xs
xsm
sm
md
lg

กะรัตรัก – Diamond Lover ตอนที่ 18

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 18

สุดท้ายเหลยอี้หมิงต้องมานอนที่โซฟาปลายเตียงนอน โดยมีเกาเหวินขยับมานอนปลายเตียงข้างๆ กัน และฝอยไม่ยอมหลับยอมนอน จนอี้หมิงบ่น

“พี่สาวทำไมคุณยังไม่ง่วงอีก รีบนอนได้แล้ว คุณหลับแล้ว ผมจะได้กลับบ้าน”
“ฉันรู้ว่า คุณไม่เหมือนกับคนพวกนั้นหรอก พวกเขาชอบฉันเพราะว่าฉันสวยและหุ่นดี แล้วก็บทบาทดาราของฉัน เวลาอยู่กับพวกเขาฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนเครื่องประดับ แต่เวลาที่อยู่กับคุณ ฉันรู้สึกว่าฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ฉันลองมาคิดๆ ดูแล้ว ในบรรดาผู้ชายที่ฉันเคยเจอมา มีแต่หานปิงที่รักฉันที่สุด แต่สุดท้ายเขาก็ทรยศฉัน แต่คุณไม่เหมือนกัน ในเวลาที่ฉันลำบากที่สุด คุณไม่เคยทิ้งฉันเลย ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ชอบคุณเท่าไหร่ แต่ก็ต้องขอบคุณที่คุณรักฉัน และขอบคุณที่คุณเคยช่วยเหลือฉัน”
เกาเหวินเม้าท์เพลิน หันมาอีกทีอี้หมิงนอนกรนเฉยเลย หลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ จึงยื่นมาดูใกล้ๆ สะกิดปลุกก็ไม่ตื่น
“ฉันพูดคำซึ้งขนาดนี้คุณหลับได้ยังไงเนี่ย”
เกาเหวินยื่นขื่นมากุมไหล่เขาไว้หลับไปในที่สุด

รุ่งเช้าแสงแดดสาดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เกาเหวินลืมตาตื่น หันมานอนตะแคงมองอี้หมิงอย่างเพลิดเพลิน แต่อีกฝ่ายไม่ตื่นสักที จึงใช้ชายผ้าห่มม้วนแล้วแหย่รูจมูกหมอเหลยถึง 2 ครั้ง จนเขาจามออกมาแต่กลับไม่ยอมตื่น เกาเหวินจึงบีบจมูกเขาทำให้หายใจไม่ออก แหกปากร้องลั่น ตื่นในที่สุด
“เฮ้ย”
เกาเหวินหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ “คุณตื่นแล้วเหรอ”
“กี่โมงแล้ว”
เกาเหวินยิ้มขำ ไม่ยอมตอบอะไร แถมยังใช้ปลายผมมาแหย่เขาอีก อี้หมิงหยิบมือถือมาดูเวลา แล้วตาเหลือก นึกได้ลุกพรวดคว้าสูทมาสวมจะกลับ
“แย่แล้ว มือถือผมแบตหมดตั้งแต่เมื่อคืน เลยเหมือนปิดเครื่องมาทั้งคืน”
เกาเหวินดึงไว้เขาก็ไม่ฟัง ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “แล้วทำไมคุณกังวลอะไร”
“ผมมีธุระต้องไปก่อนแล้ว”
“ไม่ได้ ฉันยังไม่ได้ทำอาหารเช้าให้คุณเลย”
“ไม่ต้องแล้ว หมาที่บ้านไม่ได้เจอผมทั้งคืนมันต้องกังวลแน่ผมต้องไปก่อน”
เกาเหวินจำได้เขาเคยเล่าเรื่องหมา “เดี๋ยวก่อน หมาที่บ้านคุณชอบออกไปวิ่งข้างนอกไม่ใช่เหรอ บางทีมันอาจจะยังไม่กลับมาก็ได้”
อี้หมิงแถ “ผมเข้าใจหมาบ้านผมดีที่สุด”
“นี่ๆ เหลยอี้หมิงคุณอย่าไปนะ”
เกาเหวินฮึดฮัดขัดใจเป็นที่สุดยื่นแขนเรียกไว้เขาก็ไม่หัน ถอนใจเฮือกๆ ก่อนจะคว้าฝ้าห่มที่อี้หมิงข่มมาคลุมตัวกลิ้งลงมานอนที่โซฟาแทนหมอเหลยอย่างสุดเซ็ง

เหม่ยลี่ตื่นแล้วถือแก้วกาแฟเดินลงบันไดมาในชุดเดิม อ้อมมาทางครัวชงกาแฟดื่ม
โดยไม่รู้ว่าเซี่ยวเลี่ยงขับรถมาจอดที่หน้าบ้านกดโทร.หา แต่เมื่อเห็นชื่อเซี่ยวเลี่ยงโทร.มาเหม่ยลี่ก็กดปิดเครื่อง โอนสายเป็นฝากข้อความไว้
“สวัสดีค่ะฉันคือมี่โตะ ตอนนี้ฉันไม่สะดวกรับโทรศัพท์ของคุณ กรุณาฝากข้อความเสียง...”

เหม่ยลี่ทิ้งตัวลงนั่งทอดถอนใจ จนมีเสียงทุบประตูเรียกจึงคิดว่าเป็นอี้หมิง
“เหลยอี้หมิงกลับมาแล้วเหรอ”
แต่พอจะลุกไปเปิดก็ได้ยินเสียงเซี่ยวเลี่ยงที่ทั้งทุบประตูและตะโกนเรียกหา
“มี่โตะ มี่โตะ ผมรู้ว่าคุณอยู่ เปิดประตู มี่โตะ มี่โตะ ถ้าคุณไม่เปิดผมจะแจ้งความนะ มี่โตะ มี่โตะ”
สุดท้ายเหม่ยลี่ก็เดินมาเปิดประตูออกมาถามอย่างหมางเมิน
“คุณมาทำไม”
“ผมอยากคุยกับคุณ”
“ฉันคิดอยู่ทั้งคืน ฉันตัดสินใจแล้ว”
เหม่ยลี่จะปิด เซี่ยวเลี่ยงดันประตูไว้
“เรื่องเมื่อวานผมยังไม่ได้อธิบายคุณเลย”
“คุณไม่ต้องอธิบายหรอก ที่จริงคุณก็พูดถูก เพราะฉันเป็นตัวปัญหาให้คุณเสมอ เพียงแต่เพราะฉันอยากคบกับคุณเกินไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันบอกฉันว่า การหลบหนีไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าอยากแก้ไขปัญหาก็ต้องเผชิญกับปัญหา ฉะนั้นตอนนี้ ขอบคุณมากที่ทำให้ฉันเห็นเรื่องนี้ ต่อไปคุณไม่ต้องมาหาฉันอีกแล้ว”
“มี่โตะ ฟังผมพูดสองสามคำก่อนได้มั้ย ถึงคุณจะตัดสินประหารผมก็ต้องให้ผมอธิบายหน่อยสิ”
“คุณต้องการอะไรกันแน่ คุณเซี่ยว”
เซี่ยวเลี่ยงฉุนกับสรรพนามที่เธอเรียก “อย่าเรียกผมว่าคุณเซี่ยว ผมรู้สึกว่าห่างเหินมาก เหตุผลที่ผมต้องการให้คุณลาออก เพราะว่ามีเพียงวิธีนี้เราถึงจะคบกันได้อย่างไร้กังวล เพราะสิ่งที่เราพบเจอตอนนี้มีแต่ความลำบากและความกดดัน เชื่อผมนะ ผมทำเพราะหวังดีกับคุณ”
“อย่าพูดประโยคนี้กับฉันอีกนะ ฉันจำได้คุณเคยพูดว่าเกลียดคนที่พูดว่าหวังดีกับคุณที่สุด ฉันจะไปดำเนินเรื่องลาออก หลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว เราก็จบเหมือนกัน”
เซี่ยวเลี่ยงอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเดินคอตกไปที่รถเปิดประตูหยุดค้างหันมามองเหม่ยลี่อีกครั้ง แล้วจึงตัดใจขึ้นรถสปอร์ต ขับออกไปเลย

