กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 16
เหม่ยลี่เดินแจกงานที่ทำเสร็จแล้วบนโต๊ะแต่ละคน แล้ววางกาแฟมอคค่าให้ยิวยิวเป็นคนสุดท้าย
“กาแฟจ้ะ”
เห็นจื่อเหลียงเดินยิ้มเข้ามาในแผนก
“ทุกคนวางงานในมือก่อนผมมีเรื่องจะประกาศ ผมดูผลงานออกแบบของมี่โตะแล้ว คิดว่ามีปัญหา ดังนั้นผมจะหาผู้ช่วยให้เธอ” รองหลินเดินมาหยุดตรงหน้าซือหยวน “นักออกแบบหลิว คุณเป็นผู้ช่วยมี่โตะได้หรือไม่”
ซือหยวนอึดอัด “ฉัน...”
จื่อเหลียงยกมือห้ามตัดบท “ตกลงตามนี้”
เหม่ยลี่ไม่สบายใจ จับแขนเรียกไว้
“ท่านรองหลิน ฉันเป็นผู้ช่วยนักออกแบบมาตลอด คงไม่ดีมั้งคะ”
“โธ่เอ๊ย คุณเป็นคนใหม่ ไม่มีประสบการณ์ ถ้าได้นักออกแบบหลิวมาสอน ผมก็วางใจแล้ว สู้ๆ” จือเหลียงตบแขนเหม่ยลี่ ยิ้มแสนดีให้ แล้วเดินกลับห้องไปทันที
ซือหยวนยืนอึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง จึงวิ่งเดินตามเข้าไปในห้อง เหม่ยลี่มองตามยิ่งไม่สบายใจหนักเข้าไปอีก
ซือหยวนตามเข้ามาในห้องจื่อเหลียง ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ท่านรองหลิน ทำไมต้องให้ฉันเป็นผู้ช่วยมี่โตะ”
จื่อเหลียงมองตำหนิ “ทำไม เข้าห้องทำงานผมไม่ต้องขออนุญาตแล้วเหรอ”
“ขอโทษค่ะ” ซือหยวนหน้าเสีย
จื่อเหลียงลงนั่งที่โต๊ะ จ้องหน้าซือหยวน “ว่ามาสิ รู้มั้ยทำไมผมต้องให้คุณทำแบบนี้”
ซือหยวนเดินเข้ามาใกล้โต๊ะ “ท่านรองหลิน ฉันรู้ว่า เพราะเมื่อคืนฉันได้ยินความลับของคุณ”
จื่อเหลียงยิ้มให้ “ความลับเหรอ ผมว่าเรื่องนี้คนทั้งโลกน่าจะรู้หมดแล้วล่ะ”
“คุณไม่โทษฉันเหรอคะ” ซือหยวนแปลกใจ
“ในโลกนี้มีคนสองประเภทที่รู้ความลับของผม ประเภทแรกคือศัตรูอย่างคุณเซี่ยว สองคือคนที่ผมเชื่อใจ ช่วยผมเอาชนะศัตรู คุณจะเป็นประเภทไหนล่ะ”
“ท่านรองหลิน ขอแค่คุณเชื่อฉัน ฉันต้องอยู่ฝ่ายคุณแน่นอน”
“งั้นก็ถูกแล้ว ผมจะบอกคุณนะ ไม่นานคุณจะเข้าใจเองว่าคนอย่างผม สามารถให้อะไรคุณได้บ้าง”
หลินจื่อเหลียงทำตาเจ้าชู้ใส่ จนซือหยวนสะเทิ้น
ค่ำคืนนั้นเซี่ยวนั่งดื่มอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง สักครู่จึงเห็นเกาเหวินเดินเข้ามาหาที่โต๊ะ ลงนั่งฝั่งตรงข้าม
“เฮ้อ คิดยังไงถึงชวนฉันออกมาเนี่ย”
“มา ดื่มหน่อยสิ” เซี่ยวเลี่ยงยื่นเหล้าให้ตรงหน้า
เกาเหวินปฏิเสธ ยกมือบอกบริกรในเคาน์เตอร์ข้างๆ
“ไม่ล่ะฉันขับรถมา บ๋อย ขอน้ำส้มคั้นแก้วหนึ่ง”
“ครับ กรุณารอสักครู่”
เกาเหวินมองเซี่ยวเลี่ยงที่ยกเหล้าดื่มเอาๆ อย่างผิดสังเกต พลางใช้ความคิด
“เดี๋ยวช้าก่อน อย่าขยับนะ อย่าขยับๆ ทำไมฉันรู้สึกคุ้นเคยกับท่านี้จังเลย”
เซี่ยวเลี่ยงงง “คุ้นเคยเหรอ คงไม่เคยเห็นผมในสภาพนี้สิ”
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้พูดถึงตอนนี้ ฉันว่าท่าทางของคุณ แฟนเก่าของฉันเคยมีสีหน้าเหมือนคุณ หลังจากเลิกกับฉัน สถานการณ์แบบนี้มีอยู่สองสาเหตุ” เกาเหวินชูนิ้วชี้ขึ้น “หนึ่ง บริษัทล้มละลาย” แล้วชูนิ้วกลางเพิ่ม “สอง ก็คือถูกแฟนทิ้ง”
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง น้ำส้มของคุณครับ” พนักงานเสิร์ฟน้ำส้มให้แล้วเดินออกไป
“อ้อ ขอบคุณค่ะ แต่สาเหตุที่สองไม่น่าเป็นไปได้นะ” เกาเหวินนึกออกลุกพรวดขึ้น ตะโกนถามลั่นร้านอย่างตื่นเต้น “ผู้หญิงที่ไหนกล้าทิ้งคุณล่ะ” จากนั้นก็หัวเราะไม่หยุด
เซี่ยวเลี่ยงสำลักเหล้าพรวด ลุกขึ้นจับให้อีกฝ่ายนั่งลง ขึงตาใส่ เอ็ดเอา “เบาๆ หน่อยสิ”
เกาเหวินพูดปนหัวเราะ “เกิดอะไรขึ้นล่ะ คุณถูกผู้หญิงทิ้งจริงเหรอ ใครกล้าคบกับคุณล่ะ บอกฉันมาสิคุณกำลังคบกับใครอยู่ บอกฉันมาสิ บอกฉันมา บอกฉันเร็วรีบบอกฉันมาสิ”
เกาเหวินอยากรู้สุดๆ ลุกมานั่งข้างๆ ผลักเซี่ยวเลี่ยงลงนั่ง แล้วคาดคั้นถาม
“บอกฉันๆๆๆ ฉันไม่พูดแน่นอน
เซี่ยวเลี่ยงมองไปรอบๆ ร้าน ด้วยความอับอาย จับเกาเหวินกลับที่ไป
“คุณกลับไปนั่งก่อน กลับไปนั่งเร็ว เร็วๆๆๆ”
เกาเหวินถามไม่หยุด “งั้นคุณบอกฉันมาว่าเป็นใคร แล้วฉันจะพูดเบา เขาเป็นใคร ใคร”
เซี่ยวเลี่ยงบอกอย่างเซ็งๆ เสียงเบาๆ “เอ่อ ไม่ได้ร้ายแรงเหมือนอกหักหรอกน่า แค่ผู้หญิงซื่อบื้อคนหนึ่งเท่านั้น โธ่เอ๊ย แต่เราเลิกกันแล้ว”
เกาเหวินไม่อยากเชื่อ “เลิกกันแล้วเหรอ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย คุณว่าเธอซื่อบื้อ เพราะคุณอยากดูแลเธอเหรอ”
“เพราะว่าผมไม่เชื่อในความรัก และไม่มีทางหลงรักผู้หญิงแบบนั้นแน่”
“เซี่ยวเลี่ยง คุณเป็นประธานของบริษัทเพชร คุณน่าจะเข้าใจเพชรดีกว่าใคร เพราะเพชรเป็นวัสดุที่แข็งที่สุดในโลก เมื่อไหร่ที่โดนแสงมันถึงจะส่องประกายออกมา ถ้าหัวใจของคุณเป็นเพชรอยู่ในที่มืด ก็ต้องโดนแสงก่อนมันถึงจะส่องสว่าง ถูกมั้ย”
เกาเหวินหัวเราะร่า ฟาดไหล่เซี่ยวเลี่ยงป้าบเข้าให้ ซีอีโอหนุ่มกุมแขน
“แต่คุณไม่ต้องห่วง ในฐานะเพื่อนฉันจะเป็นคนช่วยคุณเองต้องสำเร็จแน่นอน มา”
“คุณช่วยผมไม่ได้หรอก มา ดื่ม”
“ชนแก้ว” เกาเหวินขำไม่หยุด ฟาดอีกป้าบ เซี่ยวเลี่ยงสะดุ้งโหยง อดีตซุปตาร์สาวหัวเราะคิกคัก
“โธ่เอ๊ยคุณนี่โง่จริง”
เซี่ยวเลี่ยงเดินเคียงเกาเหวินออกมาที่ลานจอดรถหน้าร้าน
“ขอบคุณคุณมาก เดี๋ยวผมให้คนขับรถไปส่ง”
เกาเหวินอารมณ์ดี๊ดี กดรีโมตเปิดประตูรถ
“ไม่เป็นไรฉันขับรถมาเอง รถของฉันล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงอึ้งไปเมื่อเห็นเกาเหวินใช้รถมือสอง ก้มมองชัดๆ “นี่รถของคุณเหรอ”
“ใช่ เป็นยังไง ใหม่มากใช่มั้ย”
“เฮ้อ ผมให้คนขับรถไปส่งคุณ พรุ่งนี้ค่อยเอารถไปส่งให้” เซี่ยวเลี่ยงควักมือถือจะกดตามฉีหยู
เกาเหวินร้องห้าม “อย่านะ นี่เป็นรถที่เพื่อนฉันเลือกให้ ฉันชอบรถคันนี้มาก ฉันใช้มันจนชินแล้วไม่อยากเปลี่ยนมันง่ายๆ สำหรับน้ำใจของคุณฉันขอบคุณมาก”
“เกาเหวิน” เซี่ยวเลี่ยงมองสงสาร
เกาเหวินจะขึ้นรถหันกลับมามอง “หืม”
