านไป ตามด้วยเทวา รวิปรียามองผ้ากันเปื้อนบนตัวของเทวายิ้มๆ
“ฉันนึกว่าคุณล้อเล่นซะอีก ที่คุณบอกว่าจะลงมือทำอาหารเอง”
“พ่อหม้ายที่เลี้ยงลูกเองอย่างผมเนี่ยต้องมีฝีมือการทำอาหารติดตัวไว้บ้าง แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกครับ”
ตะวันเงยหน้าเอียงคอมองเทวาด้วยหางตา เลิกคิ้วมองพ่อแบบรู้ทัน เทวาขยิบตาให้
“คุณรวินั่งเล่นรอไปก่อนนะครับ สักพักอาหารก็คงเสร็จแล้ว จะดื่มอะไรก่อนไหมครับ น้ำส้มไหม”
“ได้ค่ะ”
เทวามองไปที่จ๊ะเอ๋ที่กำลังยืนรอรับคำสั่งอยู่
“จ๊ะเอ๋ ขอน้ำส้มที่ฉันคั้นไว้ให้คุณรวิหน่อย”
“ได้ค่ะ” เจ๊เอ๋ยิ้ม เดินหันหลังไป
จ๊ะเอ๋หันหลังจะเข้าครัว สีหน้างง เดินไปพูดในใจไป
“คุณเทวาคั้นตอนไหนวะ ทุกอย่างจ๊ะเอ๋ทั้งนั้น”

เวลาเดียวกัน เพชรพริ้งกับนิมมานยืนอยู่กลางโถงของบ้านนิรมิต มีสัมภาระและกระเป๋าเสื้อผ้าของเพชร
พริ้งกองอยู่ข้างๆตัว เตรียมจะย้ายเข้ามาอยู่
“หลังแต่งงานแล้วพริ้งจะย้ายมาอยู่ที่นี่เลย คุณแม่เลยแนะนำว่าให้พริ้งขนของล่วงหน้ามาก่อน คืนแต่งงานจะได้ไม่ต้องเหนื่อยจัดของอีก”
นิมมานรับฟังเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย
“งั้นพริ้งจะให้คนเอากระเป๋าพวกนี้ไปที่ห้องคุณเลยนะคะ” เธอเรียกเด็กรับใช้ที่อยู่บริเวณนั้น “นี่เธอมานี่หน่อย เดี๋ยวช่วยเอากระเป๋าพวกนี้ขึ้นไปบนบ้านที เอาไปไว้ที่ห้องคุณนิมมานนะ”
เด็กรับใช้เข้ามาขนกระเป๋าของเพชรพริ้งออกไป
“ใครบอกคุณว่า จะให้คุณมาอยู่ห้องผม”
“พริ้งกำลังจะเป็นภรรยาคุณ ถ้าไม่อยู่ห้องคุณแล้วจะให้พริ้งไปอยู่ไหนคะ”
นิมมานเถียงไม่ออก
“แล้วนี่คุณจะไม่พาพริ้งไปดูรอบๆบ้าน หรือไปดูห้องของเรากันหน่อยหรือคะ”
“คุณอยากจะดูอะไรก็ไปดู อยากทำอะไรก็ทำ ตอนนี้คุณก็ทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของคุณอยู่แล้วนี่”
นิมมานจะเดินออกไป
“แล้วนี่คุณจะไปไหน”
“ผมมีงานต้องไปเคลียร์”
“แต่นี่มันเย็นมากแล้วนะคะ”
นิมมานไม่สนใจเดินผ่านเพชรพริ้งก็ออกไปเลย เพชรพริ้งได้แต่หงุดหงิดแต่ยังไม่กล้าโวยมาก

ณ ห้องกลางบ้านริมทะเลของเทวา ตอนเย็น รวิปรียากำลังเล่นอยู่กับตะวัน ดูตะวันวาดรูป
เทวากำลังจัดจานอาหาร วางผักตกแต่งให้ดูสวยงาม เหมือนว่าทำเอง แต่ความจริงแล้ว ข้างๆ มี จ๊ะเอ๋กำลังสาละวนอยู่กับการเทอาหารจากกล่องโฟม และถุงพลาสติกลงในจาน
เทวาหันไปกำกับ
“เอ๊ยๆๆ ระวังจ๊ะเอ๋ พวกแตงกวาแกะสลักไม่ต้องใส่จาน มันดูเว่อร์ไป เดี๋ยวก็รู้กันพอดี”
“คุณเทวาคะ จ๊ะเอ๋ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณเทวาต้องแอ๊บว่าทำเองด้วยล่ะคะ ในเมื่อของทุกอย่างเนี่ย คุณก็เพิ่งไปซื้อมาจากร้านอาหารเมื่อตอนบ่ายนี้เอง”
“อย่าถามมากน่า นี่ข้าวใกล้สุกหรือยัง”
“สุกแล้วค่ะ” จ๊ะเอ๋พูดลอยๆกับตัวเอง แต่ให้เทวาได้ยิน “แต่อย่างน้อยก็มีอย่างนึงล่ะที่คุณเทวาทำเอง... หุงข้าวด้วยหม้อไฟฟ้า”
“พูดมากจริง ถ้าเสร็จแล้วก็ไปดูต้นทางไว้ ถ้าคุณรวิมาทางนี้เมื่อไหร่ก็รีบมาบอกด้วย”
“ค่า”
จ๊ะเอ๋ชะโงกหน้าไปนอกครัว เห็นรวิปรียานั่งเล่นอยู่กับตะวัน
รวิปรียาดูสวย ใจดี น่ารัก จนจ๊ะเอ๋หันกลับมาแซวเจ้านาย
“อ๋อ จ๊ะเอ๋รู้แล้วว่าทำไม... คุณเทวาจะทำคะแนนกับคุณรวินี่เอง”
เทวาทำตาดุใส่ให้เลิกพูด แต่จ๊ะเอ๋กลับหัวเราะคิกคัก

ได้เวลา เมื่ออาหารขึ้นโต๊ะ เป็นอาหารไทยและอาหารทะเลพวกปิ้งย่าง
โต๊ะอาหารถูกจัดอย่างสวยงามบนชายหาด มีดอกไม้และแสงไฟประดับ เทวา รวิปรียา ตะวันนั่งรับประทานอาหารร่วมกันที่โต๊ะอาหาร
“โอ้โห อาหารนี่ดูน่าทานจังนะคะเนี่ย”
จ๊ะเอ๋เพิ่งตักข้าวให้ตะวันเสร็จ ก่อนจะออกไปก็ยังส่งสายตามีเลศนัย แต่เทวาทำไม่รู้ไม่ชี้
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นของทำง่ายๆ ครับ ทานเลยนะครับคุณรวิ ไม่ต้องเกรงใจ”
จากนั้นก็ตักอาหาร ใส่จานให้ตะวัน
“ลองชิมดูสิลูก ฝีมือพ่อเป็นไงมั่ง”
ตะวันตักข้าวใส่ปาก แล้วทำตาโต รู้เห็นกับพ่อ
“โอ้โห อร่อยมากเลยค่ะคุณพ่อ คุณพ่อนี่เก่งสุดยอดเลย”
“เหรอลูก แหม..ชมแบบนี้พ่อก็ปลื้มแย่สิ งั้นก็กินเยอะๆนะ”
เทวาเอาใจลูกสาวใหญ่ด้วยการตักอาหารเพิ่มให้อีก ก่อนจะเริ่มกินของตัวเอง
รวิปรียาตักอาหารใส่ปาก แล้วถึงกับพยักหน้า
“เป็นไงครับ คุณรวิ พอได้ไหม”
รวิปรียาไม่อยากชมมาก แต่จริงๆรู้สึกอร่อย “ก็พอใช้ได้”
เทวาทำยืดอกรับภูมิใจ แต่รวิปรียายังไม่อยากเชื่อ เพราะรู้สึกแปลกๆในรสชาติอาหาร
“แต่รสชาติคุ้นๆนะคะ โดยเฉพาะน้ำจิ้มซีฟู๊ดนี่ รสเหมือนร้านดังร้านนึงที่ฉันเคยไปกินบ่อย ๆ”
เทวาหน้าซีดเล็กน้อยกลัวจะโดนจับได้ แต่แล้วก็ไหลไปได้อีก
“อ๋อ ร้านนั้นเอง ผมก็เคยไปเหมือนกัน ผมชอบมาก ก็เลยพยายามทำรสออกมาให้คล้ายๆกัน”
“แต่คล้ายกันเกินไปนะคะ เพราะอาหารร้านนั้น เขารสชาติมีเอกลักษณ์มาก ไม่น่าจะทำได้เหมือนขนาดนี้”
เทวาทำเป็นตื่นเต้น ดีใจ “เหมือนจริงเหรอครับ งั้นแสดงว่าฝีมือทำอาหารของผมนี่คงอยู่ในระดับหัวหน้าเชฟมาเองเลย รสชาติถึงได้ออกมาอร่อยมากจนใกล้เคียงกับร้านดังขนาดนี้ งั้นคุณก็กินเยอะๆนะครับ” เทวาตักอาหารใส่จานให้รวิปรียา
รวิปรียาทำเป็นไม่ซักมาก ตักอาหารใส่ปากไป
เทวาอาหารถูกปากคุณรวิผมก็ดีใจ เพราะนานๆ ผมถึงจะมีเวลาทำอะไรแบบนี้ซะที
ตะวันใช่ค่ะ น๊านนนนนานนน นานมากๆเลยค่ะ นานจนตะวันจำไม่ได้ค่ะ
ตะวันพยายามจะช่วยเสริม สนับสนุนพ่อแต่ก็ฟังดูตั้งใจเกินไปหน่อย เทวารีบทำเป็นป้อนอาหารลูกเพื่อให้เงียบ