เหม่ยลี่ยืนนิ่งอิงหัวพิงขอบประตูสีหน้าเศร้า

เซี่ยวเลี่ยงกลับเข้าบ้านออกกำลังกายอยู่ในห้องฟิตเนส ฉีหยูเดินเข้ามายืนกุมไข่รายงานข้างๆ ลู่วิ่ง

“คุณเซี่ยวครับ วันนี้เก้าโมงเช้ามีประชุมทุกคนกำลังรอคุณอยู่”
“ไปแจ้งว่ายกเลิกการประชุม”
“คุณเซี่ยวครับ ท่านประธานบอกว่างานแถลงข่าวประสบความสำเร็จมาก เลยเตรียมการให้ลูกค้าพบปะพูดคุย ท่านสั่งให้คุณรีบไปทันที”
“ไปบอกว่าฉันไม่มีเวลา” เซี่ยวเลี่ยงยืนกรานคำเดิม
ฉีหยูหนักใจ “คุณเซี่ยวครับ ทุกคนรอคุณรายงานผลการทำงานอยู่ ยังมีเอกสารเร่งด่วนอีกมากที่รอการอนุมัติจากคุณ นอกจากนี้ ที่คุณเคยตกลงไว้ว่าจะให้สัมภาษณ์หัวข้อการออกแบบเครื่องประดับ ยังจัดการให้มี่โตะร่วมด้วย เรื่องนี้ ก็ยกเลิกด้วยเหรอครับ”
เซี่ยวเลี่ยงสนใจขึ้นมาลดความเร็วจนหยุดสนิทบอกฉีหยู “ไปบอกว่าฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
“ครับ” ฉีหยูรับเอาคำแล้วเดินออกไป
เซี่ยวเลี่ยงมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ที่แผนกออกแบบเม้าท์ข่าวรับอรุณเรื่องงานแถลงข่าวเมื่อคืน โดยยิวยิวพูดเปิดประเด็นขึ้นเบาๆ ว่า
“ฉันได้ยินว่า มีการก็อปปี้ผลงานของคนอื่น มาแล้วๆๆ”
แต่เมื่อเห็นซือหยวนมาถึงทุกนางก็สงบปาก ยิวยิวเปลี่ยนท่าทีเป็นแสดงความยินดีทันควัน
“พี่ซือหยวน พวกเรายินดีกับพี่ด้วยนะ ได้ยินว่าการแถลงข่าวเมื่อคืนน่าตื่นเต้นมาก ยินดีด้วยนะ”
แต่ซือหยวนนิ่งเฉย ระหว่างนี้นักข่าวหยางเดินเข้ามาในแผนกถามหา
“นักออกแบบหลิวซือหยวนอยู่มั้ยคะ”
ซือหยวนหันมา คล้องบัตรพนักงานถามงงๆ “ฉันเองค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือ...”
หยางแนะนำตัว “ฉันเป็นนักข่าวจากนิตยสารการออกแบบเครื่องประดับ จะมาสัมภาษณ์เครื่องประดับรุ่นใหม่ในครั้งนี้โดยเฉพาะ คุณคือผู้ออกแบบในครั้งนี้ใช่มั้ยคะ”
ทุกคนในแผนกตื่นเต้นยกใหญ่ ซือหยวนอึกอัก ไม่กล้ารับเต็มคำ

ฉีหยูรายงานเซี่ยวเลี่ยงขณะมารอรับที่ลิฟต์ และพาเดินมาที่แผนกออกแบบ
“คุณเซี่ยวครับ นักข่าวอยู่ที่ฝ่ายออกแบบแล้ว”
หยางเห็นเซี่ยวเลี่ยวก็เดินไปทักแนะนำตัว “คุณเซี่ยวคะ ฉันคือนักข่าวหยางของนิตยสาร”
เซี่ยวเลี่ยงตัดบททันที “ต้องขอโทษด้วยครับ ยกเลิกการสัมภาษณ์”
ซือหยวนอึ้งไป หยางงง “แต่ว่า…”
เซี่ยวเลี่ยงหันมาทางมือขวา “ฉีหยู ไปส่งคุณนักข่าวหยางกลับ”
“คุณหยางขอโทษด้วยครับ ขอโทษด้วยนะครับ” ฉีหยูยิ้มแย้มผายมือเชิญอย่างสุภาพ
ซือหยวนทักท้วง “คุณเซี่ยวคะ เมื่อกี้นักข่าวพูดว่า...”
เซี่ยวเลี่ยงชี้หน้าเอาเรื่อง “ผมถามคุณรึยัง เมื่อกี้คนที่นักข่าวจะสัมภาษณ์คือคุณหรือไม่ คุณรู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ”
ซือหยวนก้มหน้าหลบตาวูบ จื่อเหลียงเดินออกจากห้องทำงานเข้ามาช่วยพอดี
“ประธานเซี่ยว เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ เรื่องของฝ่ายการออกแบบของเรา คุณบอกผมได้นะ”
“ฝ่ายออกแบบของนายมันยังไงกันแน่” เซี่ยวเลี่ยงหันมายืนประจันหน้า “ทำไมลูกน้องชอบต่อปากต่อคำกับเจ้านายล่ะ”
จื่อเหลียงหน้าเสีย “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“งั้นนายก็หุบปากเอาซะ ผมเดินผ่านทางนี้ทุกวัน ไม่อยากเห็นอะไรรกหูรกตา นายต้องไล่พนักงานคนนี้ออก หรือไม่ก็ย้ายไปอยู่สถานที่อื่น อย่าให้เขามายืนในตำแหน่งของมี่โตะ” เซี่ยวเลี่ยงด่ากราดไม่ไว้หน้า เขาชี้ที่โต๊ะทำงานเหม่ยลี่อีกด้วย ก่อนจะหันมาจ้องตาจื่อเหลียงพูดพอได้ยินกันสองคน
“นายระวังตัวไว้หน่อยแล้วกัน เพราะช่วงนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย เข้าใจมั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงเดินขึ้นห้องทำงานไป ทุกคนอึ้งกันไปทั้งแถบหันไปซุบซิบๆ กัน ส่วนซือหยวนยืนอึ้งหน้าซีดเป็นกระดาษขาว

