ใจลวง ตอนที่ 3
ภายในบ้านบริรักษ์ ตอนกลางคืน เทวากำลังยืนหน้าจ๋อย ขณะที่บรมบ่นอย่างไม่พอใจ
“นี่แกคิดอะไรของแก ถึงได้ให้หนูรวิเขาไปที่ไซต์งาน”
“ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องขึ้นน่ะครับ”
ดารินนั่งอยู่ที่โซฟา รับรู้อยู่ด้วย
“ถึงจะไม่เกิดเรื่อง แกก็ไม่มีสิทธิ์ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับให้เขาไป นี่ถ้าเกิดเหตุรุนแรงกว่านี้จะรับผิดชอบไหวไหม”
เทวาเงียบ เถียงไม่ออก
“เขาเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัท มันใช่ธุระของเขาไหมที่จะต้องไปตรวจสินค้าพวกนั้นด้วยตัวเอง”
“ไม่ใช่ธุระของคุณรวิหรอกค่ะ แต่มันเป็นธุระส่วนตัวของพี่เทวาเขาค่ะคุณพ่อ” ดารินบอก
เทวาถลึงตาใส่น้องสาว แต่ดารินลอยหน้าลอยตา
“ผมเองก็รู้สึกผิดอยู่นี่ไงครับคุณพ่อ”
“รู้สึกผิดยังไม่พอ แกต้องรับผิดชอบด้วย ตั้งแต่พรุ่งนี้แกต้องไปเฝ้าหนูรวิเค้าที่โรงพยาบาลแล้วก็ต้องไปทุกวันจนกว่าเขาจะหาย”
เทวารับปากทันที “ครับพ่อ” เพราะใจจริงก็อยากไปอยู่แล้ว
“นี่พ่อต้องโทร.ไปขอโทษคุณวิษณุเขาอีก ไม่รู้เขาจะว่าไงบ้าง”
บรมเดินบ่นออกไปพลางกดโทรศัพท์ ดารินลุกขึ้นเข้ามากระแซะแซวพี่ชาย
“ถึงคุณพ่อไม่สั่ง พี่เทวาก็คงอยากไปทุกวันอยู่แล้วใช่ม๊า แบบนี้ก็เข้าทางเลยล่ะสิ”
เทวาผลักหัวน้องสาว หมั่นไส้ที่รู้มาก
วันรุ่งขึ้น เทวาถือกระเช้าผลไม้มาเยี่ยมคนป่วยเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาล ตรงสู่ห้องพักของรวิปรียา ท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ถึงหน้าห้องพักคนป่วย เทวาเคาะประตูห้อง จากนั้นเสียงรวิปรียาก็ดังตอบมา
“เชิญค่ะ”
เทวาเปิดประตูห้องเข้าไปด้วยรอยยิ้ม แต่แล้วก็หุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อภาพที่เห็นคือ นิมมานกำลังประคองรวิปรียาให้ลุกขึ้นมานั่ง เขาเอาหมอนหนุนหลังให้รวิปรียาดูสนิทสนม
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าคุณมีแขกมาเยี่ยม”
“ผมไม่ใช่แขกหรอกครับ ผมเป็นคนดูแลคนป่วย”
“นิมมานคะ นี่คุณเทวา เป็นMDของBR Construction คุณเทวาคะ นี่นิมมานค่ะ”
“ผมเป็นแฟนของรวิ”
เทวาอึ้งไปสักพักเพราะไม่คาดคิดมาก่อน
“คุณนี่เอง ที่เป็นต้นเหตุให้รวิต้องเจ็บตัว”
“ไม่เกี่ยวกับคุณเทวาหรอกค่ะนิมมาน รวิบอกแล้วไงคะว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“แต่ถ้ารวิไม่ต้องไปที่ไซด์งาน ก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้น ... ไม่คิดจะขอโทษหน่อยหรือครับ”
“ผมขอโทษคุณรวิปรียาไปแล้ว ส่วนคุณ..ผมคงไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไร เพราะผมถือว่าเป็นคนนอก”
“คุณว่าไงนะ”
เทวาไม่สนใจนิมมานเลย
“นี่เป็นของฝากจากคุณพ่อของผม ท่านให้ผมมาเยี่ยมคุณ อยากรู้ว่าคุณอาการดีขึ้นหรือยัง แต่ดูๆแล้ว ตอนนี้คุณน่าจะสบายดีแล้ว”
“ตอนนี้ยังเดินไม่ถนัด แต่ก็ไม่เจ็บแผลแล้วค่ะ ฝากขอบคุณคุณบรมด้วยนะคะ”
“หมดหน้าที่ของผมแล้ว ต้องขอตัวก่อน”
“ขอบคุณค่ะที่มาเยี่ยม”
เทวาออกจากห้องนั้นอย่างพยายามซ่อนความผิดหวัง รวิปรียามองตามเทวาไป นิมมานมองหน้าคนรักแบบหวงที่สนใจคนอื่น
เทวาเดินมาตามทางในในโรงพยาบาล ท่าทางเซ็งๆ บ่นๆกับตัวเอง
“มีแฟนแล้วก็ไม่บอก” พลางถอนใจ “ผู้หญิงสวยๆแบบนี้ หาแฟนทั้งทีทำไมไม่หาที่มันดูดีกว่านี้”
นิมมานเดินตามหลังเทวามาห่างๆ ตะโกนเรียกให้หยุด
“เดี๋ยวก่อนครับ คุณเทวา ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
เทวาหยุดหันไปประจัญหน้ากับนิมมาน
“ผมไม่อยากให้คุณมายุ่งกับรวิอีก”
“มีเหตุผลไหมครับ”
“เพราะรวิเป็นแฟนผม บอกตรงๆว่าผมไม่ไว้ใจคุณ”
“ในแง่ไหน”
“ทุกอย่าง! ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรถึงต้องเรียกตัวรวิไปที่ไซต์ก่อสร้าง แต่ผมไม่ชอบที่คุณมาออกคำสั่งกับแฟนผมโดยใช้เรื่องงานเป็นข้ออ้าง และที่สำคัญ..ผมไม่ชอบสายตาที่คุณมองแฟนผม”
“แต่ผมทำธุรกิจอยู่กับคุณรวิปรียา ถ้าคุณไม่อยากให้ผมยุ่งกับคุณรวิ คุณต้องไปบอกทางสยามเอ็นจิเนียริ่งให้เลิกขายวัสดุก่อสร้างให้บริษัทผมเอง ไม่ใช่มาบอกผม”
เทวาเดินจากไปอย่างไม่สนใจสายตาโกรธเคืองของนิมมาน
นิมมานหันหลังกลับ จะกลับไปที่ห้องของรวิปรียา พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น นิมมานหยิบขึ้นมาดูหน้าจอ
ชื่อของเพชรพริ้งโทร.เข้ามา
ภายในห้องนั่งเล่น บ้านสิริคุณานันท์ เพชรพริ้งกำลังพูดสายกับนิมมาน โดยมีพัชชานั่งสนับสนุนอยู่ด้วย
“ตอนนี้คุณนิมมานอยู่ที่ไหนหรือคะ”
นิมมานหยุดคุยโทรศัพท์กับเพชรพริ้งอยู่ที่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล
“ผมมาดูแลรวิอยู่ที่โรงพยาบาล คุณพริ้งมีอะไรหรือเปล่าครับ”
เพชรพริ้งทำหน้าเซ็ง เบะปากใส่ แล้วเดินไปดูที่ชุดสวยของเธอ
“พริ้งจะโทร.มาบอกคุณว่า ชุดของพริ้งที่โดนไวน์ของคุณหกใส่เมื่อคืนวันงานมันซักไม่ออกค่ะ พริ้งคิดว่าควรจะมีใครสักคนรับผิดชอบเรื่องนี้”
“แล้วคุณพริ้งจะให้ผมทำยังไงครับ”
“พริ้งอยากให้คุณซื้อชุดใหม่ให้พริ้งค่ะ”
“เรื่องแค่นี้เอง ได้ครับ ผมจะจัดการให้”
“แล้วคุณนิมมานจะรู้ได้ยังไงล่ะคะว่าพริ้งชอบชุดแบบไหน สีอะไร”
“คุณพริ้งบอกผมมาก็ได้ครับ”
“พริ้งยังบอกตอนนี้ไม่ได้ค่ะ บังเอิญพริ้งเป็นคนช่างเลือก พริ้งว่าจะไปเลือกซื้อชุดใหม่ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นคุณควรรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยการพาพริ้งไปหาซื้อชุดใหม่”
นิมมานอึกอักไม่อยากตอบรับ
ฝั่งของเพชรพริ้งและพัชชา สีหน้าเพชรพริ้งเริ่มจะเหวี่ยง
“แล้วเมื่อไหร่คุณจะว่างล่ะคะ”
พัชชากลัวแผนจะเสีย รีบดึงโทรศัพท์จากมือของเพชรพริ้งมาพูดสายซะเอง
“คุณนิมมานค่ะ นี่อาพัชเองนะคะ”
“ครับคุณอา”
“ขอโทษที่ต้องเข้ามายุ่งนะคะคุณนิมมาน ตอนนี้พริ้งเขาหงุดหงิดไปหน่อยเพราะเขารักชุดนี้มาก ตอนที่เห็นชุดซักไม่ออกเมื่อวานนี้ พริ้งเขาก็ร้องไห้เสียใจอยู่เกือบทั้งคืน อาเองก็พยายามปลอบใจเขาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น”
“ครับ”
“ยังไงคุณนิมมานช่วยอาสักครั้งเถอะนะคะ วันนี้ไม่ว่างอาก็เข้าใจ แต่พรุ่งนี้ช่วยพาพริ้งเขาไปเลือกซื้อชุดหน่อย เขาจะได้สบายใจขึ้น”
“แต่ผม...”
