เชลยศึก ตอนที่ 10
หากมองจากท้องฟ้าลงมา แลเห็น กล้า นิล และ โหน พากันออกอาวุธมวยท่าจาตุรงคบาตรตามเที่ยง ที่ฝึกอยู่แถวหน้าเป็นผู้นำ ในแสงแรกของยามเช้าอันสวยงาม พอเวลาผ่านไป กล้า นิล และโหนฝึกออกอาวุธด้วยท่วงท่าที่สวยงามถูกต้อง มีเที่ยงออกมายืนดูด้วยความพึงพอใจ
การฝึกซ้อมคู่ของนิลกับโหน สองหนุ่มประลองฝีมือหมัดมวยอย่างสูสี ผลัดกันได้เปรียบและเสียเปรียบ จังหวะหนึ่งนิลได้เปรียบเรื่องอาวุธเท้า ส่วนโหนก็ได้เปรียบเรื่องพละกำลัง
อีกคู่กล้ากับเที่ยงประลองกัน ผลัดกันรุกและรับ คู่นี้ท่วงท่าและการออกอาวุธสวยงาม นิลกะโหนมองทึ่ง
การฝึกซ้อมและการทดสอบเสร็จสิ้นลง กล้า นิล และโหน ก้มลงกราบเที่ยงตามธรรมเนียมศิษย์มีครู
“พวกเอ็งเรียนรู้ได้เร็วมาก ข้าขอชมจากใจจริง” เที่ยงยิ้มให้สามหนุ่ม
“พวกข้ามาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะมีครูเป็นผู้หล่อหลอม บุญคุณนี้ชดใช้อย่างไรก็มิอาจหมดสิ้น”
นิลเสริมจากกล้าว่า “จริงจ้ะ ครูทำให้มวยวัดอย่างพวกข้า เข้าใกล้คำว่าทหารกล้ามากขึ้นทุกที นับเป็นบุญของพวกข้ายิ่งนักที่ได้มาเจอครู”
“ทีนี้ละ ข้าจักได้เป็นทหารของพระยาพิชัย แลจักได้กุดหัวไอ้พวกพม่าเสียให้สิ้น” โหนฮึกเหิมมาก
“หวังว่าพระยาพิชัยจักเห็นความมุ่งมั่นของพวกเรา แลยอมให้เป็นทหารในสังกัดของท่านในครานี้” นิลว่า
สามหนุ่มมีสีหน้าชื่นมื่นเต็มไปด้วยความหวัง
“พวกเจ้าสามคนยังต้องฝึกกันอีกมากนัก” เที่ยงบอก
“หมายความว่าฝีมือพวกข้ายังดีมิพอ ที่จะเป็นทหารของพระยาพิชัยได้อย่างนั้นรึครู” กล้าถาม
เที่ยงพยักหน้ารับ ทำให้กล้า นิลและโหนพากันหน้าเจื่อน เหมือนหมดกำลังใจ
“แต่มิได้เป็นทหารของพระยาพิชัย ก็มิได้หมายวความว่าพวกเอ็งจะกอบกู้บ้านเมืองมิได้เสียหน่อย”
“หมายความว่ากระไรรึครู” โหนถาม
“ก็หมายความว่า วันใดวันหนึ่งถ้าพวกเจ้าฝึกปรือจนฝีมือแก่กล้า พวกเจ้าก็สามารถรวบรวมสมัครพรรคพวก แลสร้างกองกำลังเพื่อกอบกู้บ้านเมืองได้น่ะสิ” เที่ยงบอก
“หากถึงวันนั้นแล้ว ครูจะอยู่กับพวกข้าใช่รึไม่” กล้าถาม
เที่ยงยิ้มพลางว่า “ก็ต้องดูก่อนว่าพวกเจ้าฝีมือดีพอที่จะเสี่ยงร่วมเป็นร่วมตายได้รึไม่”
“ถ้าเยี่ยงนั้นพวกข้าจักตั้งใจฝึกให้มากขึ้น เอ้าเฮ้ย ฝึกต่อ”
กล้า โหนและนิลออกกระบวนท่าต่างๆ เพื่อให้เที่ยงเห็นความตั้งใจจริง เที่ยงยืนมองด้วยความพึงพอใจใจ
องค์อุทุมพรกำลังเสนอแนะการปรับวางกองกำลังให้พระเจ้าเอกทัศน์ฟัง ผ่านกระดานแผนที่อโยธยา บนตำหนักเจ้าอยู่หัว
“โปรดเชื่อหม่อมฉันสักนิดเถิดพระเจ้าข้า หากเมืองหน้าด่านมิเข้มแข็ง การเสริมกำลังในพระนครก็หาเกิดประโยชน์อันใดไม่
“ข้าได้ยินมาว่ามีชาวบ้านรวมกลุ่มกันสู้กับพวกพม่า แลฝีมือก็มิธรรมดากันเสียด้วย แค่นี้ยังมิพออีกรึ”
“ชาวบ้านพวกนี้มีฝีมือก็จริง แต่ก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ อาศัยรบแบบกองโจร หากเจอทัพใหญ่ก็มิสามารถรับมือได้ดอกพระเจ้าข้า”
พระยาอาทรหมอบคลานนำหญิงสาวหน้าตาดีเข้ามากราบถวายบังคม
“ถวายบังคมพระเจ้าข้า”
พระเจ้าเอกทัศน์หันไปมอง “ว่าอย่างไรพระยาอาทร วันนี้มีการอันใดจักหารือกับข้าอย่างนั้นรึ”
“แม่หญิงผู้นี้ชื่นชอบการฟ้อนรำ แลอยากจะร่ำเรียน หม่อมฉันเลยมาขอฝากฝังกับพระองค์ ให้เมตตารับลูกนกลูกกาคนนี้ไว้ร่ำเรียนสักคนนึงพระเจ้าข้า”
พระยาอาทรกับพระเจ้าเอกทัศน์มองตากันอย่างรู้ใจ ว่าเป็นการนำนางบำเรอมาถวาย
“ได้สิ พระยาอาทร”
พระเจ้าเอกทัศน์หยิบถุงใส่อัฐมายื่นให้พระยาอาทร
“เอานี่ ข้าให้เป็นสินน้ำใจแก่เจ้า”
พระยาอาทรถวายบังคมลา “เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาสุดมิได้พระเจ้าข้า”
องค์เอกทัศน์มองหญิงสาวด้วยความเสน่หา พระเจ้าอุทุมพรปรายมองแว่บเดียวลอบถอนหายใจ
ภายในค่ายทหารกองทัพอังวะ บริเวณกระโจมที่พักมังจาเล
ราชบุตรอังวะนั่งอยู่หน้ากระดานแผนที่การรบ กำลังครุ่นคิดแผน การรบอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่ทหารพม่าคนสนิทจะเข้ามาถวายน้ำจันทร์
ยานเปง ทหารคนสนิทเอ่ยขึ้นว่า “คิดการศึกอยู่หรือพระเจ้าข้า”
“ใช่ ต้องคิดหาลู่ทางเตรียมไว้หลายๆ ทาง"
“เตรียมไว้ตอบพวกลองภูมิพระองค์กระนั้นรึพระเจ้าข้า”
มังจาเลขำ “เจ้านี่ช่างรู้ดียิ่งนัก”
เฟื่องฟ้าย่องมาแอบฟังมังจาเลคุยกับยานเปง
“พระองค์เป็นถึงองค์รัชทายาท แต่แม่ทัพนายกองบางคนกลับชอบลองภูมิ แลแสดงท่าทีมิให้เกียรติพระองค์ยิ่งนัก”
“หากเป็นทองแท้ ใยจักต้องเกรงกลัวไฟกันเล่า รอสายของข้ากลับมาจากกรุงศรีก่อน แลข้าจักวางแผนเข้าตีกรุงศรีให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน”
เฟื่องฟ้าทนฟังไม่ไหวเดินออกมาต่อว่ามังจาเลอย่างฉุนเฉียว
“นี่จักจองล้างจองผลาญให้พินาศย่อยยับกันเลยรึ”
มังจาเลกับยานเปงพากันอึ้ง
“พวกข้าต่างบ้านแตกสาแหรกขาดยังมิพอ คงต้องตายตกไปตามกันกระนั้นสินะ ถึงจะหนำใจพวกเจ้า”
“ข้ากำลังคุยการศึกกันอยู่ เจ้ามิควรมาแอบฟังเยี่ยงนี้นะ” ยานเปงไม่พอใจ
มังจาเลตัดบท “เจ้าออกไปก่อน ข้าจักคุยกับนางเอง”
ยานเปงค้อมตัวแสดงความเคารพแล้วเดินออกไป มังจาเลเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าจักให้ข้าทำเยี่ยงไร ในเมื่อข้าเป็นทหารอังวะ จักให้ข้าไปตีอังวะกระนั้นรึ”
“เจ้ามิต้องมากระแนะกระแหนแดกดันข้า เจ้าจักทำการใดก็สุดแล้วแต่เจ้า เชลยเยี่ยงข้าจักมีปากเสียงกระไรได้”
เฟื่องฟ้าเดินออกไปอย่างโกรธขึ้ง มังจาเลถอนหายใจด้วยความอึดอัดลำบากใจเหลือเกิน
พระเจ้าอุทุมพรจิบน้ำชาครุ่นคิดหาทางออกให้กับบ้านเมืองอยู่ เที่ยงคลานเข่าเข้ามาถวายบังคม พระเจ้าอุทุมพรยิ้มรับบางๆ
“เป็นเยี่ยงไรบ้างครูเที่ยง ลูกศิษย์ลูกหาเก่งพอจักไปกุดหัวไอ้พวกพม่าได้รึยัง”
เที่ยงยิ้มอายๆ “พระองค์ทรงสัพยอกข้าแรงยิ่งนัก”
“ระดับทหารจาตุรงคบาตร แลยังเป็นราชองครักษ์ของข้า ลูกศิษย์มีหรือจักฝีมือมิเทียบเท่ากับครูได้”