“เอ่อ คุณมีเรื่องอะไรโทร.หาผมได้ทุกเวลานะ”
เกาเหวินหัวเราะอย่างรู้ทัน “คุณคงรู้สึกว่าฉันน่าสมเพชมากใช่มั้ย”
“เฮ้อ ไม่ใช่ ผมแค่อยากขอบคุณคุณที่ออกมาหาผม” เซี่ยวเลี่ยงยิ้มอารมณ์ดี
“คุณอารมณ์ดีขึ้นแล้วจริงเหรอ” เกาเหวินคล้องแขนเขาอิงซบไหล่ หัวเราะอย่างสุขใจ “ขอบคุณมากนะ เมื่อก่อนฉันรู้สึกว่าชีวิตคนธรรมดาไม่น่าสนใจและน่าเบื่อ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกชอบชีวิตแบบนี้มากแล้วล่ะ ฉันคิดว่าก็สนุกเหมือนกัน คุณว่าคนเราน่าแปลกมั้ย อืม...เช่นเวลาเราชอบอะไรสักอย่าง ไม่ว่าคนอื่นจะคิดว่ามันไร้ค่า แต่คุณก็ยังคิดว่ามีค่า”
เซี่ยวเลี่ยงสุดจะทึ่ง จับไหล่เกาเหวินมองซ้ายมองขวา
“ว้าว เกาเหวินคุณเปลี่ยนไปมากเลยนะเนี่ย”
“คุณก็เหมือนกัน” เกาเหวินฟาดอีกป้าบเข้าที่เดิม
เซี่ยวเลี่ยงร้อง “โอ๊ย” กระโดดหนี
เกาเหวินหัวเราะคิกคักลูบแขนให้เบาๆ “ขอโทษ”
เซี่ยวเลี่ยงถามอย่างเกรงใจ “เอ่อ ว่าแต่ คุณลืม หานปิงได้แล้วเหรอ”
เกาเหวินพยักหน้ารับ “คิดแล้วก็แปลกเหมือนกันนะ เหมือนฉันจะเกลียดเขามาก แต่ก็ค่อยๆ ลืมเขาไปแล้ว”
เซี่ยวเลี่ยงมองเหล่ “เขาคงไม่ใช่เพื่อนที่ช่วยเลือกรถให้คุณนะ”
“ไม่ใช่แน่นอน ฉันลืมหานปิงได้เพราะฉันใจแข็ง ทำไมถึงอยากให้ฉันคบกับเขาล่ะ น่าเบื่อจริงๆ”
เกาเหวินหัวเราะอย่างเบิกบานใจ จะฟาดอีก แต่เซี่ยวเลี่ยงเริ่มรู้ทัน หลบได้อย่างคล่องแคล่ว สองคนหัวเราะให้กัน
“ฉันไปส่งคุณ”
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้าให้ “อื้ม”
ทางด้านเหลยอี้หมิง ค่อยๆ เสนอหน้าโผล่เข้ามาในบ้าน เหลียวซ้ายแลขวาดูว่ายัยอ้วนอยู่ไหม พอไม่เจอด้านล่างจึงมองขึ้นไปยังชั้นลอย แล้วปิดประตูลงเบาๆ ย่องเข้าบ้านมาด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ
เหม่ยลี่โผล่ออกมาจากห้องน้ำ เรียกไว้เสียงดุ
“หยุดนะ! ทำไมเพิ่งกลับเอาป่านนี้ ไม่รู้เหรอว่าฉันรอนายทั้งคืน”
ยัยอ้วนเดินไปนั่งที่เก้าอี้โต๊ะทานอาหาร กอดอกสั่งเสียงเข้ม
“หันกลับมา ยืนให้ดี” อี้หมิงถอยหลัง หันหน้ามาหา ยืนยังกะทหารใหม่รอคำสั่งครูฝึก
เหม่ยลี่หลุดขำคิก “ฉันทำเสียงดุเมื่อกี้ สามารถทำให้คนหุบปากได้ใช่มั้ย
อี้หมิงอย่างเซ็ง “เฮ้อ เรื่องนี้นี่เอง เอ่อ...ใช่ๆ เกิดอะไรขึ้นใครทำให้เธอโกรธอีกล่ะ เมื่อกี้เธอดุมากทำฉันลืมหมดเลย เธอทำฉันตกใจหมดเลย ลองดุอีกรอบสิ”
เหม่ยลี่แหวใส่ “พูดมาก”
“จบแล้วเหรอ”
“จบแล้ว”
อี้หมิงทำเป็นกลัว “ฉันตกใจหมดเลย”
“ฉันว่าแล้วต้องไม่น่ากลัวเลย เฮ้อ ผลการทดสอบล้มเหลว ดูเหมือนฉันต้องพยายามต่อไปถึงจะทำให้พวกเขาหุบปากได้”
อี้หมิงลงนั่งด้วย “ถูกต้อง เธอต้องทำให้พวกเขาเห็นความสามารถของยัยอ้วน”
“ใช่ พวกเขาไม่รู้ว่าฉันเคยอ้วนมาก่อน”
“ใช่” อี้หมิงเลียบๆ เคียงๆ ถาม “เอ่อ...แล้วก็ วันนี้เธอเจอกับเซี่ยวเลี่ยงมั้ย เขาพูดอะไรกับเธอบ้างรึเปล่า”
เหม่ยลี่ถอนใจเฮือก “ถ้าเขาไม่มาขอโทษฉันก่อน ฉันไม่มีทางยกโทษให้เขาอย่างแน่นอน”
อี้หมิงยิ้มกริ่ม “ดีมาก เอ่อ แค่นี้เหรอ”
“แค่นี้แหละ กินข้าวยัง”
“ยังเลย”
“เดี๋ยวฉันไปทำให้ นี่ กินอะไร”
“ไม่ต้องกลัว ต่อไปเธอพูดกับพวกเขาก็พอ อย่าลงไม้ลงมือเลย แค่โทร.หาฉันก็พอ”
เหม่ยลี่เดินไปทางครัวยกมีดปังตอให้ “งั้นนายทำเองเลย”
“ไม่ใช่ ไหนบอกว่าจะทำกับข้าวให้ฉันไง”
“งั้นฉันจะกินซี่โครงหมูทอด แล้วก็สเต็กเนื้อย่าง แล้วก็ซุปมะเขือเทศ เอาล่ะแค่นี้แหละ นายต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ชั่วโมง”
“งั้นฉันไปเปลี่ยนชุด”
อี้หมิงฮึดฮัดเดินเข้าห้องไป
เซี่ยวเลี่ยงเพิ่งกลับมาถึงคอนโด ถอดเสื้อคลุม คลายเนกไทลงนั่งตรงโซฟา หยิบแฟ้มงานออกแบบเหม่ยลี่มาดู ทบทวนเรื่องราว
“ฉันไม่ชอบให้ใครว่าฉันเป็นแจกันดอกไม้ต้องพึ่งแต่คนอื่น ฉันก็อยากมีสิทธิ์ได้รักคุณเหมือนกัน ถ้าฉันได้เป็นนักออกแบบ จะได้ยืนอยู่ข้างคุณอย่างภาคภูมิไงล่ะ”
เขายังนึกถึงคำพูดเกาเหวินที่บอกว่า “คุณว่าคนเราน่าแปลกมั้ย อืม...เช่นเวลาเราชอบอะไรสักอย่าง ไม่ว่าคนอื่นจะคิดว่ามันไร้ค่า แต่คุณก็ยังคิดว่ามีค่า”
ซีอีโอหนุ่มปิดแฟ้มงานวางลงบนโต๊ะ ใช้ความคิดหนัก
เช้าวันต่อมา เหม่ยลี่ถึงเทซีโร่แต่เช้า ตกใจลุกพรวดขึ้นถามอย่างไม่เชื่อหู “ว่าไงนะ”
ซือหยวนเดินมาหา “นี่เป็นคำสั่งของคุณเซี่ยว เขาไม่ให้เธอเข้าร่วมประชุมครั้งนี้”
“แต่นี่เป็นผลงานการออกแบบของฉันทำไมถึงไม่ให้ฉันเข้าร่วมล่ะ”
“เธอต้องไปถามเขาเอง หรือไม่ก็ถามตัวเองสิ” ซือหยวนยิ้มร้ายเมื่อเห็นเหม่ยลี่เดินฉับๆ ขึ้นชั้นบนไปทางห้องทำงานประธานหนุ่ม
เหม่ยลี่ทำอย่างแรก โดยการขึ้นไปหาเซี่ยวเลี่ยงถึงบนห้อง
“ทำไมคุณถึงไม่ให้ฉันเข้าร่วมประชุมครั้งนี้”
เซี่ยวเลี่ยงกดอินเตอร์คอมบอกเลขา “ตามรปภ.มีคนบุกรุกห้องทำงานท่านประธาน” เหม่ยลี่กดตัดสาย แล้วเดินไปเคาะประตูห้องใหม่ เซี่ยวเลี่ยงบอกผ่านทางอินเตอร์คอมไปว่า
“ไม่ต้องแล้ว เธอไปแล้ว”
“ฉันขอเข้าไปได้มั้ยคะ ได้สิ” เหม่ยลี่เดินเข้ามาอย่างเอาเรื่อง “ตอนนี้คุณพูดได้รึยัง ทำไมฉันถึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม”
“เจ้านายไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ลูกน้องฟัง คุณออกไปได้แล้ว”
เหม่ยลี่ทุบโต๊ะปัง “แต่คุณจงใจแกล้งลูกน้อง ฉันไม่จำเป็นต้องทำตาม”
“ผมจะให้ฝ่ายบุคคลไล่คุณออกทันที ออกไป”
เซี่ยวเลี่ยงจะกดอินเตอร์คอม เหม่ยลี่ไม่ยอมปัดมือเขาออก
“คุณรังแกพนักงาน ฝ่ายบุคคลควรไล่คุณออกก่อน”
“ได้ ดีสิ ให้พวกเขามาไล่ผมออกเลย”
เหม่ยลี่คุมแค้น ด่าออกมาช้าๆ ชัดๆ “คุณ...ไอ้คนโรคจิต”
เซี่ยวเลี่ยงขึงตาใส่ โกรธจัด “คุณว่าใครโรคจิต”
“ฉันว่าคุณโรคจิตไงล่ะ ชอบทำให้ฉันมีความหวังแล้วโจมตีฉันทุกที วันก่อนยังดีอยู่พออีกวันก็ทำหน้าบึ้งตึง คุณรังแกฉันแล้วมีความสุขมากเหรอ ความรู้สึกฉันไม่มีค่าเลยเหรอ คุณคิดอะไรอยู่กันแน่เนี่ย”