“คิดว่าอาขอร้องนะคะ”
“ผมพาไปก็ได้ครับ แต่ผมมีเวลาแค่ช่วงเช้าเท่านั้นนะครับคุณอา ช่วงบ่ายต้องมารับรวิเพราะรวิเขาน่าจะออกจากโรงพยาบาลได้พรุ่งนี้”
“ได้ค่ะ พริ้งเขาคงไม่รบกวนคุณนิมมานนานหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะคุณนิมมาน”
พัชชากดวางสายก่อนจะหันมองหน้าเพชรพริ้ง สองแม่ลูกพอใจในแผนของตัวเอง
พระอาทิตย์ขึ้นเช้าวันใหม่
หน้าจอโทรศัพท์ของอิงอร มีข้อความLINEเข้ามา
อิงอรกดเปิดดูข้อความเป็นภาพขาของรวิปรียาที่มีผ้าพันแผลอยู่
ที่หน้าจอ อิงอรเลื่อนเปลี่ยนภาพ เป็นภาพถ่ายเซลฟี่ของรวิปรียาในชุดคนป่วย บนเตียงที่โรงพยาบาล ยิ้มสดชื่น
“ดูสิ ยังจะมาทำหน้าทะเล้นอีก”
อิงอรกดโทรศัพท์ออกหารวิปรียาทันที
รวิปรียาในชุดคนไข้ กำลังโทรคุยกับอิงอร
“แค่เจ็บขานิดเดียวเองค่ะคุณแม่ ไม่เห็นต้องทำเสียงซีเรียสขนาดนี้เลย”
“จะไม่ให้ซีเรียสได้ยังไง ร้อยวันพันปีลูกไม่เคยต้องเจ็บถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล”
“เครียดมากเดี๋ยวความดันก็ขึ้นอีกนะคะ สุขภาพคุณแม่ก็ยิ่งไม่ค่อยดีอยู่”
“แล้วนี่ทำไมพ่อเขาถึงไม่มาดูลูกบ้าง ทำไมปล่อยให้อยู่โรงพยาบาลคนเดียวแบบนี้”
“คุณพ่อมาเยี่ยมเป็นคนแรกตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องเลยค่ะ แต่ตอนนี้คุณพ่อทำงานยุ่ง เพราะต้องดูงานส่วนของรวิแทนด้วย อีกอย่างนิมมานเขาก็มาดูแลรวิอยู่แล้วค่ะ”
“แล้วนี่ต้องอยู่โรงพยาบาลไปถึงเมื่อไหร่”
“เมื่อเช้าคุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวบ่ายนี้นิมมานก็จะมารับรวิกลับบ้าน”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แล้วพยาบาลก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง
“แค่่นี้ก่อนนะคะคุณแม่ สวัสดีค่ะ” เธอกดวางสายจากอิงอร
“คุณหมอแจ้งคุณรวิปรียาแล้วใช่ไหมคะว่าวันนี้กลับบ้านได้แล้ว”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นก็เตรียมตัวได้เลยนะคะ ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว”
“แต่ดิฉันต้องรอเรื่องค่าใช้จ่ายโรงพยาบาล”
“เรื่องค่าใช้จ่ายมีคนจัดการให้แล้วค่ะ”
“มีคนจัดการให้แล้ว? ใครหรือคะ”
เทวาเปิดประตูเข้าห้องมาพร้อมกับคำตอบ
“ผมเอง”
รวิปรียาทำหน้างงๆ พยาบาลเลี่ยงออกจากห้องไป
“ที่คุณได้รับบาดเจ็บก็เพราะความสะเพร่าและผิดพลาดที่ไซต์งานของบริษัทผม เพราะฉะนั้นผมต้องรับผิดชอบ”
“แต่…”
“เป็นคำสั่งจากคุณพ่อผม”
“งั้นก็ขอบคุณค่ะ ว่าแต่คุณจะมาทำไมทุกวันไม่ทราบ”
“นี่เป็นคำสั่งจากคุณพ่อผมเหมือนกัน คุณพ่อขอให้ผมมาเฝ้าคุณจนกว่าคุณจะออกจากโรงพยาบาล”
“งั้นคุณก็คงไม่ต้องเสียเวลานาน เพราะฉันกำลังจะออกแล้ว”
“ผมรู้ครับ”
“งั้นคุณก็กลับได้เลยค่ะ”
แทนที่จะหันกลับ เทวากลับนั่งลงที่โซฟาอย่างสบายใจ
“ผมจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนคุณ จนกว่าจะมีคนมารับคุณกลับบ้าน ภารกิจของผมจะได้จบเสียที”
รวิปรียาถอนหายใจกับความดื้อของเทวา
ท่ามกลางบรรยากาศของผู้คน ร้านรวงภายในห้างสรรพสินค้า
ที่ร้านเสื้อ เพชรพริ้งกำลังหยิบชุดหนึ่งขึ้นมาทาบบนตัวเอง ขณะยืนสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจก
“คุณว่าชุดนี้สวยไหมคะ”
“ก็ดีครับ”
“นี่คุณนิมมานตอบเป็นอยู่ประโยคเดียวหรือคะ”
“ก็..จริงนี่ครับ คุณพริ้งใส่ชุดไหนก็สวยอยู่แล้ว”
“นี่ชมจริงๆหรือพูดเพื่อให้มันจบๆไปกันแน่คะ”
“ผมชมจริงๆ”
นิมมานทำหน้าเหมือนอยากจะรีบๆไป ยกนาฬิกาข้อมือดู เพชรพริ้งไม่สบอารมณ์วางชุดลงบนราว
“พริ้งยังไม่ชอบตัวนี้ค่ะ พริ้งว่าแบบมันดูเก่าไปแล้ว ไปดูร้านอื่นกันดีกว่า”
เพชรพริ้งเข้าไปจับมือนิมมานอย่างสนิทสนม แล้วพาออกไปจากร้าน
นิมมานเองแม้จะลำบากใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือดึงมือกลับ
ภายในโรงพยาบาล
เทวานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องพักคนป่วย ทำเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ แต่บางขณะก็เหลือบตาขึ้นมามองรวิปรียา
รวิปรียา นั่งมองนาฬิกาข้อมือบ้าง มองหน้าจอโทรศัพท์บ้างเหมือนรอใครสักคน
