เพลงนรี ตอนที่ 4
ทางด้านยอดนักสืบอธิรุธ ยังไม่หยุดการสืบเสาะหาเบาะแส เขาเที่ยวตระเวนพบปะชาวบ้านชาวสวนละแวกบ้านป้าสินี พร้อมกับเปิดรูปพริริสาในโทรศัพท์มือถือให้พวกชาวบ้านดู
“คนนี้ใช่ลูกสาวป้าสินีหรือเปล่าครับ”
ชาวบ้านช่วยกันดูรูปในมือถืออย่างไม่แน่ใจ
ชาวบ้าน1 “ใช่มั้ง”
อธิรุธสะดุดหู “ใช่มั้ง เหรอครับ เหมือนไม่ค่อยแน่ใจเลยนะครับ”
ชาวบ้าน 2 เสริมว่า “แหมมมม คุณ คนสมัยนี้หน้าเปลี่ยนกันจะตาย กว่าจะโต หน้าเปลี่ยนจนจำเค้าเดิมไม่ได้”
ชาวบ้าน 1 พยักพเยิด “ใช่ ที่เค้าบอกว่า มาไกลมากอ่ะ เคยได้ยินรึเปล่า ตอนเด็กๆ ตัวดำดั้งไม่มี โตขึ้นมาขาวสวย จมูกโด่ง ตาโตแบบนี้ เป็นเรื่องปกติแล้ว”
ระหว่างนี้มิราและไคซัจในชุดชาวสวนเดินถือหมวกปีกกว้างกลับออกจากสวนมาขึ้นรถ แต่เห็นอธิรุธยืนคุยกับพวกชาวบ้านก็พากันชะงัก
“ตาผู้กองอธิรุธยังไม่กลับไปอีก”
มิราและไคซัจ พยักหน้าให้กัน แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เพื่อฟังว่าอธิรุธกำลังคุยอะไรกับชาวบ้าน
“ใครพอจะมีรูปถ่ายริสาก่อนที่จะมาไกลขนาดนี้บ้างไหมครับ”
มิราและไคซัจได้ยินก็ตกใจ ถ้าชาวบ้านมีรูปริสาตัวจริง ต้องแย่แน่ๆ ชาวบ้านพากันนิ่งคิดก่อนส่ายหน้าพร้อมเพรียง
“ไม่มีหรอกคุณ ทำไมไม่ไปที่บ้านป้าสินีเขาล่ะ” ชาวบ้าน 1 บอก
ชาวบ้าน 2 สงสัย “ว่าแต่ คุณมาถามเรื่องริสาทำไมกัน”
อธิรุธยิ้มกริ่ม “พอดีผม ผมเป็นเพื่อนกับริสาน่ะครับไม่ได้เจอกันนาน ก็เลยมาหา แต่กลัวว่าจะมาผิดที่เลยต้องถามให้ชัวร์ก่อน”
ชาวบ้าน 1 เหล่มอง “อ้อ จะมาจีบเขาล่ะสิท่าพ่อหนุ่ม”
อธิรุธรีบรับสมอ้าง ทำท่าเขิน “ก็ประมาณนั้นล่ะครับ”
มิรามองค้อนหมั่นไส้
“กะล่อนนักนะ”
จังหวะนี้ไคซัจรีบเดินแยกหลบออกไป ปล่อยให้มิรายังยืนค้อนควักอยู่ จนอธิรุธหันมาเห็น มิรารู้ตัวขยับจะเดินหนีแต่ไม่ทัน
“คุณ...คุณ เดี๋ยวซิคุณ”
อธิรุธรีบเดินเข้ามาหา มิราเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เบ้หน้าเซ็งเล็กๆ ที่หนีอธิรุธไม่พ้นสักที
มิราและอธิรุธเดินออกมายังบริเวณริมถนนที่อธิรุธจอดรถทิ้งเอาไว้
“ผมเชื่อแล้วว่าโลกกลมจริงๆ ผมถึงได้มาเจอคุณที่นี่ คุณก็ช่างสรรหาที่เที่ยวเนอะ ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไปเลย”
มิราแก้ตัว “ฉันชอบเที่ยวแนวท้องถิ่น วิถีชาวบ้านน่ะก็เลยมาแถวนี้ ยังไงก็ตามสบายนะคุณ ฉันจะไปหาที่เที่ยวแถวนี้ต่อ โชคดีนะ”
อธิรุธเดินไปขึ้นรถ แต่ก็ชะงักหันมาหามิรา
“เดี๋ยวซิ คุณกำลังหาที่เที่ยวใช่ไหม ผมกำลังจะไปตลาดเหมือนกัน ไปด้วยกันสิคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ฉันเกรงใจ”
อธิรุธยิ้มกวนเดินกลับไปหา
“จะเกรงใจทำไมกัน เราก็คนกันเองอยู่แล้ว ผมอยากทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีกับเขาบ้าง ไหนคุณว่าจะหาที่เที่ยวต่อไง ไปกับผมนี่แหละ รับรองปลอดภัยแน่นอน”
อธิรุธถือวิสาสะดึงแขนมิราไปที่รถของตน มิราจำใจต้องยอมขึ้นรถไปเพื่อไม่ให้อธิรุธสงสัยมากกว่านี้
สองคนอยู่ในสวนสวย พริริสานั่งสูดอากาศบริสุทธิ์ทำให้อาการมึนงงจากยาสลบที่ถูกโปะดีขึ้น ธีภพนั่งอยู่ข้างๆ ส่งขวดน้ำให้
“ดื่มน้ำเยอะๆ คุณจะได้หายมึน”
“ขอบคุณค่ะ”
พริริสาดื่มน้ำแล้วรู้สึกดีขึ้นอย่างที่ธีภพว่า
“ทำไมคุณไม่แจ้งความ”
“ทางร้านเขาขอร้องเราคุณก็ได้ยิน ถ้ามีข่าวว่าร้านเขามีโจรเข้ามาทำร้ายลูกค้า เขาคงได้เจ๊งปิดกิจการแน่ๆ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย”
“คุณห่วงร้านเขาจะเจ๊ง แต่ไม่ห่วงความปลอดภัยตัวเอง”
“เจ้าของร้านเขาสัญญาว่าจะเพิ่มพนักงานรักษาความปลอดภัย คงไม่มีโจรที่ไหนกล้าเข้ามาอีกแล้วล่ะค่ะ”
“ถ้าโจรทั่วไปก็คงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้น ในเวลากลางวันแสกๆแน่ นอกเสียจากว่า...”
ธีภพยังสงสัยไม่หาย ว่าทำไมคนร้ายต้องการลักพาตัวพริริสา
“นอกจากอะไรคะ”
“มันต้องการตัวคุณมาก มากพอที่กล้าจะทำอะไรอุกอาจขนาดนี้”
พริริสาเริ่มสังหรณ์ใจว่าคนที่มาลักพาตัวตนเป็นใคร ธีภพเองก็สงสัยไม่น้อยเช่นกัน
ราห์มานนั่งรออยู่ในรถตรงเบาะหลัง สักครู่ลูกน้องที่ทำร้ายพริริสาจึงเปิดประตูข้างคนขับขึ้นมานั่ง
“ขอโทษครับ มีคนมาช่วยผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ก่อน”
ราห์มานเสียดายโอกาส “เลยไม่รู้ว่าใช่พริริสาจริงๆ หรือเปล่า”
“หรือจะให้ผมตามไป”
“เอาไว้ก่อน ตอนนี้ ไปจัดการเรื่องขายเพชรที่เหลือให้เรียบร้อย มีงานสำคัญกว่ารอเราอยู่ที่ไทรจีส”
“ครับท่านราห์มาน”
ฝ่ายพริริสาพยายามพูดปัดไป
“ใครจะมาอยากได้ตัวฉันกันคะ ฉันก็แค่คนธรรมดา ไม่ใช่ลูกเศรษฐีที่ไหน จะได้มาจับตัวไปเรียกค่าไถ่”
“ใครจะรู้คุณอาจจะมีค่าตัวยิ่งกว่าลูกเศรษฐีก็ได้”
ธีภพพูดเล่น แต่ไม่คิดว่าจะจี้ใจพริริสาจังๆ
“ฉันคงแค่ดวงตกหนัก โดนให้ออกจากงานแล้วยัง เจอโจรอีก” พริริสานึกได้ หันมาจับผิดเพื่อ
เปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่คุณมาได้ยังไง”
“บังเอิญล่ะมั้ง”
“ฉันไม่เชื่อคุณหรอก พี่ศจีโทร.นัดฉันออกมา แต่จนตอนนี้พี่ศจีก็เงียบหายไปเลย คุณเป็นคนให้พี่ศจีโทร.มาหาฉันใช่ไหม”
ธีภพหัวเราะที่พริริสารู้ทัน เขานึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ธีภพเดินเข้ามาในห้องทำงานก็แปลกใจ เห็นศจียืนคุมพนักงานยกโต๊ะทำงานเข้ามาวางในห้องเป็นที่วุ่นวาย
“เอาไว้มุมนั้นก็ได้”
“โต๊ะใครครับคุณศจี ทำไมเอามาไว้ในห้องนี้”
“ก็โต๊ะสำหรับเลขาคุณภพไงคะ”
ธีภพงง “เลขาผม ตกลงได้เลขาแล้วเหรอครับ”
ศจีงงบ้าง “คุณภพยังไม่ทราบเหรอคะ ศจีคิดว่าคุยกันแล้วซะอีก”
ธีภพยิ่งทำหน้างงหนัก ศจีเข้าใจทันทีว่าเป็นความคิดของสองแม่ลูก ธีภพไม่ได้รับรู้ด้วย บอกอย่างเหนื่อยใจว่า
“คุณเกรซน่ะสิคะบอกว่าจะมาเป็นเลขาคุณภพ”
ธีภพได้ยินก็นิ่งไป นึกกังวลว่าถ้าเกรซมาเป็นเลขาตนต้องไม่ดีแน่
“คุณศจีพอจะติดต่อริสาให้ผมได้ไหมครับ”
ศจีทำหน้าประหลาดใจ แต่ก็รับคำ
“ได้ค่ะ”
พริริสามองหน้าธีภพอย่างคาดคั้น จนหนุ่มรูปงามต้องยอมรับ
“ใช่ คุณเข้าใจถูกแล้ว”
“คุณมีอะไรก็รีบว่ามา ฉันไม่ได้มีเวลามาเที่ยวเตร่กับคุณได้ทั้งวันนะคะ”
“คุณโดนให้ออกแล้ว น่าจะว่างอยู่นะ”
พริริสาชักสีหน้าใส่ธีภพ เพราะใครกันเล่าที่ทำให้เธอต้องโดนให้ออก แต่ไม่อยากพูดออกไป
“ผมเอาของมาให้”
ธีภพหยิบกล่องกระดาษที่วางข้างตัวยื่นให้พริริสา อีกฝ่ายทำหน้าแปลกใจเปิดกล่องดู เห็นเป็นตุ๊กตาแกะอยู่ในกล่อง หันมามองธีภพอย่างไม่เข้าใจ
“ผมเอาตุ๊กตากับของเล่นไปให้เด็กๆที่มูลนิธิแล้วนะ ส่วนตัวนี้ผมเก็บไว้ให้คุณเป็นที่ระลึก ในฐานะที่คุณเป็นคนไปเลือกของ เด็กๆ ชอบของที่คุณเลือกทุกชิ้นเลยนะ อ้อ ผมมีของแถมด้วย คุณน่าจะชอบ”
ธีภพหยิบอมยิ้มสีสวยออกมาจากกระเป๋าเสื้อส่งให้ พริริสาเห็นอมยิ้มก็รับมา รู้สึกดี ไม่คิดว่าธีภพจะให้ของแบบนี้กับตน แต่พอนึกได้ว่าคนอย่างธีภพที่ชอบแกล้งตน อาจจะกำลังหลอกว่าเธอผ่านของที่ให้อยู่ก็ได้ จึงมองอย่างระแวง
“เดี๋ยวนะ นี่คุณลงทุนหลอกฉันมาเพื่อจะว่าฉันทั้งทำตัวเป็นเด็ก” เธอยกอมยิ้มขึ้น “แล้วตุ๊กตาแกะนี่ก็...”