ทั้งสามคนรับประทานอาหารกันไป คุยกันยิ้มแย้มแจ่มใส

หลังมื้ออาหาร จ๊ะเอ๋กำลังเก็บจานชามอาหารที่หมดจานแล้ว รวิปรียาลุกขึ้นช่วยจ๊ะเอ๋

“มาจ้ะจ๊ะเอ๋..เดี๋ยวฉันไปช่วยล้างจานเอง”
“อุ้ย ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณรวิ นี่มันเป็นหน้าที่ของจ๊ะเอ๋อยู่แล้ว คุณรวิพักเถอะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า จ๊ะเอ๋ช่วยคุณเทวาทำงานในครัวมาทั้งวันแล้ว ส่วนฉันเนี่ยมากินข้าวฟรีๆ เหนื่อยก็ไม่เหนื่อย”
“แต่คุณเป็นแขกของผมนะ บ้านนี้เราไม่ปล่อยให้แขกล้างจานหรอกครับคุณ”
“งั้นก็อย่าคิดว่าฉันเป็นแขกสิคะ คิดซะว่าเป็นเพื่อน ในเมื่อคุณลงแรงทำอาหารเลี้ยงฉันแล้ว ฉันก็ควรตอบแทนคุณบ้าง ด้วยการลงแรงล้างจาน”
เทวาคิดบางอย่างออกขึ้นมาทันใด
“งั้นก็ได้ครับ ถ้าคุณอยากช่วยก็ช่วยผมแล้วกัน เพราะ...จริงๆ วันนี้ผมจองหน้าที่ล้างจานไว้แล้ว” เทวาหันไปมองจ๊ะเอ๋กับตะวันอย่างมีแผน “ส่วนจ๊ะเอ๋จะต้องพาตะวันไปอาบน้ำ”
จ๊ะเอ๋งงๆ
“แต่คุณตะวันเพิ่งจะอาบ....” จ๊ะเอ๋ยังพูดไม่ทันจบ
เทวารีบแทรก หันไปหาจ๊ะเอ๋ หันหลังให้รวิปรียา แอบขยิบตาใส่
“อยู่ใกล้ทะเลอากาศมันอบอ้าว เห็นไหมตะวันเหงื่อเต็มตัวแล้วเนี่ย”
“จริงด้วยค่ะ ตะวันเหนียวตัวไปหมดเลยเนี่ย” ตะวันรับมุก ทำท่าเหมือนรำคาญตัวเองมาก
“ไปอาบน้ำกันเถอะพี่จ๊ะเอ๋”
จ๊ะเอ๋เข้าใจแล้วว่าสองพ่อลูกรู้กัน
“โอเคค่ะ งั้นฝากด้วยนะคะคุณรวิ”
จ๊ะเอ๋รีบจูงตะวันออกไปจากบริเวณนั้นทันที เทวาทำไม่รู้เรื่องอะไรหันกลับมาฉีกยิ้มให้รวิปรียา

เทวากับรวิปรียาหอบจานชามเข้ามาในครัว เทวายิ้มๆกรุ้มกริ่ม
“ดีใจจังที่คุณรวิชอบอาหารที่ผมทำ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ทุ่มสุดฝีมือ”
พอทั้งคู่วางจานลง สายตารวิปรียาก็เหลือบเห็นบางอย่างในถังขยะ
ในถังขยะมีถุงพลาสิกใส่อาหารอยู่มากมาย
รวิปรียารู้ทันขึ้นมาทันที “สุดฝีมือเลยหรือคะ”
“ครับ”
“สุดฝีมือในการแกะอาหารจากถุงมาใส่จาน?”
เทวายิ้มรับ “ครับ” ...แล้วเพิ่งนึกได้ “เฮ้ยไม่ใช่ ผมทำเอง”
รวิปรียาชี้ไปที่ถังขยะที่ยังเต็มไปด้วยถุงอาหาร
“อืม.. ทำกับข้าวนี่ต้องใช้ถุงพลาสติกกับกล่องใส่อาหารพวกนี้ด้วยเหรอคะ”
เทวาหน้าเจื่อน โดนจับได้ซะแล้ว พยายามหาทางแก้ตัว
“เอ่อ..ผมแค่ไปขอซื้อน้ำจิ้มเขาเฉยๆ”
“แล้วทำไมถุงกับข้าวเยอะแยะขนาดนี้”
“บังเอิญ.. ทางร้านเขาบอกว่าผมหน้าตาดี เลยแถมกับข้าวมาให้”
แล้วรวิปรียาก็หัวเราะออกมา
“คุณนี่กะล่อนจริงๆ”
เทวาเซ็งตัวเองที่เนียนมาตลอดแต่มาพลาดจนได้
“ผมแค่อยากทำให้คุณประทับใจ …แต่ดันมาตกม้าตายตอนจบ”
“คราวหลังก็ทำให้เนียนกว่านี้สิคะ”
รวิปรียาหัวเราะท่าทางของเทวา แล้วลงมือเตรียมล้างจาน เทวาดีใจที่รวิปรียาหัวเราะได้
“แต่ถึงผมจะไม่ได้ทำเอง แต่อย่างน้อย.. อาหารมื้อนี้ก็ทำให้คุณหัวเราะได้”
รวิปรียาหยุดยิ้ม ไม่ตอบอะไร ยังรักษาระยะห่างกับเทวาอยู่
“รีบล้างจานเถอะค่ะ เสร็จแล้วฉันจะได้รีบกลับ”
รวิปรียาหันไปจัดการจานชามต่อ เทวารีบเข้าไปช่วยอยู่ข้างๆ
ระหว่างที่ทั้งคู่ช่วยกันล้างจาน เทวาแอบมองรวิปรียาตลอด แต่รวิไม่ได้สังเกตเห็น และลึกๆแล้วก็ยังเศร้าอยู่

นิมมานกลับเข้ามาที่บ้านตอนกลางคืน แล้วเดินขึ้นบันไดตรงไปที่ห้องนอน
เมื่อนิมมานเปิดประตูห้องนอนออกก็เห็นภาพของเพชรพริ้งกำลังเอนหลังนอนรออยู่แล้ว เธออยู่ในชุดนอนบางๆพร้อมเข้านอน
“นี่คุณยังอยู่อีกเหรอ แล้วมาทำอะไรในห้องผม”
“คืนนี้พริ้งก็จะนอนที่นี่น่ะสิคะ”
“นี่เรายังไม่ได้แต่งงานกันเลยนะพริ้ง”
“แล้วไงคะ ยังไงเราก็กำลังจะแต่งกันในอีกไม่กี่วันอยู่แล้ว”
“งั้นคุณอยากจะนอนก็นอนไป ผมจะไปนอนห้องอื่น”
เพชรพริ้งเด้งลุกขึ้นจากเตียงทันที “ว่าไงนะ !”
นิมมานเดินเข้ามาจ้องหน้าเพชรพริ้งดุๆ
“อยากให้พูดซ้ำเหรอ.. ได้... งั้นฟังดีๆนะ ผมไม่อยากนอนกับคุณ แล้วผมก็จะไปนอนห้องอื่น”
นิมมานออกจากห้องไปเลย เพชรพริ้งได้แต่ยืนกรี๊ดๆๆตามหลัง