“พวกศิษย์ข้ายังต้องฝึกฝนฝีมือกันอีกมากนักพระเจ้าข้า”
“เอาเถิด เมื่อเจอคนดีก็สร้างให้พวกเขาเข้มแข็งกันเข้าไว้ วันนึงพวกเขาจักได้กำจัดคนมิดีออกจากชาติบ้านเมือง"
“คนมิดีเยี่ยงพระยาอาทร ที่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์ถือหางอยู่ คงจักเป็นการยากยิ่งนัก ถ้าคิดจักกำจัดออกจากชาติบ้านเมือง”
พระเจ้าอุทุมพรถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พูดกันตามตรง ศึกนอกข้ามิเคยหวั่นกระไรทั้งสิ้น แต่ศึกในนี่สิ ข้าล่ะหวั่นใจยิ่งนัก”
องค์อุทุมพรสีหน้าเคร่งเครียด เที่ยงเองก็พลอยหนักใจไปด้วย
หลังจากฝึกมวยเสร็จ สามหนุ่มเดินกลับบ้านพักกล้าโม้ว่าร่างกายตัวเองหายเร็วกว่าคนอื่น นิลรู้ทัน กระซิบบอกโหนว่า
“อยากรู้ไหมว่าหายเร็วเพราะอะไร คืนนี้เอ็งอย่านอนสิ แล้วจะรู้ว่ามันเป็นเยี่ยงใด”
ค่ำคืนนั้น มะขามแอบเอายามาทาแผลฟกช้ำให้กล้า แม้จะทาเบาๆ แต่กล้าก็รู้สึกตัวเพราะไม่ได้หลับ แต่แกล้งหลับต่อทำเป็นไม่รู้
เช้าวันต่อมา กล้าเอาแต่เหม่อเพราะคิดถึงตอนมะขามย่องเข้ามาทายาให้ เลยโดนนิลกะโหนพยักพเยิดแซวเอาว่า
“รู้แล้วใช่ไหมละพ่อว่าหายเพราะอะไร”
นิลกะโหนหัวเราะขำกลิ้ง โหนเห็นกล้างงไม่หายจึงทำเป็นยื่นปากมาหานิลทำท่าจะจูบ โดนนิลตะบันหน้าจนเลือดกบปาก สองคนไล่เตะตีกันออกไป ทิ้งกล้าที่งงไม่หายว่าเหตุใดมะขามจึงทำดีกับตนเยี่ยงนี้ไว้ลำพัง
คืนต่อมามะขามแอบเข้ามาเอายาที่ขอมาจากพระมาทาให้กล้าอีก มองแผลเห็นดีขึ้นก็ยิ้มดีใจ กล้าชักเริ่มรู้สึกดีและแกล้งมะขามกลับด้วยการทำเป็นละเมอนอนทับขาสาวจอมแก่นไม่ให้ไปไหน มะขามยิ้มเขิน ปล่อยให้กล้านอนทับขาอยู่อย่างนั้น พอกล้าพลิกตัวไปหนุนหมอนมะขามจึงรีบลุกเดินออกไปปิดประตู
กล้าลืมตามองแผลที่มะขามทายาให้ยิ้มกับตัวเอง เริ่มรู้สึกดีๆ กับมะขาม
เช้านี้ กล้ามองมะขามแล้วยิ้มเอาๆ มะขามงงทำไมไอ้ขนมต้มมองตนแปลกๆ จังวันนี้ ตลอดทางที่เดินมาทำบุญด้วยกันจนถึงวัด
ลมพัดเย็นๆ เอื่อยๆ ส่งให้กระดิ่งเกิดเหนือหลังคาโบสถ์ภายในวัดเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง ใครได้ยินแล้วรู้สึกสงบร่มเย็น
พระเจริญพระพุทธมนต์ให้ศีลให้พร เริ่มบทกรวดน้ำ
“ยะถาวาริวะหาปูรา...”
มะขามกำลังกรวดน้ำด้วยสีหน้าสดชื่นและรินจนหมดเมื่อพระสวดมาถึง “…มะณิโชติระโส ยะถา...” พอพระรับว่า
“สัพพีติโย วิวัชชันตุ...” สองคนพนมมือรับพรท่านไปจนจบ
กล้านั่งพนมมืออยู่ข้างๆ พลอยรู้สึกดีไปด้วยที่เห็นมะขามยิ้มได้
ถัดจากนั้นมะขามเดินเอาน้ำที่กรวดมารดต้นไม้ใหญ่ข้างโบสถ์ กล้าเดินตามมาติดๆ
“สบายใจขึ้นแล้วนะ"
มะขามพยักหน้ารับ ยิ้มชื่น “สบายใจขึ้นมากเลย ขอบน้ำใจเจ้ามากนะ ที่พาข้ามา"
“เห็นเอ็งสบายใจเยี่ยงนี้ ข้าก็พลอยสบายใจไปด้วย”
มะขามมองกล้ายิ้มๆ รู้สึกว่าวันนี้กล้าพูดจานิ่มนวลกับตนมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“พูดจานิ่มนวลกับข้าก็เป็นรึ"
“พูดราวกับที่ผ่านมา เอ็งกับข้ามิเคยพูดดีกันอย่างนั้นล่ะ”
“ก็มิถึงกับพูดมิดีดอก แค่รู้สึกว่าวันนี้เจ้าดูนุ่มนวลกับข้ามากขึ้นก็เท่านั้น”
กล้ายิ้มชื่น “เอาเป็นว่าข้าจักนุ่มนวลกับเจ้าให้มากกว่าเมื่อก่อนก็แล้วกัน เจ้าจักได้สดชื่นแจ่มใสเยี่ยงนี้”
“สัญญานะ”
“สัญญา”
มะขามมองกล้าด้วยความรู้สึกดีๆ กล้ายิ้มตอบสบายใจที่ได้มาทำบุญให้พี่เอื้อยของมันด้วยอีกส่วนหนึ่ง
“ถ้าเฟื่องฟ้าอยู่ด้วยก็คงได้ชวนกันมาทำบุญนะ”
จู่ๆ มะขามอารมณ์เสียขึ้นมาตะหงิดๆ “งั้นรึ”
“ใช่ นี่ถ้ารู้ว่าขุนฟ้าลั่นสิ้นแล้ว เฟื่องฟ้าคงเสียใจมาก” กล้ายังไม่รู้ชะตา
“เป็นห่วงความรู้สึกกันเยี่ยงนี้ เหตุใดมิไปตามแม่นางเฟื่องฟ้าของเจ้ากลับมาเสียล่ะ”
มะขามค้อนขวับแล้วเดินกระเง้ากระงอดหนีไปอย่างหงุดหงิดใจ โดยที่กล้าไม่รู้ตัว พอหันมาก็ไม่เจอแล้ว
“อ้าว..เป็นอะไรของเอ็งอีกล่ะเนี่ย”
กล้าทั้งงงและเซ็ง ที่อยู่ๆมะขามก็มาหงุดหงิดใส่ แถมเดินหนีไปดื้อๆ
ตลาดละแวกวัดวันนี้ ชาวบ้านซื้อของเดินกันขวักไขว่ไปมา ไม่มีใครรู้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นราชธิดามะเมียะแห่งอังวะ ที่แต่งตัวเหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไป ปะปนอยู่ด้วย
มะเมียะเดินมองสภาพภูมิประเทศรอบด้าน และแอบวาดตำแหน่งที่ตั้งของวัด และสิ่งปลูกสร้างรอบๆ อย่างง่ายๆ ลงบนสไบที่ห่มคลุมไหล่มา
ชาวบ้านชาย 2 คนเดินผ่านมะเมียะ เกิดสะดุดตาในความงามจึงพากันหันกลับเดินตามไป
มะเมียะเดินสำรวจพร้อมกับแอบวาดตำแหน่งต่างๆอย่างคร่าวๆ โดยไม่รู้ว่ามีคนเดินตามหลังมา
จากที่ตามเพราะความเสน่หา ชายชาวบ้าน 2 คนเริ่มสงสัยแทน หลังจากเห็นท่าทางผิดสังเกตของมะเมียะ ทั้ง 2 คุยขณะที่สายตามองจ้องมะเมียะมองสำรวจพื้นที่ไปไม่วางตา
ชาวบ้าน 1 ตั้งข้อสังเกตว่า “เฮ้ย..เอ็งว่าท่าทางนังคนนั้นมันแปลกๆ รึเปล่าวะ”
ชาวบ้าน 2 เห็นด้วย “เออ ดูลับๆ ล่อๆ กระไรชอบกลนัก”
“รึว่าจะเป็นสายของพวกพม่า”
ชาวบ้าน 2 คนมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจเร่งฝีเท้ามาดักหน้ามะเมียะไว้ มะเมียะตกใจเล็กน้อย ที่อยู่ๆ ก็มีคนมาขวาง แต่ก็พยายามไม่แสดงพิรุธออกมา
“มาขวางทางข้าด้วยเหตุอันใดรึ”
ชาวบ้าน 1 ถามพร้อมกับจดสายตาจ้องจับผิด
“ท่าทางเจ้าดูลับๆ ล่อๆ แลหน้าตาก็มิคุ้นเอาเสียเลย เจ้าเป็นใครมาจากไหน”
มีชาวบ้านเดินผ่านไปมาได้ยินเสียง เริ่มหันมามองเหตุการณ์
มะเมียะอึกอักเล็กน้อย แล้วยิ้มบอกว่า “เอ่อ..ข้ามาจากเมืองเหนือน่ะจ้ะ เพิ่งจักหนีทัพพม่ามาถึงที่นี่ ข้าไปนะ”
ชาวบ้าน 2 มองสำรวจ “แล้วในผ้านั่นเจ้าเขียนอันใดรึ ขอข้าดูหน่อยได้รึไม่”
“มิมีอันใดดอก จักดูทำไมรึ”
ชาวบ้าน 1 มองคาดคั้น “ถ้ามิมีอันใด ใยจึงให้ข้าสองคนดูมิได้ล่ะ”
มะเมียะเหลียวมองหาทางหนีทีไล่ แล้วทำเป็นมองไปทางด้านหลังของชายชาวบ้าน
“พ่อจ๋า..."