ธีภพยิ้มขำสวนออกมา “คุณจะมองผมในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า ผมก็แค่อยากจะทำให้คุณสบายใจขึ้นก็เท่านั้นเอง เป็นการไถ่โทษที่ผมเป็นต้นเหตุให้คุณมีเรื่องกับเกรซ”
พริริสาเลยโกรธไม่ลง “ช่างเถอะค่ะ ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ฉันกลับล่ะ”
พริริสาลุกขึ้นจะกลับ
“ริสา ผมมีข้อเสนอบางอย่างให้คุณ คุณสนใจจะฟังหรือเปล่า”
พริริสาชะงัก แปลกใจว่าธีภพมีข้อเสนออะไร
อีกฟาก อธิรุธพามิรามาเที่ยวตลาดตามที่ว่า มิราพยายามระมัดระวังตัวเอามากในช่วงแรกๆ จนผ่านไปสักระยะ อธิรุธพามิราไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ขายในเรือ มิราเริ่มตื่นเต้น ไม่เคยมาเที่ยวแบบนี้
“เป็นไงคุณ”
มิรารับชามมาตักชิม คำแรกก็รู้สึกอร่อย
“อร่อยดี”
อธิรุธยิ้มเอ็นดู “ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว ผมหมายถึงตลาดเนี่ยเป็นไงบ้าง”
“อ๋อ...ก็ดีค่ะ ชั้นชอบ ฉันไม่เคยมาเที่ยวอะไรแบบนี้เลย”
อธิรุธมองหน้า “ไหนบอกว่าชอบเที่ยวแนวท้องถิ่น วิถีชาวบ้านไงแล้วทำไมไม่เคยมาตลาดแบบนี้ แปลกนะ”
“ไม่เห็นจะแปลกเลย ก็ฉันมัวแต่ไปเที่ยวที่อื่น ไม่เคยมาตลาดแบบนี้ไง แปลกตรงไหน”
“คุณกินไปก่อนนะ เดี๋ยวผมมา”
อธิรุธลุกขึ้นเดินไป มิรามองตามไปงงๆ แต่ความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวยั่วใจมากกว่า จึงหันมากินก๋วยเตี๋ยวต่อ
อธิรุธเดินเข้ามาที่แผงขายผลไม้ อธิรุธทำท่าเลือกผลไม้ไปเหมือนจะซื้อ ชวนแม่ค้าคุยไปด้วย
“ขอโทษครับ ป้าสินีเจ้าของสวนผลไม้ แกขายอยู่แผงไหนครับ”
“อ๋อ ป้านี วันนี้แกไม่ได้มานี่ ไม่เห็นนะ”
“แต่คนที่สวนแกบอกว่าแกเอาผลไม้มาขายที่ตลาด”
คนขายทำหน้างง “ไม่นี่ ปกติมีคนไปรับของที่สวนแกอยู่แล้ว แกไม่เคยมาขายเองหรอก”
“ขอบคุณครับ”
อธิรุธยิ่งสงสัยหนัก ครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ
ใช้เวลาไม่นานนักอธิรุธก็กลับมาที่เรือก๋วยเตี๋ยว พร้อมกับชูถุงผลไม้ในมือขึ้น
“ผมซื้อมาฝาก”
มิราตั้งแง่ “ดีไปรึเปล่าเนี่ย พามาเที่ยวตลาดแล้วยังซื้อผลไม้ให้อีก”
“หัดมองโลกให้สวยๆมั่งคุณ คนดีๆ มีน้ำใจก็ยังมีอยู่ในโลกนี้นะครับ”
อธิรุธส่งถุงผลไม้ให้ มิรารับมาถือไว้ มองเลยไปด้านหลังเห็นไคซัจยืนปะปนกับนักท่องเที่ยวมองมายังตน มิรารู้ตัวว่าควรแยกกับอธิรุธได้แล้ว จึงหันไปบอกลาอธิรุธ
“ขอบใจนะ ขอบใจที่พาฉันมาเที่ยวด้วย วันนี้ฉันสนุกมากแต่ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ”
“งั้นผมไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก ฉัน อยู่เกสเฮ้าส์ไม่ไกล เดี๋ยวเรียกรถแถวนี้ไปง่ายกว่า ฉันไปล่ะ”
มิรารีบร้อนเดินไปทางที่ไคซัจยืนรออยู่ ไม่สนใจอธิรุธอีก
“อ้าวคุณ”
ไคซัจหันหลังเดินนำมิราไปก่อน แฝงตัวปะปนกับคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นเพื่อไม่ให้อธิรุธจับสังเกตเห็น
อธิรุธมองตามมิราอย่างแปลกใจที่ดูรีบร้อนพิกล
มิราหิ้วถุงผลไม้ตามไคซัจมาจนถึงมุมปลอดคน มิราหันกลับไปมองด้านหลังว่าอธิรุธตามมาหรือเปล่า พอไม่เห็นก็โล่งใจ
“หมอนั่นสงสัยอะไรบ้างหรือเปล่าคุณมิรา”
“คงไม่หรอก ความจริงนายไม่ต้องตามมาก็ได้ ฉันรับมือผู้กองอธิรุธได้อยู่แล้ว”
ไคซัจดุ เป็นห่วงงานพริริสา “คุณไม่ควรประมาท ที่ผมตามมาก็ห่วงว่าคุณจะเที่ยวเล่นเพลิน จนทำให้แผนของเจ้าหญิงเสียหายได้”
มิรามองหมั่นไส้ “ไหนว่าอยากให้ริสากลับไทรจีส แต่ตอนนี้มาห่วงแผนจะเสีย ตกลงนายยังไงกันแน่”
ไคซัจอึกอัก “เจ้าชายคามินสั่งให้ผมดูแลเจ้าหญิงให้ดี อะไรที่เป็นผลเสียกับเจ้าหญิง ผมก็ต้องระวังไว้ก่อน”
“จ้ะ พ่อองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์และซื่อตรง ฉันจะไม่ยอมให้เขามาจับผิดได้ง่ายๆ หรอก”
ไคซัจเห็นมิรารับคำมั่นเหมาะก็โล่งอกสบายใจขึ้นมาบ้าง
อ่านต่อหน้า 2
เพลงนรี ตอนที่ 4 (ต่อ)
เย็นนั้น กรนันท์และกานดากลับจากช็อปปิ้ง สาวใช้ถือถุงข้าวของตามเข้ามาวางที่โซฟาแล้วออกไป ดร.กฤษนั่งอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นมาทัก
“เหนื่อยไหมหลานปู่ ซื้อของเยอะขนาดนี้ คงเดินไปเดินมาร่วมหลายกิโล”
“แหมคุณปู่ขา สมัยนี้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยแล้วล่ะค่ะ เข้าไปที่ร้านให้พนักงานเอาแบบมาให้เลือก เราแค่ชี้นิ้ว จ่ายเงินก็เสร็จแล้ว”
“มิน่าล่ะ สมัยนี้เงินมันถึงได้หลุดออกจากกระเป๋ากันได้ง่าย สะดวกสบายแบบนี้นี่เอง”
กรนันท์ไม่ได้สนใจที่ปู่พูด เพราะเอาแต่หยิบเสื้อผ้าในถุงออกมาชื่นชม ในขณะที่กานดารู้ดีว่ากฤษกำลังเหน็บตนกับลูกสาวอยู่
“ถ้าเราไม่ชอบ เขาก็บังคับให้เราซื้อไม่ได้หรอกค่ะคุณพ่อ เงินของเราซะอย่าง แต่อะไรที่ยัยเกรซชอบ ดาก็พร้อมจะซื้อให้ลูกได้ทุกอย่าง”
กฤษเตือนสะใภ้นิ่งๆ “ก็ไม่ใช่ทุกอย่างจะซื้อได้หรอกนะกานดา ถ้าเกิดยัยเกรซชอบของที่มันซื้อ
ด้วยเงินไม่ได้ขึ้นมา เธอจะทำยังไง”
กานดาอยากจะเถียงแต่ต้องข่มอารมณ์ ให้เกียรติพ่อสามี จินตนาเดินเข้ามาสมทบพอดี
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะหลานย่า”
“เสื้อผ้าใหม่ค่ะคุณย่า ไว้ใส่ไปทำงาน”
จินตนากับกฤษทำสีหน้าแปลกใจทั้งคู่
“งานอะไร ทำไมย่าไม่รู้”
“ยัยเกรซเพิ่งตัดสินใจจะไปทำงานเป็นเลขาธีภพค่ะคุณแม่”
จินตนาไม่คัดค้านแถมยังชอบใจ “จริงเหรอลูก แบบนี้ก็ดีสิ ย่าสนับสนุนเต็มที่”
กฤษกลับสีหน้าไม่สบายใจเพราะรู้จักนิสัยหลานสาวดี
“แล้วธีภพเขารู้หรือยัง”
“น่าจะรู้แล้วนะคะ” กรนันท์บอก