คืนเดียวกัน เทวาเดินเคียงคู่มากับรวิปรียาบนชายหาด ขณะไปส่งรวิปรียาที่บ้านพัก รวิปรียาชวนคุย
“ทำไมคุณต้องโกหกด้วยว่าทำอาหารเอง”
“ก็ผมได้ยินมาว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะประทับใจผู้ชายที่ทำอาหารเป็น ผมก็แค่... อยากทำให้คุณประทับใจ”
“ผู้ชายที่ทำอาหารเป็นก็น่ารักดีนะคะ แต่ฉันว่าผู้ชายที่จริงใจ ตรงไปตรงมา น่าจะทำให้ผู้หญิงประทับใจได้มากกว่า”
“งั้นผมนี่แหละ เป็นอย่างที่คุณว่ามาเป๊ะๆเลย จริงใจ ตรงไปตรงมา”
รวิปรียาหัวเราะ
“คุณนี่มันจริงๆเลย ยังไงก็..ขอบคุณนะคะสำหรับอาหารเย็นวันนี้”
“ผมเองก็ต้องขอบคุณคุณรวิเหมือนกันที่มาตามคำเชิญ ตะวันดูสนุกและมีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้ๆคุณ” ประโยคหลังแอบหมายถึงตัวเองด้วย “แต่จริงๆก็ไม่ใช่ตะวันคนเดียว”
รวิปรียาหันขวับไปมอง
“ผมหมายถึงทุกคน รวมถึงตัวผมด้วย วันนี้พวกเราสนุกมาก”
“ฉันเองก็สนุกค่ะ ได้มาเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี จะได้ไม่ต้องจมอยู่กับความเศร้าคนเดียว”
“คุณรวิ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรักของคุณ แต่ผมรู้ว่าผู้หญิงเข้มแข็งอย่างคุณจะผ่านมันไปได้”
“ขอบคุณค่ะ”
ทั้งคู่เดินกันไปเงียบๆ สักพัก เทวาตัดสินใจพูดออกมาแบบจริงจัง
“ผมเป็นห่วงคุณนะ”
รวิปรียาหันมองเทวาอีก เทวานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันแล้วพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างจริงใจ
“ตอนที่เห็นคุณกระโดดลงไปจากสะพาน ผมกลัวมากจนนึกว่าคุณจะคิดสั้นจริงๆ คือผม..มีประสบการณ์ที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับผู้หญิงที่จะฆ่าตัวตายเพราะความรัก”
“แม่ของตะวันหรือคะ”
“อย่าไปพูดถึงมันเลยครับ”
บรรยากาศระหว่างสองคนเริ่มซึ้ง และเข้าใจกัน รวิปรียาหยุดเดินหันมาถามเทวา
“คุณเคยเสียใจกับเรื่องอะไรมากๆไหมคะ”
“เคยสิครับ”
“แล้วคุณทำยังไง”
“ผมก็อยู่กับมันให้ได้ แล้วคิดซะว่าความเสียใจช่วยให้เราตาสว่าง และความเจ็บปวดก็ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น”
“แล้วถ้ามีคนทำให้คุณหรือคนที่คุณรักต้องเจ็บปวด คุณจะทำยังไงคะ”
“ถ้าเป็นผม ผมจะทำให้คนๆนั้นเจ็บปวดมากกว่าผมอีกหลายเท่า” แววตาของเทวาเอาจริงเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “แต่นั่นมันผม ผมมันเป็นประเภทตาต่อตา ฟันต่อฟัน ส่วนคุณ..คุณไม่เหมือนผม คุณควรจะลืมมันซะ แล้วใช้ชีวิตให้มีความสุข”
รวิปรียายิ้มกับคำตอบของเทวา แต่ในใจกลับไม่แน่ใจนักว่า เธอจะทำได้อย่างที่เทวาพูด

คืนนั้น ในบ้านพักรวิปรียาริมทะเล เธอนั่งครุ่นคิดเหม่อลอย นึกถึงเรื่องที่พัชชากับเพชรพริ้งทำร้ายจิตใจเธอและแม่ หลายครั้ง หลายเรื่องราว
รวิปรียานึกแล้ว อารมณ์คุกรุ่น แค้นเคืองใจ
“เพชรพริ้ง..เธอกับแม่เธอนี่มันทำตัวร้ายกาจเหมือนกันไม่มีผิด ทำไมฉันถึงหนีไปจากพวกเธอไม่พ้น แล้วทำไมผู้ชายถึงต้องเป็นแบบนี้กันทุกคน”
รวิปรียานึกถึงคำพูดของเทวา
“ถ้าเป็นผม ผมจะทำให้คนๆนั้นเจ็บปวดมากกว่าผมอีกหลายเท่า แต่นั่นมันผม ผมมันเป็นประเภทตาต่อตา ฟันต่อฟัน ส่วนคุณ..คุณไม่เหมือนผม คุณควรจะลืมมันซะ แล้วใช้ชีวิตให้มีความสุข”
รวิปรียาพูดกับตัวเอง
“เรื่องบางเรื่อง มันก็ไม่มีทางที่จะลืมได้ง่ายๆ แม่เธอทำให้แม่ฉันต้องเป็นทุกข์ ส่วนเธอก็จ้องแต่จะทำลายความสุขฉันมาตลอด ในเมื่อฉันหนีพวกเธอไม่พ้น ฉันก็จะไม่ยอมให้พวกเธอมีความสุขเหมือนกัน”

รวิปรียามองตรงไปข้างหน้าเด็ดเดี่ยว เตรียมพร้อมเหมือนเธอกำลังจะออกศึก

พระอาทิตย์ขึ้น บรรยากาศเช้าวันใหม่ริมทะเล

ตะวันกับเทวามายืนอยู่หน้าบ้านพักของรวิปรียา เทวาเคาะประตูห้องเรียก ไม่นานนักรวิปรียาก็เปิดประตูออกมา สีหน้าแปลกใจ
“อ้าวตะวัน มาเรียกแต่เช้าเชียวหรือคะ”
“พวกเราจะมาชวนน้ารวิไปเดินเล่นที่ชายหาดค่ะ”
“ตอนนี้เลยหรือคะ” รวิปรียาลังเลว่าจะไปดีไหม
ตะวันเข้าไปจูงมือ
“ไปเถอะค่ะน้ารวิ เดี๋ยววันนี้ก็ต้องกลับแล้ว ไปกันเถอะนะคะ”
รวิปรียามองตะวัน ยิ้มแบบใจอ่อน

เทวา รวิปรียา ตะวัน เดินเล่นอยู่บนชายหาด รวิปรียาจูงมือตะวันคุยเล่นกัน โดยมีเทวารั้งท้าย
เทวาแอบมองเธอตลอดเวลา แล้วตัดสินใจเร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินขนาบข้างตะวันและมองรวิปรียา
รวิปรียารู้สึกได้ว่าเทวาจ้องเธออยู่ เหลือบตาขึ้นมอง เทวาจึงส่งยิ้มให้ แบบว่าตั้งใจเดินเครื่องจีบ
รวิปรียาเขินๆ แต่พยายามไม่แสดงความรู้สึกอะไร

เช้าวันเดียวกัน นิมมานเพิ่งนั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร แม่บ้านวางจานอาหารเช้าให้ตรงหน้า นิมมานจิบกาแฟ และหั่นไส้กรอกกินไปได้ 2 คำ ระหว่างที่แม่บ้านเดินกลับเข้าไปหยิบเหยียกใส่น้ำ ออกมารินน้ำใส่แก้วให้นิมมานแล้วยืนรอรับใช้
“นี่พ่อกับมนัสไม่มากินอาหารเช้าเหรอ”
“คุณมิตรกับคุณมนัสออกไปตั้งแต่เช้ากันแล้วค่ะ แต่ว่า..ที่บ้านยังเหลืออีกคนนึง”
ไม่ทันขาดคำ เพชรพริ้งก็เดินนวยนาดมาที่โต๊ะอาหารพอดี
“พริ้งขอร่วมโต๊ะด้วยนะคะ” เพชรพริ้งบอกเด็กรับใช้ “เดี๋ยวจัดอาหารมาให้ฉันด้วย”
เพชรพริ้งนั่งลงบนเก้าอี้ แม่บ้านเดินหายไปทางครัว
นิมมานวางช้อนลง เซ็งๆ แล้วลุกขึ้น
“แล้วนั่นคุณจะไปไหนคะ”
“ผมอิ่มแล้ว จะไปทำงาน”
นิมมานลุกเดินออกไปเลย เพชรพริ้งหงุดหงิดอีก