เทวาหาเรื่องชวนคุย “คนที่จะมารับคุณ เขายังไม่มาอีกหรือ”
รวิปรียามองหน้าหงุดหงิด “ถ้ามาแล้วฉันจะยังนั่งอยู่ตรงนี้เหรอคะ”
เทวาเหมือนถามขึ้นลอยๆ “คบกันนานหรือยัง”
รวิปรียาชะงักนิดนึง มองหน้าเทวา
“ผมหมายถึงคุณกับคุณนิมมาน น่ะ”
“เรื่องส่วนตัว ฉันขอไม่ตอบ”
รวิปรียาก็ขยับตัวลุกขึ้น จะลงจากเตียง เทวาตกใจลุกขึ้นด้วย
“นี่คุณจะทำอะไร”
“จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นี่เที่ยงแล้ว สักพักนิมมานคงจะมา”
เทวารีบเข้ามาใกล้ๆเตียง เพื่อช่วยพยุง
“นี่คุณจะทำอะไร”
“ช่วยคุณไง”
“ไม่ต้องค่ะ แค่นี้ฉันเดินเองได้”
รวิปรียาลงมาจากเตียงเองได้สำเร็จ โดยไม่ยอมให้ช่วย เทวาจำต้องยืนดูเฉยๆ
แต่แล้วตอนที่รวิปรียาเดิน ขาที่เคล็ดอยู่ก็เจ็บแปล๊บทำให้รวิปรียาเซจะล้ม เทวารีบเข้ามาประคองช่วยไว้ได้ทัน
ใบหน้าทั้งสองคนใกล้ชิดกัน ทั้งคู่สบสายตากันจนรวิปรียารู้สึกประหม่า พอรวิปรียารู้สึกตัวก็รีบผละออกจากกัน เทวาควบคุมสีหน้าและท่าทางได้ดีกว่า
“ก็บอกแล้วว่าให้ผมช่วย”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”
เทวาไม่รอให้พูดมาก โอบไหล่รวิปรียาแนบชิดประคองไปห้องน้ำ เธอไม่มีโอกาสได้ขัดขืน เทวาส่งเธอเข้าห้องน้ำแล้วไปเปิดตู้หยิบเสื้อผ้าของเธอออกมา เขากลับมายื่นเสื้อผ้าส่งให้รวิปรียา
“ขอบคุณ”
รวิปรียาปิดประตู
ร้านเสื้ออีกร้านหนึ่งในห้างสรรพสินค้า
ประตูห้องลองเสื้อเปิดออก เพชรพริ้งอยู่ในชุดเดรสที่กำลังลองสวมอยู่ เธอก้าวออกมาโชว์ให้นิมมานดู
เขานั่งรออยู่มุมหนึ่งในร้าน มองนาฬิกาข้อมืออย่างกังวลใจ
เพชรพริ้งเห็นท่าทางของนิมมานแล้ว แต่ทำเป็นไม่รับรู้ท่าทีร้อนใจของนิมมาน
“พริ้งก็ยังไม่ชอบชุดนี้อยู่ดี สงสัยต้องไปดูร้านอื่น”
นิมมานหาทางชิ่ง “คุณพริ้งครับ”
เพชรพริ้งเดินกลับเข้าห้องลองชุด โดยไม่รอให้นิมมานพูดต่อ
เพชรพริ้งกับนิมมานเดินมาด้วยกันตามทางเดินในห้าง นิมมานยังคงมีท่าทางกระวนกระวายใจอยู่
“นี่เที่ยงกว่าแล้ว พริ้งหิวแล้วล่ะค่ะ เราหาอะไรกินกันก่อนไหมคะ”
“ผมคงต้องไปแล้ว ตอนนี้รวิเขารออยู่ที่โรงพยาบาล”
เพชรพริ้งเหมือนจะเข้าใจดี
“งั้นก็ไปเถอะค่ะ เรื่องรวิต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว เดี๋ยวพริ้งนั่งแท็กซี่กลับบ้านเองก็ได้”
“งั้นผมขอตัวนะครับ”
นิมมานโล่งใจที่เพชรพริ้งเข้าใจ จะเดินแยกไป แต่แล้ว...เพชรพริ้งก็ก้าวออกไปก้าวหนึ่งแล้วขาแพลงล้มลง
“โอ๊ย!”
นิมมานรีบเข้ามานั่งประคอง
“คุณพริ้ง เป็นอะไรครับ”
“เท้าแพลงน่ะค่ะ วันนี้คงใส่ส้นสูงเดินเยอะไปหน่อย”
นิมมานจับข้อเท้าของเพชรพริ้ง
“เจ็บมากไหมครับ” เขาพยุงให้ลุกขึ้น เพชรพริ้งลุกขึ้นแต่ยังร้องเหมือนเจ็บมาก
“อูย เจ็บค่ะ สงสัยจะเดินไม่ไหวแล้ว คงต้องหาที่นั่งพักสักครู่ก่อนน่ะค่ะ”
นิมมานประคองเพชรพริ้งพาเดินไป เพชรพริ้งกำลังอิงแอบนิมมานมีความสุข แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของนิมมานดังขึ้นพอดี เทวามองที่ชื่อรวิปรียาที่โทรเข้ามาอย่างลำบากใจที่จะต้องหาคำแก้ตัว แล้วจึงกดรับสาย
รวิปรียาเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว กำลังโทร . คุยกับนิมมาน
“อยู่ที่ไหนแล้วคะนิมมาน”
นิมมานพูดสายกับรวิปรียาทั้งที่ยังต้องประคองเพชรพริ้งอยู่
“ขอโทษนะจ๊ะรวิ พอดีผมติดธุระนิดหน่อย พอเสร็จแล้วจะรีบไป”
ทางฝั่งรวิปรียา เทวายังคงนั่งอยู่ในห้อง ทำเป็นไม่ใส่ใจแต่ก็คอยเงี่ยหูฟัง
“รวิรอผมอีกสักพักนะ”
“ถ้าติดงานอยู่ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวรวิโทรเรียกรถที่บ้านมารับก็ได้”
“คุณไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วง พอถึงบ้านแล้วจะโทรหานะคะ”
รวิปรียากดวางสาย แล้วทำท่าจะโทร.หาคนขับรถ แต่เทวาลุกขึ้นมายืนตรงหน้า
“ผมจะไปส่งคุณที่บ้านเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะให้รถที่บ้านมารับ”
“แต่คุณพ่อผมสั่งมาว่าให้ผมดูแลคุณจนกว่าคุณจะปลอดภัยถึงบ้าน”
“อยู่กับคุณก็ใช่ว่าจะปลอดภัยซะหน่อย จำไม่ได้หรือคะว่าตอนที่เกิดอุบัติเหตุ ฉันก็อยู่กับคุณเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...”