อี้หมิงรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว เอาอกเอาใจเหมยลี่เป็นพิเศษหาอาหารโปรดมาให้กิน
“ฉันอิ่มแล้ว”
“เธอกินไปนิดเดียวเองทำไมอิ่มแล้วล่ะ เอาอย่างนี้ดีมั้ย กินซี่โครงเนื้ออีกชิ้น จากนั้นก็บำรุงด้วยโปรตีน”
“ตอนนี้แม้แต่เซี่ยวเลี่ยงฉันก็ไม่มีแล้ว ต้องบำรุงอีกทำไม เฮ้อ ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์คุยกับนายแล้ว” เหม่ยลี่ยกมือปิดหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ยัยอ้วน เอาอย่างนี้ดีมั้ย เธอคิดดูสิ เอ่อ...เธออยากจะกินอะไร หรือว่าเธออยากไปเที่ยวที่ไหน หรือว่าอยากซื้ออะไรฉันจะไปกับเธอ ขอแค่เธอมีความสุขก็พอ ดีมั้ย”
“ฉันนึกได้อย่างหนึ่ง”
อี้หมิงยิ้มเรี่ยราด “พูดสิ”
“ช่วยเอามือถือไปทิ้งที”
“ไม่มีปัญหา” อี้หมิงหยิบมือถือหมับจะเอาไปทิ้ง
“เดี๋ยวก่อน ฉันยังนึกได้อีกอย่างหนึ่ง”
“เชิญสั่งมาได้”
“เอาตุ๊กตาที่เซี่ยวเลี่ยงซื้อให้ฉันไปทิ้งด้วย”
“สบายมาก เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว ฉันจะขับรถพาเธอไปสถานีโทรทัศน์ เดินขึ้นไปชั้นสูงสุดแล้วโยนมันลงมาปั๊ก แล้วมันก็จะแหลกละเอียด ให้เซียวเลี่ยงแหลกละเอียดหายไปกับมันเลย เป็นยังไง งั้นฉันไปก่อนนะ”
พออี้หมิงจะขึ้นไปเอาตุ๊กตา เหม่ยลี่นึกได้อีก “เฮ้อ ฉันนึกได้อีกวิธีแล้ว”
“ยังมีอีกเหรอ”
“เฮ้อ ที่จริงไม่ว่าจะทำยังไงก็แล้วแต่ก็รักษาความรู้สึกในใจของฉันไม่ได้หรอก ถ้าต้องการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง มันต้องเริ่มต้นจากตัวฉัน”
“ดูเหมือนต้องใช้ท่าไม้ตายแล้ว” เหลยอี้หมิงวางมาดเข้มเป็นลูกพี่หัวหน้าแก๊ง “เธอจะให้ฉันไปเก็บเซี่ยวเลี่ยงใช่มั้ย ฉันจะไปเอามีดที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
“ฉันซีเรียสนะ นายเอาเขาออกจากใจฉันได้มั้ย”
“เอาออกจากใจเหรอ” อี้หมิงอึ้งไปวางมือถือคืน “เอางี้มั้ย ฉันคืนโทรศัพท์ให้เธอก่อน ตุ๊กตาเราก็ไม่ต้องทิ้งแล้ว แต่เธออย่าคิดสั้นได้มั้ย”
“โธ่ ฉันไม่คิดสั้นเพราะอกหักหรอกน่า ฉันขอร้องนายช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”
อี้หมิงหยิบมือถือกลับมาอีก “เธอแน่ใจเหรอว่าไม่ได้คิดสั้น”
“ไม่ใช่แน่นอน”
“โอเคเรื่องนี้ฉันช่วยได้ จริงสิ เดี๋ยวเรากินข้าวเสร็จแล้ว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปเดินเล่นกัน ก็แค่เซี่ยวเลี่ยงเราร้องเพลงไปด้วยกินหมูกระทะไปด้วยดีกว่า รอฉันนะ ฉันจะเอาอันนี้ไปวางไว้ไหนดี”
อี้หมิงลุกเดินหาที่ซ่อนมือถือตรงโน้นตรงนี้ “นี่ ฉันซ่อนมันไว้ตรงนี้ดีมั้ย อ้อ ใช่ ซ่อนๆ จะให้เธอรู้ไม่ได้ ซ่อนๆๆ ฉันซ่อนไว้ห้องฉันนะ”

อี้หมิงวิ่งหายเข้าห้องนอนไป ส่วนเหม่ยลี่หน้าเศร้าระทมทุกข์อยู่อย่างนั้น

ในรถที่ขับแล่นมาตามทาง อี้หมิงเห็นเหม่ยลี่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาจึงร้องเพลงให้ฟัง แต่เหม่ยลี่กลับน้ำตาไหลรินอาบแก้ม สุดท้ายร้องไห้ออกมาลั่นรถ

“ยัยอ้วน เธอเป็นอะไร ยัยอ้วน” อี้หมิงแปลกใจ
“เซี่ยวเลี่ยงก็เคยพาฉันขับผ่านมาทางนี้ เราไม่ผ่านทางนี้ เปลี่ยนไปเส้นทางอื่นได้มั้ย” เหม่ยลี่พูดไปร้องไห้ไป
อี้หมิงรีบรับปากหยุดรถข้างทางไม่ไปต่อ
“ได้ๆๆๆเปลี่ยนๆๆๆ เธอไม่ต้องร้องไห้แล้ว นี่ยัยอ้วน ไม่ต้องร้องแล้ว”
เหม่ยลี่เริ่มพาลพาดแขนเข้าให้ “นายเรียกฉันยัยอ้วน ฉันเป็นยัยผอมชัดๆ ทำไมเรียกอย่างนี้ล่ะ”
“ผอมๆๆ เธอคือยัยผอม โอเคมั้ย เธอคือยัยผอม ฉันเป็นยัยอ้วนแทน เธอหยุดร้องได้แล้ว”
“ยืมไหล่ให้ฉันซบหน่อยสิ”
“เอ๋ หน้าเธอมีแต่น้ำตา นี่”
เหม่ยลี่เกาะแขนซบไหล่อี้หมิงน้ำตาไหลพราก ร้องไห้ออกมาอีก
“เธอซบฉันไว้ ก็ไม่ได้ทำให้ฉันกลายเป็นเขาหรอก”
“ฉันปวดใจมากเลย”
“โอเคเธอซบๆๆ ให้เธอซบ อยากซบนานแค่ไหนก็ซบไป”
“ถ้านายเป็นเขาก็คงดีมากเลยล่ะ”
เหม่ยลี่ร้องไห้ไม่หยุด โดยไม่รู้ว่าคำพูดนั้นจี้ใจดำอี้หมิงจังๆ เขาหันมามองเธอสีหน้าเศร้า สะท้อนในอก

ทางด้านเกาเหวินกดมือถือบ่นบ้าอยู่คนเดียวที่บ้าน เพราะอี้หมิงไม่ยอมรับสาย
“แปลกจัง ทำไมไม่รับโทรศัพท์ฉันนะ ไม่รับโทรศัพท์ของฉันได้ยังไง ทำไมไม่รับโทรศัพท์ฉันเลยล่ะ ฉันพูดผิดไปเหรอ ฉันทำอะไรผิด เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง” จนกระทั่งมีเสียงกริ่งดังขึ้น เกาเหวินยิ้มย่อง วิ่งไปเปิดให้แทบไม่ทัน
“นึกแล้วว่าคุณต้องมาหาฉัน ฉันนึกแล้วว่าคุณต้องมา”
แต่กลับเป็น หญิงวัยป้าในชุดน้ำตาลทักหน้าเข้มอยู่หน้าประตู “สวัสดีค่ะคุณเกา”
เกาเหวินนึกว่าเป็นนักข่าวจะปิดประตู “ฉันไม่สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ขอบคุณค่ะ”
“คุณลืมฉันแล้วเหรอ”
เกาเหวินแปลกใจ “เอ๊ะ”

เกาเหวินพาป้ามานั่งรอในห้องรับแขก ส่วนตัวเองกดโทร.เข้าบริษัทคุยสายกับเจสันเสียงเบาๆ อย่างแปลกใจ
“บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของบริษัทเหรอ ทำไมจู่ๆ มีคนมาล่ะ หะ เขาบอกว่าเป็นเจ้าของบ้าน นั่งจ้องมองฉันอยู่ที่นี่ ดำเนินเรื่องผิดหรือเปล่า” สายที่โทรหาเจสันถูกตัดสายไปเลย “ฮัลโหล ฮัลโหล สัญญาณไม่ดีเลย น่าแปลก”
เกาเหวินหันมายิ้มให้แขกไม่ได้รับเชิญ
“คุณเกา งั้นเดือนหน้าคุณยังเช่าที่นี่หรือเปล่า ถ้าจะเช่าต่อล่ะก็ คุณต้องรีบโอนเงินให้ฉันนะ” ป้าคนนั้นบอกเสียงเข้ม
“เอ่อ เช่าๆๆ เช่าแน่นอนค่ะ แต่ตอนนี้ผู้ช่วยของฉันไปทำธุระที่ต่างประเทศ ฉันให้ผู้ช่วยอีกคนจัดการดีมั้ยคะ”
“ก็ได้ งั้นคุณต้องรีบดำเนินการเข้าล่ะ ไม่งั้นฉันจะให้คนอื่นเช่าแล้วนะ”
“ค่ะ”
“ค่ะ ขอตัวก่อน” ป้าคว้ากระเป๋าลุกเดินออกไปเลย
เกาเหวินยิ้มลา “โชคดีนะคะไม่ส่งแล้ว”