พัชชากำลังนั่งดูโทรศัพท์ คุย line เพชรพริ้งเดินเข้าบ้านมาอย่างหงุดหงิด
“พริ้งจะไม่แต่งงานกับนิมมานค่ะคุณแม่”
พัชชาเงยหน้าขึ้นมาฟังแล้วคิ้วขมวดทันที
“ทำไมล่ะยัยพริ้ง”
“ก็ดูที่นิมมานเขาทำกับพริ้งสิคะ เขาทั้งเย็นชา ทั้งเอาแต่คอยหลบหน้าพริ้ง ขนาดพริ้งขนของไปนอนที่บ้านเขา เขายังไม่สนใจเลยสักนิด พริ้งทนแต่งงานกับผู้ชายที่ไร้ความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”
“แต่ถ้าแกยกเลิกงานแต่งก็เท่ากับเราแพ้นังรวิ แกจะยอมให้มันมาหัวเราะเยาะใส่เรางั้นเหรอ”
“ไม่ค่ะ พริ้งไม่มีทางยอมแพ้นังรวิ”
“งั้นแกก็ต้องอดทน แม่ว่าแกขนของเข้าไปค้างอยู่ที่บ้านเขาเร็วเกินไป ช่วงนี้แกกลับมานอนที่บ้านเราก่อน รอให้งานแต่งงานผ่านพ้นไปให้เรียบร้อย แกค่อยย้ายเข้าไปอย่างเต็มตัว”
ท่าทีเพชรพริ้งอ่อนลง แต่ก็ยังฮึดฮัดไม่สบอารมณ์ พัชชาพยายามเกลี้ยกล่อมต่อ
“ตอนนี้นิมมานเขาอาจจะยังไม่ทันตั้งตัว แต่เดี๋ยวพออยู่ๆด้วยกันไปเขาก็จะหันมาใส่ใจแกเอง ผู้ชายอย่างนิมมานก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน ถ้าแกอดทนได้อย่างที่แม่เคยทำกับคุณลุง สักวันแกจะได้ครอบครองนิมมานทั้งตัวและหัวใจ”
เพชรพริ้งค่อยมีแรงฮึดขึ้นมาหน่อย

ที่ร้านกาแฟ แจนกำลังชงกาแฟไป อีกมือหนึ่งก็คุยสายกับเพื่อนไป
“เฮ้ย คุณเพื่อน กลับมาปุ๊บเสียงใสปั๊บเชียวนะ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม ทำใจได้แล้วเหรอ”
รวิปรียาเดินออกจากบ้าน กำลังจะเปิดประตูขึ้นรถไปทำงาน
“ก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังงงๆตัวเองอยู่”
“งงอะไร งงว่าโสดแล้วควรจะทำตัวยังไงใช่ไหม เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันแนะนำเอง ฉันโสดมาจะสามสิบปีละ รู้ดีว่าต้องทำยังไง แหม..นี่ถือว่าเป็นความดีความชอบของฉันเลยนะที่แนะนำให้เธอไปเที่ยวทะเล”
“จ้า แม่เพื่อนรัก แล้วนี่ยังไง ตกลงวันนี้จะไปด้วยกันไหม ฉันจะได้ไปรับ”
ในร้านกาแฟ ลูกค้านั่งกันอยู่หลายโต๊ะ
“คงไปไม่ได้แล้วล่ะ ตอนนี้ที่ร้านยุ่งมากเลย ยังไงฝากเธอบอกพศินด้วยแล้วกันว่าฉันคิดถึง”
“โอเคจ้ะ”
รวิปรียาขับรถออกจากบ้านไป

ต่อมา รวิปรียาบรรจงวางช่อดอกไม้ลงตรงเจดีย์ที่บรรจุอัฐิ มีภาพถ่ายพศินรูปเล็กๆติดอยู่ตรงหน้าช่อง
รวิปรียายืนอยู่หน้าเจดีย์นั่น ยกมือไหว้หลับตาระลึกถึงพศิน แล้วลืมตาขึ้นมาพูด
“วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของเธอ 5ปีแล้วสินะที่เธอจากพวกเราไป เราคิดถึงเธอนะพศิน แจนเขาก็ฝากความคิดถึงมาถึงเธอด้วย”
ขณะที่เธอมองรูปของพศินก็อดนึกถึงสมัยที่เคยเป็นเพื่อนรักกันไม่ได้

เมื่อ 6 ปีก่อน
รวิปรียา พศิน และแจนอยู่ในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย เป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน ทั้งสามคนเดินเข้ามาในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง แจนหายใจยาวเหมือนโล่งอก ทั้ง 3 คนเดินไปนั่งโต๊ะประจำ
“วู้..... ดีใจจังเลย สอบเสร็จซะที เย็นนี้ต้องฉลองด้วยการไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน สองอาทิตย์ที่ผ่านมาฉันอ่านหนังสือจนหัวจะระเบิดอยู่แล้ว” แจนบอก
“ไปสิ กินอะไรดีล่ะ”
“ให้พศินเลือกแล้วกัน ตานี่กินยากที่สุด เผ็ดก็ไม่กิน เนื้อวัวก็ไม่แตะ อาหารทะเลก็แพ้ เป็นผู้ชายบอบบาง”
พศินสีหน้าไม่ร่าเริงนัก
“เรากินอะไรก็ได้ รวิกับแจนเลือกเถอะ”
“พศิน! นี่สอบวันสุดท้ายแล้วนะ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” รวิปรียาถาม
“เรารู้สึกใจหายน่ะที่จะไม่ได้เจอกันอีก”
“โถ พ่อคุณ พ่อคนอ่อนไหว เรียนจบจากมหาวิทยาลัยนะยะ ไม่ใช่ว่าเลิกเป็นเพื่อนกันซะหน่อย ไม่เห็นต้องเศร้าขนาดนั้นเลย”
“นั่นสิ ถึงเรียนจบแล้วพวกเราก็ยังนัดเจอได้ตลอดนี่”
“เออๆ ว่าแต่คิดกันหรือยังว่าจะไปสมัครงานที่ไหน”
“ฉันเหรอ ฉันคงจะไปเรียนต่อก่อนน่ะ พ่ออยากให้เรียบจบโท แล้วกลับมาช่วยงานที่บริษัท”
“ยังจะเรียนอีกเหรอ”
“ใช่ ไปด้วยกันไหมล่ะแจน”
“ไม่ล่ะ เรื่องเรียนฉันขอผ่าน ฉันจะทำงานเก็บเงินสักสี่ห้าปี แล้วเปิดร้านกาแฟเล็กๆของตัวเอง” แจนมองไปรอบๆ “แบบร้านนี้แหละ ดีไม่ดี ฉันอาจมาเทคโอเวอร์ร้านนี้เลยก็ได้นะ ไง..ฟังดูดีมั้ย”
“บ้าพลังอย่างเธอน่ะ จะทำอะไรก็ทำได้อยู่แล้วล่ะ แล้วพศินล่ะ”
“เราไปสมัครงานมาแล้วล่ะ”
“จริงเหรอ ไม่เห็นบอกกันเลย สมัครที่ไหน”
“ที่บริษัทBR Construction เขาเปิดรับพนักงานการตลาดอยู่ก็เลยลองไปสมัครดู”
“อ้าว แล้วทำไมไม่ไปทำที่บริษัทของพ่อเราล่ะ”
“ไม่อยากโดนหาว่าใช้เส้นเพื่อนเข้าไปทำงานน่ะ เราอยากใช้ความสามารถของตัวเองมากกว่า”
“จ้า พ่อคนดี พ่อนักเรียนหัวกะทิ พ่อว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยม”

ทั้งสามคนแซวกันไปอย่างสนุกสนาน พศินยิ้มให้รวิปรียาเป็นพิเศษ

รวิปรียากับพศินนั่งคุยกันอยู่มุมหนึ่ง นัดมาเจอกัน หลังเรียนจบ

รวิปรียาอ่านข้อความในโทรศัพท์แล้วเงยหน้ามาคุยกับพศิน
“แจนกำลังจะมา บอกให้รออีกแป๊บนึง”
แล้วเธอก็รู้สึกได้ว่า พศินกำลังจ้องมองเธออยู่ด้วยสายตาแปลกๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าพศิน ทำไมมองเราแบบนั้นล่ะ”
“เรามีเรื่องจะพูดน่ะ แต่ไม่รู้จะพูดดีหรือเปล่า”
“มีอะไรก็รีบๆพูดมาเถอะน่า”
“ถ้าพูดแล้วรวิจะโกรธมั้ย”
“จะโกรธทำไมล่ะ นี่เราเป็นเพื่อนกันมาสี่ปีแล้วนะ”
“ก็เพราะเป็นเพื่อนกันนี่แหละ เราถึงไม่อยากเสียความรู้สึกดีๆของพวกเราไป”
“ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่”
พศินรวบรวมความกล้า สูดหายใจแล้วตัดสินใจบอก
“เราชอบรวิ”
“ว่าไงนะ”
“เราชอบรวิ ชอบมาตั้งนานแล้ว แต่เราไม่กล้าบอกเพราะเรากลัวว่ารวิจะเลิกคบเรา แต่ถ้าไม่บอกตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว เพราะรวิกำลังจะไปเรียนต่อ และเราก็คงรู้สึกค้างคาใจไปตลอด”
“แต่เรา..ให้เธอได้แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้สึกกับพศินเป็นอย่างอื่น”
“เรารู้”
“ขอโทษนะพศิน”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องขอโทษ ที่จริงเราก็เตรียมใจไว้แล้วล่ะว่าคำตอบมันต้องออกมาเป็นแบบนี้”
“เธอเข้าใจเราใช่ไหม”
“เข้าใจสิ ความรักมันเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้”
รวิปรียาเอื้อมมือไปกุมมือพศินเพื่อปลอบใจ
“ผู้ชายดีๆอย่างเธอ สักวันต้องเจอคนดีๆแน่ เชื่อเราสิ”
“แต่เราจะยังเป็นเพื่อนกันใช่ไหม”
“แน่อยู่แล้ว เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา แล้วก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไป เราสัญญา”
พศินกุมมือรวิปรียากลับอย่างขอบใจ ทั้งสองเข้าใจกันและเต็มไปด้วยมิตรภาพ

