ใจลวง ตอนที่ 1
เท้าคู่หนึ่งกำลังเดินอย่างช้าๆ บนดาดฟ้าของคอนโดฯ
เท้านั้นก้าวประมาณ 5-6 ก้าวแล้วหยุดนิ่ง
พศินยืนคว้างอยู่ตามลำพัง อยู่บนตึกสูงระฟ้า เบื้องหน้าเป็นขอบตึก
สายตาเขาเหม่อลอย ซึมเศร้า
"ดา.. นี่คงเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ผมจะเขียนถึงคุณ"
"ผมรู้ว่าผมมันอ่อนแอ ขี้ขลาด ที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดความจริงกับคุณ"
ดาวิกา เปิดประตูเข้ามาในห้องพักของพศิน แต่ในห้องว่างเปล่าไม่มีคนอยู่ มีเพียงจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เธอเปิดจดหมายออกอ่าน
"เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน มันเป็นเพราะความอ่อนแอของผมเอง การได้มีคนที่ดีที่สุดอย่างคุณมารัก มันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมแต่คนอย่างผมมันไม่มีค่าพอที่จะได้รับความรักจากคุณ"
บนดาดฟ้าคอนโดฯ พศินเหมือนมีปัญหาบางอย่างในจิตใจที่หาทางออกไม่ได้
"ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมพยายามลืมผู้หญิงคนนั้นเพื่อที่จะรักคุณ แต่ผมก็ทำไม่ได้ ทุกครั้งที่ผมจะลืมเขา เขาก็กลับเข้ามาในชีวิตผมเพื่อทำให้ผมคลั่ง"
ดาวิกาอ่านจดหมายฉบับนั้น ดวงตาฉายแววเจ็บปวด
"ผมผิดเอง...ผมอ่อนแอเกินไปที่จะตัดเขาออกจากชีวิต และผมก็รู้สึกผิดเกินกว่าจะจับมือคุณแล้วเริ่มต้นสร้างครอบครัวไปด้วยกัน"
บนดาดฟ้า พศินน้ำตาคลอ รู้สึกสับสน เจ็บปวด และสำนึกผิด
“ผมสับสนมาก ผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง เพราะจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่สามารถหยุดรักผู้หญิงคนนั้นได้”
ดาวิกาอ่านจดหมายด้วยอารมณ์ตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผู้หญิงที่ทำให้ผมแทบเป็นบ้าด้วยความรักที่ผมมีให้เขา ผู้หญิงที่ทำให้ผมอยากจะตายเพราะความเจ็บปวดจากเขา”
พศินน้ำตาไหล แล้วค่อยๆก้าวเดินเข้าไปใกล้กำแพงดาดฟ้ามากขึึ้นเรื่อยๆ
“ผมต้องการให้เรื่องนี้มันจบซะที เมื่อผมสร้างมันขึ้นมาเอง ผมก็จะจบมันด้วยตัวของผมเอง”
พศินเดินมาถึงขอบตึก หยุดนิ่ง
“นี่คือทางออกสุดท้ายของผม ทางเดียวที่จะทำให้ผมไม่ต้องเฝ้ารอผู้หญิงคนนั้นอย่างเจ็บปวดอีก และผม..ก็จะไม่ทำให้คุณต้องเสียใจอีกต่อไป”
พศินทิ้งตัวลงจากขอบตึก
ดาวิกาอ่านจดหมายวรรคสุดท้ายจบลง ปล่อยจดหมายปลิวร่วงหล่นจากมือสู่พื้น ขณะที่พศินลอยลงจากดาดฟ้าคอนโด เมื่อกระดาษจดหมายถึงพื้นนอนแน่นิ่งอยู่ ดาวิกาตื่นตระหนก เข้าใจเนื้อความ ก่อนที่จะรีบวิ่งออกจากห้องไป จดหมายลาของพศินยังแน่นิ่งอยู่ที่พื้น
ดาวิกาวิ่งขึ้นมาถึงดาดฟ้า แต่ไม่พบใครอยู่ที่นั่น เบื้องหน้าเธอมีแต่ความว่างเปล่า เสียงพศินยังก้องในใจ
“ลืมผมซะเถอะนะดา ยกโทษให้ผมด้วย ลาก่อน”
ดาวิกาเหมือนยืนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ ก่อนร้องก้องตะโกนเสียงดังไปทั่วบริเวณ
“พศิน”
ร่างพศินนอนตายเลือดไหลนองพื้นที่ด้านหน้าอาคารคอนโด ฝูงชนทยอยมามุงดูจากไม่มีกี่คนจนเต็มแน่นไปหมด รวิปรียาแหวกฝูงชนเข้ามาหน้าตาตื่นตระหนก ยื่นนิ่งมองภาพตรงหน้า ทุกอย่างดูเงียบวังเวง พอเห็นชัดเจนว่าเป็นร่างพศิน เธอก็ตาลุกโพลงหวีดร้อง
“พศิน!”
รวิปรียาถลาเข้าไปทรุดลงนั่งเขย่าแขนเขา พร้อมตะโกนเรียกชื่อพศิน น้ำตานองหน้า ก่อนจะโอบประคองศีรษะของเขาขึ้นมากอดแนบอก แล้วร้องไห้แทบขาดใจ
เป็นเวลาเดียวกับที่ดาวิกาเพิ่งวิ่งออกมาจากตึก เมื่อเห็นร่างพศิน เธอก็หยุดชะงัก ช็อก ดาวิกามองร่างพศิน ที่รวิปรียากำลังโอบกอดเรียกชื่ออย่างเจ็บปวด หัวใจสลาย แล้วความเจ็บปวดก็กลายเป็นความโกรธแค้น เธอหันไปมองทางรวิปรียา
รวิปรียากำลังร้องไห้ น้ำตาไหล หมดแรง โดยที่เธอไม่ได้สังเกตเห็นดาวิกาเลย
“พศิน ทำไมทำแบบนี้ ทำไมไม่รอเราก่อน”
ท่ามกลางผู้คนมุงดูศพ สายตาของดาวิกามองรวิปรียาอย่างเคียดแค้นชิงชัง เพราะคิดว่ารวิปรียาคือผู้หญิงในจดหมายคนที่ทำให้พศินคิดสั้น
5ปีต่อมา ที่บ้านบริรักษ์ ในห้องนอน ตอนกลางวัน
เทวากำลังโกนหนวดบนบริเวณใบหน้า ใบหน้าช่วงคางที่มีโฟมขาวปกปิดอยู่ มีดโกนหนวดค่อยๆปาดลงบนผิวหน้า เทวารองน้ำจากก๊อกล้างหน้า แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามใบหน้าลำคอ
ที่ประตูตู้เสื้อผ้า เทวายืนหันหลัง แผ่นหลังเปลือยเปล่า เขาเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก นำเสื้อผ้ามาสวมใส่
เสียงโทรศัพท์มือถือของเทวาดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย
“ว่าไงดา”
บรรยากาศยามกลางคืน กรุงนิวยอร์ก
ดาวิกา นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องพัก ใต้แสงไฟสลัวรางหม่นๆ
ในมือของดาวิกามีภาพถ่ายเก่าๆ หลายใบ เป็นภาพคู่ระหว่างเธอกับพศิน ที่เคยถ่ายด้วยกันเมื่อ 5 ปีก่อน ดาวิกานั่งจ้องภาพนั้น ดวงตาสั่นไหว อารมณ์ไม่มั่นคง ขณะที่มือถือโทรศัพท์โทรหาเทวา
“พี่เทวา ทำอะไรอยู่คะ”
เทวามีน้ำเสียงปกติ
“พี่กำลังจะออกไปซื้อของขวัญให้คุณพ่อน่ะ ดาโทร. มาพอดี อยากฝากซื้ออะไรไหม”
“ของขวัญให้คุณพ่อ?”
“ก็วันนี้วันเกิดคุณพ่อไง คืนนี้เราจะจัดงานฉลองกัน พี่บอกดาไปเมื่อคราวก่อนแล้วนี่”
“จริงด้วยสิคะ ดาลืมสนิทเลยค่ะ”
เทวาเริ่มกังวลใจอีก
“ดา.. นี่ดาไม่มีสมาธิอีกแล้วสินะ เมื่อไหร่ดาจะกลับมาเป็นดาคนเดิมซะที”
“ดาขอโทษค่ะพี่เทวา ดาขอโทษ ดาผิดเอง”
“ไม่ต้องขอโทษ นี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย พี่ก็แค่เป็นห่วงดาเท่านั้นเอง แล้วนี่ทำอะไรอยู่”
“นั่งดูรูปเก่าๆค่ะ”
“รูปใคร? รูปพศินอีกแล้วหรือเปล่า”
ดาวิกาเริ่มฉุนเฉียว กระวนกระวาย
“พี่เทวาคะ ดาจะทำยังไงดี ดานอนไม่หลับ หยุดคิดเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ ทำไม? ทำไมต้องเป็นดาด้วย ทำไมพศินต้องตาย แล้วนี่.. ทั้งที่วันนี้เป็นวันเกิดคุณพ่อ แต่ทำไมดาถึงต้องมาอยู่ที่นี่คนเดียว”
เทวาพยายามใจเย็น ควบคุมสถานการณ์
“ดาอยากกลับมาไหมล่ะ เดี๋ยวพี่ให้คนจองตั๋วให้ด่วนเลย อย่างเร็วก็น่าจะมาถึงพรุ่งนี้ ก็ยังทันได้อวยพรวันเกิดคุณพ่อ”
“ดากลับไปไม่ได้ค่ะ ถ้าดากลับไป ดาก็จะนึกถึงพศิน”
“ดา...นี่มันห้าปีแล้วนะ ที่พี่ให้ดาไปอยู่อเมริกา ก็เพื่อให้ดาได้เริ่มต้นใหม่ซะที”
ดาวิกาเสียงดังขึ้น
“แต่ดาทำไม่ได้ ดาพยายามแล้ว แต่ดาทำไม่ได้ ! ดาเกลียดทุกอย่างที่อยู่ในความทรงจำของดา โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้น ดาจะไม่มีวันลืมเลยว่าเขาทำอะไรไว้ ดาเกลียดมัน!”