เทวาตัดบท “คุณต้องไปกับผม”
“ทำไมฉันต้องเชื่อคุณ”
“คุณนี่ดื้อจริงๆ” เขาขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น มองหน้ารวิปรียา สายตากรุ้มกริ่ม “นี่ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยอม”
รวิปรียาหวั่นไหว มองเทวาหน้าตาตื่น
“อ้อ ลืมไป คุณเจ็บขาอยู่คงเดินไม่สะดวก งั้นผมคงต้องช่วยอุ้มคุณไป”
“นี่คุณ!” เธอถอยหลังออกห่าง
เทวาเข้าไปประชิดตัวรวิปรียามากขึ้น “จะไปกับผมดีๆ หรือว่าจะให้ผมอุ้มไป”
รวิปรียาได้ยินแล้วมองหน้าเทวาตาโต
“อย่าทำอะไรบ้าๆนะ”
เทวาไม่ตอบแต่ทำท่าเหมือนจะเข้ามาอุ้มจริงๆ
“โอเคๆ ไปก็ได้”
เทวาผละตัวออกห่าง แอบอมยิ้มชอบใจ
รถของเทวาแล่นผ่านประตูรั้วเข้ามาภายในเขตบ้านสิริคุณานันท์
เทวาจอดรถที่หน้าบ้าน ปลดเข็มขัดออก แล้วเหลือบมองใบหน้าของรวิปรียา
“ขอบคุณค่ะ” เธอปลดเข็มขัดออก
รวิปรียาขยับมือจะเปิดประตูรถ แต่จู่ๆเทวากลับเอนตัวมาใกล้เธอมาก เอื้อมมือไปแตะที่เปิดประตูเพื่อกันไม่ให้รวิปรียาเปิดเอง เธอหันมามองเทวาอย่างแปลกใจ
“ขาคุณเจ็บอยู่ รออยู่ตรงนี้ก่อน ผมจะไปเปิดประตูให้”
รวิปรียาชักมือกลับมานั่งนิ่ง เทวาเปิดประตูรถลงไปเพื่ออ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนนั่งให้รวิปรียา ในบ้าน พัชชามองออกมาจากตัวบ้านเห็นเทวามาส่งรวิปรียา เด็กรับใช้กำลังจะไปช่วยขนของที่รถเทวา พัชชาดึงตัวเด็กไว้ขณะที่เด็กจะเดินผ่าน
“ผู้ชายที่มาส่งคุณรวิเป็นใคร”
“ไม่ทราบค่ะ” เด็กรับใช้เดินจากไป
พัชชาหงุดหงิด
“นังพวกนี้ รู้อะไรกันบ้างไหมเนี่ย”
ขณะที่รวิปรียาจะลงจากรถ รถของวิษณุก็เข้ามาจอดต่อท้ายรถของเทวาพอดี เทวาช่วยเอาแขนให้รวิปรียาจับเพื่อพยุงตัวออกจากรถ วิษณุรีบลงมาจากรถ เทวาเห็นรีบไหว้วิษณุ
วิษณุรับไหว้
“คุณเทวา รวิ.. แล้วนี่นิมมานหายไปไหน พ่อนึกว่าเขาจะไปรับลูกที่โรงพยาบาลซะอีก”
“พอดีนิมมานเขาติดธุระน่ะค่ะคุณพ่อ คุณเทวาเขาเลยอาสามาส่ง”
“ขอบคุณคุณเทวามากครับ ที่จริงไม่ต้องลำบากก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ งั้นผมขอตัวกลับเลยนะครับ”
เทวาไหว้ลาวิษณุแล้วกลับไปขึ้นรถ ก่อนขึ้นรถ เขายังหันมาสบตากับรวิปรียาอีกครั้ง แต่เธอก็เบือนหน้าหลบไปทางอื่น วิษณุพาลูกสาวเข้าบ้านไปด้วยกัน คุยกันไปด้วย
“เป็นไงบ้างลูก”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะคุณพ่อ”
รถของนิมมานเข้ามาจอดที่หน้าบันไดขึ้นบ้าน
รวิปรียานั่งพักผ่อนอยู่พอได้ยินเสียงรถก็ลุกขึ้นมองดู พอเห็นเป็นรถนิมมานก็เดินออกมารอ
นิมมานลงจากรถ แต่อีกฝั่งหนึ่งก็มีเพชรพริ้งเปิดประตูลงมาด้วย นิมมานเข้ามาดูเพชรพริ้ง เพชรพริ้งใช้โอกาสนั้นเกาะมือนิมมานทำขากระเผลกก่อนจะขึ้นมายืนทรงตัว
รวิปรียาอึ้งไป
นิมมานเงยหน้าขึ้นมาเห็นรวิปรียาก็หน้าเสีย แต่ก็พร้อมจะอธิบายกับรวิปรียา
บรรยากาศยามเย็นในสวนของบ้านสิริคุณานันท์
นิมมานกับรวิปรียายืนคุยกัน นิมมานเพิ่งจะเล่าเรื่องทั้งหมดจบไป
“เรื่องมันก็เป็นอย่างที่ผมบอกรวิไปแล้ว ผมขอโทษที่ผมปิดบังเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ผมแค่..ไม่อยากให้คุณไม่สบายใจ”
“รวิเชื่อค่ะ แล้วก็เข้าใจความรู้สึกของคุณด้วย”
“ขอบคุณมากที่เชื่อใจผม”
“ตลอดเวลาที่เราคบกันมา คุณไม่เคยทำให้รวิต้องเสียใจเลย ทำไมรวิจะไม่เชื่อใจคุณล่ะคะ ส่วนเรื่องของพริ้ง ถ้าคุณลำบากใจที่จะต้องออกไปกับเขา ต่อไปนี้คุณก็ไม่ต้องตามใจเขาอีก”
“แล้วเรื่องชุด”
“เรื่องนั้นรวิจัดการเองค่ะ”
เพชรพริ้งเปิดประตูห้องนอนออกมา แล้วทำสีหน้ารำคาญใจ ที่เห็นรวิปรียายืนอยู่หน้าห้อง
“เธอมาทำไม หรือจะมาต่อว่าที่ฉันควงแฟนเธอออกไปข้างนอกทั้งวัน”
“ฉันไม่มีสิทธิ์จะต่อว่าเธอ เพราะนิมมานคงต้องรับผิดชอบที่ทำให้ชุดเธอเสียหายจริงๆ ฉันจะมาบอกเธอว่า ฉันจะรับผิดชอบเรื่องชุดของเธอแทนนิมมานเอง เธอเลิกโทร. ชวนเขาออกไปไหนต่อไหนได้แล้ว”
เพชรพริ้งยิ้มเยาะๆ
“เธอมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”
“เพราะฉันเป็นคนรักของเขา ฉันไม่ชอบเห็นคนรักของฉันต้องลำบากใจเวลาที่เขาต้องโดนบังคับให้ทำอะไรที่ไม่อยากทำ หรือต้องไปเสียเวลากับ..คนที่เขาไม่ชอบ”
“ไม่ชอบเหรอ? เธอไม่รู้เหรอว่าผู้ชายน่ะ.. เวลาอยู่กับแฟนมักจะพูดอย่างนึง แต่เวลาอยู่กับผู้หญิงอื่นก็มักจะพูดอีกอย่างนึง”
“นิมมานเขาไม่ได้พูดอะไร แต่เราสองคนเข้าใจกันดี”
เพชรพริ้งยิ่งหมั่นไส้
“เอาเป็นว่าเธอไปหาชุดที่เธอพอใจมา แล้วฉันจะจ่ายค่าชุดให้เอง”
แต่เพชรพริ้งมีแผนที่ดีกว่านั้น
“ไม่ล่ะ วันนี้ฉันก็ดูมาหมดแล้ว ไม่มีชุดไหนที่ถูกใจเลย รู้สึกว่าเราสองคนจะมีรสนิยมเดียวกันนะเพราะฉันชอบชุดแบบที่เธอใส่มากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าฉันจะขอเสื้อผ้าเธอแทน เธอจะว่ายังไง”
“ได้ เธอไปเลือกได้เลย จะเอาชุดไหนก็ตามสบาย แต่สิ่งที่ฉันจะยกให้เธอก็แค่เสื้อผ้าเท่านั้น ไม่ใช่อย่างอื่น”
สองสาวจ้องตากันแบบไม่มีใครยอมใคร
เพชรพริ้งไม่พอใจ อารมณ์ยังค้างอยู่จากคำพูดของรวิปรียา เธอยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าในห้องของรวิปรียา มองเสื้อผ้าที่แขวนเรียงรายตรงหน้า แล้วรวบเสื้อผ้าหลายตัวออกมาโยนลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี
เธอมองเสื้อผ้าเหล่านั้นอย่างโกรธเกลียดราวกับมันคือตัวแทนของรวิปรียา พัชชาเข้ามาหา
พัชชาถามยิ้มเจ้าเล่ห์
“ต้องให้แม่ช่วยไหม”
รวิปรียากำลังนั่งพักผ่อนอ่านหนังสืออยู่ในสวน แต่แล้วเด็กรับใช้ก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา
“คุณรวิคะ เกิดเรื่อง ที่ห้องคุณรวิน่ะค่ะ”
รวิปรียามาถึงห้องนอนของเธอ ยืนมองภาพในห้องอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เด็กรับใช้ยืนหน้าตื่นอยู่ด้านหลัง
เสื้อผ้าของรวิปรียาถูกเหวี่ยงกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง โดยมีเพชรพริ้งกับพัชชายืนทำหน้าสะใจ
เท้าของทั้งสองเหยียบย่ำอยู่บนเสื้อผ้าของรวิปรียาด้วย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะรวิ คือฉันก็..ฉันพยายามเลือกแล้ว แต่เสื้อผ้าของเธอนี่ไม่มีชุดไหนสวยถูกใจฉันเลย”
รวิปรียาข่มความโกรธเอาไว้
“ตอนแรกอาก็ว่าจะช่วยเก็บนะ แต่บังเอิญนี่ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้วอาต้องรีบไป เดี๋ยวให้เด็กช่วยเก็บแล้วกันนะ”
สองแม่ลูกพากันเดินออกไปแบบสะใจ เพชรพริ้งใช้เท้าเขี่ยบรรดาเสื้อผ้าที่ขวางทางอยู่ออกไป
พอสองแม่ลูกเดินผ่านรวิปรียาออกไป เด็กรับใช้ก็เข้าไปเก็บเสื้อผ้าที่เกลื่อนพื้นอยู่
ยังไม่ทันที่สองแม่ลูกจะคล้อยหลัง รวิปรียาก็พูดแบบจงใจให้สองแม่ลูกได้ยิน
“เอาเสื้อผ้าพวกนี้ไปทิ้งให้หมดทุกชิ้น ของที่มันเปื้อนมือสกปรก จิตใจชั้นต่ำแบบนี้ ฉันคงไม่เอามาใช้อีก”
สองแม่ลูกรู้ว่าถูกแขวะก็ชะงัก
“แล้วเดี๋ยวช่วยทำความสะอาดห้องใหม่ให้หมดทุกซอกทุกมุมด้วย ฉันไม่อยากให้มีร่องรอยสกปรกหลงเหลืออยู่ในห้องนี้”
เพชรพริ้งกับพัชชามองหน้ากัน พัชชาทำสีหน้าเหมือนจะบอกลูกให้ใจเย็นๆ แล้วพากันเดินจากไปอย่างอย่างไม่พอใจ
สมาชิกครอบครัวบ้านบริรักษ์กำลังรับประทานอาหารค่ำร่วมกันที่โต๊ะอาหาร
บรมหันไปถามเทวา
“พ่อได้ยินจ๊ะเอ๋บอกว่า ตะวันโดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อเรื่องแม่เรอะ”
“ก็ทำนองนั้นล่ะครับ”
บรมเป็นห่วงหลาน “แล้วร้องไห้หรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับ คงน้อยใจนิดหน่อยที่เพื่อนคนอื่นมีแม่มารับ แต่ตัวเองไม่มี”
“เฮ้อ... พ่อก็ไม่อยากจะท้าวความเรื่องเก่าเลยนะ แต่จริงๆมันก็เป็นความผิดแก จู่ๆวันนึงก็เอาตะวันมาที่บ้าน ถามอะไรก็ไม่บอก นอกจากว่าเลิกกับแม่ตะวันไปแล้ว จนป่านนี้ พวกเรายังไม่รู้เลยว่าแม่ของตะวันเป็นใคร”
เทวาได้แต่นิ่งเงียบ ไม่โต้แย้งอะไร ดารินต้องออกตัวแทน
“เรื่องมันก็นานมาแล้ว อย่าพูดถึงเลยค่ะคุณพ่อ”
“ที่พ่อพูด เพราะอยากให้เทวาแก้ปัญหาเรื่องนี้ ...พ่อว่าแกน่าจะแต่งงานได้แล้วนะเทวา อายุก็ไม่ใช่น้อย”
เทวาเกือบจะสำลักน้ำที่กำลังจะดื่ม
“อะไรนะครับคุณพ่อ”
“จะได้หาแม่ให้ตะวันด้วย เพราะถ้าตะวันโตกว่านี้ก็จะมีปัญหากับแม่เลี้ยงอีก แกเองจะได้หยุดนิสัยลอยไปลอยมาซะที”
ดารินทำตาโต ทำปากอู้หู แซวพี่ชาย
“แต่งงานนะครับคุณพ่อ ทำไมคุณพ่อพูดซะยังกับว่ามันง่ายเหมือนกำลังสั่งให้ผมไปชงกาแฟ”
“ไอ้การที่จะหาผู้หญิงดีๆสักคน แต่งงานกับเขา แล้วก็ใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่เห็นมันจะยากตรงไหน”
“มันยากตรงที่ผมยังไม่เจอคนที่ผมอยากจะแต่งงานด้วยน่ะสิครับ”
“พี่เทวาเขาช่างเลือกค่ะคุณพ่อ ให้ไปเดทกับสาว ไปกินข้าวมื้อสองมื้อล่ะก็สบาย แต่ถ้าจะหาคนที่จะมาแต่งงานด้วย สำหรับพี่เทวา.. รอจนตะวันโต จะหาได้หรือเปล่า”
“แต่พ่อพบคนที่เหมาะกับแกแล้ว”
เทวากับดารินหันมองหน้าวิษณุขวับ
“หนูรวิปรียา ลูกสาวของคุณวิษณุ ดารินบอกพ่อว่าแกสนใจหนูรวิปรียาเป็นพิเศษ”
เทวาถลึงตาใส่น้องสาว ที่ช่างสอดรู้
ดารินทำเสียงอ่อยๆ “ก็บอกตามที่เห็น”
“ผมเพิ่งเจอเขาไม่กี่ครั้งเองนะครับคุณพ่อ ยังไม่คิดไกลถึงขนาดแต่งงาน และที่สำคัญ คุณรวิเขาก็มีแฟนแล้ว”
“ว้า เสียดายจัง”
“เรื่องนั้นพ่อรู้แล้ว แต่หนุ่มสาวสมัยนี้เปลี่ยนคู่ควงกันบ่อย คนเป็นแฟนกันก็ใช่ว่าจะต้องลงเอยที่การแต่งงานกันทุกคู่ คุณวิษณุเป็นเพื่อนเก่าที่พ่อรู้จักกันมานาน เขาเป็นคนจริงใจ นิสัยดี พ่อมั่นใจว่าเขาต้องเลี้ยงและอบรมหนูรวิมาอย่างดี ส่วนลูกพ่อเองก็เป็นคนดี มีอนาคตไกล ไม่มีอะไรที่สู้นิมมานไม่ได้”
ดารินอึ้ง “โอ้โห คุณพ่อนี่ข้อมูลแน่นปึกเลยนะคะ รู้แม้กระทั่งชื่อแฟนคุณรวิ แต่รินว่าพี่เทวาสู้ไม่ได้ตรงที่ คุณรวิเขาไม่ได้ชอบพี่เทวาของเราน่ะสิคะ”
“ของแบบนี้มันต้องลอง การทำธุรกิจกับการเอาชนะใจผู้หญิงมันก็คล้ายกันตรงที่ต้องแข่งขันนี่แหละ”
“แต่ผม…”
“เอาล่ะ พูดถึงเรื่องแต่งงานอาจจะไกลไป งั้นถ้าพ่อขอให้แกเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ศึกษานิสัยใจคอของหนูรวิดูก่อน แกคงไม่ขัดข้องใช่ไหม”
เทวาแอบคิดอยู่ในใจว่า ตัวเขาน่ะไม่ขัดข้อง แต่รวิปรียาต่างหากที่จะเปิดโอกาสให้เขาหรือเปล่า
“เพราะถ้าเขาเป็นคนที่เหมาะสมและดีพอสำหรับแก แกก็ควรลงแข่งกับนิมมานเขาหน่อยนะ ตะวันก็จะได้
มีแม่ซะที”
บรมว่า
วันใหม่ บรมพับหนังสือพิมพ์ธุรกิจวางลงบนโต๊ะ
เทวานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน
“เห็นบทวิเคราะห์เรื่องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในหนังสือพิมพ์หรือยัง”
“เห็นแล้วครับ”
“ตอนนี้สถานการณ์การแข่งขันทางธุรกิจเรียลเอสเตทกำลังดุเดือด”
“แต่บริษัทเราก็ยังขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งอยู่นะครับ ทุกวันนี้บริษัทของเราเป็นหนึ่งในไม่กี่รายที่บริหารจัดการงานก่อสร้างด้วยตัวเอง”