“เราสองคนใครรังแกความรู้สึกใครก่อนล่ะ ออกไป”
เหม่ยลี่อึ้งไป สองคนจ้องหน้ากัน อย่างไม่มีใครยอมกัน เหม่ยลี่ปัดอินเตอร์คอมล้มลงแล้วจึงเดินออกไป เซี่ยวเลี่ยงจับอินเตอร์คอมตั้งไว้อย่างเก่า แต่เกิดหงุดหงิด ปัดทิ้งลงโต๊ะโครม
ขณะเดียวกันเกาเหวินเดินเข้ามาในแผนกออกแบบ ถามหาเหม่ยลี่กับซือหยวน “มี่โตะล่ะ”
“เธอไปพบคุณเซี่ยวแล้ว” ซือหยวนลุกเดินมาหา “คุณเกา มาหามี่โตะมีอะไรรึเปล่า”
“ฉันอยากมาถามอะไรหน่อยน่ะ ได้ข่าวว่าคุณเซี่ยวมีความรักแล้ว เธอรู้มั้ยว่าแฟนของเขาคือใคร”
ซือหยวนยิ้มเจ้าเล่ห์ “อะไรกัน เธอไม่เคยบอกคุณเหรอ ดูเหมือนเธออยู่กับใคร ก็มีแต่ความลับ”
เกาเหวินหันมามองอย่างไม่พอใจนิดๆ “เธอหมายความว่ายังไง เธออยากบอกอะไรฉันเหรอ”
ซือหยวนยิ้มเยาะ ลอยหน้าลอยตาแฉ
“แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อพวกคุณเป็นเพื่อนกัน เธอกำลังคบกับคุณเซี่ยว แต่ไม่บอกคุณ เพราะคงกลัวมีปัญหา เพราะคุณเซี่ยวเป็นแฟนเก่าของคุณ เธอหลอกใช้คุณเพื่อเข้าหาเขา แล้วแย่งเขามา คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”
เกาเหวินยิ้มหยัน มองอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน “ฉันรู้สึกหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ เธอบอกเรื่องพวกนี้กับฉันเพราะอะไรกันแน่”
“ฉันแค่เห็นใจคุณเท่านั้น ผู้หญิงอย่างเขาน่ากลัวมาก ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี เธอไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกับพวกคุณหรอก เธอทรยศคุณ คุณยังเห็นเธอเป็นเพื่อนอีกเหรอ”
เกาเหวินตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า “คนอย่างเขาเป็นยังไงไม่สำคัญ แต่คุณนินทาคนอื่นแบบนี้เป็นคนดีนักเหรอ ฉันว่าคนที่น่าเห็นใจคือเธอมากกว่า คนหน้าไหว้หลังหลอกก็คือคนอย่างพวกเธอ เธอต่างหากที่ไม่มีวันเข้ากลุ่มกับเราได้”
เกาเหวินเดินหนีไปเลย ซือหยวนโกรธจัด ทำได้เพียงมองตามตาขุ่น
พอเกาเหวินเดินออกมาเจอเหม่ยลี่ที่ยืนอึ้งอยู่ และฟังอยู่ตั้งแต่ต้นพอดี สองสาวมองหน้ากันนิ่งนาน
สองสาวนั่งอยู่ในร้านกาแฟ ZOO COFFEE กลางเซี่ยงไฮ้ บรรยากาศด้านนอกโพล้เพล้ เกาเหวินจิบกาแฟวางลง แล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบ ท่าทีเมินเฉย
“พูดมาสิ มันเรื่องอะไรกันแน่”
เหม่ยลี่ก้มหน้า “เกาเหวินฉันขอโทษ”
“ฉันไม่ได้มาฟังเธอขอโทษ”
“ความจริงก่อนที่เธอจะรู้จักเซี่ยวเลี่ยง ฉันก็ชอบเซี่ยวเลี่ยงมาก่อนแล้ว แต่ว่าต่อมา เซี่ยวเลี่ยงประกาศว่าเขาคบกับเธอ และฉันกับเธอก็มาเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นฉันเลยเก็บซ่อนความรักที่มีต่อเขาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะหลังจากนั้นเซี่ยวเลี่ยงมาบอกว่าเขาชอบฉัน ฉันคงไม่กล้าคิดว่าความฝันของฉันจะกลายเป็นจริง แต่หลังจากเกิดเรื่องครั้งก่อน เขาก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับฉัน เขาไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าฉันเป็นแฟนเขา ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ดังนั้นถ้าฉันมาถามเธอด้วยตัวเอง แล้วฉันจะพูดยังไงล่ะ ฉันเสียใจ และทุกข์ใจ จนเมื่อเซี่ยวเลี่ยงบอกฉันว่า ระหว่างพวกเธอเป็นเพียงข้อตกลง มันจึงทำให้ฉันเริ่มรู้สึกดีขึ้น แต่ตอนนั้นเรื่องราวยิ่งซับซ้อนมากขึ้น เรื่องของเธอกับหานปิงก็มีปัญหา ฉันเลยไม่อยากสร้างปัญหาให้เธออีก ฉันพูดอย่างนี้ เธอ...ยอมรับได้มั้ย ฉัน ฉันรู้ว่าเธอโกรธ แต่ว่า เธอบอกฉันสิว่า ฉันต้องพูดยังไงเธอถึงจะรู้สึกดีขึ้น
เกาเหวินวางกระเป๋าในมือลงท่าทีฉุนเฉียว “เรื่องนี้มีอะไรต้องอธิบายล่ะ เธอแค่บอกฉันว่าชอบเซี่ยวเลี่ยง ฉันก็ช่วยจีบเขาให้เธอก็ได้หนิ”
เหม่ยลี่ประหลาดใจมาก “เธอจะช่วยฉันเหรอ”
“ใช่สิ เพื่อนรักก็ต้องช่วยกันไม่ใช่เหรอ เธอเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟัง เรามาแชร์ความลับต่อกัน ทำไมต้องปิดบังฉันด้วยล่ะ”
เกาเหวินยิ้มแย้มเบิกบาน ส่วนเหม่ยลี่ตาเหลือก
“หะ ถ้างั้นที่เธอโกรธเมื่อกี้ เอ่อ...ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เหรอ ฉันคิดว่าเธอโกรธฉันเพราะเรื่องนี้ซะอีก”
เกาเหวินอมยิ้มขำๆ “ความจริง ฉันก็อยากเคลียร์กับเซี่ยวเลี่ยงให้มันจบ แต่พอมาเจอเธออย่างนี้คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ ดูเธอสิกังวลอะไรล่ะ” เหม่ยลี่หน้าเสีย เกาเหวินยิ้มขำ “ฉันล้อเล่นน่า ฉันกับเซี่ยวเลี่ยงคบกันหลอกๆ เท่านั้น อีกอย่างเราสองคนก็ไม่ได้รักกัน เขาจะคบกับใครไม่เกี่ยวกับฉันเลย”
เหม่ยลี่โล่งอก “ทำฉันตกใจหมดเลย”
“แต่ว่าต่อไปเธอห้ามปิดบังฉันอีกนะ สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือการถูกหลอก และเพื่อนที่ฉันเชื่อใจที่สุดก็คือ มี่โตะ”
เกาเหวินว่า
เหม่ยลี่ระบดระบายออกมาอย่างอัดอั้น เกาเหวินนิ่งฟัง
“ขอโทษนะเกาเหวิน ฉันรู้ว่าการถูกคนที่ไว้ใจหลอกมันเจ็บปวดมากแค่ไหน ความจริง ฉันก็อยากจะบอกเธอมาก เพราะฉันก็เคยผ่านชีวิตที่ยากลำบากมาแล้ว ทุกคนย่อมมีสิ่งที่เคยผิดพลาด และชีวิตที่ถูกกดดัน ไม่กล้าที่จะไปเผชิญ จึงหลบหนี เพราะความอ่อนแอ แต่เขาไม่มีวันรู้ว่า อดีตที่ผ่านมาไม่สามารถลบทิ้งได้ มันย่อมมีร่องรอยของชีวิตปรากฏขึ้น อย่างเช่น พวกรูปถ่าย ประวัติ สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆถูกเปิดเผยออกมา เพื่อย้ำเตือนว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“มี่โตะ เธอจงใจเหรอ เธอพูดถึงเรื่องรูปถ่ายของฉันใช่มั้ย เธอหาว่าฉันไม่กล้าเผชิญอดีตใช่มั้ย”
เห็นเกาเหวินโกรธ คิดไปโน่น เหม่ยลี่ตกใจมากพยายามอธิบาย
“ไม่ใช่ๆ ฉัน...”