5 ปีที่แล้ว รวิปรียากำลังจัดพับเสื้อผ้าเพื่อเตรียมใส่กระเป๋า กระเป๋าเดินทางเปิดวางอยู่บนพื้นห้อง แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังเตรียมเดินทางไกล ระหว่างนั้นเธอก็โทรคุยกับพศินไปด้วย
“กำลังจัดกระเป๋าอยู่น่ะ มะรืนนี้ก็เดินทางแล้ว”

พศินคุยโทรศัพท์กับรวิปรียาอยู่ในห้อง ท่าทางซึมๆ ศร้าๆ
“นี่รวิจะต้องไปแล้วเหรอ”
“ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะ แค่เราจะไปเรียนต่อคงไม่ทำให้เธอเศร้าขนาดนั้นหรอกใช่ไหม”
“อือ” พศินตอบไม่ค่อยเต็มเสียง
รวิปรียาเริ่มเป็นห่วง ผิดสังเกต “มีอะไรอยากเล่าให้เราฟังมั้ย” เธอหยุดเก็บของลงกระเป๋า
“ไม่เป็นไร รวิทำธุระไปเถอะ เราไม่กวนแล้ว”
“ว่าแต่วันที่เราเดินทาง เธอจะไปส่งเราหรือเปล่า”
“เราคงไปไม่ได้ แต่เราขอให้รวิโชคดีนะ..เราไม่รู้ว่าจะได้เจอรวิอีกหรือเปล่า”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ เราแค่ไปเรียนต่อนะ ไปแค่สองปีก็กลับมาแล้ว พูดยังกับว่าจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นแหละ”
พศินเงียบไป แต่เศร้าๆ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอรวิอีก
รวิปรียาสังหรณ์ใจว่า พศินจะมีเรื่องบางอย่างในใจ แต่ไม่พูดออกมา
“พศิน ไว้ถึงอเมริกาแล้วเราจะโทร. หานะ ถ้าเธอไม่อยากเล่าปัญหาให้เราฟังตอนนี้ เดี๋ยวค่อยเล่าทีหลังก็ได้”
“ไม่ต้องหรอกรวิ ไม่ต้องโทร.มา ต่อไปนี้เราคงรับสายรวิไม่ได้อีกแล้ว”
เสียงปลายสายถูกตัดไปแล้ว รวิปรียาวางสายแล้วครุ่นคิดถึงคำพูดของพศิน ใจคอไม่ดี
เสียงของพศินยังดังก้องอยู่ในหัว
“ต่อไปนี้เราคงรับสายรวิไม่ได้อีกแล้ว”
รวิปรียาฉุกคิดขึ้นมาได้ เธอรีบลุกออกจากห้องไปอย่างร้อนใจ

ร่างพศินนอนตายเลือดไหลนองพื้นที่ด้านหน้าอาคารคอนโด ฝูงชนกำลังมุงดู รวิปรียาแหวกฝูงชนเข้ามาหน้าตาตื่นตระหนก พอเห็นชัดเจนว่าเป็นร่างพศิน เธอก็ตาลุกโพลงหวีดร้อง
“พศิน!”
รวิปรียาถลาเข้าไปทรุดลงนั่งเขย่าแขนพศิน พร้อมตะโกนเรียกชื่อพศิน น้ำตานองหน้า
เป็นเวลาเดียวกับที่ดาวิกาเพิ่งวิ่งออกมาจากตึก เมื่อเห็นร่างพศินเธอก็หยุดชะงัก ช็อก ดาวิกามองร่างพศิน ที่รวิปรียากำลังจับแขนเขย่าเรียกชื่ออย่างเจ็บปวด หัวใจสลาย แล้วความเจ็บปวดก็กลายเป็นความโกรธแค้น เธอหันไปมองใบหน้าของรวิปรียาชัดเจน
รวิปรียากำลังร้องไห้ น้ำตาไหล หมดแรงเขย่าแขน โดยที่รวิปรียาไม่ได้สังเกตเห็นดาวิกาเลย

“พศิน ทำไมทำแบบนี้ ทำไมไม่รอเราก่อน”

รวิปรียานึกถึงอดีตอย่างเศร้าๆต่อหน้ารูปของพศิน น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงภาพที่พศินตายต่อหน้า

“เราขอโทษนะพศิน ถ้าเราเฉลียวใจซะก่อนหน้านี้ ถ้าเราไปถึงที่นั่นเร็วกว่านี้ เธอก็คงไม่คิดสั้น”
ใครบางคนมองรวิปรียาอยู่ห่างๆ จนกระทั่งเธอเดินจากที่ตรงนั้นไป
ดาวิกาค่อยๆเผยตัวออกมามองตามรวิปรียาไปอย่างโกรธแค้นและเกลียดชัง
พอรวิปรียาพ้นสายตาไปแล้ว เธอจึงก้าวมามองภาพถ่ายของพศินแทน สายตาที่เธอมองพศินเต็มไปด้วยความเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ และเจ็บปวด

บรม เทวา ดารินนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน จู่ๆก็มีรถแทกซี่คันหนึ่งวิ่งเข้ามาแล้วเข้ามาจอดที่บริเวณหน้าประตูบ้าน ทุกคนในบ้านลุกขึ้นมาดู
“ใครมาน่ะ” บรมถาม
ดาวิกาก้าวลงมาจากรถ
ดารินบอก “พี่ดา”
“ยัยดา”
ดาวิกาเข้ามาหาทุกคนพร้อมยกมือไหว้บรมและเทวา
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ พี่เทวา”
ดารินวิ่งเข้าไปกอดดาวิกา
“พี่ดา คิดถึงจังเลย ทำไมกลับมาตอนนี้ล่ะ ปกติพี่ดากลับบ้านแค่ปีละครั้งตอนปีใหม่นี่นา”
“นั่นสิ แล้วจะกลับบ้านทำไมไม่บอก พ่อจะได้ส่งคนไปรับ”
“พอดีดาตัดสินใจกลับมากระทันหันน่ะค่ะ แล้วก่อนมานี่ดาก็มีธุระบางอย่างต้องไปทำ ก็เลยไม่ได้บอกใคร”
“แล้วธุระเรียบร้อยหรือยัง มีอะไรให้พี่ช่วยไหม”
“ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ” ดาวิกาหันมายิ้มกับบรม แล้วเดินเข้าไปกอด “ดาดีใจนะคะที่ได้กลับมาบ้าน คุณพ่อยังดูแข็งแรงเหมือนเดิมเลยนะคะ”
บรมยิ้ม “ออกกำลังน่ะลูก”
“แหมถ้าพี่ดาชมว่าคุณพ่อยังหล่ออยู่เลยนี่น่าจะเข้าทางคุณพ่อมากกว่านะคะ”
บรมหัวเราะเสียงดัง ดาวิกาพลอยยิ้มไปด้วย แล้วหันมาถามเทวา
“แล้วนี่พี่เทวายังทำงานหนักเหมือนเดิมใช่ไหมคะเนี่ย”
“ก็เหมือนเดิม”
ดารินแซวเทวา
“ทุกอย่างเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือกำลังมีความร้าก”
“เงียบๆ มั่งไม่เป็นหรือไงเรา น่ะ”
“แต่ลูกดูซูบไปนะดา อยู่ที่โน่นอาหารมันไม่ถูกปากหรือลูก” บรมถาม
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ดาเรียนหนักน่ะค่ะคุณพ่อ”
“ว่าที่ดอกเตอร์ก็แบบนี้ล่ะค่ะ ไหนๆพี่ดาก็กลับบ้านมาแล้ว คืนนี้พวกเราไปหาอะไรอร่อยๆกินนอกบ้านเป็นการเลี้ยงต้อนรับพี่ดาดีกว่า”
ดาวิกามองผ่านทุกคนไปในบ้าน จ๊ะเอ๋กำลังพาตะวันออกมาสมทบ
“ตะวัน !”
ดาวิการีบเข้าไปหาตะวันทันที
จ๊ะเอ๋บอกตะวัน “สวัสดีคุณอาดาวิกาสิคะ”
ตะวันไหว้ดาวิกา แต่ยังไม่พูดอะไรเพราะไม่สนิทนัก ดาวิกามองตะวันอย่างรักใคร่ โหยหาอาวรณ์
“นี่โตขึ้นเยอะเลยนะลูก” ดาวิกาสวมกอดตะวัน
แต่ตะวันยืนนิ่ง ดารินเข้ามาช่วยคุย
“นี่อาดาไง จำอาดาได้หรือเปล่า”
ตะวันส่ายหน้า
“อาดาเป็นน้องสาวของคุณพ่อ เป็นอาของตะวันไงคะ”
“ก็เนี่ยน้า เจอหน้ากันแค่ปีละครั้งก็เลยลืมอาดาซะแล้ว” ดารินบอก
“เด็กๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ”
ดาวิกากลั้นความรู้สึกคิดถึงไว้ไม่ไหว เธอกอดตะวันแน่นแล้วร้องไห้ออกมา ตะวันรู้สึกไม่ดีจึงผลักดาวิกาออก
“ตะวัน! ทำไมทำแบบนี้ล่ะลูก” เทวาว่า
ตะวันวิ่งหนีหายไป โดยมีจ๊ะเอ๋วิ่งตาม
“ตะวัน!” ดาวิกาเรียก
“คุณตะวันคะ!”
ดาวิกาอึ้ง รู้สึกเหมือนความรักหลุดลอย เสียใจมาก
บรม เทวา ดารินมองหน้ากันไปมา บรมกับดารินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ห่างกันไปนานก็แบบนี้แหละ เดี๋ยวพอสักวันสองวัน รอให้คุ้นกับดามากกว่านี้ ขี้คร้านจะมาคอยตามอ้อนไม่เลิก”
เทวามองดาวิกาอย่างเห็นใจ