“นั่นก็ใช่ แต่อย่าลืมว่าในวงการธุรกิจ มีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นทุกวัน บริษัทอื่นจะแซงหน้าเราไปเมื่อไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะตอนนี้บริษัทใหม่อย่างนิรมิตก็กำลังโตวันโตคืนจนสามารถเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นได้แล้ว”
“นิรมิตสนใจแต่งานรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างพวกโรงแรม ห้างสรรพสินค้า เขาไม่น่าจะเป็นคู่แข่งโดยตรงของเรานะครับคุณพ่อ”
“แต่พ่อรู้มาว่าเขากำลังจะเปิดเกมส์ในธุรกิจอสังหาด้วย งานนี้คุณมิตรส่งนิมมานลูกชายมาคุมส่วนนี้เอง แล้วก็จะทำธุรกิจในรูปแบบครบวงจรเหมือนกับเรา พ่อสังหรณ์ใจว่าเขากำลังเตรียมจะมาชนกับเราแน่ๆ”
“ถ้าเราจะแซงหน้านิรมิตไปให้ไกล เราก็ควรขยายขนาดองค์กรด้วยการควบรวมกิจการกับบริษัทที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับเรานะครับ”
“พ่อก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
ภายในบ้านนิรมิต
นิมมานกำลังถามขึ้นอย่างสงสัย
“ควบรวมกิจการ พ่อหมายถึงสยามเอ็นจิเนียริ่งหรือครับ”
นิมมานกำลังคุยกับมิตรพ่อของเขา
“ใช่ พ่อกำลังสนใจบริษัทของว่าที่พ่อตาแกไง”
“ทำไมครับ”
“ในวงการเรียลเอสเตทมีทั้งเสือ สิงห์ กระทิง แรด ที่อยู่มาก่อนพวกเรามากมาย จะแซงหน้าไปให้ได้ เราต้องก้าวให้เร็วกว่าพวกนั้น แค่รับเหมาก่อสร้าง พัฒนาที่ดิน สร้างที่พักอาศัยมันยังไม่พอ ถ้าจะเรียกว่าครบวงจรจริงเราต้องผลิตชิ้นส่วนคอนกรีต และโครงเหล็กได้เองด้วย”
“คุณพ่อก็เลยจะควบรวมกับสยามเอ็นจิเนียริ่ง”
“อือ”
“แล้วคุณลุงวิษณุเขาจะยอมหรือครับ”
“เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของแก ถ้าแกเป็นลูกเขยเขาอย่างสมบูรณ์ได้เมื่อไหร่ อะไรๆก็จะง่ายขึ้น”
นิมมานพยักหน้าพลางคิดตาม เข้าใจความหมายที่มิตรพูด
ในร้านอาหารโรแมนติกแห่งหนึ่ง บรรยากาศเงียบ วิวสวยงาม มีเสียงดนตรีคลอเบาๆ
พนักงานเลื่อนเก้าอี้ให้รวิปรียานั่งพร้อมๆกับที่นิมมานนั่งลงตรงข้าม
“เราไม่ได้มาร้านนี้กันนานมากแล้วนะคะ”
“สามปีแล้วมั้ง ตั้งแต่ที่เรามาเดทกันครั้งแแรก”
“นี่เราไม่ได้มาเดทกันจริงจังแบบนี้นานเท่าไหร่แล้วน้า 6เดือนได้แล้วมั้ง”
“ก็คุณเอาแต่ทำงานยุ่งตลอด”
“ตั้งแต่ที่คุณไปช่วยงานที่บริษัทคุณพ่อ คุณก็ยุ่งตลอดเหมือนกัน”
“ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ผมต้องเสียรวิให้กับงานแน่ๆ ผมว่า เราควรต้องหาเวลาอยู่ใกล้กันมากกว่านี้”
รวิปรียายิ้มแทนคำตอบ
ในบรรยากาศยามค่ำคืนสวยๆ
ณ จุดชมวิวเมืองเงียบๆ นิมมานกับรวิปรียาเดินจับมือคุยกันมา
“รวิยังจำได้ไหม ตอนที่เราเจอกันครั้งแแรก”
“ตอนรวิไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านเดียวกับคุณ แล้วคุณก็มาขอเบอร์”
“จริงๆตอนนั้นเพื่อนผมเขาปิ๊งคุณ แต่เขาไม่กล้าเข้าไปขอเบอร์ก็เลยใช้ให้ผมไปขอให้”
“จริงเหรอคะ นี่คุณไม่เคยบอกเรื่องนี้กับรวิเลยนะ”
“แต่วันนั้นคุณตอกกลับซะผมหน้าชาเลย คุณบอกว่าคุณไม่ให้เบอร์กับคนแปลกหน้า”
รวิปรียาหัวเราะกับเรื่องเก่าๆ
“แต่รวิก็เจอคุณอีกที่ลานจอดรถ”
“ใช่ ผมช่วยคุณไว้ตอนที่รถคุณยางรั่วไง”
“ช่วยอะไรกันคะ คุณเองก็เปลี่ยนยางไม่เป็นเหมือนกัน”
“อ้าว.. แต่ผมก็รออยู่เป็นเพื่อนคุณจนช่างซ่อมเสร็จนะ”
ทั้งคู่หยุดเดิน นิมมานหันหน้ามาหารวิปรียา
“ถ้าคืนนั้นรถคุณไม่ยางรั่ว ผมคงไม่มีโอกาสได้รู้จักคุณ”
“นี่คุณยังจำเรื่องนี้ได้อีกเหรอคะ”
นิมมานยิ้มล้อๆ
“เปล่าซะหน่อย ผมไม่ได้จำ … แต่ผมไม่เคยลืม”
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน นิมมานเริ่มเข้าเรื่องจริงจัง
“ผมขอบคุณมากนะรวิ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ที่คุณอยู่เคียงข้างผมมาตลอด ขอบคุณที่คุณเป็นคนมีเหตุผล เข้าใจผม และพร้อมจะให้อภัยผมเสมอ คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก และอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับคุณตลอดไป”
นิมมานหยิบกล่องใส่แหวนออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาเปิดกล่องแกะตรงหน้ารวิปรียา มีแหวนเพชรส่องประกายอยู่ข้างใน
“รวิปรียา คุณจะแต่งงานกับผมได้ไหมครับ”
รวิปรียายิ้มออกอย่างมีความสุข
“ค่ะ”
นิมมานยิ้มยื่นมือไป รวิปรียาส่งมือให้นิมมานสวมแหวน
นิมมานดึงเธอเข้ามากอด ทั้งคู่กอดกันนิ่งอยู่ตรงนั้น ในบรรยากาศที่อวลไปด้วยความรัก
ต่อมา ที่ห้องนั่งเล่น บ้านสิริคุณานันท์ มิตร นิมมาน รวิปรียา วิษณุ ยิ้มอย่างอบอุ่นและใจดี
“เมื่อลูกตัดสินใจกันแล้ว พ่อก็ยินดีด้วย” วิษณุบอก
“ผมดีใจนะครับที่คุณวิษณุเห็นดีด้วย ลูกเราก็คบหากันมานาน” มิตรว่า
นิมมานกับรวิปรียา ยิ้มให้กัน
“แล้วนี่วางแผนจะแต่งงานกันเมื่อไหร่” วิษณุถาม
“ปลายปีนี้ครับ ถ้าคุณลุงไม่ขัดข้องอะไร”
“ผมจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอให้ถูกต้องตามธรรมเนียม อีกครั้งนะครับ” มิตรบอก
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกคุณมิตร ผมไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรให้วุ่นวาย ขอแค่ลูกสองคนรักกัน มั่นใจในกันและกัน แค่นั้นก็พอแล้ว” วิษณุหันไปมองนิมมาน “แต่มีแค่อย่างเดียวที่ลุงอยากจะขอนิมมานก็คือ
ขอให้ดูแลรวิให้ดี เขาเป็นลูกสาวคนเดียว เป็นแก้วตาดวงใจของลุง ลุงเลี้ยงเขามาอย่างดี เพื่อให้เขาได้มีชีวิตที่ดีที่สุด”
“ผมสัญญาครับคุณลุง ว่าผมจะดูแลรวิเป็นอย่างดี”
นิมมานยื่นมือไปกุมมือรวิปรียาอย่างมั่นใจ มิตรกับวิษณุ ยิ้มให้กัน
พัชชาแอบดูสถานการณ์อยู่มุมหนึ่ง รับรู้เรื่องราวทั้งหมด หน้าตาบูดบึ้ง