“งั้นไปทำงานวันแรก ห้ามสายเด็ดขาดเลยนะ เราต้องทำให้ธีภพเขาประทับใจว่าเราไปช่วยงานเขาได้”
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณย่า เกรซจะไปเปิดออฟฟิศคนแรกเลย”
กฤษส่ายหน้านิดๆ ไม่คิดว่ากรนันท์จะทำได้อย่างที่พูด
ดร.กฤษเดินเข้ามาหาคณินที่นั่งตรวจงานอยู่ในมุมพักผ่อน คณินรับรู้ เงยหน้ามามองบิดา
“คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“รู้เรื่องยัยเกรซจะไปทำงานเป็นเลขาธีภพหรือยัง”
คณินถอนใจส่ายหน้าเพราะไม่เคยรู้มาก่อน
“ความคิดกานดากับคุณแม่ใช่ไหมครับ ผมไม่ทราบมาก่อนเลย”
“แล้วแบบนี้จะไหวเหรอ คราวก่อนก็เพิ่งมีเรื่องจนต้องให้ผู้ช่วยเลขาเราออกไป”
“ริสาไม่อยู่แล้ว คงไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ” คณินพูดขึ้นมา ลึกๆ รู้สึกใจหาย เสียดายเด็กสาวคนนี้โดยประหลาด “จริงๆริสาเป็นเด็กที่ทำงานเก่ง คล่องแคล้วแต่เสียดาย ไม่น่ามีเรื่องกับยัยเกรซเลย”
“เด็กคนนั้นดูไม่กลัวใคร ถึงได้กล้ามีเรื่องกับยัยเกรซ”
คณินยิ้มบางๆ “ดูคุณพ่อเอ็นดูริสาเหมือนกันนะครับ”
“นั่นสิ ทั้งๆที่เจอกันแค่ครั้งเดียวด้วยนะ”
กฤษแปลกใจตัวเอง นึกถึงพริริสาแม้จะเห็นหน้ากันแค่ครั้งเดียว แต่ก็รู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก
“ทำให้นึกถึงหลานสาวอีกคน อยากจะเห็นหน้าเขาสักครั้ง” ชายชราว่า
คณินเองก็คิดถึงลูกสาวอีกคนเช่นกัน
ฝ่ายพริริสาเตรียมตัวจะเข้านอน หยิบกล่องมาเปิดดูตุ๊กตาแกะ อมยิ้มขำๆ ไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนกล้าให้ของแบบนี้กับตน พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน
“ผมเอาตุ๊กตากับพวกของเล่นไปให้เด็กๆ ที่มูลนิธิแล้วนะ ส่วนตัวนี้ผมเก็บไว้ให้คุณเป็นที่ระลึก ในฐานะที่คุณเป็นคนไปเลือกของ เด็กๆ ชอบของที่คุณเลือกทุกชิ้นเลยนะ อ้อ ผมมีของแถมด้วย คุณน่าจะชอบ”
พร้อมกับว่าธีภพหยิบอมยิ้มสีสวยออกมาจากกระเป๋าเสื้อส่งให้พริริสา
“ผมมีข้อเสนอบางอย่างให้คุณ คุณสนใจจะฟังหรือเปล่า”
พริริสาใคร่ครวญครุ่นคิดเรื่องข้อเสนอของธีภพ
กรนันท์ตื่นแล้ว ขลุกอยู่ในห้องแต่งตัวตั้งแต่เช้า หยิบชุดออกมาใส่ชุดแล้วชุดเล่า เปลี่ยนชุดนั้น ใส่ชุดนี้ แต่ไม่ถูกใจสักที เดินออกไปดันลืมต่างหู ต้องกลับมาใส่ต่างหูใหม่ ท่าทางรีบร้อนแต่พิรี้พิไรอยู่นั่น
เมื่อมาถึงตึกบูรพเกียรติ กรนันท์ดูนาฬิกาข้อมือบอกเวลา 9.30 น. รู้ตัวว่ามาสายมากๆ รีบก้าวฉับๆ เข้ามาในออฟฟิศ เจอกับบุษกรที่ถือแฟ้มเดินมาพอดีกรนันท์รีบถาม
“พี่ภพมาหรือยัง”
“มาตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ” บุษกรบอก
“แล้วเขาถามถึงฉันหรือเปล่า”
บุษกรตอบโดยซื่อ “จะถามถึงทำไมเหรอคะ”
“รู้เรื่องอะไรมั่งเนี่ย” กรนันท์ถลึงตาใส่บุษกร “จะไปไหนก็ไปเลยไป”
บุษกรรีบเดินไปหาโต๊ะพนักงานแถวนั้น โรซี่ที่ยืนคุยงานอยู่อีกโต๊ะรีบแจ้นเข้ามาสมทบกับบุษกรทันที
“ใจกล้ามากนะยะยัยบัวไปยั่วคุณเกรซแบบนั้น”
บุษกรชักหวั่นกลัว “ฉันก็ถามไปอย่างที่คิดจริงๆ นะ ไม่ได้ตั้งใจไปยั่วโมโหคุณเกรซเลย คุณภพเขาจะถามหาคุณเกรซทำไม ในเมื่อ...”
โรซี่ประเมิน “ท่าทางแบบนี้ คุณเกรซเขาคงยังไม่รู้”
“น่าจะยัง” บุษกรว่า
“ช่างเหอะ แต่มาสายเอาป่านนี้ จะไปเป็นเลขาใครเขาได้จริงไหมพวกเรา”
โรซี่เม้าท์มอยต่อกับพนักงานแถวนั้น
กรนันท์เดินเข้ามาในห้องทำงานธีภพ
“พี่ภพคะ...เกรซ”
กรนันท์มองไปรอบห้องแต่ไม่เห็นใครก็แปลกใจ
“ไหนว่าพี่ภพมาแล้ว”
กรนันท์เดินไปที่โต๊ะทำงานที่ศจีจัดไว้สำหรับเลขา เห็นกระเป๋าถือของพริริสาวางอยู่บนโต๊ะก็แปลกใจว่าของใคร ธีภพเปิดประตูเดินเข้ามาพอดี กรนันท์รีบหันไปหาอย่างดีใจ
“เดี๋ยวคุณไปขอเอกสารรายชื่อโฮลเซลล์ของบริษัททั้งหมดจากคุณศจี”
พริริสาเดินตามหลังธีภพเข้ามาด้วย กรนันท์เห็นพริริสาก็โกรธมาก
“แก มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะพี่ภพ”
พริริสาเห็นกรนันท์ที่จ้องตนอย่างเอาเรื่อง ก็ถอนใจเบื่อๆ
“งั้นฉันไปขอเอกสารจากพี่ศจีก่อนนะคะ”
พริริสาเลี่ยงออกไป เกรซมองตามไปอย่างแค้นใจ
พอออกมาหน้าห้อง พริริสายิ้มในหน้าอย่างสะใจนิดๆ ไม่เสียทีที่ตัดสินใจรับคำชวนของธีภพ
ที่สวนสวยเมื่อวานนี้ พริริสาลุกขึ้นจะกลับ
“ผมมีข้อเสนอบางอย่างให้คุณ คุณสนใจจะฟังหรือเปล่า”
พริริสาชะงักแปลกใจว่าธีภพมีข้อเสนออะไร
“ข้อเสนออะไรคะ
“มาทำงานเป็นเลขาผม”
พริริสานิ่วหน้าฉงนฉงาน ประหลาดใจมาก และคิดไม่ถึง
“แต่ผมบอกไว้ก่อน ทำงานเป็นเลขาผม คุณคงต้องทำงานหนักกว่าตอนที่อยู่กับอาคณินหลายเท่า ได้ยินแบบนี้แล้วคุณจะยังอยากรับข้อเสนอนี้ไหม”
แต่นี่มันเป็นโอกาสเดียวที่เธอจะได้กลับเข้าไปในบริษัทบูรพเกียรติอีกครั้ง
“ฉันไม่กลัวงานหนักค่ะ”
“งั้นพรุ่งนี้คุณมาทำงานได้เลย”
ธีภพยิ้มพอใจที่พริริสายอมรับข้อเสนอ
พริริสาเดินมาตามโถงทางเดิน กรนันท์ตามมาเรียกไว้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
พริริสาหยุดหันมามองกรนันท์ว่าจะหาเรื่องอะไรตนอีก
“แกลาออกไปแล้ว ยังกล้ากลับมาที่นี่อีกทำไม หรือแกอยากจะมีเรื่องกับฉันอีก แกอยากจะเจอดีอีกใช่ไหม”
พร้อมกับว่ากรนันท์เงื้อมือจะตบ
“คุณก็อยากเจอดีจากฉันอีกเหมือนกันสิท่า”
กรนันท์นึกได้ว่าคราวก่อนเจอพริริสาตบกลับมาแล้วจึงชะงักไปเหมือนกัน ธีภพเดินตามมาพอดี
“ถ้าคุณอยากรู้ฉันกลับมาทำไม ไปถามคุณภพเองดีกว่า ฉันมีงานต้องทำ”
“พี่ให้ริสา มาทำงานเป็นเลขาพี่เอง”
กรนันท์พยายามเข้าข้างตัวเอง “เกรซเข้าใจนะคะว่าพี่ภพต้องการเลขามาช่วยงาน เกรซก็จะมาทำหน้าที่นี้ให้แล้วไง นี่คุณศจีคงยังไม่ได้บอกพี่ภพใช่ไหมคะ แย่จริงๆ เลย เข้าใจผิดกันไปหมด”