ในมือดาวิกาเป็นภาพของพศินถ่ายคู่กับรวิปรียา
ณ สุสานคริสต์แห่งหนึ่ง
รวิปรียาในวัย 27 ปี กำลังเดินเข้ามาที่เจดีย์ สำหรับเก็บอัฐิคนตาย เธอเดินมาหยุดตรงหน้าชองหนึ่ง
ที่เก็บอัฐิตรงหน้ารวิปรียา มีภาพถ่ายของพศิน พร้อมวันที่เกิดและตาย
เธอยืนมองภาพถ่ายนิ่งๆ พูดคุยเหมือนกำลังคุยให้เพื่อนสนิทฟัง
“เมื่อคืนเรานอนไม่หลับเลยพศิน เพราะเอาแต่ฝันถึงเรื่องเก่าๆ วันนี้เราก็เลยต้องมาเยี่ยมเธอที่นี่”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ ดวงตาเธอก็เริ่มเศร้าสร้อยรู้สึกผิด
“ขอโทษนะพศิน เราขอโทษจริงๆ”
เทวา กำลังเดินลงบันไดมาจากชั้นบนของบ้าน ยังคงพูดสายกับดาวิกาอยู่
“ดา ใจเย็นๆ แล้วฟังพี่นะ เก็บรูปพวกนั้นไปให้หมด สงบสติอารมณ์ แล้วก็โทร. ไปอวยพรวันเกิดคุณพ่อด้วยตัวเอง”
ฝ่ายดาวิกา เริ่มเย็นลง เหมือนฟังเทวามาสักพักแล้ว
“ค่ะ พี่เทวา”
ดาวิกายอมทำตามที่เทวาบอก เธอเก็บภาพถ่ายทั้งหมดใส่กล่อง ล็อคกุญแจ เสียงเทวาทางปลายสายยังคงดังมา
“พี่เชื่อว่าถ้าได้คุยกับคุณพ่อแล้วดาจะรู้สึกดีขึ้น”
“ค่ะ” ดาวิกาหน้ายังคงเศร้า
เทวากำลังเดินลงมาจากบันไดกลางบ้าน
“พวกเราทุกคนคิดถึงดานะ ดาต้องรักตัวเองให้มากๆ เข้าใจไหม แล้วก็อย่าลืมโทรหาคุณพ่อล่ะ”
“ค่ะ”
เทวากดวางสาย เมื่อมาถึงชั้นล่างของบ้านพอดี เจอกับดารินที่ยืนถือชุดเดรสของเด็กอยู่ในมือ เธอกำลังมองหาตะวัน
“พี่เทวา เห็นตะวันไหมคะ”
“พี่กำลังจะถามประโยคเดียวกันนี่แหละ วันนี้พี่ยังไม่เจอหน้าลูกสาวตัวดีเลย”
“ไปไหนของเขา”
“คงจะไปเล่นซ่อนหาให้พวกพี่เลี้ยงตามหาอีกตามเคย”
“นี่รินซื้อชุดใหม่มาให้ตะวันใส่ไปงานเลี้ยงคืนนี้ ว่าจะให้ลองใส่ซะหน่อย”
ดารินพูดพลางคลี่ชุดเดรสตัวน้อยในมือออกมาโชว์ให้เทวาดู
“เป็นไงคะ น่ารักไหม”
“อย่าบอกนะว่าจะพาตะวันจะไปงานเลี้ยงคืนนี้ด้วย”
“ก็ใช่น่ะสิคะ”
“แต่นี่เป็นงานของผู้ใหญ่ กว่างานเลี้ยงจะเลิกก็เลยเวลานอนของตะวันแล้ว”
“แหม พี่เทวา นานๆบ้านเราจะมีงานเลี้ยงทั้งที ตะวันเข้านอนเลยเวลาสักวันคงไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่ได้ ยังไงพี่ก็ไม่ให้ไป”
เสียงบรมดังแทรกขึ้นจากมุมหนึ่ง
“แต่พ่อให้ไป”
ทุกคนหันไปมองตามที่มาของเสียง
บรมเดินลงมาจากชั้นบน
“นี่มันเป็นงานวันเกิดพ่อนะ แล้วพ่อก็มีหลานอยู่แค่คนเดียว ตะวันเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของบริรักษ์ จะพลาดงานคืนนี้ได้ยังไง”
ดารินยิ้มชอบใจที่พ่ออยู่ข้างเดียวกับเธอ เทวาส่ายหน้า รู้ว่าใครๆก็เอาใจตะวัน งานนี้เขาจำเป็นต้องยอม
“งั้นก็แล้วแต่คุณพ่อครับ”
“แล้วนี่พี่เทวาจะไปข้างนอกหรือคะ”
“ว่าจะไปหาซื้อของขวัญให้สาวๆหน่อย”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี อ้างสาวๆให้พ่อแอบดีใจ” บรมบอก
“คุณพ่อเขาอยากให้ตะวันมีแม่เต็มทีแล้วค่ะพี่เทวา คืนนี้ในงานเลี้ยง พี่คงต้องคว้าให้ได้สักคนแล้วล่ะ”
เทวาผลักหัวน้องสาวเบาๆแบบเอ็นดู สนิทสนม “ไร้สาระขึ้นทุกวัน ยัยน้องคนนี้”
บรมกับดารินหัวเราะกัน เสียงโทรศัพท์ของบรมดังขึ้น บรมหยิบขึ้นมาดู
“ยัยดาโทรมา” บรมกดรับสาย “ว่าไงลูกดา...... ขอบใจมากลูก...... ไม่เป็นไร แค่โทร.มาพ่อก็ดีใจแล้ว”
ดารินเอี้ยวตัวไปกรอกเสียงใส่โทรศัพท์บรม
“พี่ดา.. เสียดายจังเลย ที่คืนนี้พี่ดาไม่ได้อยู่ฉลองกับพวกเรา เพราะคืนนี้เจ้าชายเทวา เขาจะเลือกซินเดอเรลล่ามาเป็นสะใภ้บ้านเราด้วยล่ะค่ะ”
เทวามองภาพที่บรมคุยกับดาวิกาอย่างนึกโล่งใจ ที่ดาวิกายอมทำตามที่เขาบอก
รถของเทวาเคลื่อนออกจากที่จอดรถ ผ่านประตูรั้วบ้านบริรักษ์ออกไป
เทวาขับรถอยู่ ในจังหวะที่เขามองกระจกส่องหลัง ถึงกับต้องชะงักแปลกใจ เพราะภาพสะท้อนจากทางกระจกส่องหลัง มีมือเด็กค่อยๆชูตุ๊กตาหมาน้อยขึ้นมาก่อน จากนั้นเด็กผู้หญิงตัวน้อยจึงค่อยๆโผล่หน้าขึ้นมาจากพื้นหลังเบาะ พร้อมกับเอานิ้วจุ๊ปาก
“จุ๊ๆๆ” ก่อนเอามือโบกไล่ให้ขับต่อไป
เทวางงๆ ขำๆ แต่ก็ทำตามที่บอก
“ลูกมาอยู่บนรถได้ยังไง”
ตะวันลุกขึ้นมานั่งที่เบาะ
“ตะวันก็เปิดประตูรถ แล้วก็ขึ้นมารอคุณพ่อน่ะสิคะ”
“ร้ายจริงๆนะเราเนี่ย ปล่อยให้พี่จ๊ะเอ๋เขาตามหาซะทั่วบ้านเลยรู้หรือเปล่า”
ตะวันหัวเราะคิกคักสนุก จัดแจงเอามือดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดตัวเสร็จสรรพ กลัวพ่อไม่ให้ไป
“ตะวันอยากไปซื้อของขวัญให้คุณปู่ค่ะ คุณพ่อพาตะวันไปซื้อหน่อยนะคะ”
“จะซื้อของขวัญให้คุณปู่? แล้วรู้หรือยังว่าจะซื้ออะไร”
“รู้แล้วค่ะ แต่ยังไม่บอก”
เทวาส่ายหน้าเอ็นดู
“อะไรกัน มีไม่บอกด้วย”
ตะวันทำหน้าลอยไปลอยมา ทำไม่รู้ไม่ชี้
“จริงๆเลยลูกคนนี้”
เทวา กดโทรศัพท์ออกหาดาริน สักพักก็ได้ยินเสียงดารินรับสาย
“ว่าไงคะพี่เทวา”
“พี่จะโทร. มาบอกว่า ตอนนี้ตะวันอยู่กับพี่เอง ….. เดี๋ยวพี่จะพาลูกไปซื้อของข้างนอก …. ไม่ต้องเป็นห่วงนะ …... โอเคจ้ะ”
เทวากดวางสาย มองกระจกหลังไปที่ตะวันซึ่งกำลังเล่นกับตุ๊กตาหมาน้อยเพลินแล้ว
รถของเทวาแล่นผ่านพ้นประตูรั้วบ้านไป
รวิปรียากำลังเดินจะกลับไปที่รถ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดี รวิปรียาหยิบขึ้นมาดู เห็นว่า “พ่อ” โทรเข้ามา
รวิปรียากดรับสาย
“ค่ะ คุณพ่อ”
ภายในห้องนั่งเล่น บ้านสิริคุณานันท์
วิษณุ กำลังโทรคุยกับรวิปรียา
“นี่ลูกไปไหนแต่เช้าหรือรวิ”
“รวิออกมาธุระข้างนอกน่ะค่ะ”
“มิน่าล่ะ พ่อมองหาทั่วบ้านแล้วไม่เห็น”
“คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พ่อจะโทรมาเตือนเรื่องงานเลี้ยงวันเกิดคุณบรมคืนนี้ อย่าลืมว่ารวิต้องไปงานนี้กับพ่อด้วยนะ”
พัชชาที่กำลังเดินจะเข้ามาในห้องนั่งเล่น ได้ยินประโยคนั้นของวิษณุเข้าพอดี เธอชะงัก หยุดฟัง
“คุณบรมเขาเป็นเจ้าของบริรักษ์คอนสตรัคชั่น ถึงวันนี้จะยังไม่ใช่คู่ค้าธุรกิจกับเรา แต่เราก็ควรไปร่วมแสดงความยินดีกับเขา”
พัชชาได้ยินดังนั้น สีหน้าก็แสดงอาการหมั่นไส้ออกมาอย่างปิดบังไม่มิด
รวิปรียาบอกวิษณุ
“ค่ะคุณพ่อ รวิไม่ลืมหรอกค่ะ นี่รวิก็กำลังเตรียมไปหาของขวัญสำหรับงานนี้อยู่พอดี”
“ดีมากลูก งั้นเดี๋ยวเจอกันที่บ้านนะ”
วิษณุกดวางสายโทรศัพท์จากรวิปรียา พัชชาปรี่ตรงมานั่งข้างๆ
“เย็นนี้คุณพี่จะไปงานเลี้ยงหรือคะ”
“ใช่”
“แหม..ไม่เห็นคุณพี่ชวนพัชบ้างเลย”
“งานนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดก็จริงนะพัช แต่พี่กับรวิไปก็เผื่อจะสร้างสัมพันธ์ต่อยอดทำธุรกิจในอนาคต พัชไปก็จะเบื่อซะเปล่าๆ”
“พัชเข้าใจค่ะคุณพี่ ก็แค่แหย่เล่นไปอย่างนั้นเอง”
พัชชายิ้มหวานเหมือนเข้าใจดี วิษณุยิ้มน้อยๆตอบก่อนจะจิบกาแฟ พัชชาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ต่อมา รวิปรียาเปิดประตูเข้ามาในร้านดอกไม้แห่งหนึ่ง