เกาเหวินไม่ฟัง หัวเราะเยาะออกมา “อดีตเหรอ ใครไม่มีอดีตบ้างล่ะ ในอดีตเธอรู้จักฉันมั้ย แล้วอดีตของฉันมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ”
“ขอโทษเกาเหวิน ฉัน...”
เกาเหวินขำคิกที่ได้แกล้งมี่โตะอีกดอก หัวเราะร่า
“เธอกลัวอะไร ดูเธอกลัวมาก เธอไม่มีทางทำเรื่องแย่ๆอยู่แล้ว เอาน่า เธอเลิกพูดว่าขอโทษได้แล้วล่ะ นี่ บอกหน่อยสิ เธอเอาเซี่ยวเลี่ยงอยู่หมัดได้ไง”
“ความจริงฉันไม่เคยคิดจีบเขาเลย และเขาก็ไม่เคยยอมรับฉันด้วย”
เกาเหวินไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้หรอก เมื่อคืนเขาดื่มเหล้าที่บาร์เพราะเธอ เรื่องแบบนี้ฉันมองไม่ผิดแน่ จริงนะ”
เหม่ยลี่หูผึ่ง ยิ้มออก ยื่นหน้ามาถาม “เธอว่าไงนะ เธอบอกว่าคุณเซี่ยวเมาเพราะฉันเหรอ”
เกาเหวินขำ “จนถึงตอนนี้พวกเธอยังไม่รู้ใจกันอีกเหรอ เอาล่ะ พี่จะรีบจัดการให้เธอเอง สบายใจได้ๆ”
เหม่ยลี่ดีใจปิดหน้าหัวเราะอย่างโล่งอก
เกาเหวินหัวเราะชอบอกชอบใจ
ไม่นานต่อมา เกาเหวินนัดเหลยอี้หมิงมาพบที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง เจอหน้ากันเขาก็เหน็บแนมทันที
“ว้าว คุณเป็นผู้ถือหุ้นที่นี่เหรอ ถึงพาผมมาที่นี่ เรื่องมันยังไงกัน”
“ภารกิจครั้งนี้ของเรายากนิดหน่อย”
“ภารกิจเหรอ อะไร เจมส์ บอนด์ เหรอ” อี้หมิงทำมือเป็นปืนเล็งไปมา
“พูด ร้องเพลง เล่นตลก คุณทำได้มั้ย”
“ได้สิเรื่องนี้ผมถนัดอยู่แล้ว จะเอาตลกแค่ไหนก็ได้ คุณจะทำอะไร”
“เพื่อนของฉันกำลังคบกัน แต่ตอนนี้มีปัญหา ฉันเลยอยากทำให้พวกเขาคืนดีกัน”
อี้หมิงยิ้มย่องยังไม่รู้ชะตา
“เรื่องแค่นี้ง่ายมาก อย่าว่าแต่คืนดีเลย ผมจะจัดให้หนักกว่านี้อีก พรุ่งนี้จะส่งพวกเขาไปจดทะเบียนสมรสเลย แต่สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ ถ้าผมพยายามช่วยแล้วพวกเขามีลูกกันในหนึ่งอาทิตย์จะทำยังไง”
เกาเหวินหัวเราะขำเดินนำเข้าไปในห้องหนึ่ง “พอแล้วน่า อย่าลืมร่วมมือกับฉันล่ะ”
“ได้ คอยดูฝีมือผม”
อี้หมิงหยิบมือถือมาดู เผื่อยัยอ้วนโทร. มา แล้วรีบตามไป
“เฮ้อ เรื่องเชือดไก่แบบนี้ ผมถนัดอยู่แล้วน่า จิ๊บจ๊อย”
เหม่ยลี่รออยู่ในห้องแล้ว มองไปที่ประตูเห็นเกาเหวินเข้ามาคนเดียว ยกเหล้ามาเทใส่แก้วดื่ม
“ทำไมมาช้าอย่างนี้ ฉันนั่งรอจนหิวแล้ว”
“เธอดื่มคนเดียวเลยเหรอ มา” เกาเหวินลากหมอเหลยเข้ามา “นายเคยเจอกันแล้วนี่ เพื่อนฉัน มี่โตะ”
เหม่ยลี่เงยหน้ามาเห็นถึงกับสำลักเหล้าพรวด ก่อนจะลุกขึ้นทัก “สวัสดีค่ะ”
อี้หมิงทักตอบ “สวัสดี”
“เธอสองคนเคยเจอกันแล้วไงใช่มั้ย เอ๊ะ เจอกันเมื่อไหร่นะฉันจำได้ว่า”
อี้หมิงนึกบางอย่างได้ดึงเกาเหวินมาถาม “นี่ เพื่อนที่คุณจะช่วยคือเขาเหรอ”
เหม่ยลี่ได้ยินไม่ถนัด ถามงงๆ “ช่วยอะไร”
“เอ่อ ปละๆ เปล่า เขาบ้าไปแล้ว ฉันไปโทรศัพท์ก่อนนะ” เกาเหวินเดินเลี่ยงออกไปกดสายหาเซี่ยวเลี่ยง
อี้หมิงด่ากลับ “คุณน่ะสิบ้า”
“นี่ เขาว่าไงนะ” เหม่ยลี่กระซิบถามขึ้นอย่างหงุดหงิด
“เธอไม่รู้ว่าทำอะไรแล้วมาทำไม เขาจะทำให้เธอกับเซี่ยวเลี่ยงดีกัน” อี้หมิงกระซิบกลับสุดจะเซ็ง
“แล้วนายมาที่นี่ทำไม”
“ฉันจะไปรู้เหรอว่าเขาให้ทำเรื่องนี้”
เหม่ยลี่ด่า “เขาให้มานายก็มาเหรอ”
“เธอก็เหมือนกันนั่นแหละ” อี้หมิงสวนกลับ
สองคนฮึ่มฮ่ำใส่กันไปมา
เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้ามาในคาราโอเกะแล้ว
“อ้อ ผมมาถึงแล้ว พวกคุณอยู่ห้องไหนล่ะ”
เกาเหวินบอกว่า “ฉันอยู่ห้อง 32”
เซี่ยวเลี่ยงมองหาจนเจอพยักหน้าบอก “อื้ม”
พอเกาเหวินเดินมาสองคนก็แยกออกจากกันมานั่งลง
“ทำไมนั่งอยู่กับที่ล่ะ ร้องเพลงสิ เต้นสิ”
อี้หมิงหาข้ออ้างเตรียมชิ่ง “เอ่อ ผมนึกได้ว่าผมมีคนไข้รออยู่โรงพยาบาลผมต้องกลับก่อนแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวค่อยกลับไปก็ได้ไม่ใช่เหรอ” เกาเหวินจับอี้หมิงทุ่มลงไปกับโซฟา “มาร้องเพลงกันก่อนเถอะ หะ มาสิ”
เซี่ยวเลี่ยงเปิดประตูเดินเข้ามา เหม่ยลี่มองไปเห็นลุกพรวด อี้หมิงก็ด้วย เซี่ยวเลี่ยงไม่พอใจจะกลับ
“ผมกลับก่อนดีกว่า
เหม่ยลี่หยิบกระเป๋าจะกลับ “ฉันกลับเองดีกว่า”
อี้หมิงสบช่องสวมรอยลุกตาม “เอ่อ..ฉันไปส่งเธอเอง”
เกาเหวินไม่ยอมกันไว้ เหม่ยลี่เบรกไม่ทันชนกันโครมกับอี้หมิง
“เพิ่งมาถึงนะอย่าเพิ่งกลับเลย ร้องเพลงแล้วค่อยกลับเถอะ เดี๋ยวๆ พวกเธอจะไปไหน”
เซี่ยวเลี่ยงหงุดหงิดใส่เหม่ยลี่ “คุณมีสิทธิ์อะไรกลับก่อนผม”
เหม่ยลี่แหวใส่ “คุณมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉันเล่า ตัวคุณเองก็...”