ธีภพบอกหน้าตาเฉย “คุณศจีบอกพี่แล้ว”
กรนันท์ฉุนขาด “บอกแล้ว แต่พี่ภพก็ยังให้มันมาทำงาน ได้ค่ะ พี่ภพรับมันทำงานได้ เกรซก็ไล่มันออกได้”
คณินและธเนศเดินเข้ามาพอดี คณินถามขึ้น
“มีอะไรกัน”
“คุณพ่อ”
กรนันท์ตั้งท่าจะฟ้องคณิน แต่เมื่อเห็นธเนศอยู่ด้วย เลยกลัวเสียภาพพจน์รีบเก็บอาการ
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
“สวัสดี ไม่เจอกันนานนะหนูเกรซ เห็นคุณวิว่าหนูไปช่วยงานที่สมาคมตลอด”
“ค่ะ เกรซชอบทำงานช่วยเหลือสังคม สงเคราะห์คนที่ตกยาก เขาจะได้มีชีวิตที่ดี ไม่ไปอยากมีอยากได้ แย่งของๆ ใคร”
กรนันท์มองจ้องพริริสาตลอดเวลาจงใจด่ากระทบ พริริสาโกรธแต่ต้องข่มอารมณ์ไว้
ธีภพตัดบท “ยังไงไปคุยกันในห้องผมเถอะครับ ริสา ขอกาแฟด้วย”
“ค่ะ”
คณินเองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นพริริสากลับมาทำงานให้ธีภพ แต่ไม่พูดอะไร ธีภพเดินนำทุกคนกลับไปที่ห้อง
เมื่อเห็นกรนันท์จะตามไปราวีพริริสาต่อ ธเนศหันมาเรียก
“หนูเกรซไปด้วยกันสิ”
กรนันท์ชะงัก “ค่ะคุณลุง”
กรนันท์จำใจต้องเดินตามทุกคนไป
ธเนศเดินดูห้องทำงาน ก่อนเดินกลับมานั่งคุยกับสามคน
“หวังว่าผมคงไม่ส่งธีภพมาสร้างความลำบากให้กับบูรพเกียรติหรอกนะ”
กรนันท์เอาใจ “ไม่หรอกค่ะคุณลุง พี่ภพตั้งใจทำงานมาก จริงไหมคะคุณพ่อ”
จากที่เคยตั้งป้อม และมีอคติ แม้ตอนนี้คณินเริ่มเปิดใจให้ธีภพมากขึ้น แต่ก็ยังไม่หมดใจ
“ภพช่วยงานได้มากครับ”
พริริสาเดินเข้ามาพอดี พร้อมถาดใส่แก้วกาแฟมาเสิร์ฟให้ กรนันท์สบช่องฟ้องธเนศ
“แต่บางทีพี่ภพก็ทำอะไรผิดขั้นตอนนะคะคุณลุง เช่นรับคนเข้าทำงานโดยพละการ” กรนันท์มองหน้าพริริสา “โดยเฉพาะคนที่เพิ่งถูกให้ออกไป จริงไหมคะคุณพ่อ”
คณินอึกอักไม่อยากมีเรื่องแบบนี้อีก ธีภพมองธเนศที่รู้ทุกอย่างอยู่แล้วให้ช่วยพูด
“คนเราก็ต้องรู้จักให้โอกาสคนอื่นนะหนูเกรซ ถ้าภพจะเลือกใครมาทำงานด้วย เขาก็คงมองเห็นว่าคนๆ นั้นทำอะไรให้เขาได้”
“แต่คนอื่นก็ทำได้เหมือนกันนี่คะ ทำไมต้อง...”
คณินต้องจับแขนกรนันท์เตือนให้หยุดไม่ให้เสียมารยาท กรนันท์รู้ตัวหยุดปากไว้เท่านั้น
พริริสารอฟังว่าคณินจะพูดอะไร จะไล่เธอเหมือนคราวก่อนอีกหรือเปล่า
คณินบอกออกมาว่า “ภพ เขาจะเลือกใครมาทำงานด้วยก็เป็นสิทธิ์ของเขา เราคงไปห้ามไม่ได้”
“คุณพ่อ”
พริริสาแปลกใจไม่น้อย ที่คราวนี้คณินไม่เข้าข้างกรนันท์
ธเนศยิ้มบางๆ ให้พริริสาพร้อมสำทับ “ยังไงก็ตั้งใจทำงานนะหนู คนเราได้โอกาสมาแล้ว ต้องรักษาเอาไว้”
“ค่ะ ดิฉันจะไม่ทำให้โอกาสหลุดมือไปอีก”
พริริสายิ้มในสีหน้ามองเยาะกรนันท์อย่างเป็นต่อ คุณหนูเกรซยิ่งแค้น แต่จะพูดอะไรไม่ดีไม่ได้ต่อหน้าธเนศ ธีภพโล่งใจที่เรื่องนี้จบได้สักที
กรนันท์คุมแค้นยังไงก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
ตอนพักเที่ยงที่โรงอาหาร สาวๆ ขาเม้าท์ยกแก้วน้ำชนกัน ฉลองให้พริริสาที่ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง
“เย้...”
โรซี่ใจปล้ำสุดๆ “มื้อนี้ฉันขอเลี้ยงเอง ฉลองที่ริสาได้กลับมาทำงานที่นี่อีก แถมอัพเลเวลจากผู้ช่วย
เลขามาเป็นเป็นเลขาคุณธีภพเต็มตัวและ” หนุ่มใจสาวยิ้มล้อ “เต็มหัวใจ”
ชนิตาสะดุ้งมองซ้ายแลขวา “พูดแบบนี้หางานให้ริสาโดนอีกหรือไง”
“ฉันหมายถึงริสาเต็มใจมาทำงาน ไม่ได้ถูกใครบังคับมาต่างหากล่ะ จริงไหมจ้ะริสา”
โรซี่ยิ้มกระหยิ่มถามเหมือนล้อๆ แต่พริริสากลับตอบจริงจังเพราะมีจุดประสงค์อยู่แล้ว
“ใช่ ฉันกลับมาทำงานด้วยความเต็มใจ เพราะยังมีเรื่อง...งานที่ทำค้างไว้ ต้องสะสางอีกเยอะ”
บุษกรถามพาซื่อ “นี่ริสายังต้องช่วยพี่ศจีเคลียร์งานอีกเหรอ อุตส่าห์ไปทำงานกับคุณธีภพแล้ว”
พริริสาตอบเลี่ยงๆ “ก็ประมาณนั้น”
จังหวะนี้กานดาเดินเข้ามาในโรงอาหาร โรซี่หันไปเห็นกานดาที่กำลังตรงดิ่งมาที่โต๊ะ ก็ถือช้อนนิ่ง อ้าปากค้าง รู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากตัวกานดา
ชนิตางง “ยัยโรซี่เป็นอะไร เห็นผู้ชายหล่อจนตาค้างหรือไง”
ทุกคนหันไปมองตามก็พากันชะงักงันกันไปทั้งแถบ
กานดาหยุดยืน จดสายตามองมายังพริริสาเป็นเชิงเรียกให้ตามมา พริริสามองตอบกลับสู้สายตาอย่างพร้อมจะเผชิญหน้า
เมื่ออยู่สองต่อสอง กานดามองพริริสาอย่างหยามหยัน
“เธอจะเอาเท่าไหร่”
“อะไรคะเท่าไหร่ อ๋อ หรือว่าคุณกานดารู้สึกผิดก็เลยอยากจะจ่ายค่าปลอบขวัญที่ลูกสาวคุณมาทำร้ายฉันก่อน แล้วยังบีบให้ฉันออกจากงาน ใช่ไหมคะ ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ยังไงฉันก็เอาคืนลูกสาวคุณไปแล้ว อีกอย่างตอนนี้ฉันก็ได้งานใหม่ที่ดีกว่าเดิมด้วย”
กานดาคุมแค้นสะกดอารมณ์ถึงขีดสุด “ฉันหมายถึงเธอต้องการเท่าไหร่เพื่อไปจากชีวิตธีภพ และออกไปจากบูรพเกียรติ บอกมาฉันจะเขียนเช็คให้”
พริริสายิ้มเยือกเย็น “แน่ใจเหรอคะ ว่าจ่ายไหว”
“ทำไมฉันจะจ่ายไม่ไหว”
“ถ้าราคามันมาก พอๆ กับตึกบูรพเกียรตินี้ทั้งตึกละคะ คุณจะจ่ายให้ฉันไหวหรือเปล่า”
“แก”
กานดาเริ่มมั่นใจว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้จริงๆ
พริริสาจะเดินหนีออกไปเฉยๆ กานดาคว้าแขนข้างที่มีรอยแผลเป็น ไม่ยอมให้ไปง่ายๆ
“คิดจะลองดีกับฉันจริงๆใช่ไหม คิดว่าฉันจะไม่มีปัญญาเอาแกออกไปจากบูรพเกียรติใช่ไหม”
“ฉันเชื่อค่ะว่าคนอย่างคุณทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต่อหน้าหรือลับหลังใครๆ”
กานดาเห็นรอยแผลเป็นที่ข้อมือพริริสาก็สะกิดใจอีกครั้ง
พริริสาจงใจยั่ว “คุณอยากรู้ไหมคะว่ารอยแผลนี้ของฉัน มันมาจากไหน”