รวิปรียากำลังเดินเลือกดอกไม้
ที่หน้าร้าน ตะวันคุยเจื้อยแจ้วกับเทวา ขณะเดียวกันก็เดินตรงมาทางร้านดอกไม้ ตะวันยังคงอุ้มตุ๊กตาหมาด้วยตลอดเวลา
“ตะวันจะซื้อดอกไม้เป็นของขวัญให้คุณปู่ แล้วก็มีการ์ดที่ตะวันวาดเองด้วย”
“มีการ์ดด้วย อยากรู้จังว่าลูกสาวพ่อจะวาดรูปอะไร”
“รูปโกโก้ค่ะ” ตะวันตอบพลางโชว์ตุ๊กตาหมาขึ้นมาให้ดู
เทวาหัวเราะเบาๆ ในความน่าเอ็นดู ความช่างคิดของลูกสาว ก่อนที่จะจูงมือลูกสาวผ่านประตูร้านดอกไม้เข้าไป
เมื่อเข้ามาในร้าน สายตาของเทวาปะทะเข้ากับภาพที่รวิปรียากำลังเดินเลือกชมดอกไม้อยู่ก่อนแล้ว
รวิปรียาดูสวยสดใส ยิ้มเบาๆเมื่อเห็นดอกไม้ที่ถูกใจ แล้วก้มลงสูดกลิ่นดอกไม้
เทวารู้สึกว่ารวิปรียาเป็นผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์จนทำให้เขาไม่อยากละสายตา ต้องคอยลอบมองตามรวิปรียาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตะวันส่งเสียงขึ้น
“คุณพ่อขา เราจะซื้อดอกอะไรให้คุณปู่ดีคะ”
เทวาก้มหน้าลงคุยกับลูก
“อืม..เรื่องดอกไม้พ่อก็ไม่ค่อยรู้เรื่องซะด้วยสิ” เขาเงยหน้ามองรวิปรียาต่อ
ฝ่ายรวิปรียายังไม่ทันหันมามองสองพ่อลูก
“ถ้าคุณพ่อไม่รู้ แล้วใครจะช่วยตะวันเลือกล่ะคะ”
“งั้นเดี๋ยวพ่อไปถามเจ้าของร้านให้แล้วกันนะ ลูกเลือกดอกไม้อยู่ตรงนี้ล่ะ อย่าไปไหน”
ตะวันพยักหน้ารับคำ เทวาเดินไปทางเคาน์เตอร์ที่มีเจ้าของร้านประจำอยู่
ช่วงที่เทวาแยกไปคุยกับเจ้าของร้าน รวิปรียาเดินมาเจอตะวันยืนดูดอกไม้อยู่ตามลำพัง สายตามองเห็นตุ๊กตาหมาที่ตะวันถือติดตัวมาด้วยก็อมยิ้ม เห็นว่าเด็กน้อยน่ารักจึงเข้ามาชวนคุย
“ไงคะ พาเพื่อนมาซื้อดอกไม้ด้วยเหรอ”
ตะวันงงๆ ยังไม่มั่นใจที่จะคุยด้วยนัก รวิปรียาจึงชี้ไปที่ตุ๊กตาหมา ตะวันจึงพยักหน้ารับ
“แล้วเพื่อนตัวนี้ชื่ออะไรน้า”
“ชื่อโกโก้ค่ะ”
“โกโก้ ชื่อน่ารักจัง ชอบหมาเหรอคะ”
ตะวันพยักหน้ารับ
“แล้วนี่หนูมากับใครคะ”
“มากับคุณพ่อค่ะ”
ตะวันบุ้ยใบ้ไปทางเทวา พอรวิปรียาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเพียงแผ่นหลังของเทวาที่คุยกับเจ้าของร้านอยู่ เธอไม่ได้ใส่ใจ
“หนูมาเลือกดอกไม้ให้คุณปู่ค่ะ แต่ยังไม่รู้จะเอาดอกอะไร”
“งั้นน้าช่วยเลือกไหมคะ”
ตะวันยิ้มกว้างออก พยักหน้าหงึกๆ รวิปรียามองหาดอกไม้ แล้วมองไปที่ดอกลิลลี่พลางยิ้มออกมา
“นี่เลย” เธอเลือกหยิบดอกลิลลี่ขึ้นมาหนึ่งดอก “นี่เรียกว่าดอกลิลลี่ การที่เราให้ดอกลิลลี่กับใครคือการแสดงถึงความรักที่บริสุทธิ์ เหมือนความรักที่หนูมีให้คุณปู่ไงคะ”
ตะวันยิ้มพอใจ มอง ชอบความอ่อนหวานของรวิปรียา
ในห้องนอน บ้านสิริคุณานันท์ เพชรพริ้งกำลังแต่งหน้า ดัดขนตา ทามาสคาร่า
เพชรพริ้งสวมชุดสวยงาม มองตัวเองอยู่ตรงหน้ากระจก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พัชชาเปิดประตูเข้ามา
เพชรพริ้งหันหน้ามามอง
“พริ้ง นี่แต่งตัวจะออกไปไหน”
“ก็เหมือนเดิมค่ะแม่ ว่าจะไปกินข้าว ช้อปปิ้ง”
“แต่คืนนี้มีงานเลี้ยงวันเกิดของนักธุรกิจใหญ่ของวงการก่อสร้าง แม่ว่าแกหยุดเที่ยวสักวัน แล้วควรจะไปงานกับคุณลุงนะพริ้ง”
เพชรพริ้งทำหน้าเบื่อๆ
“ไปทำไมคะ”
“ก็ไปรู้จักพวกคนในแวดวงธุรกิจไว้บ้าง อาจจะเป็นประโยชน์ในอนาคต หรือบางทีแกอาจจะเจอคนที่น่าสนใจ”
“คนพวกนั้นน่ะเหรอคะน่าสนใจ? งานแบบนั้นน่ะมีแต่พวกลุงแก่ๆ หรือไม่ก็พวกนักธุรกิจน่าเบื่อๆ เลิกพูดเถอะค่ะคุณแม่ เดี๋ยวพริ้งต้องรีบแต่งตัวให้เสร็จ นัดเพื่อนไว้”
เพชรพริ้งหันกลับไปสนใจกับการสวมใส่ต้มหูต่อ
“พริ้ง.. แกจำไม่ได้เหรอ ตั้งแต่วันแรกที่เรากลับมาถึงเมืองไทย เข้ามาอยู่ในบ้าน “สิริคุณานันท์” เรามีเป้าหมายอะไร”
เมื่อ 7 ปีก่อน สามแม่ลูก เพชรพริ้ง, พัชชา และเพชรแท้ เพิ่งเข้ามาชอพักที่บ้านสิริคุณานันท์
เพชรพริ้งกับเพชรแท้เดินตามพัชชาเข้ามาในห้องนอนสำหรับแขก
เพชรพริ้งบอก
“บ้านนี้นี่ใหญ่โตจังเลยนะคะคุณแม่ บ้านเราที่อเมริกาไม่เห็นจะหรูหราแบบนี้เลย คุณลุงวิษณุนี่คงรวยมากเลยสินะคะ”
“ใช่ แต่ความร่ำรวยทั้งหมดที่แกเห็นเนี่ย ไม่ควรจะเป็นของลุงแกคนเดียว” พัชชาบอก
“ทำไมคะ”
“เพราะคุณปู่ของแกสองคนเป็นคนสร้างธุรกิจขึ้นมา แล้วคุณปู่ก็มีลูกชายสองคนคือพ่อแกกับคุณลุงวิษณุ เพราะฉะนั้นพ่อของพวกแกควรจะมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติพวกนี้ด้วยครึ่งนึง”
“แต่ตอนนี้คุณพ่อเสียไปแล้ว งั้นทรัพย์สินของคุณพ่อก็ควรจะเป็นของพวกเราด้วยสิคะ” เพชรพริ้งบอก
เพชรแท้แย้งขึ้น
“แต่ผมว่ามันไม่ใช่แบบนั้นนะครับคุณแม่”
พัชชากับเพชรพริ้งหันมองเพชรแท้ที่เงียบมาตลอด
“คุณพ่อเป็นคนเล่าให้ผมฟังเองว่า คุณพ่อตัดสินใจที่จะเดินออกมาจากธุรกิจของครอบครัว เพราะคุณพ่อฝันอยากทำธุรกิจของตัวเองที่อเมริกา ตอนนั้นคุณปู่ก็ให้ส่วนแบ่งก้อนใหญ่เพื่อให้ไปเริ่มต้นธุรกิจใหม่ แต่คุณพ่อก็ทำพลาดเอง ส่วนการที่บริษัทของคุณลุงประสบความสำเร็จมาขนาดนี้ก็เพราะความสามารถของคุณลุงเอง ผมว่าเราไม่มีสิทธิ์จะไปเรียกร้องอะไรจากคุณลุงทั้งสิ้น”
พัชชาขึ้นเสียง หงุดหงิด
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อพวกแกก็เป็นสิริคุณานันท์เหมือนกัน ถ้าตอนนั้นคุณปู่แกไม่ลำเอียง พวกเราก็คงไม่ลำบากมาขออาศัยบ้านเขาอยู่แบบนี้หรอก”
พัชชาบอก
“และเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น แกก็ควรจะไปงานเลี้ยงคืนนี้”
“ค่ะคุณแม่”
เพชรพริ้ง แววตาวาววับขึ้นมา คล้อยตามไปกับแม่
เจ้าของร้านกำลังจัดดอกลิลลี่สีขาวผูกโบว์เป็นช่อ อยู่ตรงเคาน์เตอร์ เทวากำลังยืนรอเพื่อที่จะจ่ายเงิน
ถัดออกไปด้านหลัง ตะวันกำลังเดินเล่นดูดอกไม้ไปเรื่อยๆ ระหว่างรอพ่อ ไกลออกไปอีกมุมหนึ่ง รวิปรียากำลังคุยกับพนักงานร้าน ชี้เลือกดอกไม้ที่เธอจะซื้อ
ตะวันมองผ่านกระจกของร้านเห็นหญิงคนหนึ่งจูงลูกสุนัขเดินมาใกล้บริเวณนั้น ตะวันมองไปที่ลูกหมาแล้วยิ้มอย่างชอบใจ
“น้องหมา”
หญิง1จูงหมาเดินห่างไปทางหนึ่ง ตะวันมองตามอย่างสนใจ
รวิปรียาที่เพิ่งจะสั่งดอกไม้กับพนักงานของร้านเสร็จ
“ช่วยจัดทั้งหมดใส่กระเช้าที่ดูสวยๆแบบสุภาพให้ด้วยนะคะ”
“ค่ะ รบกวนรอจัดดอกไม้ประมาณ10นาทีนะคะ”
“ได้ค่ะ”
พนักงานหอบดอกไม้เดินแยกไป พอดีกับที่รวิปรียาหันมาเห็นตอนที่ตะวันเดินออกจากประตูร้านไป รวิปรียามองตามอย่างกังวล แล้วรีบเดินตามออกไป
ทางด้านเทวาเพิ่งจ่ายเงินให้กับเจ้าของร้านเสร็จ รับช่อดอกไม้ที่มีดอกลิลลี่สีขาวเด่นอยู่ตรงกลางมาจากเจ้าของร้าน
“ขอบคุณครับ … ตะวัน เสร็จแล้วลูก”
เทวามองไม่เห็นตะวันในร้านแล้ว เขามองหาลูกสาวไปรอบๆร้าน แต่ไม่เห็นใคร เทวาเริ่มร้อนรน กังวลใจ
“ตะวัน อยู่ไหนลูก ตะวัน!”