เกาเหวินโกรธจัดโทร.หา เจสันกี่ครั้ง แต่ถูกวางสายใส่เหมือนเดิม

“เฮ้อ น่าอายที่สุดเลย กล้าวางสายของฉันเหรอ”

ที่พึ่งเดียวของเธอยามนี้จึงเหลือเพียงเหลยอี้หมิง เธอโทร.ตามให้เขามาหาที่บ้าน

“อะไรคุณ มีปัญหาอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ บ้านครบกำหนดแล้ว ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน”
“จ่ายค่าเช่าบ้านเหรอ เท่าไหร่ ผมจะให้คุณยืม” อี้หมิงจะควักกระเป๋าตังค์
“ห้าหมื่น”
อี้หมิงตกใจ “ห้าหมื่น”
เกาเหวินบอกต่อว่า “หนึ่งเดือนห้าหมื่น”
อี้หมิงตาเหลือก “หนึ่งเดือนเรอะ”
“แต่ฉันต้องจ่ายครึ่งปี”
“ขอบคุณนะ มีอะไรส่งข้อความมา”
อี้หมิงจะชิ่งหนี เกาเหวินวิ่งตามมาดึงรั้งไว้
“นี่ เดี๋ยวก่อน แค่สามแสน ฉันเล่นหนังเรื่องหนึ่งก็หาได้แล้ว”
“ก็แค่สามแสนอะไรกัน ปีหนึ่งผมหาได้แค่สามแสน คุณดูสิผมมีเงินที่ไหนล่ะ แม้จะเป็นวีรบุรุษก็เถอะ แต่คนเราเกิดมาต้องมีความลำบาก มิตรภาพของเราสองคนจบสิ้นลงแล้ว”
“ไม่เอา คุณอย่าไปนะ คุณไปแล้ว ฉันจะทำยังไง ฮือๆๆ”
เกาเหวินจับเขาลงนั่ง ทำท่าจะร้องไห้ อี้หมิงเซ็ง “คุณเอาอีกแล้วใช่มั้ย ก็ได้ งั้นคุณต้องทำตามที่ผมบอก”
เกาเหวินพยักหน้ารับหงึกหงัก “อื้มๆๆ”
“ไปเก็บของ ย้ายบ้าน ผมจะไปชานเมืองเซี่ยงไฮ้หาบ้านให้คุณหนึ่งหลัง”
“ไม่ได้ บ้านหลังนี้ฉันเช่าตอนที่เข้าวงการ ข้างในนี้มีความทรงจำที่รุ่งโรจน์ของฉันแล้วก็ยังมีถ้วยรางวัลของฉันอีกมากคุณดูสิยังวางอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม ฉันจะออกไปจากบ้านหลังนี้ได้ยังไง ฮือ”
เกาเหวินร่ายยาวแล้วทำท่าจะร้องไห้อีก
“งั้นโอเคคุณคิดดูนะ มีอะไรที่มีมูลค่า ที่คุณคิดว่าแพงที่สุด นอกจากตัวของคุณ”
“อ้อ มีสิ”
“อะไร”
เกาเหวินบอก “คุณไง”
อี้หมิงอยากจะบ้า “เฮ้อ”
“คุณบอกว่ามิตรภาพแพงที่สุดไม่ใช่เหรอ”
อี้หมิงเครียดจัด คิดหาทางช่วยซุปตาร์ดวงตกถังแตก

ถัดมาเกาเหวินเดินนำอี้หมิงเข้ามาในห้องแต่งตัวอันใหญ่โตหรูหรา นางเดินพรีเซ้นต์อย่างภาคภูมิและเบิกบาน
“วันนี้คุณมีบุญตามากนะ ไม่เคยมีใครเข้ามาในห้องเสื้อผ้าของฉันเลย ดูสิ ของขวัญทุกชิ้นฉันเป็นคน-เลือกเองกับมือเลย ทุกครั้งที่เข้ามาก็เหมือนเข้ามาสวรรค์ ไม่เลวใช่มั้ย”
เกาเหวินเดินเลยอ่างอาบน้ำมาอีกมุม ภูมิใจนำเสนอ
“ตรงนี้ ตรงนี้สำคัญที่สุด ที่นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด”
“อื้ม ไม่เลว รีบเก็บของซะ เอามันไปขายให้หมด”
อี้หมิงจะเดินไปรวบเสื้อกระเป๋าไปขาย เกาเหวินกันไว้งงๆ
“ขายอะไรของคุณล่ะ”
“เสื้อผ้าในตู้นั้นไง ผมว่าคุณรีบเก็บมันดีกว่า ผมจะเอาไปส่งร้านแบรนด์เนมมือสอง”
“ไม่ได้ ไม่ขาย พี่ชาย เราไม่ขาย ฮือๆๆ” เกาเหวินทิ้งตัวลงนั่งกอดขาอี้หมิงไว้แน่น ร้องไห้ฮือๆ
อี้หมิงจับเธอลุกขึ้นอธิบายดีๆ “ไม่ใช่ คุณคิดดูสิ ถ้าไม่ขายเสื้อผ้าแล้วคุณจะทำยังไง บ้านก็ไม่มีแล้ว จะเก็บตู้เสื้อผ้าไว้ทำไม”
“ไม่ได้ พวกมันสำคัญมากฉันเสียดาย ไม่ขายๆ” เกาเหวินกางแขนป้องตู้เสื้อผ้าสุดหวง
อี้หมิงยกมือขึ้นจับเวลา “มา เด็กดี ผมรู้ว่าคุณไม่อยากจากพวกมันคุณไป แต่ในโลกนี้ไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา คุณต้องรีบให้พวกมันทำความคุ้นเคยกับเจ้าของใหม่สิ”
“ไม่ได้ฉันจะปกป้องพวกมัน” เกาเหวินกางแขนกางขาขวางตู้เต็มกำลัง
อี้หมิงเดินหนีไป “ผมให้เวลาคุณห้านาที บ้านหรือเสื้อผ้าคุณเลือกเอาเองเลือกเสร็จแล้วเอาโทรศัพท์มาผมจะถ่ายรูปให้คุณเอาไปลงในอินเตอร์เน็ต คุณบอกว่าไม่ชอบใครแตะต้องไม่ใช่เหรอ คุณขายพวกมันเองละกัน นะ คุณมีเวลา สองนาทีสามสิบสองวินาที”
“ไหนคุณบอกว่ามีห้านาทีไม่ใช่เหรอ”
“กระเป๋าใบนี้ไม่เลวนี่”
เกาเหวินกระโจนไปขวางร้องโวยวายลั่น “โหดร้าย วางกระเป๋าใบนั้นนะ ต้องการอะไรมาหาฉัน”