กานดาร้อนตัวเรื่องในอดีต สะบัดมือพริริสาทิ้งไป
“ทำไมฉันต้องอยากรู้เรื่องของแก”
“เพราะถ้าฉันเกลียดใครสักคน ฉันจะต้องรู้เรื่องของคนๆ นั้นให้มากที่สุด เพื่อจะได้จัดการกับคนที่ฉันเกลียดได้สาสมไงล่ะคะ”
กานดาจ้องพริริสา ยิ่งสงสัยในคำพูดของพริริสา
มีพนักงาน 2 คนเดินผ่านมา และพอเห็นกานดาก็รีบก้มหน้างุดเดินผ่านไปอย่างกลัวๆ กานดาเห็นมีคนเดินมาจึงต้องนิ่งไว้ก่อน
“ถ้าคุณกานดาไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
พริริสาเดินออกไป
“แกเป็นใครกันแน่นังริสา”
กานดาถามตัวเองอย่างขุ่นเคือง จดสายมองตามพริริสาด้วยแววตาอันแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความชิงชัง
อ่านต่อหน้า 3
เพลงนรี ตอนที่ 4 (ต่อ)
กลับถึงบ้านตอนค่ำ กานดานั่งครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องพริริสา หวั่นใจว่าจะเป็นลูกสาวพีรดากลับมา จินตนาเดินเข้ามาเห็นลูกสะใภ้นั่งคิ้วขมวดอยู่ก็สงสัย แต่นึกว่ากังวลเรื่องกรนันท์
“ยัยเกรซยังไม่ยอมเปิดประตูอีกเหรอ”
“ค่ะ นี่คงเสียใจมาก ถึงไม่ยอมให้ใครเจอเลยตั้งแต่กลับมา ข้าวปลาก็ไม่ยอมออกมากิน ธีภพก็ไม่น่าหักหน้ากันแบบนี้”
จินตนาบ่นผสมโรง “คณินก็อีกคน ทำไมไม่ไล่มันออกไปจะได้จบๆ”
“คงเพราะมีคุณธเนศอยู่ด้วยน่ะค่ะ คุณคณินคงทำอะไรมากไม่ได้เพราะเกรงใจเขา”
“แล้วไหนว่าเธอจะไปคุยกับนังเด็กนั่นเอง”
“นังเด็กนั่นมันไม่ธรรมดาจริงๆ ค่ะคุณแม่ มันไม่มีท่าทีกลัวใครเลย”
“มันถือว่ามีคนให้ท้าย พวกผู้ชายก็แบบนี้ตามไม่ทันมารยาของผู้หญิงร้อยเล่ห์พวกนี้หรอก ไม่ได้ออกมาเห็นตอนที่มันทำยโสใส่พวกเรา”
“ยังไงดาก็ต้องหาทางให้มันออกไปจากชีวิตยัยเกรซให้ได้ค่ะ”
กานดาครุ่นคิด หาทางจัดการพริริสา
ฟากพริริสากลับถึงคอนโดก็ทิ้งตัวลงที่โซฟาอย่างเหนื่อยล้า มิราเข้ามาหาเห็นก็เป็นห่วงพริริสามาก
“แล้วไปแหวกหญ้าให้งูตื่นแบบนั้น เกิดเขารู้ว่าเธอเป็นใครขึ้นมาจะทำยังไง”
“พวกนั้นจะรู้ได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้ฉันคือนางสาวริสา ฉันทพัฒน์ ไม่ใช่คนที่พวกเขารู้จัก แต่ริสาคนนี้ที่จะทำให้พวกเขาอยู่กันไม่เป็นสุข หวาดระแวงกับความเลวที่เคยทำเอาไว้”
“แล้วถ้าเกิดเขาเลือกใช้วิธีเดิมๆ ขึ้นมาอีกล่ะ”
“ฉันไม่กลัวคนพวกนั้นหรอก ฉันไม่ใช่เด็กหญิงพริริสาที่จะอยู่เฉยๆ ให้ใครมาทำร้ายได้อีก”
“จ้าแม่เพื่อนคนเก่ง ยิ่งเก่งกล้าก็ยิ่งทำให้ฉันเครียด หัวจะหงอกแล้วเนี่ย”
“จะเครียดทำไม ต้องภูมิใจสิที่มีเพื่อนเก่งไม่กลัวใคร”
“กลัวไว้บ้างก็ดี ลืมไปแล้วเหรอคนพวกนั้นร้ายกาจแค่ไหน วันนี้เขาอาจหาเรื่องเราได้แค่คำพูด แต่ต่อไปไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า แล้วถ้าเกิดริสาเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าชายคามินต้องไม่ยอมแน่ๆ อย่าลืมสถานะที่แท้จริงของตัวเอง ด้วยนะเพคะเจ้าหญิง” ท้ายประโยคมิราประชดขำๆ
พริริสานึกได้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหนในไทรจีส พยักหน้ารับเอาคำของมิรา
“ฉันจะระวัง ว่าแต่เรื่องคนที่ไปสืบเรื่องของฉันล่ะ”
“ผู้กองอธิรุธน่ะเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอกรับรองเขาไม่มีทางได้อะไรกลับไปแน่”
มิรายิ้มมั่นใจ
ทางด้านสองหนุ่มนัดเจอกันที่ร้านนั่งดื่มกินสบายๆ กลางกรุงเทพฯ ประเด็นยังเป็นเรื่องพริริสาตามเคย
“ไม่ได้อะไรเลย ทุกอย่างดูปกติมาก ที่อยู่ทุกอย่างตรงตามที่กรอก ในใบประวัติ ชาวบ้านแถวนั้นก็เหมือนจะรู้จักคุณริสาดี ขาดอย่างเดียว ฉันไม่เคย ได้เจอป้าสินี แม่คุณริสาเลย ฉันไปที่นั่นหลายรอบก็ไม่เคยได้เจอ”
ธีภพมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด รู้สึกค้างคาใจ
“แต่สัญชาตญาณของตำรวจกำลังบอกฉันว่า ยิ่งเราไม่เจออะไร มันยิ่งมีเงื่อนงำ”
ธีภพเห็นด้วยกับอธิรุธ
“ตอนนี้ฉันเริ่มจะเชื่อนายแล้วว่าคุณริสาพยายามปกปิดอะไรอยู่” อธิรุธชวนออกนอกเรื่องจนได้ “หรือเขาจะเป็น สายลับระหว่างประเทศ”
ที่โต๊ะข้างๆ กันนี้ สองหนุ่มไม่รู้ว่าไคซัจนั่งแอบฟังทั้งคู่คุยกันอยู่ตั้งแต่ต้น
“ไม่พูดออกทะเลสักครั้งจะได้ไหมไอ้รุธ” ธีภพหมั่นไส้
“ก็แกเล่าเองว่ามีคนพยายามจับตัวคุณริสา หมอนั่นอาจจะเป็นพวก ซีไอเอ เคจีบี มาตามล่าสายลับที่หลบหนีมาก็ได้”
ไคซัจหูผึ่ง เพราะไม่รู้เรื่องที่มีคนพยายามจับตัวพริริสา เริ่มกังวลใจรีบลุกออกไปโดยไม่ให้เป็นที่จับสังเกต
ธีภพส่ายหน้ากับความเพ้อเจ้อของอธิรุธ
“แต่ฉันว่าฉันเคยเห็นหน้าหมอนั่นที่ไหนสักแห่ง”
ธีภพมั่นใจ พยายามนึกแต่นึกไม่ออก
“นั่นไง อาจจะเคยเห็นจากแฟ้มบุคคลอันตรายก็ได้”
“ไม่ใช่”
ภาพลูกน้องราห์มานเดินถือกระเป๋าใส่เงินออกมาจากด้านในโชว์รูมเพชรออกไป โดยมีพนักงานเดินตามมาเพื่อไปส่ง ธีภพมองตามอย่างรู้สึกแปลกใจ
ธีภพนึกออกจนได้ว่าเคยเจอคนร้ายคนนี้ที่ไหน
เขารีบหยิบมือถือออกมาโทร.หาพนักงานที่โชว์รูมทันที อธิรุธได้แต่มองฉงนว่าเพื่อนจะทำอะไร
ไคซัจร้อนใจหนัก เวลานี้เขาอยู่กับพริริสาตรงมุมพักผ่อนริมสระน้ำคอนโด รอคำตอบจากเรื่องที่ได้ยินจากอธิรุธและธีภพ
“คงเป็นแค่คนร้ายธรรมดาๆ ที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้หรอกน่าไคซัจว่าฉันเป็นใคร จะได้เจาะจงมาจับตัว มันก็แค่บังเอิญโชคร้ายที่ฉันไปอยู่ตรงนั้นพอดี”
“แต่เจ้าหญิงก็ควรบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับกระหม่อม เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเจ้าหญิงโดยตรง ถ้าเจ้าหญิงเป็นอะไรไป...”