ชาวบ้าน 2 คน หลงกลหันไปมองด้านหลัง มะเมียะตัดสินใจวิ่งหนีในทันที
“เฮ้ย..ช่วยจับนังนั่นไว้ที” ชาวบ้าน 2 ร้องบอก แล้วพากันวิ่งตามมะเมียะไป
ชาวบ้านต่างมองด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
มะขามวิ่งหนีชาวบ้าน 2 คน มาตามทาง ขณะที่ชายชาวบ้านทั้งสองร้องตะโกนให้คนอื่นช่วยกันจับ
“เฮ้ย ช่วยกันจับนังนั่นที มันเป็นสายให้พวกพม่า”
ชาวบ้านช่วยกันจับมะเมียะ แต่มะเมียะก็วิ่งหลบไปได้หลายด่าน บรรยากาศยิ่งโกลาหลวุ่นวาย
อีกมุมหนึ่งในละแวกใกล้ๆกัน กล้าเดินบ่นบ้ามาคนเดียว ยังเซ็งกับมะขามที่มาหงุดหงิดใส่ไม่หาย
“พูดดีด้วยแล้วมาหงุดหงิดใส่ งั้นก็ไม่ต้องพูดดีกันละ”
มะเมียะวิ่งหนีชาวบ้านที่พากันรุมจับ โดยแอบทิ้งหลักฐานเข้าข้างทาง โดยที่ไม่มีใครเห็น
กล้าเดินมาเข้าทางวิ่งของมะเมียะพอดี สองคนชนกันจังๆ มะเมียเซไปตามแรงชน
“ว้าย”
กล้าประคองมะเมียะไว้ทันก่อนที่จะล้มลง สองคนสบตากันใกล้ชิดกัน
“เจ้าเป็นอันใดรึไม่”
กล้าเฉยๆ มะเมียะอึ้งตะลึงแล เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างล่ำสันบึกบึนของกล้า
ชาวบ้านชาย 2 คน ตามมาจนทันจ้องหน้ากล้าและมะเมียะอย่างเอาเรื่อง กล้างงเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“นี่ไง ไอ้สองคนนี้มันเป็นสายให้พวกพม่า” ชาวบ้าน 2 โวยวาย
กล้าด่ากลับ “เฮ้ยๆ สายพม่าอันใดกัน ข้าชื่อกล้า มิใช่คนพม่าโว้ย”
“แล้วเจ้ารู้จักกับนังคนนี้รึไม่” ชาวบ้าน 1 คาดคั้น
กล้ามองหน้ามะเมียะ เห็นแววตาอ้อนวอนให้ช่วยอยู่ในทีก็สงสาร
“รู้สิ..นี่อีมะขวิด เพื่อนข้าเอง"
ราชธิดาอังวะสำลักพรวด อารามตกใจชื่อใหม่ตัวเอง
ชาวบ้าน 2 จ้องหน้าจับผิด “เป็นอะไร”
มะเมียะรับสมอ้างทันที “จ้ะ ข้าชื่อมะขวิด แลข้าก็มิใช่สายให้พวกพม่าด้วย”
ชาวบ้าน1 ไม่เชื่อ “แต่ข้าเห็นเจ้ามองสำรวจพื้นที่ แลยังขีดๆ เขียนๆ อย่างลับๆ ล่อๆ อีก
“ไหนล่ะ ข้าขีดเขียนอะไร..พวกเจ้าอย่ามาปรักปรำข้านะ”
มะเมียะชูมือให้ทุกคนดูว่าไม่ได้ซ่อนอะไรไว้ มีแต่ตัวเปล่า ชาวบ้านบางส่วนเริ่มทยอยเดินออกไป
“เพื่อนข้ามิใช่สายให้พวกพม่าดอก ดูสิ งามเสียขนาดนี้”
มะเมียะยิ้มเขินรับคำชมจากกล้า ก่อนที่กล้าจะพูดต่อ
“สาวพม่ามีรึจักหน้าตาเยี่ยงนี้ ข้าเห็นมีแต่หน้าอย่างกับปลาหมอโดนทุบหัว ดูมิได้สักคน”
มะเมียะสะดุ้ง มองกล้าตาขุ่น นึกเคืองในใจ แต่ฝืนยิ้มรับ ไม่ให้เป็นพิรุธมากนัก
“เออ ถ้าเอ็งยืนยันว่านังนี่เป็นเพื่อนเอ็งก็ช่างเถิด ไปเว้ย”
ชาวบ้านทั้ง 2 คน พากันเดินออกไป
“ปลอดภัยแล้ว นี่บ้านเจ้าอยู่ที่ใดรึ ข้าจักเดินไปส่ง"
“มิเป็นไรดอกจ้ะ ข้ากลับเองได้"
“ให้ข้าไปส่งเถิด เกิดไอ้สองคนนั้นมันมารังควาญเจ้าอีก ทีนี้ไม่มีใครช่วยแล้วนะ”
“ก็ได้จ้ะ”
มะเมียะไม่รู้จะขัดกล้ายังไง เกรงจะเป็นที่สงสัย เลยจำต้องเดินนำกล้าออกไป
มะเมียะเดินนำกล้ามาหยุดที่ตลาดบริเวณริมคลองแล้วหันมาบอก
“ส่งข้าที่นี่ก็ได้จ้ะ บ้านข้าอยู่มิไกลจากที่นี่ดอก”
“จักดีรึ ให้ข้าไปส่งถึงบ้านเลยก็ได้นะ”
มะเมียะอ้ำอึ้งเพราะตัวเองเป็นชาวพม่า ไม่ได้มีบ้านอยู่แถวนี้จริงๆ
“เอ่อ ข้าเกรงว่าจักมิงามน่ะ ส่งข้าตรงนี้ก็พอจ้ะ”
“จริงด้วย มัวแต่เป็นห่วงเจ้า จนลืมไปเลยว่ามันมิงาม”
มะเมียะยิ้มรับ ยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวกล้ามากขึ้น ที่เป็นห่วงตัวเองแบบนี้
“เอ้อ ข้าชื่อกล้านะ แล้วเจ้าล่ะชื่อกระไร”
“ข้าชื่อ” มะเมียะพยายามนึกชื่อไทยให้ตัวเอง "พิกุลจ้ะ”
“ชื่อไพเราะเชียว เมื่อครู่โปรดอภัยให้ข้าด้วย ที่ข้าตั้งชื่อให้แม่พิกุลมิไพเราะเยี่ยงนั้น”
“มิเป็นไรดอก ท่านทำก็เพื่อช่วยข้า แลบุญคุณครั้งนี้ข้าจักหาโอกาสตอบแทนท่านในวันข้างหน้า"
“ผู้หญิงโดนข่มเหงรังแก ข้ามีหรือจักนิ่งเฉยได้ เจ้ามิต้องตอบแทนอะไรข้าดอก”
มะเมียะยิ้มรับ รู้สึกว่ากล้าเป็นสุภาพบุรุษมาก
“ถ้ามิมีอันใดแล้ว ข้ากลับก่อนนะแม่พิกุล”
“จ้ะ”
กล้ายิ้มให้มะเมียะก่อนจะเดินแยกตัวไปอีกทาง มะเมียะมองตามประทับใจกล้าเหลือเกิน
ด้านนิลซ้อมออกอาวุธมวยอยู่คนเดียวจนเหงื่อไหลไคลย้อย ก่อนจะหันไปเห็นโหนนั่งทอดอาลัยหน้าเศร้าหมอง อยู่ไม่ห่างออกไป
ที่แท้โหนน้ำตาคลอเพราะคิดถึงเอื้อย นิลหยุดซ้อมเดินเข้ามาหา พอเห็นโหนน้ำตาคลอก็ขำ
“เฮ้ย นี่ยักษ์อย่างเอ็งมีน้ำตากับเขาด้วยรึวะ”
“ไปซ้อมมวยของเอ็งโน้น มิต้องมายุ่งกับข้า”