เกมทำท่าจะพลิกเกาเหวินตะโกนห้ามเสียงดังลั่น “พอได้แล้ว” ทุกคนสะดุ้ง
“เฮ้อ เอ่อ นานๆ ทุกคนได้เจอกันที มาร้องเพลงกันซักหน่อยจะเป็นไรไปล่ะ ฉันขอแนะนำให้คุณรู้จักแฟนของฉันนะ เหลยอี้หมิง ฮิๆ”
เห็นอี้หมิงยืนนิ่ง เกาเหวินขึ้นเสียง “เหลยอี้หมิง”
เซี่ยวเลี่ยงยื่นมือออกไปจับทักทาย “หวัดดี”
อี้หมิงจับตอบทักแบบแกนๆ “หวัดดี”
เกาเหวินดี๊ด๊า จับมือเหม่ยลี่และมือตัวเองมาวางทับกัน 4 คน เขย่าๆ
“สวัสดีๆ สวัสดีทุกคน สามัคคีกันอย่างนี้ดีมากเลยใช่มั้ยล่ะ ร้องเพลงๆๆ มานี่สิ”
มีเพียงเกาเหวินระรื่นอยู่คนเดียว คนอื่นทำหน้ากันไม่ถูก
โดยเฉพาะสองหนุ่มเมินหน้าหนี เหม็นขี้หน้ากันอย่างประหลาด
เกาเหวิน ยิ้มร่าเริง พาเหม่ยลี่กับเซี่ยวเลี่ยงไปนั่งที่โต๊ะ อี้หมิงไม่ยอมเดินตามมา ถูกเกาเหวินกระชากลากแขนไปนั่งด้วยกันกับเธอ
ทันทีที่นั่งลงเหม่ยลี่ก็รีบดีดตัวออกห่างจากเซี่ยวเลี่ยงไปจนสุดโซฟา แถมเซี่ยวเลี่ยงก็ดันทำท่าปั้นปึ่งใส่ หันหลังให้อีกต่างหาก แต่คอยปรายหางตามองมี่โตะตลอดๆ
พอเห็นสามคนเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ปั้นปึ่งใส่กัน แม่งานอย่างเกาเหวินชักปวดกบาล พยายามชวนคุย หัวเราะหัวใคร่ สร้างบรรยากาศ
“ดูเหมือนทุกคนจะสามัคคีกันเกินไปแล้ว นั่งอย่างเดียว ไม่พูดไม่จาเลย รู้สึกอึดอัดเลย” แต่บรรยากาศยังอึมครึมดังเดิม จนเธอเองเริ่มอึดอัด แต่ยังไม่ท้อถอย ลุกไปหยิบไมค์ส่งให้เหม่ยลี่กับเซี่ยวเลี่ยง ให้ออกไปร้องเพลง
“คือว่ามาร้องเพลงกันเถอะ เอานะ ดีมาก มา มี่โตะ เซี่ยวเลี่ยง คุณกับมี่โตะร้องหนึ่งเพลง”
เซี่ยวเลี่ยงวางไมค์ลง บอกทันทีว่า “ผมร้องเพลงไม่เป็น”
เหม่ยลี่นั่งหน้าบูดไม่ขยับ เกาเหวินเริ่มเครียด ร้องเรียกตัวช่วย “เหลยอี้หมิง”
“บังเอิญว่า ผมก็ร้องไม่เป็น” อี้หมิงบอกวางมาดเข้ม
เกาเหวินยังหัวเราะได้อีก “ช่างบังเอิญจริงๆ คนร้องเพลงไม่เป็นมาอยู่ด้วยกันแล้ว ดังนั้นถึงได้เป็นเพื่อนกันไง ทำไมต้องขี้อายอย่างนี้ด้วยถูกมั้ย ฉันร้องเป็นเพื่อนคุณ”
อี้หมิงปฏิเสธ “ไม่อยากร้อง”
“ทำเพื่อมี่โตะไง ลุกขึ้น ลุกขึ้น” เกาเหวินพูดลอดไรฟัน คะยั้นคะยอ “เขาเป็นคนขี้อายน่ะ อย่าถือสาเลย ลุกขึ้น ลุกขึ้น รอเดี๋ยวนะ”
อี้หมิงลุกเดินซังกะตายออกไปที่เวทีข้างๆ ทีวีจอยักษ์
“จะให้ร้องอะไร”
“นี่ไง เพลงนี้เลย” เกาเหวินเดินไปกดเพลง แล้วร้องเลย
อี้หมิงเอาแต่มองเหม่ยลี่กับเซี่ยวเลี่ยงอ้างว่า “ไม่มีเสียง”
เกาเหวินขึงตาใส่กับความเรื่องเยอะของเขา “รีบร้องเร็ว”
อี้หมิงทำตัวร่าเริงร้องเพลงไปด้วยท่าทางตลกๆ เกาเหวินร้องตามไปด้วย เหม่ยลี่หัวเราะคิกคัก ขำท่าทางเสี่ยวหมิงหมิงของเธอ
เซี่ยวเลี่ยงดันหงุดหงิดขึ้นมาซะงั้น หันมามองตาขวาง “คุณมีความสุขมากเหรอ”
“ทำไม ฉันมีความสุขไม่ได้เหรอ ฉันมีความสุขมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะ ก็มันตลกจริงๆ หนิ”
สองคนทะเลาะกันไป ดังสู้กับเสียงร้องของเกาเหวินกะอี้หมิง
“คืนงานเลี้ยงฉลอง คุณอยู่กับใครเหรอ” เซี่ยวเลี่ยงถามขึ้น
เหม่ยลี่เง็ง “คุณหมายถึงใคร ทำไมจู่ๆ ถามเรื่องนี้”
“ผมโทร.หาคุณ แต่มีผู้ชายรับสายนี่นา”
เหม่ยลี่อึ้งๆ งงๆ จ้องหน้าถาม “วันนั้นคุณโทร.หาฉันเหรอ ทำไมฉันไม่รู้เรื่องเลย”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
เหม่ยลี่ลุกหนีไปนั่งโซฟาอีกตัว “ฉัน...ฉันไม่รู้ วันนั้นฉันเมาหลับไปแล้ว ไม่แน่อาจเป็นเจ้าของร้านอาหาร เขาเห็นฉันหลับอยู่ เลยช่วยรับโทรศัพท์”
เซี่ยวเลี่ยงฮึดฮัดขยับตามไปถามใกล้ๆ “คุณดื่มเหล้าด้วย เมาแล้วยังนอนที่ร้านอาหาร คุณบ้าแล้วเหรอ ถ้าเจ้าของร้านฉวยโอกาสขึ้นมาจะทำยังไง อันตรายมากนะ”
เหม่ยลี่แถ “เขามีคนรักแล้วล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ่งขึ้น “คุณรู้แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวเจ้าของร้านเหรอ”
เหม่ยลี่อึกอักใหญ่ พูดอะไรก็ดันเข้าตัวตาหลอด “ฉัน...ฉันหมายถึง เจ้าของร้านมีเมียแล้ว พอดีฉันรู้จักเมียเขาด้วย”
“แล้วทำไมเมียเขาไม่รับสายล่ะ โทรศัพท์คุณดังเกี่ยวอะไรกับเจ้าของร้าน”
เหม่ยลี่จ้องหน้า “คุณ หึงฉันเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงปฏิเสธ “หุบปาก”
“เห็นได้ชัดว่าคุณกำลังหึงฉัน”
“ผมบอกให้หุบปากยัยผู้หญิงซื่อบื้อ” เซี่ยวเลี่ยงขยับหนี
เหม่ยลี่ตามไปซักไซ้เซ้าซี้ “แล้ววันนั้นคุณโทร.หาฉันทำไมเหรอ”
“ไม่มีอะไรแค่เป็นห่วงคุณ” เซี่ยวเลี่ยงหลุดปาก
เหม่ยลี่ยิ้มกริ่มเอียงหูไปใกล้ๆ ทำเป็นไม่ได้ยิน “อะไรนะคุณว่าไงนะ พูดอีกรอบสิ พูดอีกรอบ”
เซี่ยวเลี่ยงรำคาญยกนิ้วจิ้มหัวออก “โอ๊ย”
“พูดรอบเดียวไม่มีรอบสอง”
อี้หมิงร้องเพลงไปโดยไม่มีสมาธิ เอาแต่มองสองคนที่ทะเลาะกันอยู่ตรงหน้า
“คุณระวังล้มล่ะ”