เทวาตัดสินใจรีบออกจากร้านไป พลางร้องเรียกหาลูกสาว
หญิงสาวที่จูงลูกสุนัขเดินมาตามฟุตบาทริมถนน
ตะวันเดินตามมาห่างๆ สายตาจับจ้องที่ลูกหมา จนกระทั่งหญิง1 ลงจากฟุตบาธเตรียมจะข้ามถนน ตะวันยังคงตาม
เทวาเพิ่งออกมาจากร้านดอกไม้ เดินหาตะวันมาตามถนนแถวนั้น ...
หญิง1 เดินข้ามถนนไป ตะวันก็จะตามไปด้วยความไร้เดียงสา
เทวาเดินมองหาลูกสาวด้วยความร้อนใจ แล้วสายตาเขาก็พลันเห็นลูกสาวอยู่ไกลๆ ที่กำลังเดินลงจากฟุตบาธเพื่อจะข้ามถนน
เทวาตะโกนร้องเรียก “ตะวัน !”
แต่เขาอยู่ไกลเกินไป ตะวันไม่ได้ยินเสียงเทวา
ทันใดนั้น รถคันหนึ่งแล่นพุ่งตรงมายังตะวันที่กำลังเดินข้ามถนน
เทวาถือช่อดอกไม้ในมือ ตกใจรีบวิ่งออกไป
รถคันนั้นกำลังมุ่งหน้าใกล้ตะวันขึ้นเรื่อยๆ ตะวันหันไปเห็นแล้วตกใจ รถคันนั้นเหยียบเบรกเสียงดังลั่นแต่ดูราวกับว่าจะไม่ทันแล้ว
เทวาหยุดตะโกนร้องเรียกตะวันเสียงดัง ช่อดอกไม้หล่น
“ตะวัน!”
ตะวันกอดตุ๊กตาหมาน้อยหลับตาปี๋ !
รวิปรียายื่นมือคว้าตัวตะวันออกมาจากตรงนั้น ก่อนที่รถคันนั้นจะหักหลบออกไปแล้วเบรกเอี๊ยด !
หลังรถจอดสนิทแล้ว ทุกอย่างจึงเงียบลง รวิปรียาเอาตัวโอบบังตะวันไว้ ตะวันหลับตาปี๋ค่อยๆลืมตาขึ้น มา กอดเธอแน่น
เทวาวิ่งมาถึงจุดเกิดเหตุพอดี เขาเห็นตะวันปลอดภัยอยู่ในอ้อมกอดของรวิปรียา ก็โล่งอก
คนขับรถเปิดกระจกลงมาตะโกนมาทางรวิปรียากับเทวา
“นี่คุณ ดูแลลูกดีๆหน่อย ปล่อยเด็กมาเดินกลางถนนแบบนี้ได้ยังไง มันอันตราย”
“ขอโทษครับ ขอโทษ”
คนขับรถคันนั้นขับรถออกไปอย่างหัวเสีย
รวิปรียาคลายอ้อมกอด ตะวันผละเข้าไปกอดเทวา
“คุณพ่อ”
เทวากอดปลอบขวัญลูกแล้วจับตัวตะวันสำรวจ
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ตะวันส่ายหน้า
“ไม่เจ็บค่ะ”
“งั้นก็โล่งอกไปที” เทวาหันไปทางรวิปรียากล่าว “ขอบคุ.....”
ทว่ารวิปรียาสวนขึ้นทันที “นี่คุณเป็นพ่อประสาอะไรกัน”
“เอ่อ คือผม....”
“ทำไมถึงไม่ดูแลลูกให้ดีกว่านี้ รู้ไหมคะว่าปล่อยให้เด็กหลุดรอดสายตาไปแบบนี้มันอันตรายขนาดไหน อาจจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เด็กตัวแค่นี้เขายังไม่รู้หรอกค่ะ ว่าอะไรเป็นอะไร”
“ผมรู้ครับ ผมแค่...”
“จะอ้างยังไงก็ฟังไม่ขึ้นหรอกค่ะ เรื่องแบบนี้มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่จะต้องคอยดูแลลูกทุกฝีก้าว คุณควรจะเป็นพ่อที่มีความรับผิดชอบมากกว่านี้”
“นี่คุณ...” เทวาเริ่มจะมีอารมณ์บ้าง “รู้ได้ยังไงว่าผมไม่มีความรับผิดชอบ”
“เหตุการณ์มันก็ฟ้องอยู่แล้ว ถ้าคุณมีความรับผิดชอบ เราก็คงไม่ต้องมายืนเถียงกันอยู่ตรงนี้ นี่ถ้าฉันตามมาไม่ทัน หรือถ้ารถคันนั้นหักหลบไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น คุณคิดบ้างหรือเปล่า”
รวิปรียาหยุดชะงักเมื่อรู้สึกว่ามือของตะวันเอื้อมมาจับแขน
“คุณน้าขา... อย่าดุคุณพ่อเลยค่ะ”
เธอก้มลงมองที่มือตะวันซึ่งจับแขนเธออยู่ เทวาก้มมองตะวัน
“เดี๋ยวคุณพ่อกลัว”
เทวาสะดุ้งเล็กน้อย แล้วก้มลงกระซิบกับลูก “ตะวัน พ่อไม่ได้กลัวนะลูก”
“นี่เห็นแก่ลูกสาวคุณหรอกนะ” เธอนั่งลงลูบหัวตะวัน “งั้นน้าไปก่อนนะคะ คราวหน้าคราวหลังอย่าไปไหนโดยที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย รู้ไหมคะ”
ตะวันพยักหน้ารับ รวิปรียาลุกขึ้นยืน แทบไม่อยากมองเทวาด้วยซ้ำ
“ถึงยังไงผมก็ขอบคุณสำ...” .
แต่รวิปรียาเดินจากไปทั้งที่ฟังเทวายังไม่ทันจบประโยค เทวาได้แต่ยืนอ้าปากค้าง มองตามรวิปรียาที่เดินห่างออกไปแล้วก็เปลี่ยนเป็นอมยิ้มขำ รู้สึกว่ารวิปรียาก็น่ารักดี และรู้สึกว่านี่คือพรหมลิขิต
รวิปรียาขับรถกลับเข้ามาในบ้าน รถผ่านประตูรั้วเข้ามา
ที่มุมจอดรถหน้าบ้าน รถหรูอีกคันจอดอยู่ เพชรพริ้งหิ้วกระเป๋าถือ พร้อมกุญแจรถเตรียมจะออกไปข้างนอก ตรงมาที่รถหรูคันนั้น แม่บ้านกระหืดกระหอบตามหลังเพชรพริ้งมา
“คุณพริ้งคะ อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ”
“เลิกตามฉันมาได้แล้ว ไม่มีงานอื่นทำกันหรือไง”
“คุณเอารถคันนี้ออกไม่ได้นะคะ”
รวิปรียามองผ่านกระจกรถที่ขับมา เห็นภาพเหตุการณ์ที่เพชรพริ้งเปิดประตูขึ้นนั่งที่คนขับ โดยมีแม่บ้านกำลังพยายามทักท้วงแต่เพชรพริ้งไม่ฟัง กลับปิดประตูใส่หน้า
รวิปรียาขับรถเข้ามาจอดดักหน้ารถคันที่เพชรพริ้งนั่งอยู่ ก่อนที่เพชรพริ้งจะได้สตาร์ทรถ
รวิปรียากับเพชรพริ้งเงยหน้าขึ้นมามองหน้ากันจากรถคนละคัน
รวิปรียาเปิดประตูรถลงมาก่อน เธอเดินตรงไปทางเพชรพริ้ง เพชรพริ้งจึงลงจากรถมาประจันหน้า
“ไม่รู้เหรอว่า การใช้รถคนอื่นโดยไม่ขออนุญาต มันเรียกว่าเสียมารยาท”
“มารยาทมันเอาไว้ใช้กับคนอื่นคนไกล แต่เราก็เหมือนพี่น้องกัน ไม่ใช่เหรอรวิ”
“เราอาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เธอมีสิทธิ์จะเอารถของฉันไปไหนต่อไหนก็ได้”
“ฉันมีสิทธิ์ที่จะใช้ของทุกอย่างในบ้านนี้ เธออย่าลืมสิว่าฉันไม่ใช่แค่หลาน แต่ว่าฉันเป็นลูกบุญธรรมของคุณลุงด้วย”
“ลูกบุญธรรม? เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ลูกของผู้หญิงที่มาขออาศัยอยู่ในบ้านน่ะ เขาไม่เรียกว่าลูกบุญธรรมหรอกนะ”
เพชรพริ้งโกรธ เสียงดัง “รวิ !”