ตะวันนั่งเล่นของเล่นอยู่ในห้อง เทวามานั่งคุยอยู่ด้วย จ้องหน้าลูกสาว
“ลูกไม่ดีใจที่เจออาดาเหรอ”
“ดีใจค่ะ”
“ดีใจแล้วทำไมทำแบบนั้นกับอาเขาล่ะลูก”
“ก็อาดามาถึงก็กอดตะวันซะแรงเลย แล้วก็เอาแต่ร้องไห้”
“อาดาเขารักแล้วก็คิดถึงตะวันมากนะรู้ไหม.. ตอนที่ตะวันคลอดออกมาใหม่ๆ อาดา เขาเป็นคนแรกเลยนะที่อุ้มตะวัน และทุกครั้งที่อาดากลับมาบ้านช่วงปีใหม่ ก็ซื้อของเล่นมาให้เยอะแยะ จำไม่ได้เหรอลูก”
“แต่ตะวันกลัวอาดา”
“อาดาเขาไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย อาดาเขาใจดี แล้วเขารักตะวันไม่น้อยกว่าที่พ่อรัก ต่อไปต้องทำตัวน่ารักกับอาดานะลูก”

ตะวันพยักหน้ารับ แม้จะยังไม่ค่อยสบายใจนัก

ในห้องนอน ดาวิกานั่งน้ำตาซึม ยังเศร้าๆเรื่องตะวัน เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงเทวา

“ดา พี่เอง”
“เข้ามาสิคะพี่เทวา”
เทวาเปิดประตูเข้ามา
“ไง ปีนี้กลับมาเร็วนะดา อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงปีใหม่ แล้วธุระที่ดามาจัดการนี่ มันคืออะไร บอกพี่ได้มั้ย” เทวาเป็นห่วงน้อง
“จริงๆ มันไม่ใช่ธุระอะไรอย่างที่ดาบอกคุณพ่อหรอกค่ะ แต่วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพศิน”
“นี่ยังไม่ลืมผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้นอีกเหรอ”
“พี่เทวาอย่าพูดถึงพศินแบบนั้นสิคะ” ดาวิกาเริ่มจะร้องไห้
“แต่ผู้ชายคนนั้นทำให้ชีวิตดาเป็นแบบนี้”
“เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของพศิน แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น ถ้าไม่มีผู้หญิงคนนั้นพศินก็คงไม่ตาย แล้วดากับพศินก็จะมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ตะวันก็จะไม่กำพร้าพ่อแบบนี้” ดาวิกาน้ำตาไหล “เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ลืมมันไปซะเถอะดา ที่พี่ให้ดาไปอยู่อเมริกาก็เพื่อได้เริ่มต้นชีวิตใหม่นะ พี่ไม่อยากให้ดาจมอยู่กับอดีต”
“แต่ดาลืมไม่ได้ เขาทำให้ชีวิตดาพังพินาศหมด แม้แต่ตะวันก็เกลียดดา” ดาวิการ้องไห้เสียใจ “ดาจะขอสาปแช่งไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นมีความสุข พี่เทวาต้องช่วยดานะคะ”
“ดาก็รู้ว่าพี่อยู่ข้างดา ชีวิตพี่มีน้องสาวแค่2คน พี่จะทำทุกอย่างเพื่อน้องสาวของพี่”
“งั้นถ้ามีโอกาส พี่เทวาต้องแก้แค้นผู้หญิงคนนั้นให้ดา พี่เทวารับปากสิคะ”
ท่าทางดาวิกาเหมือนระงับความเศร้าโศกไม่อยู่ เพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ เทวาอยากจะช่วยให้น้องสาวเย็นลง จึงพูดออกไปแบบไม่คิดจริงจัง
“พี่รับปาก ดากลับมาเหนื่อยๆพักผ่อนก่อนนะ อย่าเพิ่งคิดมาก”
เทวาลูบหัวดาวิกาอย่างเห็นใจ และปลอบใจ

วันใหม่ เพชรแท้เดินเข้าบ้านมาพร้อมกระเป๋าเดินทาง เขาเพิ่งมาจากอเมริกา
พัชชายิ้มปลื้มใจ ยืนรอรับอยู่แล้ว
“เพชร...มาแล้วเหรอลูก”
เพชรแท้ไม่ได้ดีใจหรือตื่นเต้นนัก
เพชรแท้ยกมือไหว้ “สวัสดีครับแม่”
เพชรพริ้งเยื้องย่างลงบันไดมาจากชั้นสอง ส่งเสียงทักมาก่อน
“นี่ถ้าฉันไม่ได้กำลังจะแต่งงาน ชาตินี้ฉันกับแม่จะได้เห็นหน้าแกไหม”
“หวัดดีพี่พริ้ง” เพชรแท้ทักเฉยๆ ไม่ไหว้ ไม่เคารพแต่อย่างใด
“เจอฉันกับแม่ทั้งที ทำหน้าให้มันดีใจหน่อยไม่ได้หรือไง”
“ทำหน้าดีใจเหมือนพี่ตอนที่จะได้แต่งงานกับแฟนพี่รวิน่ะเหรอ”
“ไอ้เพชร !”
“แต่พอดีผมเป็นพวกที่ฝืนความรู้สึกไม่เก่ง คิดยังไงก็แสดงออกแบบนั้น”
“ไม่เอาน่า น้องเพิ่งมาถึงแท้ๆ อย่าชวนทะเลาะเลย เพชรก็ไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนก่อนลูก ไป เวลาต่างกันตั้ง12ชั่วโมง ไปนอนพักสักหน่อยแล้วมากินข้าวพร้อมกัน”
“แม่จะเอาใจมันทำไมนัก ก็เห็นอยู่ว่ามันไม่เคยอยู่ข้างพวกเรา ทีกับนังรวิล่ะก็บูชากันเข้าไป ไม่รู้ว่าเป็นน้องชายใครกันแน่”
“ใจเย็นๆน่าพริ้ง แกจะเป็นเจ้าสาวอยู่ไม่กี่วันนี้แล้ว อย่าหงุดหงิดนักเลย”

วันรุ่งขึ้น บรม ดาวิกา ดาริน นั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ด้วยกัน
“เป็นไงลูก เมื่อคืนนอนหลับดีไหม”
“ไม่ค่อยหลับค่ะคุณพ่อ ยังผิดเวลาอยู่ กว่าจะหลับเอาก็เกือบจะเช้าแล้ว แล้วพี่เทวาล่ะคะ” “เทวาเขาไปส่งตะวันที่โรงเรียนน่ะ”
“พี่เทวาน่าจะปลุกดาด้วย ดาอยากไปส่งตะวันที่โรงเรียน”
“เทวาเขาคงอยากให้ลูกพักน่ะ ถ้าลูกอยากไป พรุ่งนี้พ่อจะบอกเทวาให้”
“พี่ดานึกยังไงถึงอยากไป ขนาดรินเองอยู่ที่นี่แท้ๆ ยังไม่เคยไปส่งตะวันที่โรงเรียนเลย” ดารินหัวเราะ ล้อตัวเอง “เพราะตื่นไม่เคยทัน”
ดาวิกายิ้มเจื่อนๆ ตอบไม่ถูก