ในที่สุดเกาเหวินต้องใส่ชุดสุดหวงทีละชุดๆ เดินหน้าบูดลงบันไดมาให้อี้หมิงถ่ายรูปอย่างไม่เต็มใจ
“ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอ”
“โอเคเปลี่ยนชุดต่อไป”
“เสร็จแล้วเหรอ ฉันเซลฟี่เองยังไม่เร็วขนาดนี้เลย ให้ฉันดูซิ”
“โธ่เอ๊ย ดูสิ”
เกาเหวินคว้ามาดูเห็นรูปแล้วไม่พอใจ “นี่มันผีบ้าอะไรกัน”
“สวยดีไม่ใช่เหรอ”
“หน้าของฉันล่ะ ทำไมถ่ายให้ฉันมืดขนาดนั้นล่ะ ไม่ได้ถ่ายใหม่”
เกาเหวินจะเดินไปให้ถ่ายใหม่ อี้เหมิงโวย
“เฮ้ย! คุณเข้าใจหน่อยสิ ถ่ายโปสเตอร์ก็ต้องถ่ายเสื้อผ้าให้ชัดเจน คุณจะถ่ายให้เห็นหน้าทำไมล่ะ อีกอย่าง ตอนนี้ใครอยากเห็นหน้าของคุณบ้างล่ะ”
เกาเหวินหัวเราะ อยากจะบ้า
“ยี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครพูดแบบคุณ คุณเคยเห็นผู้หญิงสวยกว่าฉันมั้ยล่ะ”
“โอเค งั้นผมจะใช้แอปช่วยแก้ไขให้ คุณรีบไปเปลี่ยนชุดเร็ว” อี้หมิงให้แอปแต่งรูปใช้รูปตุ๊กตาสารพัดสัตว์น่ารักน่าขันมาปิดหน้าเกาเหวิน โดยที่เธอยังไม่เห็น
“แก้เร็ว ปรับผิว เพิ่มความสวย” เกาเหวินสั่งยิกๆ
“ปรับ สวย”
เกาเหวินสั่งอีก “เพิ่มเทคนิคพิเศษด้วย”
“เทคนิคเหรอ น่าตกใจเกินไปแล้ว” อี้หมิงขำรูปที่ตัวเองปรับ
เกาเหวินขึ้นไปเปลี่ยนชุดใหม่ เดินยิ้มลงมา
“ท่านี้ผมยังถ่ายไม่เสร็จเลยคุณก็เปลี่ยนท่าแล้วเหรอ เยี่ยมๆ พร้อม หนึ่งสาม โอเค โอเค คุณอย่าเอาแต่กอดเสาสิไปทางโน้น”
“ใบหน้าด้านนี้ของฉันสวย”
“บอกแล้วไงว่าไม่ถ่ายหน้า เก็บมือหน่อย คุณโพสท่าธรรมดาหน่อยได้มั้ยเนี่ย ถ่ายรายละเอียดของเสื้อผ้า โอเค เสร็จเรียบร้อย เปิดร้านได้ๆ”

“แค่นี้ ก็เรียบร้อยแล้วเหรอ”

เกาเหวินแปลกใจ เดินมาดูรูปที่เขาแต่งแล้วอึ้งไป เพราะรูปที่เธอบรรจงโพสท่าเขากลับเอาสิงสาราสัตว์มาปิดหน้า  

“ทำไม ไม่เหมาะเหรอ”
เกาเหวินตกใจ “ไม่ นี่มันอะไร คุณถ่ายเป็นรูปสัตว์ไปหมดเลย”
“พูดถึงตัวเองแบบนี้ได้ไง พูดจาใช้สมองหน่อยสิ สัตว์อะไรล่ะ คือดาราต่างหาก”
“ฉันรู้ว่าคือดารา แฟนคลับของฉันต้องจำได้แน่ เอามาลบทิ้งเดี๋ยวนี้”
“คุณดูสิ” อี้หมิงวิ่งหนี สองคนไล่ล่ากันอ้อมโต๊ะกลางในห้องรับแขก
เกาเหวินไม่ยอม “ไม่ได้นะ”
อี้หมิงอธิบาย “คุณฟังผมก่อน ร้านค้าดารา สามารถซื้อเสื้อผ้า ของดาราได้ในคืนเดียวเป็นยังไง”
“คุณจะให้คนอื่นมาเที่ยวบ้านฉันเหรอ”
“คุณบอกแล้วไม่ใช่เหรอ บ้านหลังใหญ่อย่างนี้ยังไงก็ต้องว่างอยู่ดี อีกอย่างคุณอยู่ที่นี่มานานหลายปี ที่นี่มีแต่ความทรงจำของคุณ เดี๋ยวหลังจากที่ลูกค้ามา คุณก็ให้พวกเขาพูดคุย เกี่ยวกับประวัติการเป็นดาราและบทเรียนราคาแพงไงล่ะ”
“ฉันจะสอนบทเรียนกับคุณก่อน คุณรับบทเรียนก่อนเลย คุณได้บทเรียนแล้วค่อยไปสอนให้คนอื่น”
เกาเหวินโมโห โยนผลไม้บนโต๊ะใส่เขาพัลวัน ไอ้หมิงหลบไปดูโพสต์ไป ปรากฏว่ามีคนเข้ามาดูแล้ว เขายื่นมือถือให้ดู เกาเหวินตกใจ
“เดี๋ยวก่อนๆ โพสต์หมดแล้วเหรอ”
“โพสต์หมดแล้ว นี่คุณถ่ายท่านี้ด้วยเหรอ”
อี้หมิงยิ้มกริ่ม “เป็นยังไง”
“ภาพเดียวเผยแพร่ไม่สิ้นสุด คงไม่สิ้นสุดจริงๆ”
เกาเหวินคลิกดูรูปตัวเองอย่างปลงอนิจจัง

ฟากเหม่ยลี่เที่ยวเดินหามือถือที่อี้หมิงเอาไปซ่อนจนทั่วบ้านแต่ก็ไม่เจอ จนคิดได้เดินเข้าไปดูในห้องหมอเหลย จนพบว่าเหน็บอยู่กับเอวน้องหมีในตู้เสื้อผ้าถึงกับหัวเราะออกมา คว้าน้องหมีมากอด
“สุดที่รักของฉัน”
พอเปิดเครื่องปรากฏว่าไม่มีใครโทร.มาเลย กดดูในโซเชียลก็เงียบกริบ เล่นบ่นกับตุ๊กตาน้องหมี
“ไม่มีใครโทร.หาเราเลย”

ที่แผนกออกแบบเทซีโร่ จื่อเหลียงคุยสายอยู่ในห้องทำงาน โดยมีซือหยวนนั่งอยู่ตรงหน้า
“โอเคผมรู้แล้ว คุณไปแจ้งฝ่ายบุคคล ว่าอย่าเพิ่งรับจดหมายลาออกของมี่โตะ”
ซือหยวนทักท้วง “มี่โตะจะลาออกจากบริษัทเป็นเรื่องที่ดีนี่คะ อย่างน้อยคู่แข่งของฉันก็ลดไปหนึ่งคน”
“คุณกลัวเขาจะกลับมาเปิดเผยเรื่องก๊อปปี้ผลงานครั้งก่อนเหรอ คุณวางใจได้ แม้เธอจะทำเพื่อเซี่ยวเลี่ยง ก็ไม่มีทางเปิดโปงคุณหรอก”
“งั้นถ้าเขายืนยันที่จะออกล่ะ”
“ไม่มีทาง ผมจะบอกให้ แพลตฟอร์มบริษัทดีอย่างนี้ เขาไม่มีทางไปแน่”
“คุณหมายถึงว่า ต้องให้เขาอยู่ต่องั้นเหรอ” ซือหยวนหงุดหงิด
“แน่นอน มี่โตะคือไพ่ที่อยู่ในมือผม ถ้ายังไม่คิดว่าจะกำจัดเขาออกไปยังไง ใครก็อย่าคิดจะแตะต้องเขา”
ซือหยวนไม่พอใจ “ท่านรองหลิน คุณพูดแบบนี้ทุกครั้งเลย ฉันไม่เข้าใจเลยทำไมคุณต้องเก็บเขาเอาไว้ด้วย”
“หลิวซือหยวน คุณจำที่ผมให้ตรวจสอบครั้งก่อนได้มั้ย”
“ฉันจำได้ ตามคำสั่งของคุณ ฉันตรวจสอบกรณีการวางแผนที่บริษัทโฆษณาแอล กรณีการวางแผนที่มี่โตะให้คุณ มีหลายอย่างคล้ายคลึงกันที่แตกต่างคือ ส่วนของมี่โตะมีรายละเอียดมากกว่า”
“แล้วไงต่อ”
“จากนั้นที่คุณให้ฉันตรวจสอบบริษัทโฆษณาแอล ฉันก็ตรวจสอบแล้ว ไม่มีข้อมูลที่น่าสงสัย เขาเป็นเพียงพนักงานธรรมดาเท่านั้น ไม่มีเบื้องหลังอะไรเลย คุณจะตรวจสอบเบื้องหลังเขาทำไม”
ซือหยวนถามด้วยความสงสงสัย