วิษณุกับพัชชาเดินออกจากบ้านมาด้วยกัน เพื่อมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่มันอะไรกันน่ะลูก เสียงดังเข้าไปถึงในบ้าน”
“พริ้งกำลังจะออกไปข้างนอกค่ะ แต่รวิน่ะสิคะ พอกลับมาถึงก็โวยวาย ไม่ยอมให้พริ้งเอารถออก”
“แหม..หนูรวิ จะหวงอะไรกันนักกันหนาคะ รถที่บ้านก็มีตั้งหลายคัน”
“ในเมื่อรถที่บ้านมีอีกหลายคัน ทำไมเธอต้องมาเจาะจงที่คันนี้”
เพชรพริ้งหันไปอ้อนวิษณุแทน
“พริ้งจะใช้รถคันไหนก็ได้ใช่ไหมคะคุณลุง เพราะคุณลุงเคยบอกเองว่า พริ้งมีสิทธิ์จะใช้ของทุกอย่างในบ้านนี้ได้เท่ากับรวิ”
“แค่รถคันเดียว แบ่งพี่น้องใช้ก็ไม่เป็นไรมังคะหนูรวิ”
“แต่รถคันนี้พ่อฉันซื้อให้เป็นของขวัญ เพราะฉะนั้น.. คนอื่นไม่มีสิทธิ์”
“พอๆๆ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว รถคันนี้เป็นของรวิเค้า รถคันอื่นก็ยังว่างอยู่นี่นา พริ้ง เอารถคันอื่นไปก็แล้วกันนะ”
เมื่อวิษณุประกาศออกมาเอง ท่าทีของเพชรพริ้งจึงอ่อนลงแบบไม่พอใจ รวิปรียายื่นมือไปตรงหน้า
“กุญแจรถ ฉันขอคืน”
เพชรพริ้งยังอิดออด มองหน้าแม่ พัชชาพยักหน้าส่งสัญญาณให้ยอมก่อน เพชรพริ้งยอมส่งกุญแจคืนรวิปรียาอย่างเสียไม่ได้
พอจบเรื่องแล้ว รวิปรียาเดินกลับเข้าบ้านอย่างผู้ชนะ วิษณุหันกลับเข้าบ้านโดยมีพัชชาเดินตามไปติดๆ พัชชายังหันมาส่งสัญญาณสายตาให้เพชรพริ้งอดทนไว้ก่อน
ทุกคนเดินกลับเข้าบ้านไป ทิ้งให้เพชรพริ้งยืนหัวเสียอยู่ตามลำพัง
“นังรวิ คอยดูไปก็แล้วกัน ไม่ใช่แค่รถคันนี้เท่านั้นที่ฉันจะเอามาจากแกให้ได้ แต่ฉันจะแย่งทุกอย่างที่เป็นของแกมาให้หมด”
เพชรพริ้งกำมือแน่นโกรธจัด
รวิปรียากำลังจะเดินกลับเข้าห้อง แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไป เสียงพัชชาก็ดังขึ้นทางด้านหลัง
“ไงคะ ทำแบบนี้แล้วพอใจหรือยัง”
“หมายความว่าไงคะ”
“ก็หมายความว่าเกมส์รอบนี้หนูรวิชนะ คงสะใจแล้วสินะ”
“คุณอาคะ เราเองต่างก็รู้กันดี ว่าที่ผ่านมาเราต่างคนต่างอยู่ ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นเราก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน รวิคงไม่หาเรื่องทะเลาะด้วย ถ้าพริ้งไม่เข้ามารุกรานพื้นที่ส่วนตัวของรวิก่อน”
พัชชาเริ่มไม่พอใจ
“จะพูดอะไรก็เกรงใจกันบ้าง ยังไงซะ อาก็เป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้”
“แล้วมันสำคัญยังไงคะ ถึงยังไงคุณอาก็ไม่ใช่เจ้าของบ้าน ไม่ได้เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของคุณพ่อด้วยซ้ำ”
พัชชามีเคือง แต่เก็บอารมณ์และคุมเกมส์ได้ดีกว่า ยิ้มยั่วโมโห
“เรื่องแบบนี้มันต้องดูกันไปยาวๆค่ะ คนเข้มแข็งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด”
พัชชาเขยิบเข้าไปใกล้รวิปรียา เน้นถ้อยคำบาดใจ
“ส่วนพวกอ่อนแอก็ต้องเก็บข้าวของออกจากบ้านนี้ไปโดยไม่ได้อะไรติดตัวไปเลย ตัวอย่างใกล้ๆตัวก็มีให้เห็นอยู่แล้ว”
คำพูดของพัชชากระทบใจรวิปรียาเข้าจริงๆ รวิปรียารู้ว่าพัชชาพูดกระทบถึงแม่ตัวเอง
“มันจะมากไปแล้วนะคะ”
พัชชาหัวเราะเยาะๆ ขำๆ
“โอ๊ะ อะไรกัน แค่นี้ก็มากไปแล้วเหรอ งั้นวันนี้พอแค่นี้แล้วกัน อาไม่อยากทำให้คุณหนูของบ้านต้องขุ่นเคืองใจไปมากกว่านี้”
พัชชาเดินยิ้มแย้มจากไปอย่างสะใจ ทิ้งรวิปรียาปรียาไว้กับอารมณ์ขุ่นเคืองที่ปะทุขึ้น
รวิปรียาเดินเลี่ยงเข้าห้อง ปิดประตูดังปัง
เมื่อ 7 ปีก่อน ที่ห้องรับแขก
พัชชานั่งซับน้ำตา สะอื้น ข้างๆมีกระเป๋าเดินทางของ 3 แม่ลูก
“พัชไม่คิดมาก่อนเลยว่า คุณเทพจะมาด่วนจากไปอย่างกะทันหันแบบนี้”
วิษณุ นั่งคุยกับรวิปรียาและอิงอรโดยมีพัชชา เพชรพริ้ง เพชรแท้ อยู่ร่วมฟังด้วย
“กุเทพประสบอุบัติเหตุรถชนที่อเมริกา พัชชาและลูกๆ ก็เลยต้องกลับมาเมืองไทย” วิษณุบอก
“ไม่มีคุณเทพสักคน ชีวิตพวกเราที่โน่นก็ไม่เหมือนเดิม ลูกสองคนก็ยังเรียนไม่จบ พัชเองก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป”
“ฉันเสียใจด้วยนะคะคุณพัช ถ้ามีอะไรที่ครอบครัวเราพอช่วยได้ คุณพัชก็บอกได้เลยนะคะ” อิงอรบอก“ขอบคุณมากนะคะคุณอร แต่พัชคงไม่รบกวนหรอกค่ะ”
“อย่าคิดว่ารบกวนเลยนะคะ เราเองก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“นั่นสินะ ช่วงนี้ก็พักอยู่ที่นี่กันไปก่อน จนกว่าจะหาทางขยับขยายได้” วิษณุบอก
“ขอบคุณมากค่ะคุณพี่ ขอบคุณค่ะคุณอร”
รวิปรียาที่นั่งเงียบฟังมาตลอด ส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับเพชรพริ้งและเพชรแท้
เพชรแท้ยิ้มกลับ ส่วนเพชรพริ้งยิ้มกลับเพียงมุมปากเหมือนไม่จริงใจ
ต่อมา วิษณุ อิงอร และรวิปรียาแยกมาคุยกันตามลำพัง
รวิปรียาถาม “คุณอาพัชชาจะอยู่บ้านเราไปนานแค่ไหนคะคุณพ่อ”
“ก็จนกว่าเขาจะหาที่พักใหม่ได้” แล้ววิษณุทอดถอนใจเมื่อนึกถึงน้องชาย “อากุเทพเป็นน้องชายคนเดียวของพ่อ ที่ผ่านมาพ่อรู้สึกผิดมาตลอดว่าพ่อช่วยธุรกิจของคุณปู่จนมีบริษัทใหญ่โตขึ้นมา แต่อากุเทพกลับไม่เคยได้อะไรเลย”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ คุณเองก็ชวนเขากลับมาช่วยงานหลายครั้ง แต่กุเทพเขาต้องการสร้างธุรกิจของตัวเองที่อเมริกา”
วิษณุหันพูดกับอิงอร
“ครั้งล่าสุดที่ผมไปเจอกุเทพที่อเมริกา เขาเคยฝากฝังครอบครัวไว้กับผม ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นอยากให้ผมช่วยดูแลครอบครัวเขาให้ด้วย คุณพัชเองเขาก็ไม่มีคนรู้จักที่กรุงเทพเลย”
“งั้นเราก็ให้คุณพัชกับลูกๆอยู่ที่นี่ซะเลยสิคะคุณ แล้วก็อุปการะส่งเสียเพชรพริ้งกับเพชรแท้ด้วย คุณจะได้สบายใจ”
“จะดีเหรอจ๊ะอร”
“ดีสิคะ ยังไงสามคนนั้นเขาก็เป็นญาติของเรา”
วิษณุหันหน้าไปหารวิปรียาเหมือนจะขออีกหนึ่งความเห็นเพื่อตัดสินใจ
รวิปรียายิ้มจริงใจ พยักหน้าเห็นด้วย
“บ้านเราก็ออกจะใหญ่โต มีห้องว่างตั้งหลายห้อง รวิจะได้มีเพื่อนด้วยไงคะ คุณพ่อ”
รวิปรียายืนหลังพิงกับประตู ดึงความคิดของเธอกลับมาสู่ปัจจุบัน
“ถ้าฉันรู้ว่าเรื่องมันจะกลับกลายเป็นแบบนี้ ฉันจะไม่ทีทางยอมให้เธอสองคนเข้ามาเหยียบบ้านนี้เลยตั้งแต่แรก”
นิมมานยืนหันหลังอยู่ในห้องรับแขกของบ้านสิริคุณานันท์ เขาอยู่ในชุดสูทเพื่อไปงานเลี้ยง
หญิงสาวในชุดกระโปรงยาว ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ทางด้านหลังนิมมาน ก่อนเอ่ยทักทาย
“คุณนิมมานคะ”
เพราะคิดว่ารวิปรียา นิมมานหันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มทันที เมื่อพบว่าไม่ใช่รวิปรียาที่เขารอคอย หากแต่เป็นเพชรพริ้งยืนยิ้มหวานให้เขา
เพชรพริ้งหัวเรา
“ต้องทำหน้าผิดหวังขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คุณพริ้ง”
“วันนี้คุณนิมมานดูหล่อเป็นพิเศษ จะไปไหนเหรอคะ”
“มารับรวิไปงานเลี้ยงที่โรงแรมน่ะครับ”
“เกิดเป็นรวินี่โชคดีจัง อยากจะได้อะไรก็ได้ แล้วก็มักจะได้แต่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอด้วยทำงานในตำแหน่งสูงๆ เป็นเจ้าของรถแพง แม้แต่ผู้ชาย...” เธอเขยิบเข้ามามองตานิมมานตรงๆ “ก็ยังได้ผู้ชายที่ดีที่สุดไป”
นิมมานรู้สึกหวั่นไหวบ้าง แต่เฉไฉข่มความรู้สึก
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมยังไม่ใช่ผู้ชายที่ดีที่สุด ผมแค่…”
จังหวะนั้น รวิปรียาในชุดสวย เดินเข้ามาในห้องนั้น นิมมานยิ้มภูมิใจ สายตาจับจ้อง“ เป็นผู้ชายที่รักรวิเขามากที่สุด” นิมมานพูดต่อ