“ข้าก็รอเอ็งไปซ้อมด้วยกันอยู่นี่ไง ไป ซ้อมมวยกัน จักได้ไม่ต้องคิดถึงนังเอื้อยให้เศร้าเยี่ยงนี้”
“เพลานี้ข้ายังมิมีจิตใจจักซ้อมมวยดอก”
นิลนั่งลงข้างๆ พร้อมกับตบไหล่เพื่อนปลอบใจ
“ทำใจเสียเถิดวะ เศร้าไปนังเอื้อยมันก็มิฟื้นขึ้นมาหาเอ็งได้ดอก ตรงข้าม มันอาจจะเสียใจอยู่ก็ได้ ที่เห็นเอ็งอ่อนแออยู่เยี่ยงนี้”
โหนรู้สึกดีขึ้น “เออ เอื้อยเพิ่งจากข้าไปเยี่ยงนี้ ข้าคงเข้มแข็งมิได้ทั้งวันทั้งคืนดอก"
นิลครุ่นคิด “เอ็งมิลองเปิดใจกับใครอีกสักคราล่ะวะ หัวใจจักได้กระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง”
โหนปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ ข้าจักไม่มีใครอื่นอีกแล้ว นอกจากเอื้อยผู้เดียวเท่านั้น”
นิลพูดปลุกปลอบใจอีกว่า “เออ ข้าว่าบางทีความรักก็ทำให้เราอ่อนแอเกินไป กระนั้นแล้วก็จงลืมเรื่องผู้หญิงเสีย แลมาฝึกมวยเพื่อความฝันในการเป็นทหารของเรากันดีกว่า”
“เอาวะ ข้าจักต้องเข้มแข็งให้จงได้”
โหนลุกขึ้นอย่างฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า
ระหว่างนี้มะขามเดินถือของกลับจากทำบุญผ่านมา นิลเห็นรีบวิ่งจู๊ดเข้าไปหาทันที
“ไปไหนมารึมะขาม”
“ไปวัดมาน่ะ..นี่ซ้อมมวยกันอยู่รึ”
“อ๋อ ซ้อมเสร็จแล้วจ้ะ” นิลบอกเดินไปกับมะขาม
โหนตะโกนถามมาว่า “อ้าว ไหนบอกจักซ้อมมวยกับข้าไง”
“ข้าบอกเอ็งตอนไหนวะ” นิลหันมาทางมะขาม “มา ประเดี๋ยวข้าช่วยถือ”
นิลรับของจากมะขามมาช่วยถือ แล้วเดินเคียงกันไป
“ปัดโธ่ แล้วก็บอกให้ข้าลืมเรื่องผู้หญิง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองนี่หว่า”
โหนด่าลมแล้งไป เซ็งที่ไม่มีใครซ้อมมวยด้วย
นิลยกของเข้ามาวางให้มะขามด้วยสีหน้าปลาบปลื้มยินดี ที่ได้ทำอะไรให้หญิงที่มันแอบชอบ
“วางไว้ตรงนี้ละ”
นิลวางของลงเรียบร้อย ถามด้วยรอยยิ้ม
“ไปทำบุญให้พ่อมารึ”
“ใช่ ไปกับไอ้กล้ามาน่ะ”
นิลหุบยิ้มแทบไม่ทัน ถามย้ำหน้าเจื่อนๆ
“ไปกับไอ้กล้ารึ"
“ใช่..มีอะไรรึเปล่า หน้าเอ็งดูเครียดๆ”
นิลยิ้มแก้เก้อ “อ๋อ ไม่มีกระไรดอก แล้วนี่ไอ้กล้ามันอยู่ที่ใดกันเล่า”
มะขามหงุดหงิดขึ้นมาทันที ตอบเสียงสะบัดๆ “มิรู้ แล้วก็มิสนใจด้วยว่าจักอยู่ที่ใด”
“ทะเลาะกระไรกับไอ้กล้ามากระนั้นรึ”
“ช่างเถิด ข้าไปทำงานของข้าก่อนนะ”
มะขามเดินออกไปอย่างหงุดหงิดอารมณ์ขุ่นมัว นิลหน้าเจื่อนจ๋อย อดนึกกังวลไม่ได้ว่ายามนี้กล้ากับมะขามอาจจะมีใจให้กันแล้ว
ฝ่ายกล้าเดินเล่นอยู่ในตลาด เดินดูข้าวของที่ชาวบ้านนำมาวางขายจนมาถึงร้านหนึ่ง ถูกใจสร้อยที่วางโชว์อยู่หลายเส้น หยิบขึ้นมาดูเส้นหนึ่ง
“ตาแหลมนะเนี่ย เส้นนี้สวยที่สุดเลย จักซื้อไปให้เมียรึ”
“เฮ้ย ไม่ใช่เมียจ้ะ ว่าจักเอาไปฝากเพื่อนสักหน่อยน่ะ”
“โอ๊ย ถ้าซื้อสร้อยเส้นนี้ให้ จากเพื่อนประเดี๋ยวก็ได้เป็นเมีย” คนขายปากดี
“นี่ก็จะยัดเยียดให้เป็นเมียให้ได้ เส้นนี้กี่ไพล่ะ”
คนขายชู 1 นิ้ว เชิงบอกราคา
“หนึ่งไพ กระนั้นข้าเอาบัดเดี๋ยวนี้เลย”
กล้าทำท่าจะควักเงินให้ แต่คนขายกลับยักท่าดึงสร้อยกลับคืนไป
“หนึ่งเฟื้อง มิใช่หนึ่งไพ”
“โอ้โห สร้อยเท่าเส้นผม ตั้งเฟื้องนึงเลยรึ"
“มิมีปัญญาซื้อก็ไปเลย อย่ามายืนเกะกะหน้าร้านข้า ไป” คนขายตะเพิด
กล้าของขึ้น “คนอย่างไอ้กล้าฆ่าได้หยามมิได้ รอประเดี๋ยวเถิด เดี๋ยวข้าจักมาซื้อสร้อยเส้นนี้”
กล้าเดินฮึดฮัดบ่นบ้าออกไปอย่างมีอารมณ์
“จักไปหาจากไหนวะตั้งเฟื้องนึง”
อีกฟาก เฟื่องฟ้านั่งกอดเข่าหน้าตาบูดบึ้งเคียดขึ้งอยู่ที่พื้น มังจาเลยกอาหารเข้ามาให้ แต่ถูกตะเพิด
“เอาออกไป ข้ามิกิน”
“ตั้งแต่เช้าเจ้ายังมิได้กินกระไรเลยนะ อยากตายรึ!”
“ข้าตายมันก็เรื่องของข้า มิเกี่ยวกับเจ้า”
“เกี่ยวสิ ข้าขี้เกียจต้องมาเผาศพเจ้า แลข้ามีกระไรต้องทำหลายอย่างนัก จักให้ข้ามาเสียเวลากับผู้หญิงเจ้าปัญหาเพียงคนเดียวกระนั้นรึ”
“เยี่ยงนั้นก็โยนศพข้าให้แร้งให้กามันกินก็ได้”
มังจาเลวางอาหารลงต่อหน้าเฟื่องฟ้าอย่างมีอารมณ์ ก่อนจะชักมีดสั้นออกจากเอว เฟื่องฟ้าสะดุ้งคิดว่าจะโดนทำร้าย
“เจ้าจักทำอะไรข้า”
มังจาเลขู่ด้วยมีด “จักกินรึไม่กิน”
เฟื่องฟ้าอึกอักอ้ำอึ้งด้วยความกลัว แต่เพราะความรั้นจึงตอบมังจาเลไปว่า
“ไม่กิน”
“ไม่กินใช่มั้ย”
มังจาเลเงื้อมีดแล้วปักลงพื้นเต็มแรง ดูเผินๆ คล้ายปักมีดลงที่ขาเฟื่องฟ้าจังๆ เฟื่องฟ้าหลับตาปี๋กรีดร้อง ราวกับว่าเจ็บปวดเหลือเกิน
“แอร๊ย...”