รวิปรียาเปิดประตูห้องนอนออกมากำลังจะไปทำงาน เห็นเพชรแท้กลับมาก็ดีใจ ร้องทัก
“เพชร กลับมาแล้วเหรอ นี่ดูภูมิฐานขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย มาคุยกันก่อน”
สองมือจับบ่าน้องชายให้เข้ามาในห้องพลาง
“นี่พี่รวิกำลังจะบอกว่าผมดูแก่ ว่างั้นเถอะ”
“ไม่ได้พูดซะหน่อย แค่จะบอกว่าราศีดอกเตอร์เริ่มจับแล้ว นี่เราไม่ได้เจอกันนานเท่าไหร่แล้วนะ”
“ก็ตั้งแต่ที่ผมไปเรียนที่อเมริกา 3ปี ได้แล้วมังครับ”
“แล้วนี่เมื่อไหร่จะจบ”
“ก็ว่าจะเขียนธีสิสให้เสร็จภายในปีหน้านี่แหละครับ”
“เยี่ยมมาก ไม่เสียแรงที่พี่สนับสนุนมาตลอด”
“นี่พี่รวิดูปกติดีกว่าที่ผมคิดไว้นะ”
“หมายความว่าไง”
“ก่อนมานี่ ผมคิดว่าพี่รวิต้องกำลังเศร้าสุดๆ ผมเอาแต่คิดว่าจะกลับมาขอโทษพี่รวิยังไง แต่พอเห็นพี่เข้มแข็งแบบนี้ผมเลยไม่รู้จะพูดอะไรดี”
“เห็นพี่แบบนี้ แต่จริงๆพี่ก็เสียใจและอ่อนไหวเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ แต่จะให้มาคร่ำครวญฟูมฟาย ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น”
เพชรแท้ลงมานั่งที่เตียง ทอดถอนใจ
“ทำไมครอบครัวของผมต้องทำให้พี่รวิเสียใจอยู่เสมอ ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ ทั้งแม่ ทั้งพี่พริ้งก็ไม่เคยเปลี่ยน ผมไม่รู้ว่าชีวิตนี้ผมต้องขอโทษพี่อีกกี่ครั้งถึงจะชดใช้ความผิดทั้งหมดได้”
“เพชรไม่จำเป็นต้องขอโทษพี่แม้แต่ครั้งเดียว เพราะเพชรไม่เคยทำอะไรให้พี่ต้องเสียใจ ส่วนคนที่ทำผิดกับพี่.. สักวันนึง พี่จะทำให้เขาต้องมาขอโทษพี่ด้วยตัวเอง”
“ผมก็หวังจะให้มีวันนั้นเหมือนกัน”
สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างเข้าใจ
“พี่ไปทำงานก่อนนะ”

รวิปรียาและเพชรแท้เดินออกไปจากห้อง ปิดประตู

ที่บ.สยามเอ็นจิเนียริ่ง ห้องทำงานรวิปรียา

โทรศัพท์เครื่องออฟฟิศบนโต๊ะดัง รวิปรียายกหูรับสาย
“คุณรวิคะ คุณเทวาจากBR Constructionโทร.มาขอสายคุณรวิค่ะ”
“ โอนสายเข้ามาเลยค่ะ”

เทวานั่งอยู่ในรถ มีตะวันในชุดนักเรียนนั่งอยู่ข้างๆ
“สวัสดีครับคุณรวิ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณเทวา หรือว่าสินค้าที่ได้รับไปมีปัญหา”
“ไม่ใช่ครับ ที่ผมโทร.มาไม่ใช่เรื่องงาน แต่ที่ต้องโทร.เข้าออฟฟิศคุณเพราะผมไม่มีเบอร์คุณ เอ่อ คืองี้ครับ ตะวันเขาบ่นว่าอยากเจอคุณรวิน่ะครับ”
ตะวันทำตาโตมองพ่อ ส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก เทวาทำท่าจุปากให้เงียบ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“อ๋อ.. ตะวันเขาคงคิดถึงคุณรวิน่ะครับ เขาก็เลย” คิดๆ “มีของขวัญจะให้”
“ของขวัญ”
“ครับ เอาเป็นว่าเราเจอกันที่ร้านคุณแจนเย็นนี้นะครับ พอผมไปรับตะวันที่โรงเรียนเสร็จปุ๊บ ก็จะพามาเจอคุณรวิปั๊บเลย”
“อืม...งั้นก็ได้ค่ะ”
เทวากดวางสาย ทำท่าสมหวัง ดีใจสุดๆ ชูมือขึ้นให้ตะวันตีมือ แต่ตะวันทำเฉย
ตะวันถอนหายใจ แบบแก่แดดเล็กๆ พอน่าเอ็นดู “เฮ้อ.. ตะวันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”
“ตะวัน ฟังพ่อนะ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก”
ตะวันพยักหน้าหงึกๆ
“จำที่พ่อเคยบอกได้มั้ย ใครรักตะวันที่สุด”
“คุณพ่อ”
“แล้วใครดูแลเอาใจใส่ตะวันมากที่สุด”
“คุณพ่อ”
“แล้วใครคอยซื้อของเล่น ซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้ใส่”
“อาริน”
แป้ก! เทวารอฟังว่าตะวันจะบอกชื่อเขา แต่กลับไม่ใช่
“ทำไมไม่บอกว่าเป็นพ่อล่ะลูก”
“ก็คุณพ่อไม่เห็นจะซื้อเสื้อผ้าให้เลยนี่คะ”
“โอเค งั้นเอาใหม่ ใครพาลูกไปโน่นไปนี่ ไปโรงเรียน ไปเที่ยวทะเล”
“คุณพ่อ”
“ใช่! เห็นไหมว่าพ่อทำเพื่อตะวันมากแค่ไหน คราวนี้ตะวันต้องทำเพื่อพ่อบ้าง ตะวัoต้องวาดรูปสวยๆ เป็นของขวัญให้น้ารวิ”
“ทำไมต้องวาดด้วยล่ะคะ”
“เพราะ...” เทวาแล้วไม่รู้จะตอบยังไง “จะถามทำไมนักล่ะลูก ลูกไม่อยากเจอน้ารวิเหรอคะ”
“ก็อยากค่ะ แค่พอดีวันนี้ตะวันไม่มีอารมณ์วาด”
เทวาหาวิธีจัดการกับลูกสาวรู้มาก
“งั้นเอาอย่างนี้ ถ้าลูกวาดรูปให้น้ารวิ วันนี้พ่อจะอนุญาติให้กินเค้ก1ชิ้น แถมคุ้กกี้อีกหนึ่งชิ้น”
ตะวันชู 2 นิ้วขึ้นมา เป็นการต่อรอง
“โอเค ก็ได้ คุ้กกี้2ชิ้น ตกลงไหม”
“ตกลงค่ะ”
เทวายื่นมือออกไปให้ตะวันจับเช็คแฮนด์เป็นการสัญญา

ภาพวาดด้วยลายเส้นแบบเด็ก4ขวบของตะวัน เป็นภาพหญิงสาว ยืนอยู่ริมทะเล พร้อมด้วยผู้ชายและเด็กผู้หญิง
ตะวันส่งภาพนั้นให้รวิปรียา ขณะที่ทั้งสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะในร้านกาแฟ
รวิปรียารับภาพวาดนั้นไปดูอย่างประทับใจ
“ว้าว.. ตะวันวาดรูปเก่งจัง มีแววเป็นศิลปินนะเราเนี่ย”
“ตะวันให้น้ารวิเก็บไว้ดูเล่นค่ะ”
“ขอบคุณค่า น้าจะเก็บไว้อย่างดีที่สุดเลย”
“คุณพ่อคะ ตะวันจะกินเค้กได้หรือยัง”
“ได้สิลูก งั้นก็ไปเลือกเองได้เลย” เทวาหันไปเรียกแจนที่อยู่ในเคาน์เตอร์ “คุณแจนครับ เดี๋ยวขอเค้กให้ตะวันด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ”
ตะวันมองหน้าเทวา “แล้วก็คุ้กกี้อีก 2 ชิ้นค่ะ”
เทวาพยักหน้า ตะวันลุกไปหาแจนซึ่งมารอรับ พาไปเลือกขนม เทวาหันมาหารวิปรียา เข้าเรื่องที่อยากถามรวิปรียาอยู่แล้ว
“คุณรวิเป็นยังไงบ้างครับ”
“สบายดีแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง”
เทวามองเห็นโทรศัพท์เครื่องใหม่ของรวิปรียาที่วางอยู่บนโต๊ะ
“นี่ได้โทรศัพท์ใหม่แล้วเหรอครับ”
“ค่ะ”
“สวยดีนะครับ ผมขอดูหน่อยได้ไหม”
รวิปรียายื่นโทรศัพท์ให้แบบงงๆ เทวารับไปแล้วกดเบอร์โทรตัวเองลงไป เสียงโทรศัพท์ของเทวาดังเพียงครั้งเดียวแล้วเขาก็กดตัดสาย ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้รวิปรียา
“นี่เบอร์ผมนะครับ”
“ฉันไม่ได้ขอเบอร์คุณนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากให้ไว้เผื่อว่าคุณอยากจะโทร.หาผม” เขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาให้ดู “เพราะผมก็มีเบอร์คุณแล้วเหมือนกัน ต่อไปนี้เวลาอยากโทร.หาคุณจะได้ไม่ต้องผ่านเลขา”
แจนแอบชำเลืองมองทั้งคู่จากตู้ขนม แล้วพาตะวันกลับมาที่โต๊ะพร้อมขนมใส่จานมาวางให้
“แหม.. วันนี้หนูตะวันได้กินทั้งเค้กทั้งคุกกี้เลย สงสัยวันนี้คุณพ่อจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ …ใช่ไหมคะคุณเทวา”
เทวายิ้มเขินๆไม่ได้ตอบ