พริริสาสวนออกมา “ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ดูสิ ไม่มีริ้วรอยขีดข่วนอะไรสักนิด”
“กระหม่อมคิดว่าเจ้าชายคามินควรทราบเรื่องนี้ด้วย”
พริริสาห้ามเสียงดัง “ไม่ได้นะ”
แต่รู้ว่าสั่งไปไคซัจก็คงไม่ฟัง พริริสาจึงเลือกใช้วิธีขอร้องดีๆ แทน
“อย่าบอกพี่คามินเรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะไคซัจ ถือว่าฉันขอร้อง ได้ไหม ถ้าพี่คามินรู้ฉันต้องสั่งให้กลับไทรจีสทันทีแน่ๆ”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่กระหม่อมอยากให้เป็นอยู่แล้ว เพื่อความสบายใจของทุกคน”
พริริสาตีหน้าเศร้า “แล้วความรู้สึกของฉันล่ะ มีใครสักคนไหมที่จะสนใจ”
ไคซัจเห็นสีหน้าพริริสาก็ใจอ่อนยวบ นึกอยากปลอบปะโลมพริริสาแต่รู้ตัวว่าทำเช่นนั้นไม่ได้
“เจ้าหญิง กระหม่อมเข้าใจดีพะยะค่ะ เอาเป็นว่า กระหม่อมจะไม่บอกเรื่องนี้กับเจ้าชายคามิน”
พริริสาดีใจเข้าไปจับมือไคซัจโดยไม่คิดอะไร
“จริงๆ นะ ขอบใจมากไคซัจ เธอดีกับฉันไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ”
ไคซัจลอบยิ้มดีใจ แค่เห็นรอยยิ้มพริริสาก็ทำให้องครักษ์มาดเข้มแห่งไทรจีสสุขใจแล้ว
วันต่อมาตึกบูรพเกียรติ เวลากลางวัน
ธีภพนั่งอ่านตรวจทานเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน พลางมองพริริสาอย่างครุ่นคิด ว่าผู้หญิงตรงหน้าปกปิดอะไรไว้กันแน่ พริริสาจัดเอกสารต่างๆ เข้าแฟ้มไป หันไปเห็นธีภพมองตัวเองอยู่ในจังหวะหนึ่ง ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีแผนอะไรในใจอีก
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าคุณมีอะไรหรือเปล่า เพราะคุณมองฉันนานแล้วนะคะ หรือว่าคุณจะกังวลเรื่องให้ฉันมาทำงานเป็นเลขา”
“ทำไมผมต้องกังวลด้วย”
“ก็เพราะฉันทำให้คุณเกรซไม่พอใจ คุณอาจจะไม่สบายใจ”
“ผมจะไม่สบายใจ ถ้าผมเลือกเลขามาช่วยงานผิดคนมากกว่า”
พร้อมกับว่าธีภพลุกขึ้นยกแฟ้มบนโต๊ะตัวเองกองหนึ่งเดินไปวางที่โต๊ะพริริสา เพิ่มงานให้อีก
“ตั้งใจทำงานหน่อย คุณบอกผมเองนะว่าไม่กลัวงานหนัก”
ธีภพยิ้มกวนโทสะนิดๆ ก่อนออกไป พริริสาเบ้ปากใส่ ธีภพหันมาเห็น พริริสารีบทำหน้าปกติก้มหน้าก้มตาทำงาน
เสียงโทรศัพท์มือถือธีภพดังขึ้น เขารีบรับสาย
“ขอบคุณมาก ผมจะรีบไป ยังไงคุณถ่วงเวลาเขาไว้ก่อน”
ธีภพกดวางสาย พริริสามองตามอย่างแปลกใจว่าธีภพคุยเรื่องอะไร เพราะดูเหมือนจะเรื่องสำคัญ
ธีภพทำทีเหมือนไม่มีอะไร “ผมจะออกไปที่โชว์รูม กลับมาหวังว่างานที่ให้ไว้จะเสร็จเรียบร้อย”
พริริสากระแทกเสียงรับคำ “ค่ะ”
ธีภพรีบเดินออกไป พริริสาแอบค้อนตามหลังใส่ธีภพไม่วายสงสัยว่าธีภพมีเรื่องอะไรสำคัญที่โชว์รูม
ขณะเดินออกมาหน้าห้อง ธีภพหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก รอจนปลายสายรับ
“รุธ นายรีบมาหาชั้นที่โชว์รูมเพชรด่วนเลย”
อีกฟากหนึ่ง ลูกน้องราห์มานคนที่ไปทำร้ายพริริสานั่งรออยู่ในโชว์รูมเพชร พนักงานคนที่เพิ่งโทร.ไปรายงานธีภพเดินไปหาลูกน้องราห์มาน
“รอสักครู่นะคะ ผู้จัดการกำลังเตรียมเงินค่าเพชรให้คุณอยู่ค่ะ”
“คราวก่อนไม่เห็นต้องรอ” ลูกน้องราห์มานท้วงติง
“พอดีผู้จัดการติดงานหลายอย่างน่ะค่ะ ยังไงรอสักครู่นะคะ”
ลูกน้องราห์มานดูนาฬิกาข้อมือเห็นว่านานเกินไป หันไปหาพนักงานที่ยืนอยู่อย่างไม่พอใจ
“ฉันจะไม่รอแล้วนะ”
“สักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันไปดูให้อีกที”
พนักงานเริ่มร้อนรนมีพิรุธ ด้วยไม่เห็นธีภพมาสักที จำใจต้องเดินไปหยิบซองเงินให้ลูกน้องราห์มาน
“ได้แล้วค่ะ ยังไงตรวจนับเงินอีกทีก่อนก็ได้นะคะ”
“ไม่จำเป็น ถ้าพวกคุณโกง คนที่เดือดร้อนก็คือพวกคุณเอง”
ลูกน้องราห์มานหยิบซองเงินใส่กระเป๋า และรีบออกไปทันที
ลูกน้องราห์มานหิ้วกระเป๋าเดินออกไปจากโชว์รูม พนักงานเดินตามมาส่ง สีหน้ากังวลหนักที่รั้งไว้ไม่ได้ สักครู่จึงธีภพเดินดิ่งเข้ามา พนักงานรีบเข้าไปหา
“คุณภพคะ”
“เขาอยู่ไหน”
“ออกไปเมื่อกี้เองค่ะ ไปทางโน้นค่ะ”
พนักงานชี้ไปยังทางเดินด้านหนึ่ง ธีภพรีบเดินตามไป
ลูกน้องราห์มานเดินมาตามทางเดินในอาคาร มีคนในอาคารเดินผ่านไปมา
ธีภพเดินกึ่งวิ่งตามมา หยุดมองหาไปทั่ว จนเห็นลูกน้องราห์มานกำลังเดินไปที่บันไดเลื่อน ธีภพกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไปไม่ให้ดูน่าสงสัยนัก
ลูกน้องราห์มานลงบันไดเลื่อนไป ธีภพตามหลังมา ลูกน้องราห์มานหันมามองเห็นธีภพมีคนยืนที่บันไดเลื่อนขวางทางอยู่ตรงกลาง
วายร้ายจากไทรจีสจำธีภพได้รีบวิ่งหนีลงบันไดออกไปทางประตูห้าง ธีภพเดินแทรกคนที่ยืนขวางทางตามไปโดยไว
เกิดการไล่ล่าขึ้น ลูกน้องราห์มานวิ่งหลบไปอีกด้าน ธีภพแทรกคนที่ยืนขวางลงจากบันไดเลื่อนมาได้ จนมาเจออธิรุธที่เดินเข้ามาในห้างพอดี
“ไอ้ภพ ให้ฉันรีบตามมาทำไมวะ”
“ฉันเจอหมอนั่นแล้ว มันไปทางนั้น”
ธีภพจับอธิรุธหันไปชี้ให้ดู เห็นด้านหลังลูกน้องราห์มานกำลังโกยแน่บไปอีกทาง ทั้งคู่มองหน้าส่งซิกให้กันแยกย้ายกันไป อธิรุธวิ่งอ้อมไปอีกด้าน
ธีภพวิ่งตามมาอีกทาง แต่จู่ๆ ราห์มาน ซึ่งสวมแว่นดำทำทีเป็นเดินมาขวางทางไว้เหมือนจะชนกันพอดี โดยมีคนขับรถเดินประกบหลังราห์มานมาด้วย
“ขอโทษครับ”
ธีภพชะงักมองราห์มานแว่บเดียวก็รับรู้ได้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่
ราห์มานขวางไม่ให้ไป มองลอดแว่นตำหนิ “จะรีบร้อนไปไหนกันคุณ นึกถึงคนที่เดินผ่านไปผ่านมาบ้างสิ”
“ผมรีบครับ”
“รีบยังไงก็กรุณาระวังคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วย”
ราห์มานพูดถ่วงเวลา แล้วเดินออกไป ธีภพวิ่งไปตามทางที่ลูกน้องราห์มานหนีไป
คล้อยหลังธีภพมาไม่ไกลนัก ราห์มานก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทร.หาลูกน้องที่ธีภพกับอธิรุธกำลังไล่ล่า
“กลับไปเจอกันที่พัก คืนนี้เราจะกลับไทรจีสทันที”
ราห์มานและคนขับรถเดินออกไป