มังจาเลตวาด “เงียบ”
เฟื่องฟ้าเงียบกริบ ค่อยๆ หันไปมองมีดที่ปักอยู่ที่พื้นข้างๆตัว
“ดูซิ ว่าจักทนได้นานเพียงใด”
มังจาเลกินยั่วเฟื่องฟ้าด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
เฟื่องฟ้าถอนหายใจโล่ง คิดว่าจะโดนฆ่าเสียแล้ว มังจาเลเคี้ยวหยับๆ ยั่วไปเรื่อยๆ จนเฟื่องฟ้าเผลอกลืนน้ำลายเอื๊อก
“กลืนน้ำลาย หิวแล้วล่ะสิ”
“ไม่!”
เฟื่องฟ้าเมินหน้าหนี มังจาเลก็ขยับไปกินต่อหน้าเฟื่องฟ้า
ทหารพม่าแต่งตัวปลอมเป็นชาวบ้านอโยธยา พายเรือแล่นมาตามสายน้ำในคลอง มุ่งหน้ากลับค่ายทหารอังวะ
ในเรือลำนั้นมี ราชธิดามะเมียะนั่งมาพร้อมนางรับใช้นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลวัดพีคลายร้อนให้
มะเมียะเอาแต่คิดถึงกล้าอยู่มิวายเว้น นึกไปถึงตอนกล้าเดินเข้ามาในทางวิ่งหนีของมะเมียะพอดี มะเมียะวิ่งชนกล้าเต็มๆ กล้าประคองไว้ก่อนที่จะล้มลง สองคนสบตากันใกล้ชิด
ขนาดขึ้นนั่งในรถม้า ราชธิดามะเมียะเอาแต่นั่งอมยิ้ม จนนางรับใช้เริ่มสังเกตเห็นอาการ แต่ก็ไม่พูดอะไร
มะเมียะนึกถึงตอนกล้าออกโรงช่วยไว้ นางชูมือให้ทุกคนดูว่าไม่ได้ซ่อนอะไรไว้ มีแต่ตัวเปล่า ชาวบ้านบางส่วนเริ่มทยอยเดินออกไป กล้าบอกชาวบ้านว่า
“เพื่อนข้ามิใช่สายให้พวกพม่าดอก ดูสิ งามเสียขนาดนี้”
มะเมียะยิ้มรับคำชมจากกล้า ก่อนที่กล้าจะพูดต่อ
“สาวพม่ามีรึจักหน้าตาเยี่ยงนี้ ข้าเห็นมีแต่หน้าอย่างกับปลาหมอโดนทุบหัว ดูมิได้สักคน”
มะเมียะมองกล้าในใจรู้สึกเคือง แต่ก็ฝืนยิ้มเจื่อนๆ ไม่ให้เป็นพิรุธมากนัก
คิดแล้วมะเมียะนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พึมพำเบาๆ
“รูปงาม แต่วาจาช่างร้ายนัก”
“ใครหรือคะนายหญิง”
มะเมียะอึกอัก “เอ่อ มิมีกระไรดอก”
“เกือบจะโดนพวกชาวบ้านจับได้ครานี้ แลคราต่อไป ท่านมังจาเลคงมิให้นายหญิงมาเสี่ยงเยี่ยงนี้อีกเป็นแน่”
มะเมียะนึกหวั่นใจขึ้นมา กลัวว่าถ้ามังจาเลรู้เรื่องจะไม่สบายใจ
ที่หมู่บ้านกองกำลังของนายทองดี นิลนั่งสุมฟืนใส่กองไฟอยู่ ในใจก็คิดเรื่องระหว่างกล้ากับมะขามด้วยความคาใจ ขณะที่โหนจิบเหล้าจากไหอยู่ใกล้ๆ
“อากาศดี เหล้าเลิศรสเยี่ยงนี้ มันสุขเสียยิ่งกระไรว่ะ”
“แบ่งข้าบ้างสิวะ กินผู้เดียวเลยไอ้นี่”
นิลดึงไหเหล้าไปกระดกย้อมใจ กล้าเดินเข้ามาเห็น ดูแล้วนิลกระดกเหล้าดื่มกินหนักกว่าที่เคย
“เฮ้ย ไปหิวเหล้ามาจากไหนวะไอ้นิล กินราวกับจะอาบกระนั้นล่ะ”
“เออ เอ็งนี่กินเสียของแท้เทียว”
โหนรีบดึงไหเหล้าคืนมา นิลนิ่งๆเก็บอาการและความรู้สึกไว้ในใจ
“มันต้องค่อยๆ จิบ แลดื่มด่ำกับบรรยากาศไปด้วยเยี่ยงนี้เว้ย” โหนว่า
“เฮ้ย เอ็งสองคนเห็นบ่อนมวยผ่านหูผ่านตากันบ้างรึไม่วะ”
“เอ็งถามหาบ่อนมวยทำกระไรวะ” โหนงง
กล้าอึกอัก “ก็ถามเฉยๆ เห็นบ่อนเดิมปิดไปสักพักแล้ว เลยอยากรู้ว่ามีที่ใหม่อีกรึเปล่า”
“มีสิวะ บ่อนมวยใหม่ก็อยู่แถวท้ายตลาดนั่นล่ะ ถามคนแถวนั้นดูก็รู้” โหนบอก
เสียงมะขามแหวเข้ามาก่อนตัว “กระไร..ใครจะไปชกมวยบ่อนกระนั้นรึ”
มะขามเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจนัก
“ข้าเปล่านะ ไอ้กล้าโน้น” โหนบุ้ยใบ้
“อ้าวเฮ้ย ข้าแค่ชวนคุยเฉยๆ มิได้จักไปชกมวยบ่อนจริงๆเสียหน่อย” กล้าว่า
“ครูเที่ยงบอกแล้วนะ ว่าไม่ให้ไปชกอวดฝีมือในบ่อนมวยน่ะ” มะขามดักคอ
“เออ ข้าไม่ได้จักไปชกอวดฝีมืออย่างที่เอ็งคิดดอกน่ะ”
“เออ ถ้าปดข้าล่ะก็ เรื่องถึงหูครูเที่ยงแน่”
มะขามเดินกลับที่พักไป กล้าตัดสินใจลุกเดินตามไปห่างๆ นิลมองตาม เริ่มสังเกตท่าทีระหว่างกล้ากับมะขามด้วยความไม่สบายใจนัก
“เป็นกระไรวะ ดูเครียดๆ” โหนถาม
“เรื่องของข้า”
โหนหันหน้าหนีไปจิบเหล้าเคล้าบรรยากาศเพลินๆ ไม่สนใจนิลอีก
มะขามเดินมาถึงหน้าบ้านพัก ก่อนที่กล้าจะเร่งฝีเท้ามาขวางไว้
“เฮ้ย..มาขวางข้าทำกระไรนี่”
“เมื่อตอนอยู่ที่วัด เอ็งโกรธข้าเรื่องกระไร”
“มิได้โกรธกระไรนี่”
“มิได้โกรธแล้วอยู่ดีๆ เหตุใดจึงเดินหนีข้า แลยังพูดจาไม่ดีกับข้าอีก”
มะขามอึกอัก “ก็ มิรู้ จำมิได้ว่าโกรธเรื่องกระไร”
“ห๊ะ มีแบบนี้ด้วยรึ”
“มีกระไรอีกไหม ข้าง่วงนอนแล้ว”
มะขามจะเดินเข้าบ้าน แต่กล้าขยับขวางไว้อีก
“เดี๋ยว สร้อยที่เจ้าใส่ติดตัวอยู่หายไปไหนแล้วรึ”
“หล่นหายไปเมื่อคราวหนีศึกน่ะ”
กล้าพยักหน้ารับรู้ “อ้อ”
“ถามเยี่ยงนี้ จักซื้อให้ข้ากระนั้นรึ”
“อยากได้รึไม่ล่ะ”
มะขามดีใจ “อยากได้สิ เจ้าจักซื้อให้ข้าจริงรึ”
“จักหาอัฐหาเบี้ยที่ไหนมาซื้อให้ล่ะ โวะ”
กล้าเดินออกไปด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท ตั้งใจจะไปต่อยมวยบ่อนหาเงินมาซื้อให้ แต่มะขามก็จ้องจับผิด เลยแกล้งให้หัวเสียเล่น
“ไอ้กล้า ไอ้ทุเรศ”
มะขามหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียว
อีกฟากฝ่ายเฟื่องฟ้านั่งกุมท้องร้องโอดโอยด้วยอาการหิวข้าว ทั้งปลุกทั้งปลอบตัวเองแต่ไม่เป็นผล
“ โอ๊ย..หิวจะแย่อยู่แล้ว อดทนไว้เฟื่องฟ้าอดทนไว้ โอ๊ย ทนไม่ไหวแล้ว”
มังจาเลยกอาหารมาให้ เฟื่องฟ้ารีบทำเป็นไม่รู้สึกหิวในทันที
“เข้ามาทำกระไรอีก”
“เอาอาหารมาให้”
“ก็บอกแล้วว่ามิกิน มิหิว เอาออกไป”
มังจาเลมองรู้ทัน “เลิกยโสเสียทีเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าหิว”
“มิต้องมาสนใจใยดีข้า ถึงวันนี้ข้าจักรอด วันหนึ่งข้าก็ต้องตายเพราะพวกเจ้าอยู่ดี”
“ก็ข้าบอกเจ้าแล้ว..ตราบใดที่เจ้าอยู่กับข้า เจ้าจักปลอดภัย”
“อยู่อย่างหาศักดิ์ศรีมิได้ ข้าขอยอมตายเสียดีกว่า”
มังจาเลวางอาหารไว้ให้ใกล้ๆเฟื่องฟ้า
“บอกไม่กินก็ไม่กินสิ”
-เฟื่องฟ้าปัดอาหารกระจายเต็มพื้น มังจาเลมองอย่างฉุนเฉียว..โกรธมาก
มังจาเลข้างนอกนั่นมีคนอดอยากอยู่ตั้งมากมาย แต่พวกเค้ามิมีโอกาสที่ดีเยี่ยงเจ้า!