เกาเหวินร้องไปเต้นเป็นอี้บ้าใส่อารมณ์เต็มที่
เหลยอี้หมิงอ้าปากร้องเพลงไปเหมือนคนสนุกสนาน ทั้งที่ในใจปวดร้าวเหลือแสน นึกถึงความรักความผูกพันที่เขามีต่อยัยอ้วนของเขาเป็นฉากๆ นับตั้งแต่วันที่ปลอบขวัญให้เธอยอมเข้ารับการทำศัลยกรรมใบหน้า จนออกมาสวยใสกลายเป็น มี่โตะ ผู้แสนสวย ทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหว หลงรักเต็มหัวใจ คอยอยู่เคียงข้างทุกครั้งที่เหม่ยลี่มีความทุกข์ คอยแก้ปัญหา และให้คำแนะนำอย่างหวังร้ายแต่กลายกลับเป็นเรื่องดีๆ ของเหม่ยลี่ทุกครั้ง
“ยัยอ้วน ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปยังไง ฉันไม่สนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ฉันจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอตลอดไป เธอไม่ต้องห่วง ยังมีฉันอยู่ นับตั้งแต่นี้ไป ขอแค่เธอมีความสุขก็พอ ฉันสามารถ เอาเรื่องที่ไม่สบายใจ โยนทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย และมีความสุขไปพร้อมกับเธอ ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน ฉันจะไปหาเธอถึงที่โดยเร็ว เพราะระหว่างเรา คือเพื่อนกัน ยัยอ้วน ถ้าเธอเป็นยัยอ้วนตลอดไปก็คงดี แบบนั้นเซี่ยวเลี่ยงจะได้ไม่ชอบเธอ เอ่อ...ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
จนถึงวันที่เหม่ยลี่โทร.มาบอกเขาด้วยน้ำเสียงเริงร่ามีความสุขว่า
“เซี่ยวเลี่ยงเขา...สารภาพรักฉันแล้วล่ะ”
วันนั้นทำเอาเขาแทบบ้า
อี้หมิงยังคงร้องเพลงกับเกาเหวินไปเรื่อยๆ และร้องกันเสียงดังมากขึ้นๆ
“เสียงดังมาก” เซี่ยวเลี่ยงบ่น ลากแขนเหม่ยลี่ออกไปข้างนอก
“เอ๊ะ มีอะไร”
“ผมบอกว่าเสียงดังเกินไป เราออกไปข้างนอกกันเถอะ”
พร้อมกับว่าเซี่ยวเลี่ยงลากแขนเหม่ยลี่ออกไปข้างนอก
อี้หมิงมองตาละห้อย เกาเหวินร้องถาม “เอ๊ะ พวกเธอจะไปไหน ไปไหนๆๆ”
เหม่ยลี่หันมาบอก “พวกเธอร้องไปก่อน”
อี้หมิงตะโกนถามใส่ไมค์เสียงดังลั่น “จะไปไหนกัน”
“ไปก่อนนะ บ๊ายบายๆ” เหม่ยลี่หัวทิ่มไปตามแรงฉุดของเซี่ยวเลี่ยง
“ดีมาก บ๊ายบาย รีบไปเลย บ๊ายบายสุดยอดไปเลย”
เกาเหวินดี๊ด๊าชอบอกชอบใจ พอหันมาเห็นอี้หมิงเหวี่ยงไมค์ออกหน้าตาบูดบึ้งก็งง
“เป็นอะไรของคุณเนี่ย เมื่อกี้ยังร้องอยู่ดีๆ มา ฉันร้องเป็นเพื่อน มาๆ”
อี้หมิงฮึดฮัดไม่ยอมร้อง โวยวายใส่หน้า “ทำไมคุณต้องให้ผมช่วยเขากับเซี่ยวเลี่ยงด้วยล่ะ”
“ไม่ใช่ เป็นอะไร คุณดูไม่ออกเหรอว่าพวกเขาทะเลาะกัน คุณทำตัวเป็นตัวตลกให้พวกเขาอารมณ์ดีหน่อยสิ คุณเห็นมั้ย พวกเขามีความสุขออกไปแล้ว”
เกาเหวินยิ้มร่า อี้หมิงประกาศก้อง
“เป็นตัวตลกต่อหน้าใครก็ได้ แต่สำหรับผู้ชายคนนี้ผมทำไม่ได้”
เกาเหวินงง ถามไปตรงๆ “ทำไมคุณถึงทำไม่ได้ คุณชอบมี่โตะใช่มั้ย”
อี้หมิงหันมาหา เกาเหวินรอฟังคำตอบ สองคนจ้องหน้ากันนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น สุดท้ายหมอเหลยเฉไฉไปเรื่องอื่น
“คุณโง่รึไง เขาเป็นแฟนเก่าของคุณนะ คุณแนะนำผู้หญิงให้เขา ไม่เสียใจบ้างเหรอ”
เหลยอี้หมิงเปิดประตูเดินออกไปมาดอย่างเท่ เกาเหวินมองตาม ยิ้มพรายออกมา
นางคงน่าจะกำลังคิดเข้าพกเข้าห่อตัวเองตามเคย
สองคนออกมาถึงโถงหน้าทางเข้าออก เหม่ยลี่สะบัดแขนออกจากการฉุดกระชากของเซี่ยวเลี่ยง ถามเสียงเขียว
“คุณ คุณทำอะไร ฉันเจ็บนะ”
“ผมไม่ชอบที่คุณอยู่ดึก แล้วคุณยังอยู่กับผู้ชายคนอื่น”
“คุณมายุ่งอะไรด้วย คุณเป็นใครทำไมต้องตะคอกใส่ฉันด้วย”
เซี่ยวเลี่ยงโมโห “ผมเป็นแฟนคุณไงล่ะ” เหม่ยลี่ตะลึงตะไล “มี่โตะ ผมเป็นแฟนของคุณ คุณเป็นแฟนของผม ผมมีสิทธิ์จะรู้ว่าคุณไปไหน ถ้าคุณยังไม่พอใจ พรุ่งนี้ผมจะเปิดแถลงข่าวประกาศว่า มี่โตะเป็นแฟนเซี่ยวเลี่ยงอย่างเป็นทางการ”
“แต่คุณเคยพูดกับฉันว่า…”
“พูดว่าไง”
“คุณบอกว่าระหว่างเราไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกันอีก”
เซี่ยวเลี่ยงจับไหล่เหม่ยลี่ให้หันมาหา
“ตอนนี้ผมรู้สึกเสียใจ ผมคิดว่าคุณพูดถูก ความรู้สึกไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนตอนที่คุณรักผมอย่างไร้เงื่อนไข และตอนนี้ผมก็ไม่สามารถหยุดรักคุณได้ แค่คิดว่าต่อไปจะไม่ได้เจอคุณอีกทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย หัวใจของผมรู้สึกเจ็บปวด ยกโทษให้ผมด้วย เป็นแฟนของผมได้มั้ย หืม”
เหม่ยลี่อึ้งไป เดินหนีออกมาดื้อๆ กำไม้กำมือพึมพำออกมาอย่างดีใจ “พูดอย่างนี้แสดงว่าเขาชอบฉันจริง และเห็นฉันเป็นแฟนของเขาแล้ว ความสุขมาได้กะทันหันมาก”
เซี่ยวเลี่ยงยื่นหน้ามามองว่าเป็นอะไรมากไหม
“ไม่ได้ๆ ฉันต้องรีบโทร.หาเพื่อนๆ สมัยประถม และลุง ป้า น้า อา ของฉัน แล้วบอกพวกเขาว่าฉันมีความสุขแล้ว มี่โตะสู้ๆ เย่”
เหม่ยลี่หันกลับมาต้องตกใจเมื่อเห็นเซี่ยวเลี่ยงจ้องอยู่ใกล้ๆ “เฮ้ย!”