เช้าวันต่อมา เหม่ยลี่งัวเงียตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือ คว้ามากดรับพูดสาย
“ฮัลโหล อื้ม ฝ่ายบุคคลเหรอคะ หะ”
เหม่ยลี่สะดุ้ง ดีดตัวขึ้นมาจากที่นอน
“เอ่อ ใช่ค่ะ สะ สวัสดีค่ะ จดหมายลาออกเหรอ เฮ้อ จริงเหรอคะ ดีจังเลย ขอบคุณค่ะๆ ฉันทราบแล้ว ขอบคุณค่ะ เย้”
เหม่ยลี่ร้องกรี๊ดดีใจ แหกปากเรียกอี้หมิงลั่นบ้าน “เหลยอี้หมิงแย่แล้ว เหลยอี้หมิง”
อี้หมิงตกใจเสียงร้อง สะดุ้งตื่นแต่สติยังมาไม่เต็ม “เป็นอะไรยัยอ้วน มีเรื่องอะไร”
พอได้สติหมอเหลยกระโจนขึ้นบันไดไปหาด้วยความเป็นห่วงจนชนโน่นชนนี่
“โอ๊ย! เกิดเรื่องอะไรขึ้น หะ”
เหม่ยลี่บอกหน้าเศร้า
“ฝ่ายบุคคลโทร.มาหาฉัน พวกเขาบอกว่า ไม่อนุมัติการลาออกครั้งนี้ ดังนั้น” จู่ๆ นางก็แหกปากตะโกนด้วยความดีใจอีกรอบ “ฉันเลยลาออกไม่สำเร็จ”
อี้หมิงใจแป้ว “อะไรนะ ไม่อนุมัติการลาออก”
“ใช่ นายนี่โง่จริง เพราะจดหมายลาออกนั่นเขียนยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ไม่ให้ผ่านหรอก เพราะฉะนั้น หลายวันก่อนก็ถือว่าเราพักผ่อนอยู่บ้านอย่างเต็มที่ พรุ่งนี้ ฉันก็ต้องแต่งตัว ใส่ชุดที่สะอาดเรียบร้อยไปทำงานใหม่ไงล่ะ”
อี้หมิงลุกพรวดประกาศก้อง “ไม่ได้ เธอไปไม่ได้”
“ทำไม”
“เธอบอกเซี่ยวเลี่ยงไปว่าจะลาออก ถ้ากลับไปมันเสียหน้ามากเลยนะ”
“แล้วฉันจะกินอะไร ฉันต้องทำงานนะ”

อี้หมิงเซ็ง รู้ดีว่าเหม่ยลี่หาข้อมาอ้าง

อีกฟากหนึ่ง เซียนหนานเดินเข้ามาในร้านขายเพชรของเทซีโร่ที่ซือหยวนเคยขอให้เขาซื้อแหวนเพชรให้ครั้งก่อน

“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ” พนักงานขายยิ้มตอบ
เขาเดินดูในตู้แล้วชี้ที่แหวนวงเดิมที่ซือหยวนออกแบบ
“ขอดูแหวนหน่อยครับ ผมขอดูแหวนวงนี้หน่อยครับ”
“ได้ค่ะ”
“วงนี้ราคาเท่าไหร่ครับ”
“ลดราคาแล้ว แปดพันห้าร้อยหกสิบสองหยวนค่ะ”
เซียนหนานหยิบมาดู “ครับ ผมเอาวงนี้ครับ”
“ได้ค่ะ”
เซียนหนานควักเงินสดที่เตรียมมาพร้อมบัตรเครดิตอีกสองใบ
“เอ่อ นี่คือ เงินสดสองพันหยวน แล้วก็รูดการ์ดสองครั้งครับ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
พนักงานเดินหายไปด้านใน เซียนหนานยิ้มย่องบอกตัวเองในใจ
“ดีจังเลย ในที่สุดผมก็มอบอนาคตที่แน่นอนให้คุณได้แล้ว”

สองคนเดินเคียงกันเข้ามาในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ซือหยวนออกงานสังคมคู่กับจื่อเหลียง
“ลูกค้าพวกนั้น ชื่นชอบคอลเล็กชั่นการออกแบบรุ่นใหม่มาก เดี๋ยวผมจะพูดเรื่องความคิดการออกแบบของคุณกับพวกเขาอย่างละเอียด”
“แต่คุณก็รู้ว่า ผลงานนั่นไม่ใช่ของฉัน”
จื่อเหลียงจุ๊ปากปราม ก่อนจะเดินเข้าไปทักคุณหวัง
“คุณหวังครับ”
มีสายจากเซียนหนานเข้ามา ซือหยวนจึงรีบรับสายก่อนยังไม่ได้ตามไป
“ฮัลโหล ฉันบอกคุณแล้วไง ตอนนี้ฉันมาพบลูกค้ากับเจ้านายอยู่ กลับไปค่อยคุยกัน”
จื่อเหลียงส่งเสียงเรียกมา “คุณนักออกแบบหลิว มา มานี่หน่อย”
“ค่ะ โอเค ฉันวางก่อนนะ เค้าเรียกฉันแล้ว บ๊ายบาย”
จื่อเหลียงแนะนำซือหยวนกับทุกคน “ผมจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือหัวหน้าฝ่ายการออกแบบเครื่องประดับของเรา หลิวซือหยวน นักออกแบบหลิวครับ”
“สวัสดีค่ะ” ซือหยวนทักทายนอบน้อม
“เรากำลังหารือกันอยู่พอดี คุณนักออกแบบหลิว คุณคิดผลงานชิ้นนี้ออกมาได้ยังไง” คุณหลี่ถามขึ้น
ซือหยวนอึกอักก่อนจะตอบเลี่ยงๆ “ฉัน...ก็คือ ตอนที่ฉันเขียนภาพ จู่ๆ ก็มีแรงบันดาลใจค่ะ”
“โธ่ อย่าเขินสิครับ พูดให้ทุกคนฟังหน่อย ให้คนนอกวงการอย่างพวกเราได้เรียนรู้เอาไว้บ้าง” คุณหลี่ซัก
“ใช่” คุณหวังเห็นด้วย
จื่อเหลียงหันมาตำหนิ
“ไม่มีจริงๆ ค่ะ” ซือหยวนบอก
“นี่ บริกร ขอบคุณ ถือไว้” จื่อเหลียงหยิบแก้วไวน์แดงมาให้ซือหยวน แล้วหันมาหาสองคน “เราสองคนต้องขอบคุณมาก ที่พวกคุณสนับสนุนบริษัทของเราอย่างเต็มที่ มาครับ ขอดื่มให้คุณทั้งสอง มา”
“มา” คุณหลี่ชน
จื่อเหลียงเรียกซือหยวนให้ชน “ซือหยวนมา ดื่ม”
“ดี ขอบคุณครับ” คุณหลี่ยิ้มแย้ม
“ขอบคุณครับ”
“คุณหวัง มา ฉันขอดื่มให้คุณหนึ่งแก้ว” ซือหยวนดื่มรวดเดียวแทบสำลัก เครื่องเริ่มติด คว้าไวน์ขาวอีกแก้วบนโต๊ะเดินเบียดจื่อเหลียงมาชนกับคุณหวัง
คุณหลี่คุณหวังอึ้งๆ ที่เห็นซือหยวนดื่มรวดเดียวอีก
“ครับๆๆ เยี่ยมๆๆ” คุณหวังยิ้มมองลุ้น “ระวังครับๆ”
ทุกคนหัวเราะให้กัน
ซือหยวนหยิบอีกแก้ว หันมาทางคุณหลี่
“ฉันขอดื่มให้คุณหลี่อีกแก้วหนึ่งค่ะ” ซือหยวนดื่มรวดเดียวอีกเช่นเคย
“ครับๆ เยี่ยม ดื่มเก่งมาก เยี่ยมๆๆ”
คุณหลี่ชม