มังจาเลพูดพลางเอามือหยิบอาหารที่ตกเกลื่อนพื้นใส่จานอีกครั้ง
“อยู่ที่บ้านเจ้าคงจักมิรู้คุณค่าข้าวปลาอาหารเยี่ยงนี้สินะ”
“ข้าหาได้เป็นคนเช่นนั้นไม่”
“ดี ถ้ารู้คุณค่าข้าวปลาอาหารก็กินเสียให้หมด”
“มันเปื้อน ข้าจักกินได้เยี่ยงไร”
“เปื้อนก็ต้องกิน”
มังจาเลยัดอาหารที่เปื้อนใส่ปากเฟื่องฟ้าพร้อมกับขู่ไม่ให้คาย
“ อย่าคายนะ”
เฟื่องฟ้าพ่นอาหารใส่หน้ามังจาเลทันที มังจาเลอารมณ์ขึ้นสุดๆ
“ข้ามิเคยคิดฆ่าผู้หญิงมาก่อน เจ้าคือคนแรกที่ทำให้ข้าคิดได้”
มังจาเลตัดใจเดินออกไปก่อนที่จะโมโหมากไปกว่านี้ เฟื่องฟ้าไม่สะทกสะท้าน แต่มองอาหารด้วยความเสียดาย
ตกกลางดึกเฟื่องฟ้านอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาเพราะความหิวจัด เสียงท้องร้องดังโครกคราก
“โอ๊ย..ทนมิไหวแล้ว”
เฟื่องฟ้าลุกจากเตียง เดินไปชะโงกมองลาดเลาที่นอกกระโจม แล้วค่อยๆย่องไปดูมังจาเล เห็นลางๆ ว่าราชบุตรนอนอยู่บนที่นอน
“ทางสะดวก”
เฟื่องฟ้าดีใจ รีบย่องออกจากกระโจมไปหาของกิน
เฟื่องฟ้าย่องออกมาจากกระโจมอย่างเงียบกริบมุ่งหน้าไปทางโรงครัว หลบหลีกทหารเวรยามที่เดินผ่านไปผ่านมามองไม่เห็นเฟื่องฟ้ากันสักคน เฟื่องฟ้าเริ่มมั่นใจในตัวเอง
เฟื่องฟ้าย่องมาตามแนวด้านข้างกระโจม อยู่ๆ ทหารพม่าก็เดินผ่านมา เฟื่องฟ้ารีบหมอบกับพื้น จนทหารพม่าเดินผ่านหน้าไป
ทหารนั่งแทะไก่ย่างกันอยู่ที่แคร่ที่มุมหนึ่ง เฟื่องฟ้าคลานต่ำมาเจอจานไก่อยู่ตรงหน้าพอดี จะหยิบไก่ แต่ทหารก็ชิงหยิบไก่ไปแจกจ่ายกันเสียก่อน
“ปัดโธ่” เฟื่องฟ้าบ่นงึมงำ
ทหารเหลียวมองรอบตัว เฟื่องฟ้าคลานมาอยู่ใต้แคร่เรียบร้อยแล้ว ทหารจึงไม่เห็นอะไรผิดปกติก็พากันเดินออกไป เฟื่องฟ้าถอนหายใจโล่ง
เฟื่องฟ้าแอบย่องมาเข้าในโรงครัว พอเข้ามาก็เจอไก่ย่างทั้งตัววางเด่นเป็นสง่าอยู่
“คุณพระ”
เฟื่องฟ้าปรี่เข้าไปหาไก่ย่างด้วยนัยตาลุกวาว ก่อนจะเห็นมังจาเลเดินหัวเราะออกมาจากที่ซ่อน
“หิวแล้วรึ”
“เฮ้ย”
เฟื่องฟ้าตกใจมาก ฉับพลันทันใดก็คิดทางเอาตัวรอด โดยทำเป็นงงๆ ง่วงๆ เหมือนตัวเองละเมอเดินเข้ามาในห้องนี้
“นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรนี่” เฟื่องฟ้ายกมือทาบอกด้วยความตกใจ “คุณพระ ข้าละเมอเดินมาถึงนี่เชียวรึ”
มังจาเลขำ
เฟื่องฟ้ามองตาขุ่น พาลใส่ “เจ้าขำกระไร คนละเมอมันน่าขันตรงไหน”
“หิวก็ยอมรับมาเถิด”
“นี่เจ้าจงใจเอาไก่มาแกล้งข้ากระนั้นรึ”
“หาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้าหิวก็เลยเข้ามากินไก่ตัวนี้”
มังจาเลฉีกไก่กินต่อหน้าต่อตา เฟื่องฟ้าข่มความหิวเม้มปากเล็กน้อย
“กินด้วยกันสิ ข้ากินคนเดียวมิไหวเป็นแน่แท้”
“ข้ามิหิว ข้าง่วงนอน”
เฟื่องฟ้าเดินออกไปอย่างเจ็บใจ มังจาเลตะโกนบรรยายความอร่อยของไก่ไล่หลังเฟื่องฟ้าไปอย่างสนุกปาก
พอเฟื่องฟ้าเดินเข้ามาดูที่นอนมังจาเลชัดๆ ก็รู้ว่ามังจาเลแอบเอาผ้าคลุมไว้ให้เหมือนตัวเองนอนอยู่
“คนเจ้าเล่ห์”
มังจาเลเดินตามเข้ามาพร้อมกับไก่ย่าง
“มา..ช่วยกินไก่หน่อยสิจ๊ะคนดี พี่นี้อิ่มจนแน่นท้องจะแย่อยู่แล้ว”
“บอกว่าไม่กิน ข้าจักนอน”
“นอนรึ! ได้”
มังจาเลจูงเฟื่องฟ้าไปยังที่นอนของนาง
เฟื่องฟ้า โวยวาย “โอ๊ย จักทำกระไรข้านี่”
“ ก็จักนอนมิใช่รึ”
มังจาเลแกล้งเอาไก่ไปวางใกล้ๆที่นอนเฟื่องฟ้า
“ไก่นี้ข้าฝากวางไว้ตรงนี้ รุ่งสางข้าจักมากินที่เหลือ”
“ก็เอาไปวางใกล้ๆเจ้าสิ มาวางกระไรตรงนี้”
“ได้กลิ่นไก่แล้วข้านอนมิหลับ เอาไว้ตรงนี้นี่ล่ะ..ห้ามขยับไปไหนนะ”
มังจาเลยิ้มยั่วก่อนจะเดินไปนอน เฟื่องฟ้ามองไก่พร้อมกับกลืนน้ำลาย
มังจาเลเดินเข้ามาหยอก “อย่าแอบกินของข้าล่ะ”
“เออ มิกินดอก”
เฟื่องฟ้าล้มตัวลงนอนอย่างมีอารมณ์ พอเห็นไก่ก็พลิกตัวหนีและพยายามข่มตาสุดฤทธิ์
นิล โหนและเที่ยงซ้อมมวยกันในตั้งแต่เช้าจนบัดนี้ มะขามเดินถือข้าวห่อใบบัวเข้ามา 4 ห่อ สำหรับกล้า นิล โหนและเที่ยง
“กินข้าวกันจ้า”
“จ้า” โหนขานรับปรี่เข้าหามะขามคนแรก
นิลหมั่นไส้ “แหม เรื่องกินนี่ไวเชียวนะ”
“กองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด นักมวยยอดฝีมืออย่างข้าก็เดินด้วยท้องฉันนั้นล่ะวะ” โหนขอกับเที่ยง “ขอพักกินข้าวก่อนนะครู”
“มาขนาดนี้เอ็งไม่ต้องขอแล้วล่ะ ตามสบายเถิด”
มะขามแจกจ่ายข้าวให้นิลกับเที่ยง
นิลเปิดห่อข้าวดม “หอมยิ่งนัก ฝีมือเอ็งรึมะขาม”
“ใช่ มิรู้ว่าจักอร่อยรึเปล่านะ”
“อร่อยอยู่แล้วล่ะ หอมเสียขนาดนี้” นิลยิ้มกริ่ม
ข้าวยังเหลืออีกห่อ มะขามเหลียวหากล้า “แล้วไอ้กล้าล่ะ
“ไอ้กล้ามันไม่สบายน่ะ” โหนบอก
มะขามตกใจ “ไม่สบายเป็นกระไรรึ”
“มิรู้มัน แต่มันบอกมิเป็นกระไรมาก เอ็งไม่ต้องห่วงมันดอก ข้าวห่อนี้ของมันใช่ไหม”