เพชรพริ้งหันมองตามสายตาของนิมมาน เห็นว่ารวิปรียามาแล้ว ก็ชักสีหน้า เสียอารมณ์ แต่ยังไม่ยอมแพ้ มองหน้านิมมานพูดจาท้าทาย
“คนบางคนอาจจะเทิดทูนยึดติดกับความรัก แต่สำหรับพริ้ง ความรักเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แล้วพริ้งก็พร้อมเสมอที่จะตอบรับความเปลี่ยนแปลงนั้น” เธอส่งสายตามองนิมมานเป็นนัยๆ นิมมานทำเหมือนไม่เข้าใจ เดินผละไปหารวิปรียาที่เข้ามาใกล้แล้ว
“วันนี้รวิสวยจัง”
“ขอบคุณค่ะ รอรวินานไหมคะ”
“ไม่นานหรอกจ้ะ ผมเพิ่งมาถึงได้แป๊บเดียวเอง”
เพชรพริ้งปรายตามองไม่พอใจ แล้วเดินออกจากบริเวณนั้นไป
“เมื่อกี๊พูดอะไรน่ะ ได้ยินนะ”
“ได้ยินก็ดีแล้ว ไม่ดีใจเหรอ”
“ก็นิดหน่อย”
“อะไรกัน นี่ผมบอกรักรวิต่อหน้าผู้หญิงอื่นนะ ยังดีใจแค่นิดหน่อยเองเหรอ”
“ก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยได้ยินครั้งแแรกนี่นา”
“นี่ผมบอกรักรวิบ่อยจนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นแล้วเหรอเนี่ย งั้นต่อไปไม่พูดแล้วดีกว่า”
“รวิไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย”
ทั้งสองหยอกล้อกันอย่างรักใคร่
เพชรพริ้งเดินหงุดหงิดกระแทกเท้าเข้ามาในห้องนอน โดยมีพัชชาตามมาติดๆ
“ผู้ชายอย่างคุณนิมมานนี่ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆนะพริ้ง ทั้งหล่อทั้งรวย พร้อมไปซะทุกอย่าง นังรวินี่มันมีอะไรดี คุณนิมมานถึงได้หลงเสน่ห์มันขนาดนี้”
“พริ้งจะไม่ยอมให้นังรวิลอยหน้าลอยตามีความสุขอยู่คนเดียวแน่ คุณนิมมานจะต้องเป็นของพริ้ง”
“แม่เข้าใจแล้ว แกรีบแต่งตัวซะ แม่จะไปจัดการคุยกับคุณลุงให้”
พัชชาเดินออกจากห้องไป เพชรพริ้งมีความตั้งใจเรื่องนิมมานอย่างแรงกล้า
บรรยากาศตอนเริ่มงานเลี้ยงในโรงแรมหรู แขกทยอยเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงที่มีบรมคอยยืนทักทายอยู่ที่มุมหนึ่งของงาน มีดารินยืนประกบอยู่ข้างๆ
นอกงาน หน้าห้องจัดเลี้ยง รวิปรียากับนิมมานยืนคอยวิษณุอยู่ด้านหน้างาน รวิปรียาเพิ่งกดวางสายโทรศัพท์
รวิปรียาหันมาบอกนิมมาน
“คุณพ่อมาถึงแล้วค่ะ บอกว่าให้รอเข้างานพร้อมกัน”
นิมมานพยักหน้ารับ
“แล้วนี่คุณนึกยังไงถึงอยากมางานนี้ด้วย บริษัทนิรมิตของคุณเป็นคู่แข่งกับBR Construction ไม่ใช่หรือคะ”
นิมมานบอก “อย่าเรียกว่าคู่แข่งเลยจ้ะ ถึงจะทำธุรกิจเดียวกันแต่ทั้งนิรมิตกับBRต่างคนต่างก็มีลูกค้าของตัวเอง เอาไว้วันไหนต้องแย่งงานกันขึ้นมา นั่นแหละได้เป็นคู่แข่งจริงๆแน่”
“งั้นก็แล้วไป”
“แต่ที่ผมขอมางานกับรวิด้วยไม่เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ แต่เพราะแฟนสวย ผมก็เลยต้องมากันท่าไว้ก่อน ไม่อยากให้ผู้ชายคนอื่นมาเกาะแกะแฟนผม”
“พูดเกินไปแล้วค่ะ”
“ไม่เกินไปหรอก ก็แฟนผมสวยจริงๆ”
วิษณุกับเพชรพริ้งตามมาสมทบพอดี รวิปรียาเห็นเพชรพริ้งมาด้วยก็แปลกใจเล็กน้อย
“คุณพ่อพาพริ้งมาด้วยเหรอคะ”
“ใช่ พริ้งเค้าจะได้รู้จักคนในแวดวงธุรกิจไว้บ้าง เผื่อว่าในอนาคตพริ้งเขาจะมาช่วยเราดูงานที่บริษัทอีกแรง”
เพชรพริ้งหน้าเชิด รู้สึกมีความสำคัญขึ้นมา แต่ริวปรียาไม่อยากใส่ใจนัก
“ไป เข้างานไปทักคุณบรมกันเถอะ”
รวิปรียานึกบางอย่างได้
“อุ๊ย เดี๋ยวก่อนค่ะคุณพ่อ รวิลืมกระเช้าดอกไม้ที่เตรียมมาจะให้คุณบรมไว้ในรถ ขอกลับออกไปเอาก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวผมไปเอาให้เองครับ รวิเข้างานไปกับคุณพ่อก่อนดีกว่า”
“ขอบใจมากนิมมาน”
เพชรพริ้งออกตัวทันที
“งั้นเดี๋ยวพริ้งไปเป็นเพื่อนคุณนิมมานก็ได้ค่ะ”
“ก็ดีเหมือนกัน งั้นเดี๋ยวพริ้งกับนิมมานตามมาเจอกันในงานนะ”
“ครับ”
นิมมานรีบเดินออกไป โดยมีเพชรพริ้งตามไปไม่ห่าง รวิปรียายังไม่รู้สึกอะไรนักเพราะมั่นใจในตัวนิมมาน
รวิปรียากับวิษณุเดินเข้ามาในบริเวณห้องจัดงานเลี้ยง ระหว่างนั้นก็คุยกันมาเรื่อยๆ
“ที่จริงบริษัทของเรากับ BR Construction ของคุณบรม เคยทำธุรกิจกันไม่กี่ครั้ง เพราะทางBR มีซัพพลายเออร์ประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าทำให้BR มาเป็นลูกค้าของเราได้ ก็จะเป็นผลดีกับบริษัทมาก”
“รวิเข้าใจค่ะ”
บรมหันมาเห็นวิษณุพอดี จึงทักทายแต่ไกล
“ไง คุณวิษณุ”
รวิปรียากับวิษณุตรงเข้ามาหาบรม ยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีครับคุณบรม ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
“นั่นสิ สองสามปีได้แล้วมั้งนะ”
“ก็ราวๆนั้นครับ” วิษณุหันไปแนะนำรวิปรียาให้บรมรู้จัก “นี่..รวิปรียา ลูกสาวผมเอง”
รวิปรียายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
เทวาพาตะวันและดารินเข้ามาสมทบกับกลุ่มของบรมพอดี แวบแรกยังไม่เห็นว่าพ่อคุยอยู่กับใคร
“เทวา ดาริน มาพอดีเลย พ่อจะแนะนำให้รู้จักกับ...”
บรมยังไม่ทันได้แนะนำ เทวากับรวิปรียาก็หันมาเห็นหน้ากันชัดเจน
เทวาร้องทัก “อ้าว..นี่คุณ”
“คุณ!”
ตะวันจำรวิปรียาได้
“คุณน้าคนสวยนี่คะ”
“อะไรกัน นี่รู้จักกันเรอะ” บรมถาม
“ผู้หญิงที่ช่วยตะวันไว้เมื่อตอนกลางวันไงครับคุณพ่อ ที่ผมเล่าให้ฟัง”
บรมประหลาดใจและรู้สึกขอบคุณ
“อ้าว หนูรวิปรียาเองหรอกเหรอ”
เทวาฟังชื่อรวิปรียา แล้วเผลอมองนิ่งอยู่ มีรอยยิ้มบางๆที่มุมปาก เขาไม่คิดว่าจะได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง
“โลกกลมจังเลยนะคะเนี่ย”
วิษณุถามรวิปรียาเบาๆ “มีอะไรเหรอลูก”
“เรื่องมันยาวน่ะค่ะคุณพ่อ เดี๋ยวรวิจะเล่าให้ฟัง”
“ยังไงลุงก็ขอบใจหนูรวิมากนะ ยัยตะวันแกก็ซุกซนแบบนี้แหละ นี่ถ้าไม่ได้หนูช่วยไว้ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงกันบ้าง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณวิษณุมีลูกสาวโตขนาดนี้แล้ว แถมยังสวยด้วย”
“รวิเขาไปเรียนด้านการตลาดที่อเมริกา เพิ่งกลับมาได้สองสามปี ตอนนี้ช่วยผมดูแลบริษัทอยู่”
ระหว่างนั้น เทวาคอยเหลือบมองรวิปรียาอย่างสนใจ ดารินซึ่งรู้จักพี่ชายดีก็สังเกตเห็น แต่รวิปรียาไม่นึกอยากจะมองไปทางเทวาเลย
“ท่าทางจะทำงานเก่งนะ หนูรวิเนี่ย”
“เรียกว่าเป็นมือขวาผมเลยก็ว่าได้ ทุกวันนี้ก็ตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆแทนผมได้ทุกเรื่อง”
บรมฟังแล้วยิ่งประทับใจมากขึ้น
“งั้นเหรอ ดีๆ เราคนทำธุรกิจ จะไว้ใจคนอื่นเท่ากับลูกหลานของเราได้ยังไง จริงไหม อ้อ ลืมแนะนำไปเลย” บรมตบไหล่เทวาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ “นี่เทวา ลูกชายคนโตผมกำลังดูแลกิจการให้ผมอยู่เหมือนกัน”
เทวายกมือไหว้วิษณุ แล้วหันไปมองรวิปรียา รวิปรียาสบตาทีนึง แล้วทำเบือนหน้าออกไป
“นี่ก็ดารินลูกสาวคนเล็ก ส่วนยัยตัวแสบนี่ก็ตะวัน ลูกสาวของเทวาเค้า”
ดารินยกมือไหว้วิษณุกับรวิปรียา ทั้งคู่รับไหว้ รวิปรียายิ้มให้ดารินอย่างเป็นมิตร แล้วก้มลงทักทายตะวัน
“สวัสดีค่ะน้องตะวัน ตอนนี้เราก็รู้จักชื่อกันแล้วนะ”
ตะวันยิ้มกว้าง ชอบรวิปรียา เทวามองตาม สายตาเป็นประกาย
แขกอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งมาถึงเข้ามาทักทายบรม วิษณุจึงขอปลีกตัวออกมา
“งั้นผมขอตัวนะครับ”
“ตามสบายนะคุณวิษณุ แล้วเดี๋ยวคุยกัน”
“ครับ”
วิษณุพารวิปรียาแยกตัวไปทักทายแขกที่รู้จักในงาน บรมหันไปคุยกับแขกที่เพิ่งเข้ามาทัก ระหว่างนั้นเทวายังคงมองตามรวิปรียาไป จนดารินเอามือสะกิดแซว
“มองไม่วางตาเชียวนะ พี่ชาย”
เทวาทำเฉไฉแก้เขิน ด้วยการทำเป็นคิ้วขมวดดุๆ