รวิปรียานั่งคุยเล่นกับตะวันไป ดูอ่อนโยนน่ารัก เทวานั่งมองเคลิ้มๆ

ต่อมา เทวาจูงมือตะวันกำลังจะพาออกจากร้าน โดยมีแจนกับรวิปรียายืนส่งที่ประตู

“ไปก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
“สวัสดีค่ะน้ารวิ สวัสดีค่ะน้าแจน”
“ค่ะ แล้วเจอกันใหม่นะคะ”
เทวาพาตะวันออกไป แจนโบกมือลา
“ขับรถดีๆนะคะ” แจนบอก
แจนมองตามด้านหลังของเทวาไป เอาไหล่เข้ามากระแซะรวิปรียา
“คนอะไรหล๊อหล่อ ทั้งหล่อทั้งฉลาด ทั้งน่ารัก นิสัยก็ดี๊ดี เธอว่าไหม”
รวิปรียาปรายตามองเพื่อน รู้ว่าเพื่อนจะเริ่มแซวแล้ว
“ผู้ชายแบบนี้จะไปหาได้ที่ไหนอี๊ก ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะจีบซักหน่อย ที่ไหนได้ ท่าทางเขาอยากได้เพื่อนฉันไปเป็นแม่ของลูก ซะแล้ว”
“พูดอะไรบ้าๆ ฉันกับเขาเพิ่งเจอกันไม่เท่าไหร่เองนะ”
“โอ๊ย คุณเพื่อนคะ ของแบบนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลา มันเป็นเรื่องของโชคชะตาต่างหาก”
“เป็นเพราะโชคชะตา หรือเป็นเพราะยัยเพื่อนปากสว่างกันแน่ เธอใช่ไหม ที่เป็นคนไปบอกเขาว่าฉันอกหัก แถมยังให้ไปพักผ่อนที่เดียวกันอีก”
แจนหาเรื่องชิ่ง “อุ๊ย ทำกาแฟไว้ เดี๋ยวรีบไปดูกาแฟก่อนนะ”
แจนเดินเร็วๆเลี่ยงไปทำงาน รวิปรียาส่ายหน้าขำๆเพื่อนรัก

บรรยากาศค่ำคืนของบ้านสิริคุณานันท์
รวิปรียายืนทอดถอนใจอยู่ในสวนตามลำพัง เพชรแท้เดินตามหารวิปรียาอยู่ เห็นรวิปรียายืนอยู่จึงเข้ามาหา
“พี่รวิ”
“อ้าว ยังไม่นอนหรือเพชร”
“ผิดเวลาครับพี่ ก็เลยนอนไม่หลับ ตอนนี้ที่ซานฟรานยังเช้าอยู่ พี่รวิก็นอนไม่หลับเหมือนกันหรือครับ”
รวิปรียาพยักหน้าไม่ปิดบัง
“กังวลเรื่องงานแต่งงานของพี่พริ้งกับคุณนิมมานพรุ่งนี้หรือครับ”
“ก็นิดหน่อยจ้ะ”
“ถ้าพี่รวิอยากแก้แค้นพี่นิมมาน ผมขอแนะนำว่าพรุ่งนี้พี่รวิจะต้องสวย ต้องสดใส ต้องไม่แคร์คุณนิมมานหรือพี่พริ้งเด็ดขาด ถ้าจะให้ดีพี่รวิควรจะหาผู้ชายหล่อๆสักคนแล้วก็ควงไปงาน เชื่อผมเถอะคุณนิมมานเขาจะต้องเจ็บใจ แล้วก็จะต้องเสียดายพี่รวิ”
“รู้ดีจังนะเรา”
“ผมเป็นผู้ชายเหมือนกัน ก็ต้องรู้สิครับว่าผู้ชายเขาคิดยังไง นี่ถ้าผมไม่ใช่น้องพี่รวิล่ะก็ ผมจะให้พี่ควงไปงานซะเลย”
รวิปรียาหัวเราะ
“ขอบใจจ้ะ แต่พี่ไม่เป็นไรหรอก เพชรรีบไปนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปงานไม่ไหว อาพัชก็บ่นแย่”
“งั้นผมไปนะ”
รวิปรียาพยักหน้าให้ เพชรแท้ออกไปจากตรงนั้น แล้วเสียงข้อความไลน์ในโทรศัพท์รวิปรียาก็ดังขึ้น รวิปรียากดข้อความดู
“ ถ้าคุณต้องการ ผมให้คุณยืมตัวได้นะ”
“ยืมไปไหนคะ”
“ ยืมควงไปงานแต่งงานของแฟนเก่าคุณไง”
รวิปรียาหัวเราะเบาๆ ขำๆ - ผู้ชายนี่คิดเหมือนกันหมดเลยหรือไงเนี่ย
“ ไม่จำเป็นหรอกค่ะ เพราะฉันคิดว่าฉันเข้มแข็งพอที่จะไปงานคนเดียวได้”

เทวา อยู่ในห้องนอน อ่านข้อความตอบกลับจากรวิปรียาแล้วก็ลิงโลดใจ มีความหวัง
“ แล้วก็เข้มแข็งพอที่จะลืมเขาได้”
“งั้นผมก็มีหวังใช่ไหม”
มือเทวากดพิมพ์ไปแล้ว แต่กลับลังเลว่าจะส่งดีไหม แล้วตัดสินใจลบตัวอักษรออก ข้อความจากรวิปรียาเด้งเข้าพอดี
“ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง”
รวิปรียา ส่ง Sticker น่ารักๆ Good Night
เทวาดีใจ มีความสุข ส่งข้อความกลับ เป็น Sticker น่ารักๆ Sweet dream
รวิปรียาอ่านข้อความเริ่มรู้สึกอบอุ่นใจ

บรรยากาศงานพิธีรดน้ำสังข์ของนิมมานกับเพชรพริ้งที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมแห่งหนึ่ง ผู้คนไม่มากนักมีเฉพาะญาติและคนที่สนิท
นิมมานกับเพชรพริ้งยืนคุยกับกลุ่มเพื่อนของเพชรพริ้ง
“ยินดีด้วยนะพริ้ง ปกติเธอก็สวยอยู่แล้ว แต่วันนี้ดูสวยเป็นพิเศษเลยนะ”
“ขอบใจจ้ะ”
เพชรพริ้งมีความสุขมากที่ความฝันของเธอเป็นจริง แต่นิมมานไม่ยินดียินร้าย เฝ้าแต่มองหารวิปรียาซึ่งยังไม่ปรากฏตัว
สักพักพัชชาก็เข้ามาหาเจ้าบ่าวเจ้าสาว
“ใกล้ถึงฤกษ์รดน้ำสังข์แล้วลูก ไปเตรียมตัวกันได้แล้วไป”
เพชรพริ้งพานิมมานเดินหายไปทางหนึ่ง กลุ่มเพื่อนสาวของเพชรพริ้งพากันมองหาใครบางคนพร้อมเมาท์
“ไม่เห็นมาเลยแก” เพื่อน 2 บอก
เพื่อน1 บอก “จะกล้ามาเหรอ แฟนกับลูกพี่ลูกน้องมาได้กันซะเอง เป็นฉันนะคงจะอับอายจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี”
“ฉันว่าป่านนี้คงนอนร้องไห้อยู่ที่บ้านนั่นแหละ”

รวิปรียาอยู่ในชุดเดรสไปงานดูสวยจัดกว่าทุกวัน เธอยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกเงา สายตารวิปรียาดูกร้าว ดุ เปลี่ยนไปจากที่เคย
ความเจ็บปวดเปลี่ยนเป็นความแค้นที่มีต่อเพชรพริ้งและพัชชา
รวิปรียาบอกกับตัวเองตรงหน้ากระจก

“ต่อไปนี้ ฉันจะทำทุกอย่างให้พวกเธอต้องเจ็บปวดอย่างที่ฉันและแม่เคยเจ็บ”

อ่านต่อตอนที่ 6

#ใจลวง #thaich8 #ละครออนไลน์
กำลังโหลดความคิดเห็น