“ผมให้โอกาสแค่นี้ทำเป็นดีใจ นี่มันที่สาธารณะ ระวังหน่อยสิ” เซี่ยวเลี่ยงตำหนิ
“เราคืนดีกันเป็นเรื่องน่ายินดีใช่มั้ย ฉันควรแสดงอะไรเล็กๆ น้อยๆ บ้างสิ”
“คุณจะทำอะไร” เซี่ยวเลี่ยงสยองขยับหนี
“งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ” เหม่ยลี่หัวเราะ คล้องแขนหมับเอียงหน้าซบไหล่เขายิ้มสุขใจ “ฉันชอบทำแบบนี้หนิ”
“คุณปล่อยนะ” เซี่ยวเลี่ยงสะบัดออก เหลียวมองรอบตัว กลัวคนมาเห็น
“เป็นอะไร”
“ดึงแขนจนผมเจ็บน่ะสิ”
“งั้นคุณอยากไปไหน”
เซี่ยวเลี่ยงดึงรั้งร่างเหม่ยลี่มาหาบอกขึงขังว่า
“บ้านผม”
จากนั้นก็หิ้วเหม่ยลี่ตัวปลิวออกไป
เหม่ยลี่ยืนหลังพิงผนังห้องไม่ยอมขยับไปไหน เมื่อเห็นเซี่ยวเลี่ยงถอดสูททิ้งลงบนโซฟาทันที่เข้าห้องมา
“นี่ ทำไมคุณต้องถอดเสื้อด้วย”
เซี่ยวเลี่ยงถอดเนกไท แกล้งเดินเข้ามาบอกว่า “คุณคิดว่าไงล่ะ”
“ฉันยังไม่ได้เตรียมตัวเลย”
เหม่ยลี่จะหนี เซี่ยวเลี่ยงตะปบแขนเข้ากับผนังขังเธอไว้
“ไม่ต้องเตรียมตัวแล้ว”
เหม่ยลี่ตกใจมุดลอดแขนหนี “เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ฉัน ฉันขอเข้าห้องน้ำก่อน”
เซี่ยวเลี่ยงร้องบอก “มี่โตะ นั่นห้องนอนของผม”
เหม่ยลี่หน้าม้าน “งั้นแล้วห้องน้ำไปทางไหน”
“ข้างหลัง” เซี่ยวเลี่ยงยกนิ้วบอกทาง
พอเข้าห้องน้ำมาได้ เหม่ยลี่ใจเต้นโครมคราม บ่นบ้าอยู่ในใจ
“เฮ้อ คุณจะทำอะไรฉันกันแน่ ดึกดื่นป่านนี้ ชายหญิงอยู่กันสองต่อสอง แบบนี้ไฟก็ลุกน่ะสิ”
เหม่ยลี่เปิดเสื้อคลุมดู ลนลานใหญ่ “ฉันไม่ได้ใส่ชั้นในสวยๆ มาด้วย แล้วยังกินมันฝรั่งรสกระเทียมอีก ฉันจะทำไงดี แปรงสีฟัน ทำไมเขาไม่มีแปรงสีฟัน เขาไม่ใช้แปรงสีฟันเลยเหรอ ล้างมือไม่มีประโยชน์”
เหม่ยลี่ตั้งสติ เดินออกมานั่งนึกต่อที่โซฟารับแขก โพสท่าโน้นท่านี้ไปเรื่อย
“แบบนี้ดีมั้ยนะ หรือว่าแบบนี้ดี เฮ้อ ดูเหมือนท่านี้ก็ไม่เลว”
พอหันมาเห็นเซี่ยวเลี่ยงยืนถือแฟ้มจ้องมองอยู่ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ก็สะดุ้งโหยง “เฮ้ย”
“คุณกำลังทำอะไร” เซี่ยวเลี่ยงเดินมานั่งด้วย
“ฉัน...ฉันกำลังคิดว่า ยังไงฉันก็เป็นลูกสาวมีพ่อมีแม่ ดังนั้น เลยต้องเตรียมตัวหน่อยน่ะสิ”
“นี่มันกี่โมงแล้วยังจะเตรียมอะไรอีก รีบแก้ไขปัญหาของงานออกแบบเร็ว แล้วรีบกลับไปนอนที่บ้าน”
เซี่ยวเลี่ยงเซ็ง โยนแฟ้มงานในมือลงที่โต๊ะกลาง
เหม่ยลี่ตาเหลือก “หะ คุณหมายถึง แก้ไขงานออกแบบเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงอมยิ้ม กลั้นหัวเราะ
เหม่ยลี่ชี้หน้าถามย้ำ “คุณบอกว่าแก้งานออกแบบ ห้ามทำอย่างอื่นนะ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มขำไม่หาย “อื้ม ผมล้อเล่นน่า ผมเห็นคุณท่าทางของคุณก็ตลกแล้ว”
“เห็นคุณหัวเราะขนาดนี้ ฉันรู้สึกไม่ชินเลย”
เซี่ยวเลี่ยงกระแอมอบรมอีกว่า “แต่คุณต้องรับปากก่อน ต่อไปห้ามโพสท่าอย่างนี้อีก โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนอื่น ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวเลย”
“ฉันสัญญา ต่อไปจะรักนวลสงวนตัว” เซี่ยวเลี่ยงเลื่อนแฟ้มงานมาให้ เหม่ยลี่เปิดดู “ว้าว เตรียมไว้เยอะแยะเลย ฉันคิดว่าคุณไม่สนใจงานออกแบบของฉันซะอีก”
“ผมแค่ชอบการทำงานอย่างเต็มที่เท่านั้น”
เหม่ยลี่ยิ้มระรื่น “งั้นแสดงว่า คุณยอมให้ฉันทำงานต่อแล้ว”
“มี่โตะ ครั้งนี้ ผมเคารพการตัดสินใจของคุณ และผมจะช่วยคุณ” เซี่ยวเลี่ยงบอกเสียงนุ่ม
เหม่ยลี่กระโดดลงมาคุกเข่ากับพื้นซบหน้าลงกับแขนเขาอย่างดีใจ
“คุณดีจริงๆ”
เซี่ยวเลี่ยงปลดแขนออกกระแอมเตือน “เมื่อกี้คุณสัญญาอะไรไว้”
“ขี้งกจริงๆ เลย” เหม่ยลี่กลับไปนั่งที่เดิม
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มขำ พูดเป็นงานเป็นการ “ตอนนี้ ขอให้คุณมี่โตะ พูดเกี่ยวกับความคิดของคุณในการออกแบบงานครับ”
“งั้น...ก็เริ่มจากหน้านี้ก่อนนะ แท่นแท้น” เหม่ยลี่เปิดรูปสเกตช์ที่เธอปิ๊งไอเดีย ยื่นมาให้ดู
เซี่ยวเลี่ยงจ้องที่รูปน่องไก่ “นี่คืออะไร”
“ความคิดสร้างสรรค์ของฉันไง งานออกแบบนี้ฉันจะเอาสิ่งที่ฉันชอบทั้งหมดมาใส่เอาไว้ในนี้” เหม่ยลี่อธิบาย
“ที่แท้สิ่งที่คุณชอบที่สุด คือน่องไก่เหรอ” เซี่ยวเลี่ยงชี้น่องไก่
“ไม่ใช่แน่นอน แต่เป็นรูปของคุณที่อยู่ข้างน่องไก่ นี่ไง”
เหม่ยลี่หัวเราะคิกคักจับนิ้วเซี่ยวเลี่ยงมาชี้รูปสเกตช์ใบหน้าเขา สองคนยิ้มให้กัน
อี้หมิงนั่งนิ่งขึงอยู่ที่โซฟายาวในบ้าน หันไปทางประตูแว่บหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงกุกกักๆ
“กลับมาแล้วเหรอ”
“ยังไม่นอนเหรอ” เหม่ยลี่ปิดประตูเดินเข้ามา จะขึ้นห้อง
อี้หมิงเรียกไว้ “มานี่”
เหม่ยลี่เดินมาถามงงๆ “เอ๊ะ นายเป็นอะไร”
“เธอไปไหนมา”
“นายทายสิ” เหม่ยลี่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อี้หมิง ยิ้มหน้าระรื่น
อี้หมิงเจ็บแปล่บในใจรู้คำตอบแล้ว “ดูมีความสุขหนิ คืนดีกันแล้วเหรอ”
เหม่ยลี่หัวเราะชอบอกชอบใจ “นายรู้ได้ไง ฉันจะบอกนายว่า วันนี้เซี่ยวเลี่ยงยอมให้ฉันทำงานต่อที่บริษัทแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ยกความดีให้นาย กดไลค์ให้เลย” อี้หมิงยกมือปิดตาไม่อยากนึก “โธ่เอ๊ย นายจะปิดหน้าทำไม ไหนเล่าให้ฟังหน่อยนายกับเกาเหวินเป็นไงบ้าง”
“ฉันกับเขาไม่เกี่ยวข้องกัน”
“อะไรกัน ดูสิ ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้อีก นี่” เหม่ยลี่คล้องแขนอี้หมิง ทำท่าดัดเสียงเลียนแบบเกาเหวิน “สวัสดีทุกคนนี่คือแฟนของฉัน เขาแนะนำว่านายเป็นแฟนอย่างเป็นทางการแล้วนายต้องดีใจสิ”
“ฉันบอกแล้วไงว่าเขาไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่ได้ชอบเกาเหวิน” เหลยอี้หมิงขึ้นเสียง
“ต่อหน้าฉันยังมาทำเป็นเก๊กอีก ฉันไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ นายจีบเขาติดได้ยังไง”
อี้หมิงโมโห โพล่งออกไปอย่างเหลืออดว่า
“เอ๊ะ ทำไมเธอชอบจับคู่ให้ฉันกับคนอื่นอยู่เรื่อยเลย ฉันไม่ได้ชอบเกาเหวินเลยแม้แต่น้อย เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนเธอและไม่อยากช่วยเธอ ฉันไม่มีทางรักคนอื่น เพราะในใจฉันมีแต่เธอฉันชอบเธอ”