“มองอะไรกันล่ะ ดูแลตะวันด้วย พี่จะไปทักเพื่อนหน่อย”
เทวาเดินจากไป ปล่อยตะวันให้อยู่กับดาริน
นิมมานกับเพชรพริ้งซึ่งกลับมาจากเอากระเช้าดอกไม้ เดินมาด้วยกัน นิมมานถือกระเช้า
“คุณนิมมานไม่อยากรู้หรือคะ ว่าทำไมพริ้งถึงอยากมางานนี้”
“ไม่ทราบสิครับ”
“แล้วจะไม่ถามพริ้งเลยหรือคะ”
นิมมานเงียบ ไม่ตอบอะไร เอาแต่เดินตรงไปข้างหน้า เพชรพริ้งจึงตามมาจับมือนิมมานไว้
“ที่พริ้งมางานนี้ก็เพราะคุณ”
นิมมานชะงัก กระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูก
“เพราะพริ้งอยากอยู่ใกล้ๆคุณ”
“ผมว่าเรารีบเข้าไปในงานกันดีกว่า ป่านนี้รวิคงจะรอดอกไม้นี่อยู่”
นิมมานผละมือจากเพชรพริ้ง เดินเลี่ยงไป แต่เพชรพริ้งรู้ว่างานนี้ยังมีอะไรให้ลุ้น
บรมกับวิษณุต่างถือเครื่องดื่มในมือ บรมพาวิษณุแยกออกจากกลุ่มนักธุรกิจอื่นๆ มาคุยกัน
“คุณวิษณุ บอกตรงๆนะ ผมยังประทับใจลูกสาวคุณอยู่เลย”
“จริงหรือครับ”
“ใช่น่ะสิ หนูรวิน่ะทั้งสวย ทั้งเก่ง ส่วนลูกชายผมก็เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่จะเข้ามารับช่วงบริษัทต่อจากผม คุณคิดว่ายังไงถ้า..ผมอยากจะให้ลูกของเราสองคนได้รู้จักสนิทสนมกันไว้”
วิษณุงงๆ ไม่ทันตั้งตัว “คือ..เรื่องนี้”
“หรือคุณติดใจที่ลูกชายของผมเป็นพ่อหม้ายลูกติด”
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องขอบคุณคุณบรมนะครับที่เห็นคุณค่าของรวิ แต่เรื่องนี้คงติดที่ลูกสาวผมมากกว่า ยัยรวิแกมีคนรักอยู่แล้วครับ”
“อ้าว..งั้นเหรอ แหม้..น่าเสียดาย”
รวิปรียาถือกระเช้าดอกไม้อยู่ในมือ เข้ามาหาบรมและวิษณุพร้อมกับนิมมาน
“คุณลุงคะ นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆที่รวิกับคุณพ่อเตรียมมาให้คุณลุงค่ะ สุขสันต์วันเกิด ขอให้คุณลุงสุขภาพแข็งแรงนะคะ” เธอยื่นกระเช้าดอกไม้ให้บรม
บรมรับกระเช้าดอกไม้ “โอย ไม่เป็นไร ที่จริงไม่ต้องลำบากเอามาให้ก็ได้”
ขณะรับกระเช้าจากรวิปรียา สายตาบรมเหลือบมองเห็นนิมมาน นิมมานได้โอกาสแนะนำตัว
“สวัสดีครับคุณบรม ผมนิมมาน เดชาหัสดิน เป็นลูกชายของคุณมิตร เดชาหัสดิน”
“อ้อลูกชาย..คุณมิตร” บรมส่งกระเช้าต่อให้ผู้ช่วยถือไป แล้วหันมาคุย “เจ้าของบริษัทนิรมิต อยู่ในแวดวงธุรกิจเดียวกันน่ะเอง ก็คิดซะว่าเราคนกันเองก็แล้วกัน ตามสบายเลยนะ คุณนิมมาน แล้วนี่มากับหนูรวิหรือ”
“ครับ”
นิมมานกับรวิปรียาหันมองหน้ากันยิ้มๆ บรมจับสังเกตได้ทันทีว่าคนรักของรวิปรียาก็คือนิมมานนี่เอง “แล้วนี่คุณมิตรสบายดีไหม ผมกับคุณมิตรพบกันครั้งสุดท้ายก็หลายปีมาแล้ว”
“คุณพ่อสบายดีครับ ตอนนี้ผมก็เริ่มเข้ามาช่วยงานคุณพ่อที่บริษัทแล้ว... ผมตั้งใจว่าจะทำให้บริษัทของเราขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายในปีนี้”
บรมจับน้ำเสียงท้าทายของนิมมานออก แต่ยังหัวเราะอารมณ์ดีเพราะความเก๋าในธุรกิจ
“ฮ่าๆ ผมชอบคนรุ่นใหม่ไฟแรงแบบนี้แหละ แต่ว่า..การจะเดินตามคนแก่อย่างผมให้ทันมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หวังว่าไฟในตัวคุณจะไม่มอดลงซะก่อนนะ”
บรมตบบ่านิมมานเป็นเชิงสอน “ธุรกิจน่ะมันเปลี่ยนทุกวัน ระวังหน่อยก็แล้วกัน”
บรมพูดแล้วเดินจากไป นิมมานมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ และยิ่งต้องการเอาชนะให้ได้ วิษณุซึ่งฟังอยู่ตลอด ถึงกับแอบส่ายหัวเบาๆกับท่าทีของนิมมาน
อีกมุมหนึ่ง ดารินซึ่งนั่งคุยกับเพื่อนสาวๆอยู่ที่โต๊ะ โดยมีตะวันนั่งอยู่ข้างๆด้วย
สักพัก... ตะวันก็ดึงมือดาริน แล้วกระซิบ
“อาริน ตะวันปวดฉี่”
“ตอนนี้เลยเหรอ”
ตะวันพยักหน้า
“โอเค งั้นไปห้องน้ำกัน”
ดารินจำต้องผละจากงาน จูงมือพาหลานตรงไปทางประตูออกจากห้องจัดเลี้ยง
ทั้งคู่ผ่านหลังรวิปรียากับนิมมานไป นิมมานกับรวิปรียายืนคุยพลางดื่มเครื่องดื่มอยู่ด้วยกัน
“นิมมานคะ รวิขอไปห้องน้ำแป๊บนึงนะ”
“จ้ะ”
รวิปรียาเดินแยกจากนิมมาน แล้วบังเอิญเห็นเทวาที่มีสาวๆสวยๆมาคุยหัวร่อต่อกระซิกอยู่ด้วย บางคนก็ขอถ่ายรูปคู่ เทวาก็ยอมถ่ายด้วย ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเอง
รวิปรียามองแล้วส่ายหัวระอาเบาๆ
“มีครอบครัวอยู่แล้ว ยังจะทำตัวเจ๊าะแจ๊ะไปทั่วอีก”
แล้วเธอก็ไม่ได้สนใจอีก หันเดินออกไปที่ทางออก
ดารินพาตะวันมาถึงห้องน้ำหญิง ดารินชี้ไปที่ห้องน้ำที่ว่างอยู่
“เข้าห้องนี้แล้วกัน”
ดารินพาตะวันเข้าไปในห้องน้ำ ทันใด เสียงโทรศัพท์มือถือเธอก็ดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดู แล้วหันมาถามตะวัน
“ตะวันเข้าเองได้ใช่ไหม”
ตะวันมั่นใจ “ได้อยู่แล้วค่า”
“โอเค งั้นอาคุยโทรศัพท์รอแถวนี้แหละค่ะ ไม่ต้องล็อคประตูนะคะ”
ดารินกดรับสายโทรศัพท์
“ฮัลโหล ว่าไงแก เรื่องด่วนอีกแล้วเหรอ....เออๆๆ เล่ามาเลย”
ดารินพูดโทรศัพท์เพลินจนเดินออกจากห้องน้ำหญิงไปข้างนอกเลย
พอดารินคล้อยหลังไป รวิปรียาก็เข้ามาในห้องน้ำตรงเข้ามาที่อ่างล้างหน้าซึ่งว่างอยู่
ขณะที่รวิปรียากำลังเปิดน้ำล้างมือ หญิงสาวอีก2คนก็เข้ามาในห้องน้ำเช่นกัน ยังคงเมาท์กันต่อเนื่องเข้ามา
“เธอเห็นคุณเทวาหรือเปล่า หล่อทะลุโลกมาก”
รวิปรียาได้ยินชื่อเทวาก็ชะงัก ทำเป็นไม่สนใจแต่ก็เงี่ยหูฟังไปเรื่อยๆ
“โห จะพลาดได้ยังไงล่ะยะ เมื่อกี๊ฉันยังไปขอถ่ายรูปคู่กับเขามาเลย”
สองสาวคุยกันไปก็แต่งเติมใบหน้ากันไป
“ยิ้มทีนึงนี่ฉันแทบละลาย ทำอะไรก็มีเสน่ห์ไปหมด แถมเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลบริรักษ์ นี่ได้ข่าวว่าจะเข้ารับช่วงกิจการของครอบครัวเร็วๆนี้ด้วย”
“เพอร์เฟ็คไปหมด ยกเว้นอย่างเดียว คือมีลูกซะแล้ว”
“มีลูกแต่ไม่มีภรรยาจ้ะ เธอเพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศส คงไม่รู้ล่ะสิว่าคุณเทวาเขาเป็นพ่อหม้ายลูกติด เขาว่ากันว่า ลูกสาวคุณเทวาน่ะเกิดจากผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ คงเลิกรากันไปแต่ก็รับผิดชอบเอาลูกมาเลี้ยง”
รวิปรียาทำเป็นหยิบลิปสติกขึ้นมาจะทาปาก แต่จริงๆแล้วถ่วงเวลาตัวเองเพื่อฟังสองสาวไปด้วย
ในงานเลี้ยง นิมมานกำลังคุยกับนักธุรกิจรุ่นราวคราวเดียวกัน
เพชรพริ้งกำลังจับจ้องมองไปที่นิมมานทางด้านหลัง ครุ่นคิดมีแผนว่าต้องทำอะไรบางอย่าง
เมื่อเห็นว่านักธุรกิจแยกไปทางอื่นแล้ว นิมมานกำลังยืนอยู่คนเดียว เพชรพริ้งก็เดินตรงเข้ามาทางนิมมานจากทางด้านหลัง เธอเดินเข้าไปใกล้นิมมานตอนที่เขากำลังหยิบแก้วไวน์แดงจากเด็กเสิร์ฟที่ถือถาดมา เพชรพริ้งจงใจรอจังหวะ พอนิมมานหันกลับมาก็ชนเข้ากับเพชรพริ้งอย่างจัง จนไวน์แดงหกรดเสื้อของเธอ
“ว้าย”
นิมมานตกใจ “ขอโทษครับ”
คราบไวน์แดงเปื้อนบนชุดสวยของเพชรพริ้ง
“คุณพริ้งเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ชุดพริ้งน่ะสิคะ หมดกัน”
“ผมขอโทษจริงๆครับคุณพริ้ง”
สองหญิงสาวเติมหน้าเรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงเมาท์กันต่อไป
“แสดงว่าคุณเทวานี่ก็เจ้าชู้ใช้ได้เลยนะเธอ”
“ก็เขาหล่อเลือกได้นี่จ๊ะ ถึงจะมีลูกติดแต่ถ้าเขาเลือกฉันไปเป็นแม่เลี้ยงของเด็ก ฉันก็โอเคนะ”
สองสาวหัวเราะคิกคักก่อนจะพากันเดินออกไป รวิปรียาถอนหายใจเบื่อทั้งการต้องรับฟังเรื่องเมาท์ ทั้งยังเริ่มอคติกับเทวามากขึ้น
ทันใดนั้น เสียงกดชักโครกก็ดังลอดมาจากห้องน้ำที่ตะวันอยู่ แล้วประตูห้องน้ำที่เปิดแง้มอยู่ก็ถูกเปิดออกมา รวิปรียาหันไปมอง ตะวันเดินเงียบๆ จ๋อยๆออกมา