“เออ”
“ไอ้กล้าป่วย กระนั้นห่อนี้ข้าขอละกันนะ”
โหนดึงข้าวอีกห่อจากมือมะขามไป มะขามแอบเป็นห่วงว่ากล้าจะเป็นอะไรมากไหม ขณะที่นิลก็แอบมองมะขามที่ดูเป็นห่วงกล้าอย่างซึมๆ
ที่ค่ายทหารอังวะมังจาเลเดินรีบเร่งเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่ง เจอมะเมียะนั่งอยู่ในนั้น
“เป็นอย่างไรบ้างน้องพี่ กลับมาอย่างปลอดภัยใช่รึไม่”
“ข้าปลอดภัย แต่ว่างานที่ท่านพี่ให้ทำ ข้าดันทำพลาด”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ”
“ข้าเกือบโดนจับได้ว่าเป็นสายน่ะ”
มังจาเลตกใจ “ว่ากระไรนะ”
“ท่านพี่มิต้องตกใจ โชคดีที่มีคนมาช่วยข้าไว้ แลก่อนหน้าข้าก็ทิ้งหลักฐานทุกอย่างเสีย ก็เลยมิมีใครจับได้”
มังจาเลลูบหัวมะเมียะอย่างรักใครอ็นดูน้องสาว
“เจ้ารอดมาได้ก็ดีมากแล้ว แลใครกันที่ช่วยเจ้าไว้ เผื่อมีโอกาส พี่จักได้ไปตอบแทนเขา”
มะเมียะอึกอัก ไม่รู้จะเล่ายังไง “เอ่อ..เค้าเป็นชาวบ้านธรรมดา พูดไปท่านพี่ก็คงมิรู้จักดอก”
มังจาเลพยักหน้ารับ ก่อนจะนึกถึงเรื่องเฟื่องฟ้าขึ้นมาได้
“เอ้อ พี่มีงานสำคัญให้เจ้าทำอีกอย่าง”
“ทำงานกระไรรึท่านพี่”
มะเมียะมองมังจาเลด้วยความสงสัย มังจาเลยิ้มเจื่อนๆ เพราะไม่รู้ว่ามะเมียะจะทำสำเร็จหรือไม่
ฝ่ายเฟื่องฟ้าดื่มน้ำประทังความหิวโหย แต่ท้องก็ยังร้องโครกครากไม่หยุด
“โอ๊ย ก็กินน้ำแล้วนี่ไง จะร้องเอาอะไรอีก”
มะเมียะยกอาหารเข้ามา เฟื่องฟ้ารีบทำเป็นนิ่งเหมือนคนไม่หิว และมองมะเมียะอย่างสงสัย เพราะไม่คุ้นหน้ามาก่อน ขณะที่มะเมียะก็ยิ้มให้
“แม่นางเฟื่องฟ้าช่างรูปงามยิ่งนัก มิน่า ท่านพี่ข้าถึงชมมิขาดปาก”
เฟื่องฟ้ามองฉงน “เจ้าเป็นใครรึ”
“ข้าชื่อมะเมียะ เป็นน้องสาวของท่านพี่มังจาเลน่ะ”
“ไอ้นั่นมีน้องสาวรูปงามเยี่ยงนี้ด้วยรึ” เฟื่องฟ้านึกหมั่นไส้ ชังน้ำหน้า
มะเมียะขำคิก “ขึ้นอีขึ้นไอ้เยี่ยงนี้ พี่ข้าคงจักสร้างวีรกรรมไว้กับเจ้ามิน้อยเลยสินะ”
“มากจนมิรู้ว่าพูดสามวันสามคืน จักจบจักสิ้นรึเปล่า”
มะเมียะพลอยผสมโรง “พี่ข้านี่น่าตียิ่งนัก เป็นชายอกสามศอกเสียเปล่า รังแกผู้หญิงได้กระไร”
เฟื่องฟ้าเห็นท่าทีเป็นมิตรของมะเมียะก็รู้สึกดีและไว้ใจมากขึ้น
มะเมียะเปิดสำรับอาหารออก “นี่ พอดีข้ากำลังฝึกทำอาหาร ว่าจักเอาไปให้พี่ข้ากิน แต่พี่ข้าก็มิรู้ไปไหน เจ้าช่วยกินแทนทีสิ แลบอกข้าทีว่าฝีมือข้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
เฟื่องฟ้าหูผึ่ง น้ำลายเล็ด แต่ยังมีระแวงเล็กน้อย “พี่เจ้ามิอยู่รึ”
“ใช่ มิรู้ออกไปไหน ถามพวกทหาร ก็มิมีใครรู้ ดูท่าน่าจักออกไปนาน”
เฟื่องฟ้ายิ้มกริ่ม “ออกไปนานรึ”
“ใช่ เจ้าช่วยกินทีนะ ข้าอยากรู้ว่ารสมือของข้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
เฟื่องฟ้าวางฟอร์มทำเหมือนไม่หิว เพียงอยากช่วย “นี่เห็นว่าเจ้าพูดจาดีแลมีความจริงใจนะ ข้าถึงช่วยน่ะ”
เฟื่องฟ้ามองซ้ายมองขวาเล็กน้อย พอเห็นปลอดคนก็ค่อยๆ ชิม เหมือนไม่หิวอยู่ก่อน แต่พอเริ่มอร่อยก็เร่งกินอย่างหิวโหย จนมะเมียะอมยิ้มขำ แกล้งถาม
“รสชาติเป็นเยี่ยงไรบ้างจ๊ะ”
เฟื่องฟ้าพูดทั้งอาหารเต็มปาก “ประเดี๋ยวนะ ให้ลิ้นข้าซึมซับรสชาติอีกนิดแล้วจักบอก”
“ตามสบายจ้ะ”
เฟื่องฟ้ากินอย่างหิวโหย มะเมียะยิ้มขำๆ
มังจาเลแอบดูอยู่ เห็นเฟื่องฟ้ายอมกินข้าวก็ยิ้มออก รู้สึกสบายใจขึ้น
ที่อโยธยา ภายในตำหนักเจ้าฟ้าอุทุมพร เที่ยงรินน้ำชาถวายองค์อุทุมพรที่มีสีเคร่งเครียดชัดแจ้ง
“เรื่องนี้กระหม่อมก็หนักใจอยู่มิใช่น้อย ลำพังแค่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์ก็หนักหนาเอาการแล้ว นี่ยังมีบ่าวช่างยุอย่างพระยาอาทรอีก”
“พระยาอาทรมันก็ปลิงดีๆนี่เอง พอหิวก็มาสูบเลือดสูบเนื้อ มิได้หวังช่วยการใดให้กับชาติบ้านเมืองแม้แต่น้อย”
เที่ยงครุ่นคิด “หากสิ้นพระยาอาทรเสียคนเดียว แผ่นดินก็อาจสูงขึ้น แลบ้านเมืองอาจจะมิตกอยู่ในสภาวะคับขันเยี่ยงนี้นะพระเจ้าข้า”
เจ้าฟ้าอุทุมพรมองหน้าเที่ยง รู้ว่าเที่ยงคิดจะกำจัดพระยาอาทร ซึ่งตัวเองยังไม่เห็นด้วย ประสาคนบวชมา
“ศัตรูรายล้อมอยู่รอบทิศ พร้อมจักบุกเข้ามาฆ่าพวกเราเมื่อใดก็ได้..เช่นนั้นแล้ว เราอย่ามาฆ่าฟันกันเองให้เป็นบาปเป็นกรรมเลย”
“พระองค์พูดเหมือนปลงแล้วกระนั้นล่ะ หม่อมฉันยังเชื่อมั่นว่าพระองค์จะนำพาชาติบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยนะพระเจ้าข้า”
“หากชะตาบ้านเมืองถึงคราวล่มสลาย ร้อยคนเก่งก็คงห้ามมิอยู่ดอกเที่ยงเอ๊ย”
องค์อุทุมพรมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง เที่ยงเห็นเลยพลอยหนักใจไปด้วย