จื่อเหลียงหน้าตึงชักไม่พอใจ

ขณะเดินออกมาหน้าลิฟต์ซือหยวนเดินโซเซ เมาแอ่น เซียนหนานโทร.เข้ามาอีก เธอกดปิดเครื่องไปเลย จื่อเหลียงตามมาเอ่ยตำหนิขึ้น

“คืนนี้คุณเป็นอะไร ทำไมทำตัวแย่แบบนี้ล่ะ”
“ขอโทษค่ะ”
“ช่างเถอะ ผมไปส่งคุณกลับบ้านก่อน”
“ฉันไม่กลับบ้านหรอก ฉันต้องสร่างเมาก่อน คุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะหาร้านกาแฟนั่งดื่มก่อน พักผ่อนซักพัก”
“เอางี้ ผมจะหาสถานที่ให้ คุณนอนพักผ่อนก่อนเถอะ ไป”
จื่อเหลียงประคองซือหยวนที่แทบยืนไม่อยู่เข้าลิฟต์ไป สองคนใกล้ชิดกัน

จื่อเหลียงพาซือหยวนมาที่คอนโดของเขา ประคองเธอลงนั่งเอนบนเตียงนอน
“เอ่อ ไม่เป็นไรนะ นั่ง คุณนั่งก่อนนะ ผมไปเอาน้ำอุ่นมาให้ นะ”
เขาหายไปชั่วครู่จึงกลับมาพร้อมแก้วน้ำอุ่นในมือลงนั่งข้างๆ
“มา ดื่มน้ำอุ่นให้สร่างเมา”
“ทำไมต้องดีกับฉันขนาดนี้”
“ผู้หญิงตัวคนเดียวเมาเหล้า จะให้ผมทิ้งคุณอยู่ข้างถนนเหรอ”
“ฉันหมายถึงเรื่องการออกแบบ ทำไมต้องช่วยฉันด้วย”
“เพราะคุณยืนอยู่ในแถวของผม คุณเป็นคนของผม”
ซือหยวนวางแก้วลงบนโต๊ะหัวเตียง ระบายความคับแค้นและความอัดอั้นออกมาหัวเราะเยาะหยันชีวิตอันขมขื่นของตัวเอง
“คุณรู้มั้ยว่าตอนนี้ ทุกคนมองฉันยังไง ทุกคนดูถูกฉัน รวมทั้งเพื่อนที่ดีที่สุดไม่กี่คนของฉัน ก็เริ่มตีตัวห่างจากฉัน พวกเขานินทาฉันลับหลังอยู่เสมอ ทุกๆ วัน ฉันตื่นนอนหกโมงเช้า ออกเช้ากลับค่ำ ใส่เสื้อผ้าที่สวยงามมาทำงาน สวมรองเท้าส้นสูง แต่กลับต้องเดินบนถนนเล็กๆ รุกรัง เดินไปเรื่อยๆ กว่าจะเดินมาถึงป้ายรถเมล์ ยืนรอรถอีกสองชั่วโมง ถึงจะมาถึงที่ทำงาน ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมพระเจ้าถึงไม่เห็นใจฉันเลย ฉันแค่อยากมีชีวิตที่ดี ฉันผิดงั้นเหรอ มันผิดด้วยเหรอ กลางคืนกลับถึงบ้าน กลับเห็นผู้ชายที่น่าผิดหวังคนนั้น ฉันทำอะไรไม่ถูกเลย ฉันเหนื่อยมาก”
ซือหยวนก้มหน้าร้องไห้ จื่อเหลียงเชยคางเธอขึ้นมามองจ้อง ยกมือขึ้นใช้นิ้วปาดเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“ขอโทษค่ะท่านรอง ฉันพูดผิดไป” ซือหยวนจับมือเขาออก
“ไม่ ตอนนี้คุณสวยมากต่างหากล่ะ” จื่อเหลียงจ้องตาลึกซึ้ง เคลื่อนหน้าเข้าจูบริมฝีปากซือหยวน ซึ่งเธอไม่ขัดขืน หลินจือเหลียงจูบอีกครั้ง พร้อมกับจับร่างซือหยวนเอนลงบนเตียงกอดจูบซุกไซ้อย่างรุนแรง

รุ่งเช้า ซือหยวนสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่ที่บ้าน และต้องตื่นตกใจเมื่อเห็นว่าร่างกายตัวเองเปลือยเปล่า จื่อเหลียงแต่งตัวพร้อมไปทำงานเดินยิ้มเข้านั่งตรงหน้า
“อรุณสวัสดิ์”
ซือหยวนนึกทบทวนเรื่องราว แล้วทำหน้าไม่ถูก ถามออกไปด้วยความขัดเขิน
“เรา...เมื่อคืนเรา”
“คุณวางใจได้ ผมจะชดเชยให้คุณเอง อ้อ จริงสิ” จื่อเหลียงยิ้มแย้ม หยิบกล่องของขวัญบนโต๊ะหัวเตียงมาแกะออก ยื่นกระเป๋าแบรนด์เนมให้
“เมื่อวานผมเห็นกระเป๋าคุณค่อนข้างเก่า ดังนั้นเช้าวันนี้ เลยให้คนขับรถไปซื้อใบใหม่มาให้ หวังว่าคุณจะชอบนะ เปลี่ยนมันซะเถอะ คุณจะได้ใช้กระเป๋าใหม่เลยไงล่ะ”
มือถือซือหยวนดังขึ้น เธอหยิบออกมา เห็นชื่อซือหนานโทร.มา จื่อเหลียงนึกได้หัวเราะออกมา
“ผมเกือบลืมไปเลย คุณยังมีแฟนอยู่ใช่มั้ย ถ้าคุณไม่ต้องการให้ผมเจอเขาล่ะก็ ผมให้คนขับรถไปส่งคุณกลับบ้านได้นะ เขาจะพาคุณไปกินอาหารเช้าก่อน ผมยังมีงานที่บริษัท ต้องไปก่อน”
จื่อเหลียงเดินออกไปทันที
 
ซือหยวนมองตาม ก่อนจะหันมามองกระเป๋า Chanel ข้างตัว ด้วยความสับสน

เซียนหนานนั่งมองกล่องแหวนเพชรรออยู่ที่ห้อง รีบซ่อนไว้ข้างหลังขณะลุกถามขึ้นอย่างห่วงใยเมื่อเห็นซือหยวนเดินเข้ามา

“เมื่อคืนคุณไปไหนมา ไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันทำโอทีที่บริษัท เลยเผลอหลับไปน่ะ”
“ทำไมคุณไม่โทร.มาบอกผมล่ะ ผมรอคุณอยู่ทั้งคืน”
“ฉันบอกแล้วไง ถ้าฉันทำโอที คุณไม่ต้องรอหรอก” ซือหยวนหันหน้าหนีด้วยความรู้สึกผิดในใจ
เซียนหนานคุกเข่าลง เปิดกล่องแหวนเพชรยื่นมาตรงหน้า “คุณหลิวซือหยวนครับ”
ซือหยวนหันมางงๆ “หืม”
“แต่งงานกับผมนะ” ซือหยวนตะลึงเมื่อเห็นแหวนที่เธออยากได้ “ครั้งก่อนคุณเคยบอกว่า ให้มอบอนาคตให้คุณ ผมคิดดีแล้ว เราแต่งงานกันนะ แต่งงานกันแล้ว เราจะสร้างครอบครัวด้วยกัน ผมจะพยายามให้คุณมีชีวิตที่ดี”
เห็นซือหยวนยืนนิ่งเซียนหนานแปลกใจ “เป็นอะไร คุณไม่อยากตอบรับเหรอ”
“ไม่ใช่ วันนี้มันกะทันหันเกินไป ฉันยังไม่ได้เตรียมตัว” ซือหยวนอ้าง
เซียนหนานหยิบแหวนมาสวมให้คนรักจับมือเธอไว้ “ทำไมต้องเตรียมตัวด้วย เพราะแหวนวงนี้ ไม่ใช่แค่หมายถึงเงินออมทั้งหมดของผม แต่ยังเป็นตัวแทนของเงินเดือนทั้งหมดในอนาคต มันจะเป็นของคุณทั้งหมด ตอบรับผมได้มั้ย”
ซือหยวนทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรออกมา เซียนหนานลุกขึ้นสวมกอดคนรักไว้ด้วยความดีใจ
“ผมนึกแล้วว่าคุณต้องตกลง ผมรักคุณนะที่รัก”
เซียนหนานยกมือขึ้นเหมือนจะกอดตอบ สุดท้ายยกมือลง สีหน้าว้าวุ่นสับสนสุดจะประมาณ