ภายในห้องนอน เพชรพริ้งขว้างปาหมอน และข้าวของในห้องพลางร้องกรี๊ดๆ
พัชชาต้องรีบปราม
“เบาๆหน่อยยัยพริ้ง เดี๋ยวคนในบ้านก็ตกใจหมด”
“ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้คะคุณแม่ ทำไมนังรวิต้องเหนือกว่าพริ้งมาตลอด ตั้งแต่เด็กๆมาแล้ว มันมีพ่อเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ แต่พ่อพริ้งเป็นแค่นักธุรกิจกระจอกที่หวังจะไปขุดทองที่อเมริกา สุดท้ายก็เอาเงินไปลงทุนจนหมดตัว” เพชรพริ้งเขวี้ยงข้าวของต่อ โกรธๆ “มันจบมหาลัยได้เกียรตินิยม กำลังจะเป็นเจ้าสาวของผู้ชายเพอร์เฟ็คอย่างคุณนิมมาน ทำไมมันต้องได้ทุกอย่าง ในขณะที่พริ้งไม่เคยได้อะไรเลย”
พัชชาเข้ามาจับไหล่เพชรพริ้งให้สงบสติอารมณ์แล้วมองหน้าเธอ
“แกสงบสติอารมณ์ก่อนยัยพริ้ง แล้วฟังแม่ เชื่อแม่สิ... ว่างานแต่งงานของสองคนนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้น”
บรรยากาศเช้าตรู่ที่บ้านสวน
อิงอรออกมาใส่บาตรพระสงฆ์ โดยมีจอยยืนอยู่ข้างๆ คอยช่วยส่งกับข้าวให้ พอตักบาตรเสร็จแล้วอิงอรก็นั่งลงพนมมือไหว้รับพร พระสงฆ์เดินจากไป
พออิงอรจะลุกขึ้นก็เกิดอาการหน้ามืดจะเป็นลม เซจะล้มลงอีก แต่จอยเข้ามาประคองไว้ได้ทัน
“คุณอร! คุณอรคะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
ต่อมา ที่ร้านกาแฟของแจน
รวิปรียากำลังคนกาแฟในแก้ว โดยมีมือของแจนเพื่อนสาวตบโต๊ะเร่งเร้า
“เล่ามาเลยๆ ฉันอยากฟังเรื่องเธอเต็มทีแล้ว”
สองสาวกำลังนั่งคุยกันที่โต๊ะในร้านกาแฟ
“เมื่อคืนที่โทร.คุยกัน ยังคุยไม่จบดี เธอก็วางสายหนีซะแล้ว”
“นี่แจน ฉันมาเพราะอยากกินกาแฟ ไม่ได้อยากเมาท์”
“แต่เมื่อเธอมากินกาแฟร้านฉัน เธอต้องเล่ามาให้หมด”
“ก็ไม่มีอะไร”
แจนมองเห็นแหวนหมั้นจากนิมมานที่นิ้วมือข้างซ้ายของรวิปรียา “โอ๊ะๆๆๆ แหวนเพชรเม็ดใหญ่กระแทกตาขนาดนี้ ยังบอกว่าไม่มีอะไรอีก”
“ฉันกับนิมมานก็คบกันมาสามปีกว่าแล้วนะ เขาคงเห็นว่ามันสมควรแก่เวลา”
“ก็เลยคุกเข่าขอเธอแต่งงาน” แจนบอก
“ไม่ถึงขนาดนั้น”
“ว่าแต่เธอมั่นใจแล้วเหรอ กับคุณนิมมานน่ะ”
“ถ้าไม่มั่นใจในตัวนิมมาน ก็คงไม่มีผู้ชายคนไหนที่ฉันมั่นใจแล้วล่ะ”
“ฉันดีใจกับเธอด้วยนะรวิ งั้นค่ากาแฟถ้วยนี้ไม่ต้องจ่าย ถือว่าฉันเลี้ยงฉลองแสดงความยินดีให้เพื่อนรัก”
“เลี้ยงฉลอง? แค่กาแฟเนี่ยนะ”
“ก็ร้านฉันขายกาแฟ แล้วแกจะให้ฉันเลี้ยงอย่างอื่นได้ไง อ๊ะ เดี๋ยวแถมเค้กให้ชิ้นหนึ่ง เออ แล้วเรื่องอุบัติเหตุที่ไซต์ก่อสร้างล่ะ ตกลงว่าเป็นไง”
“ก็เห็นอยู่นี่ ขาฉันหายแล้ว”
“ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องขาเธอ ฉันอยากรู้เรื่องผู้ชายที่สั่งให้เธอไปที่ไซต์งาน แล้วก็เป็นคนที่ช่วยเธอไว้ด้วยน่ะเขาหล่อไหม”
รวิปรียาไม่อยากตอบเต็มเสียง “อือ”
“แล้วตอนนั้นเธอรู้สึกยังไงบ้าง มีแก้มชนแก้มอะไรแบบนี้บ้างไหม”
“นี่ถามอะไรของเธอเนี่ยแจน”
“เธอนี่น่าอิจฉาจังเลย ชีวิตเจอแต่เรื่องโรแมนติกอ้ะ”
“จะบ้าเหรอ โรแมนติกอะไรกัน นี่ฉันต้องเจ็บตัวเพราะนายนั่นนะ แล้วอีกอย่างฉันก็มีแฟนอยู่แล้วด้วยย่ะ ไม่เอาล่ะเลิกคุยได้แล้ว ฉันไปทำงานดีกว่า”
รวิปรียาลุกขึ้นจากโต๊ะ แต่แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองชนเข้ากับใครบางคนที่เพิ่งเดินมาพอดี
“ขอโทษครับ”
มือใครคนนั้นจับแขนรวิปรียาเอาไว้ รวิปรียาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องแปลกใจอีก เมื่อพบว่าเป็น..เทวา
เธอตาโตตกใจ ไม่คาดคิดว่าจะเจอ เทวาเห็นรวิปรียาก็แปลกใจเช่นกัน
“นี่คุณ”
“คุณอีกแล้วเหรอ”
เทวาปล่อยมือจากแขนของรวิปรียา แจนกลับลุกขึ้นทักทายเทวาอย่างสนิทสนม
“คุณเทวาสวัสดีค่ะ” แจนชี้นิ้วไปที่ทั้งคู่ “เอ่อ แล้วนี่ ... รู้จักกันแล้วเหรอคะ”
“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่”
“ผมกำลังจะไปรับตะวันที่โรงเรียน แล้วร้านนี้เป็นทางผ่าน ผมแวะมาร้านนี้บ่อยเพราะตะวันเค้าชอบกินเค้กร้านนี้”
รวิปรียาพูดขมุบขมิบ “ก็รู้จักใส่ใจลูกด้วยเหมือนกันนี่”
“ใช่ คุณเทวาเป็นลูกค้าประจำที่ร้านฉันเอง แล้วนี่รู้จักกันได้ยังไงคะ”
“พรหมลิขิตมังครับ” เทวาพูดแล้วเหล่มองริปรียา ยิ้มๆ
“รวิเขาเป็นเพื่อนแจนตั้งแต่เรียนมหาลัยน่ะค่ะ ตอนนี้เขาเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่
แล้วก็ ... กำลังจะเป็นเจ้าสาวเร็วๆนี้ด้วย”
เทวาหน้าเจื่อนลง แต่พยายามทำตัวให้เป็นปกติ สายตาเขามองเห็นแหวนหมั้นที่นิ้วนางของรวิปรียา แล้วมองหน้ารวิปรียานิ่งเหมือนทั้งคู่ไม่รู้จะพูดอะไร เสียงโทรศัพท์รวิปรียาดังขึ้นขัดจังหวะสนทนา เธอกดรับสาย
“จ้า ว่าไงจ๊ะจอย …... ว่าไงนะ” เธอฟังเสียงปลายสายแล้วสีหน้าไม่ดี “ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” เธอรีบหันไปบอกแจน “ฉันไปก่อนนะแจน”
รวิปรียาคว้ากระเป๋าออกไปอย่างรีบร้อน โดยไม่ได้ลาเทวา
“อ้าว รวิ จะรีบไปไหนล่ะ”
เทวามองตามหลังรวิปรียาออกไป เศร้าๆ เสียดายอยู่ลึกๆ
ต่อมาที่บ้านสวน
รวิปรียานั่งอยู่ข้างอิงอรที่กำลังนอนพักอยู่ตรงกลางพื้นชานบ้าน เธอกุมมืออิงอร สีหน้าห่วงใย
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น แม่ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”
“คุณแม่เป็นลมบ่อยๆแบบนี้ ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก ไปหาหมอกันเถอะค่ะ”
“ไปหาหมอ หมอก็พูดเหมือนเดิม แม่รู้ตัวเองดี คนเป็นความดันสูงพอมีเรื่องให้เป็นกังวล ความดันมันก็ขึ้นแบบนี้แหละ”
“จอยบอกว่า คุณแม่ไม่ค่อยยอมพักผ่อนตามที่คุณหมอสั่ง”