เหม่ยลี่อึ้งไปที่ถูกสารภาพรักในสถานการณ์นี้ เธอจ้องหน้าเขาอย่างคาดไม่ถึง อี้หมิงเองก็ไม่อยากเชื่อว่าจะกล้าพูดออกไป สุดท้ายเขาลุกเดินหนีเข้าห้องนอนไป
เหม่ยลี่นั่งนิ่ง ยังช็อกไม่หาย หันมามองตามเพื่อนรักคนเดียวในชีวิตไป ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
อี้หมิงตื่นขึ้นมาตอนเช้า ค่อยๆ ชะโงกหน้าออกมาจากห้องนอนที่ประตูแง้มเปิดออกช้าๆ มองหาจนทั่วบ้าน ก่อนจะเดินมาชะเง้อมองจากตีนบันได ร้องเรียกหาเหม่ยลี่
“ยัยอ้วน เธอตื่นรึยัง ยัยอ้วน”
ทุกอย่างเงียบกริบ หมอเหลยเดินซึมมานั่งที่โซฟารับแขก ไม่วายเหลียวขึ้นไปดูห้องยัยอ้วนด้วยใบหน้าหมองเศร้า
ก็จะเจอได้ไง เพราะเหม่ยลี่ถึงออฟฟิศแต่เช้า เวลานี้นั่งเครียดถอนใจเฮือกๆ อยู่ที่โต๊ะทำงาน
“เฮ้อ เป็นไปไม่ได้ รู้จักกันมาตั้งนานทำไมเพิ่งมาบอกฉันล่ะ หรือว่าฉันทำอะไรผิดต่อเขา เขาจึงจงใจแกล้งฉัน แต่ไม่น่าจะใช่นะ”
จนกระทั่งหางตาแลเห็นซีอีโอยอดดวงใจเดินมากับฉีหยูจะขึ้นบันไดไปยังห้องทำงาน
นางลุกพรวด ตะโกนเรียกซะดังลั่น “คุณเซี่ยว”
ซือหยวนหันมามอง เซี่ยวเลี่ยงหยุด หันมาถามหน้าขรึม “มีอะไร”
เหม่ยลี่ยิ้มโบกมือให้ “อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“วันนี้ผมยุ่งมาก ไม่มีเวลาสนใจคุณ”
เซี่ยวเลี่ยงบอกแล้วเดินขึ้นห้องไปกับฉีหยู
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ คนที่ชอบฉันกับคนที่ฉันคบด้วย ต่างไม่สนใจฉัน ไม่มีใครสารภาพรักกับฉันเลย ทุกคนเป็นอะไรกันหมดเนี่ย”
เหม่ยลี่พึมพำทิ้งตัวลงนั่งเซ็งๆ ถอนใจเฮือกใหญ่
อีกฟากหนึ่ง เหลยอี้หมิงในชุดกาวน์เดินซึมออกมาบริเวณล็อบบีแผนกสูติฯ ในโรงพยาบาล เกาเหวินในชุดพรางตัวเองเต็มอัตตรา สวมแว่นดำทรงโต ใส่หมวกปีกกว้างสีดำ นั่งรออยู่ตรงเก้าอี้กระแอมกระไอทัก
“อึ้ม...เหลยอี้หมิง”
อี้หมิงสะดุ้ง จะหนีกลับก็ไม่ทันแล้ว
“ทำไมถึงเป็นคุณอีก”
“เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับทั้งคืน”
“ผมก็เหมือนกัน” อี้หมิงเดินมานั่งด้วย ถอนใจเฮือก
“ฉันคิดถึงตอนเราร้องเพลงกันเมื่อวาน ที่คุณเกลียดเซี่ยวเลี่ยงมาก คงเพราะอิจฉาเขาใช่มั้ย”
อี้หมิงจึ๊ปากขัดใจ “ทำไมคุณพูดแบบนี้ล่ะ”
“ความจริงคุณก็เป็นคนดี แต่ว่าการชอบใครสักคนมันซ่อนไม่อยู่ ฉันสามารถรับรู้ได้”
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนรู้กันหมดแล้ว ผมก็ไม่ต้องแกล้งอีกต่อไป”
อี้หมิงจะลุกขึ้น เกาเหวินดึงไว้ เหวี่ยงให้เขาลงนั่ง ส่วนตัวเองลุกพรวดขึ้นหันกลับมาหา
“ไม่ คุณแกล้งต่อไปดีกว่าค่ะ” อี้หมิงตะลึง “เพราะมิตรภาพกับความรักไม่เหมือนกัน คนสองคนเมื่อเริ่มจากการเป็นเพื่อน ต่อมาก็รักกัน แน่นอนว่าต้องมีอุปสรรค ฉันไม่ต้องการให้มิตรภาพของฉันกับมี่โตะมีปัญหา เพราะว่าคุณชอบฉัน”
อี้หมิงงงใหญ่ “คุณ คุณพูดอะไร ผมชอบใครนะ”
เกาเหวินจุ๊ปาก ยกนิ้วมาปิดปากเขาไว้ ก่อนจะละตัวขึ้นอย่างเก่า
“ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจทุกอย่าง ฉันรู้ว่าเพราะฉันเคยคบกับเซี่ยวเลี่ยง ตอนนี้ฉันยังลากคุณเข้ามาเกี่ยวด้วย ฉันรู้ว่าคุณเจ็บปวดมากแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ แต่ว่าฉัน...แต่ว่าฉันกับเซี่ยวเลี่ยงเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น ฉันทำทุกอย่างเพื่อช่วยมี่โตะเท่านั้น แต่เมื่อคืนคุณกลับหึงฉัน ฉันรับรู้ทุกอย่างค่ะ”
“หึงเหรอ ใช่ผมกำลังหึง แต่ว่าสิ่งที่ผมหึงไม่ใช่เรื่องนี้ ผม...”
อี้หมิงจะบอกอยู่แล้ว แต่เกาเหวินดันโน้มหน้าลงมาหายกมือปิดปากเขาไว้
“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูด ฉันเข้าใจ”
“เข้าใจอะไรของคุณ” อี้หมิงส่งเสียงอู้อี้ๆ ถามอย่างงุนงง
เกาเหวินนั่งลงตรงหน้า ยกแขนข้างที่ปิดปากเมื่อครู่ มาเช็ดน้ำลายกับเสื้อกาวน์ของอี้หมิง
“ฉันเข้าใจฉันเข้าใจจริงๆ ฉันเข้าใจว่าคุณชอบฉัน จึงไม่สามารถพูดออกมาได้ ต้องโทษที่ฉันเห็นแก่ตัวเอง ฉันยอมแกล้งทำเป็นไม่รู้ เพราะไม่อยากให้มิตรภาพระหว่างเราจบลงแบบนี้”
เกาเหวินคว้ามืออี้หมิงมากำไว้มั่น “รับปากฉัน ว่าเราจะเป็นกามเทพของกันและกัน ให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้มั้ย”
ซุปตาร์ดวงตกถอนมือออกคว้ากระเป๋าถือ ลุกยืนโบกมือลา เดินออกไป 2-3 ก้าว แล้วหยุดหันกลับมามองเหลยอี้หมิง ส่ายหน้าด้วยท่าทีอ้อยสร้อย ก่อนจะสวมแว่นดำทรงโตเดินออกไป
“เพราะเมื่อก่อนฉันจีบสาวเยอะไปจริงๆ ไปแล้วอีกคนก็มาตลอด นี่มันเวรกรรมจริงๆ เฮ้อ มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย”
อี้หมิงอยากจะบ้าตาย เหยียดขาทอดตัวตามเก้าอี้ถอนใจเฮือกๆ บ่นบ้าเอน็จอนาถชีวิตอยู่คนเดียว
พยาบาลผ่านมาเห็นจึงเดินมาถาม “คุณหมอเหลย คุณเป็นอะไร ไม่สบายเหรอคะ”
“คือผม ไม่เป็นไรๆ ผมแค่ปวดหัว ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ”
“ค่ะ” พยาบาลเดินจากไปแบบงงๆ
สาวๆ แผนกออกแบบ กลับลงมาจากห้องประชุม หนานหนานเดินเข้ามาหาซือหยวนที่นั่งนิ่งขึงอยู่ที่โต๊ะ
“พี่ซือหยวน ทำไมวันนี้ไม่ไปประชุมล่ะ ท่านรองหลินถามถึงพี่ตลอดเลย นี่ พี่ซือหยวน”
ซือหยวนนั่งหน้าบูดไม่ยอมตอบใด จนอีกฝ่ายต้องถอยกลับไปยังโต๊ะตัวเอง ซือหยวนหยิบโทรศัพท์ที่กรีดเสียงดังลั่นมารับสาย
“ฮัลโหล”
เป็นเซียนที่โทร.มาหาจากบ้าน
“ฮัลโหล ที่รัก เมื่อกี้ผมไปซื้อปลามาจากตลาด เอ่อ...ปลาเพิ่งตายยังสดอยู่เลย แล้วยังซื้อเบียร์มาด้วย เบียร์ไกล้หมดอายุแล้ว ลดพิเศษเลยล่ะ ผมคิดว่าคุณเลิกงานแล้ว คืนนี้จะทำกับข้าวรอ”
“ฉันไม่อยากกินปลาตาย ไม่อยากดื่มเบียร์หมดอายุ คุณเลิกโทร.หาฉันได้แล้ว ฉันไม่อยากได้ยินเสียงคุณ” ซือหยวนหลุดปากตวาดใส่สามีแล้วตัดสายโยนมือถือลงบนโต๊ะ
เซียนหนานอึ้งไปเลย
คนอื่นๆ ในแผนกออกแบบตกตะลึงหันมามองเป็นตาเดียว
รวมทั้ง หลินจื่อเหลียง ที่เพิ่งเดินลงบันไดมาจากห้องประชุม ยืนนิ่งฟังจนจบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อ่านต่อ ตอนที่ 17