เจิ้นตงตามให้เซี่ยวเลี่ยงมาทานข้าวที่บ้านในวันนี้ ทุกคนพร้อมหน้ากันอยู่ที่โต๊ะ แม่ครัวเสิร์ฟอาหารจานหลัก เจิ้นตงพยักหน้าให้เริ่มทาน
“มา หลังจากงานแถลงข่าว แกก็หายหัวไปเลย ยุ่งอะไรอยู่ล่ะ”
“ทำงานน่ะ” เซี่ยวเลี่ยงว่า
“ทำงานเหรอ ทำงานก็ต้องมีขีดจำกัด ฉันได้ยินว่าช่วงนี้แก เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วก็ไม่กลับบ้าน มันจำเป็นเหรอ” เจิ้นตงถาม
“ผมจัดการกับเวลาของตัวเองได้ และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ให้คอยรายงานข่าวไม่ดีหรอก” เซี่ยวเลี่ยงหันมาแดกดันจื่อเหลียง
“ในฐานะประธานกรรมการ ไม่ว่าแกจะทำอะไร ลูกน้องต่างก็มองดูอยู่ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ” เจิ้นตงหันมาทางจื่อเหลียง “อ้อ ฉันได้ยินว่าการแถลงข่าวครั้งนี้ประสบความสำเร็จมาก นักออกแบบคนนั้นชื่อหยวนอะไรนะ”
จื่อเหลียงรีบบอก “หลิวซือหยวนครับพ่อ”
“หลิวซือหยวน ฉันดูผลงานของเขาแล้ว ถือว่าไม่เลว แกเป็นคนปั้นเขาเหรอ”
“ใช่ครับพ่อ เธอมีพรสวรรค์มาก ตอนนั้นเกือบจะพลาดไปแล้ว ที่ไม่ได้ดึงเขาเข้ามา” จื่อเหลียงยิ้มกริ่ม
“เรื่องราวมากมาย ก็ต้องลองผิดลองถูก แม้จะมีพรสวรรค์ แต่ก็ต้องมีความมุ่งมั่น”
“ใช่ครับ”
“ลองผิดลองถูกน่ะก็ใช่ แต่มีพรสวรรค์และความมุ่งมั่นหรือไม่นั้น ก็พูดยากอยู่นะ” ตอนท้ายเซี่ยวเลี่ยงหันมาเหน็บแนมอีก
จื่อเหลียงไม่ตอบโต้ แสร้งภาพแสนดี “เฮ้อ พ่อครับ ที่จริงความดีในครั้งนี้เป็นของเซี่ยวเลี่ยง ผลงานในครั้งนี้ก็เลือกสุ่มมาจากกฎระเบียบใหม่ของเขา ไม่งั้นคงไม่ได้เรื่องหรอก”
เซี่ยวเลี่ยงวางช้อน และตะเกียบ ทันที “พ่อผมอิ่มแล้ว”
เจิ้นตงหงุดหงิด “แกเป็นอะไรอีกล่ะ แกกินข้าวที่บ้านให้ดีๆ ซักมื้อไม่ได้หรือไง”
“ได้ยินเขาเล่านิทานแล้วผมรู้สึกกินข้าวไม่ลง” เซี่ยวเลี่ยงว่า
“ครอบครัวเดียวกันกินข้าวพูดคุยกัน ทำให้แกไม่พอใจงั้นเหรอ”
“โธ่เอ๊ย ช่างเถอะค่ะ อาจเพราะจื่อเหลียงพูดจาไม่ระวัง” เจ๊หลินตัดบทหันมาทางเซี่ยวเลี่ยง “เซี่ยวเลี่ยง เธอเป็นพี่ชายของเขา อย่าไปถือสาน้องเลยนะ”
“เอ๊ะ น้าหลิน พี่ชาย” เซี่ยวเลี่ยงลุกขึ้น มองหน้าอย่างไม่พอใจ “ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองใช้สถานะนี้เลย”
เจิ้นตงตบโต๊ะปัง ตวาดลั่น “หุบปาก พูดแบบนี้กับน้าหลินได้ยังไง เขามองดูแกเติบโต และยังเคยดูแลแก ยังไงเขาก็เป็นแม่แกครึ่งหนึ่ง แล้วแกล่ะ ไม่อยากตอบแทนบุญคุณก็ไม่เป็นไร ทำไมแกต้องพูดไม่ดีกับเขาต่อหน้าฉันด้วย”
“โธ่เจิ้นตง อย่าโกรธเพราะเรื่องนี้เลยค่ะ นะ ยี่สิบกว่าปีแล้ว ฉันชินแล้วล่ะ” หลินพูดอย่างเจียมตน
เซี่ยวเลี่ยงมองหมั่นไส้ “เฮ้อ พ่อ พ่อแต่งงานกับน้าหลินมันก็เป็นสิทธิ์ของพ่อ ผมไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย แต่ไม่ยอมรับการแต่งงานของพ่อ มันก็สิทธิ์ของผม พ่อไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายเหมือนกัน”
จื่อเหลียงโกรธสุดขีดกระชากแขนเซี่ยวเลี่ยงมาอย่างแรง
“นายลองพูดอีกทีซิ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มเยาะ “ท่านรองหลิน ในที่สุดนายก็เปิดเผยธาตุแท้ออกมาต่อหน้าพ่อของฉัน”
จื่อเหลียงรู้ตัว รีบปล่อยมือ ทำเป็นปัดๆ ให้
“ที่จื่อเหลียงต่อยแก เพราะแกหาเรื่องใส่ตัวเองนี่” เจิ้นตงด่า
เซี่ยวเลี่ยงมองแม่ลูกอย่างชิงชังแล้วเดินออกไปทันที
“พ่อ ผมเป็นคนผิดเอง ผมใจร้อนเกินไป ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้ เพื่อไปขอโทษพี่ชาย ขอตัวนะครับ”
จื่อเหลียงทำเป็นรู้สึกผิด เจ๊หลินพยักหน้าบอกลูกชายให้ตามไป หันมามองเจิ้นตงที่หน้าเครียด

รองหลินรีบตามออกมาที่หน้าคฤหาสน์ เรียกเซี่ยวเลี่ยงไว้
“เดี๋ยวก่อน”
เซี่ยวเลี่ยงหันมาหา “ทำไม จะหาเรื่องอีกเหรอ”
“ฉันเตือนนายไว้ก่อนนะ ห้ามทำร้ายแม่ฉันอีก” จื่อเหลียงชี้หน้าพูดแทบเป็นตวาด
“ถ้าพวกนายไม่ทำเรื่องสกปรก ก็ไม่มีใครทำอะไรหรอก พ่อฉันรู้สึกละอายใจต่อพวกนายสองแม่ลูก ท่านจึงไว้ใจพวกนาย ถึงพ่อฉันไม่รู้ความคิดของพวกนาย แต่นายปิดฉันไม่ได้หรอก ฉันเตือนไว้ก่อน อย่าให้มากไปแล้วกัน”

เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้ามาประจันหน้า

อ่านต่อตอนที่ 19
กำลังโหลดความคิดเห็น