“แม่นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
“คุณแม่ต้องระวังสุขภาพด้วยนะคะ ยิ่งมาอยู่ที่นี่คนเดียวแบบนี้ รวิเป็นห่วง”
อิงอรยิ้มให้รวิปรียาสบายใจ
ฝ่ายเทวายังนั่งคุยกับแจนต่อในร้านกาแฟ แจนร้องอ๋อขึ้นมาเมื่อฟังเรื่องจากเทวาจบ
“เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็คุณเทวานี่เองที่เป็นคนสั่งให้รวิไปไซต์งานจนขาเจ็บ”
“เรื่องนั้น คือผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่เลยครับ”
“โอย เรื่องมันผ่านไปแล้วอย่าคิดมากเลยค่ะ ยัยรวิเองเขาก็ไม่ได้โกรธอะไรคุณแล้ว รวิเขาเป็นคนมีเหตุผลค่ะ”
“แต่แฟนเขาท่าทางจะโกรธผมมาก”
“คุณนิมมานน่ะเหรอคะ” แจนมีสีหน้าออกชัดมากว่าไม่ปลื้มแฟนเพื่อนเท่าไหร่ “ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอกค่ะ”
“คุณรวิกับคุณนิมมานเขากำลังจะแต่งงานกันเหรอครับ”
“ค่ะ เขาเพิ่งตบปากรับคำกันไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง แหม..นี่ถ้ารู้ก่อน แจนคงห้ามเพื่อนไปแล้ว เสียดาย..ตอนนี้จะทำอะไรก็ไม่ทันซะแล้ว”
“ท่าทางคุณแจนดูไม่ค่อยชอบคุณนิมมานเท่าไหร่”
“เรียกว่าไม่ถูกชะตาดีกว่าค่ะ แต่ก็ยอมรับนะคะว่าคุณนิมมานเขารักยัยรวิจริง ทั้งที่มีสาวๆมากมายมาให้ท่าเขาก็ไม่เคยสนใจ”
“งั้นคุณแจนจะห่วงเรื่องอะไรล่ะครับ”
“ก็บอกไม่ถูกอ่ะค่ะ มันเป็นเซนส์ส่วนตัว ตั้งแต่ที่แจนรู้จักเขามา แจนรู้สึกกว่าเขาแปลกๆ ไม่น่าไว้ใจ สักวันเขาอาจทำให้ยัยรวิเสียใจ”
เทวาคิดตามที่แจนพูด ในใจยังเสียดายรวิปรียาอยู่
ภายใน บ้านสิริคุณานันท์ เด็กรับใช้กำลังคุยโทรศัพท์บ้านอยู่กับรวิปรียา
“ได้ค่ะ คุณรวิ สวัสดีค่ะ”
เด็กรับใช้วางหูโทรศัพท์ลง แต่พอหันกลับมาก็ต้องตกใจเพราะพัชชามายืนขวางไว้ทันที
“ใครโทร.มา”
“คุณรวิค่ะ โทร.มาบอกว่าคืนนี้จะค้างที่บ้านสวน”
พัชชาเริ่มมีแผนในใจ “งั้นเหรอ”
คืนเดียวกัน วิษณุอยู่ในชุดที่เตรียมจะออกไปดินเนอร์นอกบ้าน คุยโทรศัพท์กับรวิปรียา
“แล้วแม่เขาเป็นยังไงบ้างลูก........ ถ้าไม่เป็นอะไรมากพ่อก็ค่อยสบายใจหน่อย......ที่จริงพ่อก็อยากไปดูแม่เขานะ แต่ว่า...”
พัชชาเดินเข้ามาในห้อง อยู่ในชุดสวยเพื่อไปข้างนอกเหมือนกัน
“คุณพี่คะ พัชพร้อมแล้วค่ะ”
“ แค่นี้ก่อนนะลูก … พัช คืนนี้เรายกเลิกไปก่อนดีไหม”
“ทำไมล่ะคะ”
“พรุ่งนี้ผมว่าจะไปบ้านสวนแต่เช้า จะไปเยี่ยมอิงอรเขาซะหน่อย”
พัชชาทำเสียงเรียบนิ่ง แต่แอบบังคับอยู่ในที “ไม่ได้ค่ะ กว่าพัชจะจองโต๊ะที่ร้านนี้ได้ไม่ใช่ง่ายๆนะคะคุณพี่ แล้วเราก็จองกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว ตอนนี้ไม่ได้มีแค่คุณอรคนเดียวนะคะที่ไม่สบาย อาการลูกพริ้งก็ไม่ค่อยดีเหมือนกัน คุณพี่น่าจะสนใจพริ้งบ้าง”
เพชรพริ้งสีหน้าดูไม่ค่อยดีขณะที่เดินออกมาสมทบ
“พริ้งเป็นอะไร”
“พริ้งแค่ปวดท้องนิดหน่อยน่ะค่ะ คุณลุง สงสัยจะโรคกระเพาะกำเริบ”
“พริ้ง ออกมาทำไมล่ะลูก ทำไมไม่นอนพัก”
“พริ้งจะมาหายาทานน่ะค่ะคุณแม่”
“มีอะไรก็รีบโทรหาแม่ด่วนเลยนะ”
“ค่ะ”
รวิปรียานั่งคุยกับอิงอรขณะที่นั่งเฝ้าอาการของแม่ อิงอรจับมือลูกขึ้นมาดูแหวน แล้วบีบมือรวิให้กำลังใจ
“แม่ดีใจนะรวิ ถ้าลูกเป็นฝั่งเป็นฝากับนิมมานจริงๆ แม่ก็จะได้เบาใจซะที”
“คุณแม่เห็นด้วยใช่ไหมคะ”
“แม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของลูกทุกเรื่องจ้ะ นิมมานเขารักลูกมาก แล้วก็มีหน้าที่การงานที่ดี แม่เชื่อว่าเขาดูแลลูกได้”
รวิปรียายิ้มรับ
ต่อเนื่องมา ... พัชชากับวิษณุมาดินเนอร์กันในร้านอาหารหรู ขณะที่กำลังทานอาหารกัน เพชรพริ้งดูกระสับกระส่าย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“เป็นอะไรน่ะพัช เป็นห่วงลูกเหรอ”
“ค่ะ ป่านนี้ไม่รู้ยัยพริ้งจะเป็นยังไงบ้าง พัชโทรไปถามอาการลูกหน่อยดีกว่า เดี๋ยวพัชมานะคะ”
พัชชาหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วลุกออกไป
พัชชาเดินไปเดินมารอคนทางปลายสายกดรับ ไม่นานนักก็มีเสียงคนตอบ เป็นเสียงของนิมมาน
“ฮัลโหล”
“คุณนิมมานหรือคะ นี่อาเองนะ”
นิมมานคุยโทรศัพท์กับพัชชาอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
“ มีอะไรหรือครับคุณอา”
พัชชาท่าทางกังวลใจ
“อามีเรื่องจะขอให้คุณนิมมานช่วย ตอนนี้เพชรพริ้งเขาไม่สบายหนักมากแล้วก็อยู่ที่บ้านคนเดียว เมื่อกี๊อาโทร.ไปเขาก็ไม่รับสาย อากลัวว่าเขาจะเป็นอะไรมากจนหมดสติไปแล้ว นี่อากับคุณวิษณุออกมาทำธุระข้างนอก ยังปลีกตัวกลับไปไม่ได้ รวิเขาก็ไม่อยู่ อาไม่รู้จะทำยังไงก็เลยนึกถึงคุณขึ้นมา”
“แล้วคุณอาจะให้ผมช่วยยังไงครับ”
“อาอยากให้คุณช่วยไปดูลูกพริ้งให้อาหน่อย แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเอง ถ้าเขาไม่เป็นไรก็แล้วไป แต่ถ้าเห็นว่าอาการหนัก อาก็รบกวนคุณนิมมานพาพริ้งไปโรงพยาบาลก่อน”
“แต่นี่มันดึกแล้ว”
“ตอนนี้มีแต่คุณนิมมานเท่านั้นที่อาพอจะพึ่งได้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆอาก็คงไม่โทร.รบกวนคุณแบบนี้ ยังไงเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว คุณนิมมานคงจะไม่ใจดำปล่อยให้น้องสาวของรวิต้องเป็นอะไรไปหรอกใช่ไหม”
นิมมานกดวางสายไปแล้วแต่ยังครุ่นคิด แล้วก็ตัดสินใจออกจากบ้านไป
พัชชายังยืนอยู่ที่เดิม ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผลจะออกเป็นอย่างไร
“ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับลูกแล้วนะพริ้ง”
อ่านต่อตอนที่ 4
#ใจลวง #thaich8 #ละครออนไลน์