วายร้ายไทรจีสหิ้วกระเป๋าออกมาที่ถนนหน้าอาคาร อธิรุธวิ่งตามออกมาอีกด้านหยุดมองหา ลูกน้องราห์มานเรียกวินมอเตอร์ไซค์ที่มาส่งคนแถวนั้นให้จอดรีบขึ้น อธิรุธหันมาวินมอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวออกไปแล้ว
อธิรุธไม่เห็นใคร จึงได้แต่ฮึดฮัด เจ็บใจที่ตามไปไม่ทัน
ราห์มานนั่งอยู่ในรถที่จอดซุ่มดูเหตุการณ์ เห็นลูกน้องหนีไปได้ ก็สั่งให้คนขับรถ ออกรถตามไป
ธีภพและอธิรุธกลับมาเจอกันอีกครั้งในห้าง สองหนุ่มเหนื่อยหอบนิดๆ
“โทษว่ะ ฉันตามไปไม่ทัน”
“ถ้าไม่มีคนมาขวางไว้ก่อน ฉันคงตามไปทันแล้ว”
อธิรุธสะดุดหู “มีคนมาขวาง ฉันว่าเรื่องนี้ชักจะไม่ธรรมดาเข้าไปทุกที”
ธีภพพยักหน้า ครุ่นคิดว่าคนที่มาขวางไว้ จะใช่พวกเดียวกันหรือเปล่า
อีกฟากหนึ่ง ในขณะที่สินีกำลังรับเงินจากคนรับซื้อผลไม้ และช่วยกันขนตะกร้าผลไม้ขึ้นรถ จู่ๆก็มีรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด สินีแปลกใจว่าใครมา คนขับรถของกานดาลงรถ เดินเข้ามาหา
“มาหาใครน่ะคุณ”
“ป้าสินี”
“ฉันนี่ล่ะ มีธุระอะไร”
คนขับรถหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดรูปพริริสาส่งให้ดู
“ผู้หญิงคนนี้ใช่ลูกสาวป้าหรือเปล่า”
สินีเห็นรูปพริริสาก็ชะงักไปเล็กน้อย
“ใช่ลูกสาวฉันเอง แล้วคุณเป็นใคร มาถามทำไม คิดมิดีมิร้ายกับลูกสาวฉันหรือเปล่า”
“เปล่านะป้า”
“เปล่าแล้วมาถามทำไม”
คนรับซื้อผลไม้ฟังอยู่ เห็นท่าไม่ดีหันมาช่วย “เออ อยู่ๆมาถามแบบไม่น่าไว้ใจนะป้า ให้ตำรวจมาถามเลยดีกว่า”
“เจ้านายเขาให้ฉันมาถาม” คนขับรถหลุดปาก
สินีสงสัย “เจ้านายไหนวะ”
คนขับรถอึกอักจะรีบหนีขึ้นรถ สินีและคนซื้อผลไม้ช่วยกันจับเอาไว้ก่อนจะขึ้นรถ
“มาจับฉันทำไม”
คนขับรถพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่สินีและพวกไม่ยอมปล่อย
พริริสานั่งทำงานจนเสร็จปิดแฟ้มลง มองนาฬิกาเห็นธีภพไม่กลับสักที
“แล้วมาบอกให้เรารีบทำงาน ป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พริริสารีบรับสายฟังปลายสายด้วยสีหน้างุนงง
“ป้าสินี มีอะไรคะ มีคนมาถามเรื่องฉันอีกแล้วเหรอ ป้าพอรู้ไหมว่าเป็นใคร”
คนขับรถกุมไข่ก้มหน้างุด เล่าเหตุการณ์ที่ไปบ้านสวนมาตามคำสั่งกานดาแต่ถูกจับได้จบแล้ว
“โง่จริงๆ ฉันไม่น่าใช้แกไปเลย ป่านนี้มันก็คงรู้ตัวแล้วว่าฉันส่งคนไปที่บ้านมัน”
จินตนาเดินออกมาได้ยินพอดี
“ส่งใครไปบ้านใครกัน”
“คุณแม่” กานดาไล่คนขับรถ “จะไปไหนก็ไป”
คนขับรถรีบเดินเลี่ยงออกไป
สองคนเดินคุยกันเข้ามาในบ้าน
“ทำไมต้องส่งคนไปดูบ้านของมัน” จินตนา
“ดาก็อยากจะแน่ใจว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับ...”
“เกี่ยวข้องกับใคร”
กานดาบอกตรงๆ “นังพีรดาค่ะ”
“มันจะไปเกี่ยวข้องกันได้ยังไง”
“เด็กนั่นชอบพูดเหมือนมันรู้เรื่องครอบครัวบูรพเกียรติเราอย่างดี แม้แต่เรื่องที่คุณแม่มีหลานสาวอีกคน แถมมันยัง...”
กานดานึกถึงเหตุการณ์เมื่อไปหาพริริสาที่ออฟฟิศ
เห็นรอยแผลเป็นที่ข้อมือพริริสาก็นึกสะกิดใจอีกครั้ง
แต่พริริสาจงใจยั่ว “คุณอยากรู้ไหมคะว่ารอยแผลนี้ของฉันมาจากไหน”
อีกเหตุการณ์นานกว่า 17 ปีมา แล้ว กานดากระชากพริริสาแล้วผลักไปอีกด้าน พริริสากระเด็นไปเซล้มลง ข้อมือกระแทกเข้ากับเหล็กแหลมกรีดข้อมือเป็นแผลลึก
จินตนาเห็นกานดาเงียบไปนานจึงถามย้ำ “มันทำไม”
กานดาเปลี่ยนเรื่อง “มันทำจองหองใส่พวกเราเหมือนไม่เกรงกลัวน่ะสิคะคุณแม่”
“ลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนเราจัดการสองแม่ลูกนั่นยังไง มาตอนนี้นังเด็กปากสิ้นกลิ่นน้ำนมคนเดียว ทำไมจะจัดการไม่ได้” จินตนานึกได้ “แล้วเรื่องที่ให้ไปหาคุณวิเขา ว่ายังไง”
“ดาจัดการตามคุณแม่สั่งแล้วค่ะ”
จินตนามีสีหน้ามาดหมายและมั่นใจว่าจะยืมมือวิวรรณจัดการพริริสาได้
เป็นเวลาเลิกงานแล้ว พนักงานทยอยกันกลับบ้าน พริริสาเดินคุยโทรศัพท์กับมิรามาตามโถงทางเดินในบูรพเกียรติ
“คุยกับป้าสินีแล้วใช่ไหมมิรา”
มิราอยู่ในห้องพักคอนโด กำลังรินน้ำผลไม้ไปคุยโทรศัพท์ไป
“ใช่ เห็นไหมฉันเตือนเธอแล้ว เป็นไง พวกนั้นคงสงสัยเธอขึ้นมาจริงๆ ถึงขนาดส่งคนไปดูที่บ้านสวน แค่จะหลบหลีกตาผู้กองอธิรุธกับคุณภพก็ลำบากจะแย่แล้ว นี่ต้องมาคอยระวังพวกบูรพเกียรติอีก”
มิราเดินถือแก้วน้ำไปนั่งที่โซฟา พริริสากลับว่า
“แต่ฉันว่าสนุกดีออก”
“จะบ้าเหรอสนุกอะไรกัน”
“สนุกที่ได้ปั่นหัวพวกบูรพเกียรติไงล่ะ คนทำเลวก็มักจะหวาดระแวง กลัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะย้อนกลับมาหาตัว ตอนนี้ก็คงวิ่งพล่านเรื่องของฉันกันอยู่”
“ยังไงก็ระวังตัวให้ดีล่ะริสา”
มิรากดวางสาย ถอนใจเฮือกอดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้
พริริสาวางสายจากมิราเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าถือ วิวรรณเดินมาจากประตูทางเข้า กวาดสายตามองหา เห็นพริริสาเดินมาทางนี้พอดี
วิวรรณยิ้มตามารยาท แต่ถามทักเสียงขุ่น ท่าทีไม่เป็นมิตรนัก “ริสา เลขาธีภพใช่ไหมจ้ะ”
พริริสามองฉงน “ค่ะ”
โรซี่ ชนิตา เดินมากับพนักงานในแผนกคนอื่นๆ จะกลับบ้านเช่นกัน โรซี่ออกปากชวนเพื่อนๆ ว่า
“กลับตอนนี้มีหวังแบนเป็นกล้วยปิ้งในรถใต้ดินแน่ๆ ไปที่อื่นกันก่อนเหอะ”
ชนิตาหันไปเห็นพริริสาเดินออกไปกับวิวรรณก็สงสัย
“ริสาไปกับใครหน้าคุ้นๆ”
“ไหน” โรซี่มองตามแล้วจำได้ ก็ร้องวี้ดด้วยความตกใจ “ว้าย คุณวิวรรณ แม่คุณภพนี่”
“วันก่อนก็คุณกานดา วันนี้แม่คุณภพ” ชนิตาเครียดแทน
“นี่ริสาแค่มาทำงานเป็นเลขาคุณภพนะ ถ้ามาเป็นอย่างอื่นไม่ยกกันมาทั้งตระกูลกันเลยเหรอเนี่ย”
โรซี่และชนิตารีบมองตาม อยากรู้อยากเห็นเต็มที่
ที่ร้านกาแฟด้านล่างตึกบูรพเกียรติเย็นนั้น พริริสานั่งอยู่ที่โต๊ะมุมด้านในร้านกับวิวรรณที่กำลังเพ่งมองพริริสาอย่างพินิจพิเคราะห์ เทียบกับคำพูดกานดาที่แวะมาบอกด้วยตนเองเมื่อบ่าย
โดยกานดาส่งรูปโพลาลอยด์ของธีภพและพริริสาในร้านอาหารให้วิวรรณดู
“เด็กคนนี้ร้ายมากค่ะ จองหอง ไม่กลัวใคร เคยมีเรื่องถึงขนาดลงไม้ลงมือทำร้ายยัยเกรซเลยล่ะค่ะ”
“ตายจริง ทำไมตาภพถึงเอาคนแบบนี้มาเป็นเลขาได้”