ในสังเวียนยามนี้ นักมวยคู่ชกกำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรงป่าเถื่อน กลุ่มชาวบ้านรอบสังเวียนก็เชียร์กันอย่างเมามัน กล้าเดินฝ่ากลุ่มชาวบ้านเข้ามา จนมาถึงกลุ่มนายบ่อนที่กำลังลุ้นมวยอยู่ กล้ามองคนที่น่าจะใช่นายบ่อน ก่อนจะเดินเข้าไปยกมือไหว้
“มีกระไรกับข้ารึ”
ลูกน้องนายบ่อนมองกล้าด้วยความรู้สึกคุ้นหน้ามาก่อน
“ข้าจักมาชกมวยน่ะจ้ะ”
“ชกมวย”
“จ้ะ..พอดีเมียฉันป่วยหนัก เลยจักมาขอชกมวยหาเงินน่ะจ้ะ” กล้าปด
นายบ่อนมองจ้อง “หน้าตาเอ็งคุ้นๆ กระไรชอบกล”
ลูกน้องกระซิบบอกนายบ่อน หลังจากจำได้แล้วว่ากล้าคือใคร
“เออ ข้าก็ว่าอยู่ว่าเคยเห็นเอ็งที่ไหน เอ็งมันมวยมีครู มิใช่มวยกระโหลกกะลาเสียเมื่อไหร่” นายบ่อนว่า
“หมายความว่าข้าชกมิได้กระนั้นหรือจ๊ะ”
“ชกได้ แต่คู่ชกเอ็งก็ต้องมิใช่มวยกระโหลกกะลาเช่นกันนะ”
นายบ่อนพูดเสร็จก็หันไปลุ้นมวยต่อ โดยในสังเวียน นักมวยคนหนึ่งเตะก้านคอคู่ต่อสู้จนสลบกลางอากาศ ฝ่ายได้เงินพนันก็เฮกันลั่น ฝ่ายเสียพนันก็พากันเซ็ง
นายบ่อนเฮด้วย เพราะได้เงินจากมวยคู่นี้เช่นกัน
“แล้วคู่ชกที่นายบ่อนว่า มีหรือเปล่าล่ะจ๊ะ”
“มีสิ”
นายบ่อนมองไปที่กลางสังเวียน เพราะเป็นคิวของนักมวยคนนี้พอดี
นักมวยคนนี้เป็นมวยจากแดนใต้เดิน เขาออกมายืนตระหง่านกลางสังเวียน รูปร่างกำยำล่ำสัน สีหน้าและแววตาดูโหดเหี้ยมมาก
คู่ต่อสู้เป็นนักมวย รูปร่างท่าทางดูด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังดูมีฝีมือ
“อ้าว มีคู่ชกเยี่ยงนี้ แลข้าจักชกกับใครล่ะ”
นายบ่อนมองไปที่สังเวียน ไม่สนใจจะตอบคำถามกล้า
การชกเริ่มขึ้น นักมวยแดนใต้ ออกอาวุธมวยไชยา ด้วยท่วงท่าที่สวยงามและทรงพลัง สามารถล้มคู่ชกได้อย่างฉับพลันทันที รวดเร็วจนมองกันแทบไม่ทัน ตดยังไม่ทันหายเหม็นก็น็อคกันแล้ว
กล้ายืนมองถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนที่นายบ่อนจะสะกิดเรียก
“ถึงตาเจ้าละ”
กล้ากลืนน้ำลายเอื๊อก
ร่างกล้าโดยชกลอยเคว้งกลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงมากระแทกพื้นอย่างแรง กล้าลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าไปชกกับคู่ต่อสู้ แต่คู่ต่อสู้ว่องไวมาก สามารถหลบอาวุธของกล้าได้ทุกกระบวนท่า ก่อนจะสวนกลับด้วยมวยไชยาที่จับทางได้ยาก จนกล้ากลิ้งไม่เป็นท่าอยู่หลายรอบ
“ท่าจะยังมิเคยเจอมวยทางใต้ จับทางไม่ถูกเลยว่ะ”
นายบ่อนหัวเราะชอบใจ ลูกน้องก็พลอยขำไปด้วย
กล้ายังคงจับทางมวยคู่ต่อสู้ไม่ได้ เลยโดนออกอาวุธใส่จนร่างกายเริ่มน่วม แต่กล้าก็ยังกัดฟันสู้ต่อไป
มะขามเลือกผักอยู่ที่ร้านๆ หนึ่ง ในตลาด มีชาย 1 ชาวบ้านมีอายุเป็นคนขาย ก่อนที่ชาวบ้านชาย 2 วัยไล่เลี่ยกันจะเดินเข้ามาชวนอย่างเร่งรีบ
“เฮ้ย เค้าว่าตอนนี้ที่บ่อนมีมวยคู่เด็ดว่ะ สนใจไปดูกับข้ามั้ย” ชาย 2 ว่า
“เออ ผักหมดประเดี๋ยวข้าตามไป” ชาย 1 บอก
“มันจักไม่ทันการเอาน่ะสิ ตอนนี้เค้าว่ากำลังชกกันอยู่เลย..คนนึงมวยแดนใต้ คนนึงมวยภาคกลาง หาดูมิใช่ง่ายนะ”
“จักไปดูมวยบ่อนให้เสียเวลาทำมาหากินทำกระไรลุง มิมีประโยชน์อันใดขึ้นมาเลย” มะขามทักท้วง
“แต่มวยคู่นี้เก่งทั้งคู่เลยนะ” ชาย 2 นึก “ไอ้มวยภาคกลางนี่ได้ยินว่าชื่อกล้านะ”
มะขามสะดุดหู สะกิดใจ “กล้า กล้าไหนรึ”
“กล้าไหนข้าก็มิรู้ แต่เค้าว่าไอ้นี่เชิงมวยมิใช่เล่นๆ ทีเดียวล่ะ”
มะขามสะกิดใจ “แล้วบ่อนมวยนี่อยู่ตรงไหนรึ”
“โอ๊ย ทางมันสลับซับซ้อน ข้าบอกมิถูกหร๊อก” ชาย 2 ว่า
มะขาม “เก็บของลุง ไปดูมวยก่อน แลค่อยกลับมาขายใหม่” มะขามบอก
ชาย 1 โวย “เฮ้ย เมื่อครู่ยังให้ข้าทำมาหากินอยู่เลย”
“คนเราต้องพักผ่อนบ้าง ทำมาหากินอย่างเดียวเครียดตาย..มา ข้าช่วยเก็บของ”
มะขามช่วยเก็บของเพื่อความรวดเร็ว ก่อนทั้งหมดจะพากันเดินออกไป
ด้านกล้าออกอาวุธใส่นักมวยจากแดนใต้ได้หลายกระบวนท่า หลังจากเริ่มจับทางกันได้
“มันเริ่มจับทางกันได้แล้ว ค่อยสูสีขึ้นมาหน่อย” นายบ่อนพอใจ
มะขามเดินเข้ามาถึงบริเวณบ่อน พยายามจะเดินแทรกชาวบ้านที่กำลังเชียร์มวยกันอย่างเมามันไปดูในสังเวียน
นักมวยแดนใต้ออกอาการเป๋ หลังจากโดนกล้าออกอาวุธใส่ไปหลายดอก
“เอ็งได้สร้อยแน่ มะขามเอ๊ย” กล้าบอกตัวเองในใจ
มะขามฝ่ากลุ่มชาวบ้านมาที่ข้างสังเวียน พอเห็นกล้าก็มีอารมณ์ขึ้นมาทันที
“ไอ้กล้า”
กล้าหันไปทางเสียงเจอสายตามะขามก็อึ้งไป
“มะขาม!
นักมวยแดนใต้สบช่องเตะเข้าก้านคอจนกล้าร่วงกลางอากาศ
มะขามตกใจ “กล้า”
กล้าล้มหน้ากระแทกพื้นอย่างรุนแรง ทุกอย่างในสายตาของมันเบลอๆ ไปหมด มะขามวิ่งเข้ามาในสังเวียนผ้าใบ แต่ยังไม่ทันถึงตัว กล้าสลบเหมือดไปแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 11