รวิปรียาตกใจ ไม่คิดว่าตะวันจะอยู่ในนี้
“ตะวัน! นี่หนูอยู่ในนี้ตลอดเลยหรือคะ”
ตะวันพยักหน้า
“งั้นเมื่อกี๊.. หนู.. ก็ได้ยินหมดเลยสิ”
ตะวันไม่ตอบอะไร รวิปรียารู้สึกสงสารเมื่อรู้ว่าตะวันก็คงได้ยินข้อความที่กระทบจิตใจ พยายามเป็นมิตรกับตะวันให้มากที่สุด
“ล้างมือก่อนนะคะ”
รวิปรียาเอากระดาษทิชชู่มาซับน้ำจากก๊อก แล้วเช็ดมือให้ตะวัน ขณะที่คุยไปด้วย
“แล้วหนูรู้ไหมคะว่าเขาพูดถึงใคร”
“พูดถึงคุณพ่อ แล้วก็ลูกของคุณพ่อที่เกิดจากใครก็ไม่รู้”
“เอาล่ะๆ เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แล้วตะวันก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้ด้วย คราวหน้าถ้ามีใครมาพูดเรื่องที่ไม่ดีอีก ก็เอามือปิดหูไว้” เธอจับมือตะวันสองมือปิดหูสองข้าง “ทำแบบนี้ รู้ไหมคะ จะได้ไม่ต้องได้ยิน โอเคไหมคะ”
ตะวันพยักหน้ารับ
ดารินกลับเข้ามาในห้องน้ำพอดี เห็นรวิปรียากำลังก้มหน้ายกสองมือปิดหูตะวันพอดี
“อ้าว ตะวันเสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้วค่ะ”
“ขอบคุณมากเลยนะคะ คุณรวิที่ช่วยเช็ดมือให้ตะวันค่ะ”
รวิปรียายิ้มให้
“ไปค่ะตะวัน ขอบคุณคุณน้าเขาด้วย”
ตะวันไหว้สวยงาม “ขอบคุณค่ะ”
ดารินจูงมือตะวันออกจากห้องน้ำไป ก่อนไป... ตะวันยังหันมามองรวิปรียา เธอโบกมือลาอย่างให้กำลังใจ
พอตะวันลับตาไปแล้ว เธอก็ถอนหายใจ ทั้งเอ็นดูทั้งสงสาร
ทางด้านนิมมานยืนคุยกับเพชรพริ้งอยู่ในบริเวณที่ไม่ค่อยมีผู้คน เพชรพริ้งไม่สบายใจที่เสื้อและลำคอของเธอยังมีคราบไวน์
“ใส่ชุดเลอะเทอะแบบนี้อยู่ในงาน อายเขาตายเลย”
“คุณพริ้งจะไปห้องน้ำไหมครับ หรือจะกลับไปเปลี่ยนที่บ้าน”
“กลับไปบ้านตอนนี้ก็คงไม่กลับมางานแล้วล่ะค่ะ พริ้งว่าพริ้งคงต้องหาที่ที่เช็ดเนื้อเช็ดตัวได้สะดวกหน่อย แล้วจะได้ลองถอดชุดมาทำความสะอาดดูด้วย”
นิมมานคิดว่าจะเอายังไงดี
รวิปรียากลับเข้ามาในงานเลี้ยง เธอมองหานิมมานไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจอ
นิมมานกับเพชรพริ้งพากันขึ้นมาที่ชั้นซึ่งมีห้องพักของโรงแรม เดินคุยกันมาขณะที่หาห้อง
“ผมขอทางโรงแรมเปิดห้องให้คุณ คุณจะได้ทำความสะอาดได้สะดวก”
“ขอบคุณค่ะ นี่พริ้งทำให้คุณนิมมานเดือดร้อนหรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับ ผมซะอีกที่ทำให้คุณพริ้งเดือดร้อน ผมต้องรับผิดชอบ”
เมื่อทั้งคู่มาถึงหน้าห้องตามหมายเลข นิมมานก็หยุดใช้การ์ดเปิดประตูเข้าไป เพชรพริ้งตามเข้าห้อง นิมมานสำรวจห้องว่าเรียบร้อยดีแล้วก็ส่งการ์ดห้องให้เพชรพริ้ง
“ตามสบายนะครับ คุณพริ้ง ผมต้องกลับไปที่งานก่อน”
แต่เพชรพริ้งไม่รับ เธอปิดประตูห้องซะอย่างนั้น แล้วสวมกอดนิมมานทันที
“คุณพริ้ง!”
“นี่คุณซื่อ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่คะว่าพริ้งคิดยังไงกับคุณมาตลอดสามปี”
นิมมานเริ่มหวั่นไหว “คุณพริ้ง คือผม...”
“พริ้งรักคุณ รักตั้งแต่ได้พบคุณครั้งแรกที่บ้าน รักคุณมาตลอดถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า คุณเป็นแฟนของรวิ ที่พริ้งยอมทำเรื่องน่าอายแบบนี้ก็เพราะพริ้งรักคุณ” เธอเอามือจับใบหน้าของนิมมาน แววตาอ้อนวอน “คุณเองก็รู้ดี ไม่ใช่หรือคะ”
นิมมานสบตาเพชรพริ้งอย่างเผลอไผล เพชรพริ้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จะจูบ นิมมานเคลิ้มตามทั้งคู่จูบกัน แต่แล้วเขาก็รู้สึกตัว เขาดันตัวเพชรพริ้งออก แต่เพชรพริ้งไม่ปล่อยเกาะกอดแน่น
“อย่าทำอย่างนี้เลยคุณพริ้ง เราทำแบบนี้ไม่ได้ ผมมีรวิอยู่แล้ว”
เพชรพริ้งเริ่มหงุดหงิด
“คำก็รวิ สองคำก็รวิ มีตรงไหนบ้างคะที่พริ้งสู้รวิไม่ได้ ตรงไหน? บอกพริ้งมาสิ!”
นิมมานจับไหล่เพชรพริ้งดันออกห่าง พยายามหนักแน่น “ตรงที่ผมรักรวิปรียา ผมจะไม่ทำอะไรที่ทำให้รวิต้องเสียใจเป็นอันขาด”
นิมมานเปิดประตูห้องเดินจากไป ทิ้งเพชรพริ้งไว้กับความโกรธและเกลียด ยิ่งผิดหวัง เธอก็ยิ่งต้องเอาชนะ
ขณะที่รวิปรียาเดินมองหานิมมานในงานเลี้ยง เธอกลับเห็นเทวากำลังคุยสนุกอยู่กับกลุ่มเพื่อนนักธุรกิจ
ความไม่พอใจเบาๆปะทุขึ้นจากเรื่องของตะวัน เธอจึงตรงรี่เข้าไปหาเทวา
เป็นจังหวะที่เทวาปลีกตัวมาจากเพื่อนๆพอดี เทวาชะงักเมื่อหันหน้ามาเจอเธอ รอยยิ้มผุดขึ้นจางๆบนใบหน้าเทวา
“คุณเทวา ในขณะที่คุณกำลังสนุกอยู่ตรงนี้ รู้บ้างไหมคะว่าลูกสาวคุณกำลังรู้สึกยังไง”
เทวางง ตกใจเล็กน้อย “มีอะไรครับ ตะวันเป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
“อ้าว”
“ฉันหมายถึงแกไม่ได้รับบาดเจ็บหรืออะไรทางร่างกาย แต่เมื่อกี๊ฉันเจอตะวันในห้องน้ำ”
“แล้ว...?”
“ฉันบอกคุณไปแล้วใช่ไหมคะ ว่าคนเป็นพ่อควรจะดูแลลูกไม่ให้คลาดสายตา คุณไม่ควรปล่อยให้ลูกไปเข้าห้องน้ำตามลำพัง”
“แต่ตะวันอยู่กับดาริน น้องผมคงไม่ปล่อยให้หลานไปเข้าห้องน้ำเองมั๊งครับ หรือคุณคิดว่าผมควรจะพาลูกไปเองแล้วเอาลูกเข้าห้องน้ำชาย เอ..หรือผมควรจะไปนั่งเฝ้าลูกในห้องน้ำหญิงจะได้ไม่คลาดสายตา เอาแบบไหนดีล่ะ”
“นี่คุณกำลังกวนฉันเหรอ”
“เปล่า ผมแค่กำลังจะบอกคุณว่า ผมเลี้ยงตะวันมาแบบให้แกช่วยเหลือพึ่งพาตัวเองได้ เรื่องเข้าห้องน้ำเนี่ย แกดูแลตัวเองได้ตั้งแต่อายุ3ขวบแล้ว”
“ที่นี่มันโรงแรมนะคะ ไม่ใช่ที่บ้าน”
“ผมก็บอกคุณแล้วว่า ลูกผมอยู่กับน้องสาวผม”
“โอเคค่ะ ฉันไม่อยากเถียงกับคุณ เอาเป็นว่าคุณคิดว่าลูกคุณโตแล้วดูแลตัวเองทางร่างกายได้ แต่จิตใจของเด็กก็สำคัญเหมือนกันนะคะ ความรู้สึกของเด็กเป็นสิ่งที่เปราะบางมาก เด็กไม่ใช่ตุ๊กตา เขามีความรู้สึก มีความกลัว มีความสับสน คุณคงไม่เข้าใจหรอกว่าคนที่ไม่มีแม่อยู่ข้างๆในเวลาที่เขาต้องการใครสักคน มันว้าเหว่ขนาดไหน แล้วนี่... ยังจะมีพ่อที่ทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญอีก”
“เจ้าสำราญ? นี่หมายถึงผมเหรอ”
“ใช่! ความรักสนุกเจ้าสำราญของคุณเนี่ย มันอาจจะกลายเป็นปมในใจของเด็กคนนึงไปตลอดชีวิต คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เคย”
“นี่คุณ!”
“ก็คุณยิ่งพูดผมก็ยิ่งงง นี่ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณมาโวยวายใส่ผมเรื่องอะไร”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะมาอธิบายให้คุณฟังทำไม มันไม่ใช่ธุระของฉันสักหน่อย”
รวิปรียาหันหลังเดินออกจากงานไปเลยอย่างฉุนเฉียว ทิ้งให้เทวายืนงง เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เทวาร้องเรียกตามหลัง
“คุณรวิปรียา แล้วเราจะไม่คุยกันให้รู้เรื่องก่อนเหรอคุณ”
รวิปรียาเดินลิ่วไปไม่หันกลับมา ปล่อยให้เทวาหัวเสีย
รวิปรียาเดินฉับๆมาถึงบริเวณล้อบบี้ใกล้กับประตูทางออกหน้าโรงแรม เจอกับนิมมานที่โผล่ออกมาจากทางลิฟต์พอดี
“นิมมาน ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ รวิตามหาคุณซะทั่วงานเลย”
นิมมานแก้ตัว
“อ๋อ พอดีผมเบื่อๆน่ะ ก็เลยออกมาเดินเล่น รวิมีอะไรหรือเปล่า”
เทวาเดินตามหารวิปรียาเพื่อขอคำอธิบายมาจนถึงบริเวณล้อบบี้ แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่า รวิปรียายืนคุยกับนิมมาน ด้วยท่าทางสนิทสนม
“รวิว่าจะชวนคุณกลับบ้านน่ะค่ะ”
“ผมก็กำลังอยากกลับอยู่เหมือนกัน”
ทั้งคู่พากันเดินออกไปทางด้านหน้าโรงแรม ทิ้งให้เทวามองตาม ไม่เห็นหน้านิมมานชัดๆ แต่เห็นนิมมานโอบเอวรวิปรียาเดินจากไปต่อหน้าต่อตา
เทวาอึ้ง สงสัย
อ่านต่อตอนที่ 2