“ฉันเองก็ไม่อยากก้าวก่ายการตัดสินใจของลูกชายคุณวิหรอกนะคะ คงทำได้แค่มาเตือนให้คุณวิรู้ตัวก่อน ถ้าเกิดมีอะไรเกินเลยไปกว่านี้ หัวอกคนเป็นแม่อย่างเราคงได้แต่น้ำตาตกใน”
เพราะเชื่อคำพูดของกานดาไปแล้ว วิวรรณจึงมีสีหน้าไม่สบายใจ
นึกเรื่องนี้แล้ววิวรรณพยายามฝืนยิ้มเป็นมิตรเพื่อดูท่าทีของเลขาลูกชาย
“ฉันได้ข่าวว่าหนูทำงานเก่งมาก จนตาภพให้มาเป็นเลขา”
พริริสายิ้มรับรักษามารยาท พอรู้แล้วว่าวิวรรณมาเพื่อจุดประสงค์อะไร
“วงศ์ทวีกาลของฉันก็ต้องการคนมีความสามารถมาทำงานด้วยเหมือนกัน” พร้อมกับว่าวิวรรณยื่นนามบัตร “นายสุชาติ บุญไท” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทวงศ์ทวีกาลให้ เริ่มโน้มน้าวพริริสา “ผู้บริหารระดับสูงของเราอยากได้เลขา ที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีความสามารถอย่างหนู เรื่องเงินเดือนกับสวัสดิการไม่ต้องห่วงนะ หนูเรียกมาได้เลย จะมากกว่าที่บูรพเกียรติสักสองสามเท่าก็ได้”
พริริสารับนามบัตรมาแล้วยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะที่กรุณา และเห็นว่าดิฉันมีความสามารถขนาดนั้น”
วิวรรณยิ้มออกคิดว่าพริริสาสนใจอยากย้ายงาน
“แต่ถ้าคุณธีภพไม่ไว้วางใจให้ฉันมาเป็นเลขา ป่านนี้ฉันคงเร่ร่อนไม่รู้จะหางานทำที่ไหนอยู่ คงไม่มีใครมาเห็นความสามารถอยากได้ตัวไปเป็นเลขาผู้บริหารระดับสูงแน่ๆ”
ถูกตัดไมตรีที่ยื่นให้ พร้อมคำพูดยอกย้อนกลับมา ทำเอาวิวรรณขุ่นมัวไม่น้อย แต่ยังพยายามใจเย็น
“แต่ตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีแล้วไม่ใช่เหรอจ้ะ จะมัวมามองอะไรที่มันผ่านไปแล้วทำไม”
“ถ้าเราเอาแต่มองไปข้างหน้าอย่างเดียว โดยไม่สนใจอดีต เราก็อาจจะทำผิดซ้ำๆ เหมือนที่ผ่าน โดยไม่เรียนรู้อะไรเลยนะคะ”
วิวรรณมองพริริสาอย่างเริ่มไม่พอใจนิดๆ
โรซี่และชนิตาตามมายืนแอบดูพริริสากับวิวรรณที่กระจกข้างร้าน
“อยากรู้จริงๆ เลยว่าคุยอะไรกัน”
“มายืนเกาะกระจกเป็นจิ้งจกเกาะข้างฝาแบบนี้จะได้ยินอะไรยะ” โรซี่บ่น
“ถ้าเป็นจิ้งจกจริงๆได้ก็ดีสิ จะได้ไต่เข้าไปใกล้ๆโต๊ะริสากับคุณวิวรรณเลย โรซี่ลองอ่านปากสิ”
“จะบ้าเหรอยะใครจะไปอ่านออก”
ธีภพและอธิรุธเพิ่งกลับจากโชว์รูม เดินเข้ามาที่โถงตึก หน้าร้านกาแฟพอดี
“เลี้ยงกาแฟฉันก่อนเลย แล้วค่อยกลับเข้าออฟฟิศ ค่าที่เรียกฉันออกมาวิ่งออกกำลังกายไล่จับคน”
“จับไม่ได้ยังจะให้ฉันเลี้ยงอีก”
“ระดับผู้บริหารจะงกไปไหนวะเพื่อน หรือว่าจะรีบเข้าออฟฟิศไปหาใคร ป่านนี้เขากลับบ้านไปแล้วมั้ง”
ธีภพและอธิรุธเห็นโรซี่และชนิตาเกาะกระจกร้านอยู่ก็แปลกใจ
“พนักงานบริษัทนายนี่ แอบดูอะไร”
ธีภพมองผ่านกระจกร้านเข้าไปเห็นวิวรรณนั่งอยู่กับพริริสาก็ตกใจ
“คุณแม่”
อธิรุธยิ้มแซวเพื่อน “ไอ้ภพ นายให้แม่มาช่วยนายสืบประวัติคุณริสาด้วยเหรอ”
“นายกลับไปก่อน ทางนี้ฉันจัดการเอง”
ธีภพร้อนใจรีบเดินเข้าไปในร้านทันที
“อ้าวเฮ้ย ไล่กลับแบบนี้ใครจะกลับง่ายๆ วะ”
อธิรุธรีบเดินไปเกาะกระจกร้านบ้าง โรซี่ กะ ชนิตา เห็นอธิรุธก็ตกใจ
“ว้าย! คุณรุธ”
“ขอดูด้วยคนนะครับ”
ชนิตาเห็นธีภพเข้าไปในร้าน
“คุณภพเข้าไปในร้านแล้ว”
ทุกคนหันมาลุ้นดูเหตุการณ์ต่อว่าจะมีอะไรเด็ดๆ เกิดขึ้นอีก
“ยังไงก็ขอบคุณนะคะ สำหรับข้อเสนอดีๆ แบบนี้ แต่ตอนนี้ดิฉันต้องทำงานที่บูรพเกียรติเท่านั้นค่ะ”
“เธอ” วิวรรณขัดใจนัก ชักเริ่มเชื่อคำพูดของกานดาว่าพริริสาไม่ธรรมดา และอาจจะคิดหวังอะไรมากกว่าอยากทำงานเป็นเลขาจริงๆ
ธีภพเดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“คุณแม่ครับ”
วิวรรณแปลกใจประสมตกใจที่เจอลูกชาย “ภพ”
“คุณแม่มีอะไรกับริสารึเปล่าครับ”
วิวรรณกระอึกกระอัก “เออ...ก็...ไม่มีอะไร แค่คุยกัน เรื่องทั่วๆ ไป”
“งั้นผมขอตัวริสาไปก่อนนะครับ พอดีมีงานด่วนต้องให้ริสาไปทำ”
ธีภพส่งสายตาให้พริริสาลุกขึ้นตามตนออกไป แต่พริริสาเอาแต่นั่งงงอยู่ ธีภพตัดสินใจเข้าไปดึงแขนพริริสาให้ลุกขึ้น
“งานนี้ด่วนมาก คุณไม่รู้หรือไง”
วิวรรณเรียกไว้งงๆ “เดี๋ยวสิ”
พริริสาลุกขึ้นยกมือไหว้วิวรรณเป็นการลาแล้วเดินตามธีภพไป
“ภพ!”
วิวรรณได้แต่ขุ่นเคืองใจที่ธีภพทำเหมือนปกป้องพริริสา ระหว่างนี้วิวรรณรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองอยู่ หันขวับไปทางกระจกข้างร้าน
อธิรุธ โรซี่ ชนิตาเห็นวิวรรณหันมามองทางพวกตน ก็รีบพากันหันหลังโดยไว
“พระเอกไปช่วยนางเอกสำเร็จแล้ว คนดูก็แยกย้ายนะคะ ตัวใครตัวมัน”
โรซี่ชิ่งก่อนใคร สองคนที่เหลือรีบแยกย้ายกันหลบออกไป
พริริสาเดินตามธีภพออกมา
“คุณแม่ผมมาคุยอะไรกับคุณ”
“แม่คุณมาเสนองานใหม่ให้ฉัน น่าสนใจดีนะคะ”
“แล้วคุณว่าไง”
“ฉันต้องตอบด้วยเหรอคะ ถ้าคุณอยากรู้อะไรมากกว่านี้ ไปถามคุณแม่คุณเองดีกว่า แล้วไหนว่ามีงานด่วนไงคะ งานอะไร”
ธีภพพูดไปอย่างงั้นเพื่อดึงตัวพริริสามา พยายามหาข้ออ้าง
“ผมอยากให้คุณเตรียมผลไม้ไปให้ลูกค้า”
“นี่เหรอคะเรื่องด่วน เรื่องสำคัญ”
ธีภพนึกได้ว่า น่าเอาข้ออ้างนี้หาทางจับพิรุธพริริสาได้อีกทาง
“ใช่ ผมอยากได้ผลไม้ค่อนข้างเยอะ ถ้าได้จากสวนเลยก็ยิ่งดี จริงสิ บ้านคุณเป็นสวนผลไม้นี่”
พริริสาตกใจ “คะ”
“ผมจำได้ว่าในใบประวัติ ว่าแม่คุณทำสวนอยู่ที่เมืองนนท์”
พริริสารับเอาคำตามน้ำไปก่อน “ใช่ค่ะ”
“งั้นซื้อผลไม้จากที่สวนบ้านคุณนี่ละ พรุ่งนี้ผมจะไปรับของที่สวน”
พริริสาตกใจ “พรุ่งนี้”
“ใช่ คุณไม่สะดวกเหรอ สวนบ้านคุณเองเลยนะ”
พริริสารู้ทันทีว่าธีภพพยายามหาเรื่องจับผิดตนอีกแน่ๆ จึงต้องยอมตามน้ำไป
“ได้ค่ะ แต่ฉันขอโทร.หาที่บ้านก่อนนะคะ เขาจะได้เตรียมผลไม้ไว้ให้เลย พรุ่งนี้คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
ธีภพผ่ายมือเป็นการอนุญาต พลางจับตามองว่าพริริสาจะรับมือเขายังไง
พริริสาเดินเลี่ยงไปโทร.หามิราอย่างขัดเคืองใจ ที่ธีภพหาเรื่องจับผิดจนไม่เลิกราสักที
ธเนศเดินดูต้นไม้อย่างอารมณ์ดี ในขณะที่วิวรรณออกอาการฉุนเฉียวไม่พอใจสามี
“คุณรู้เรื่องเลขาตาภพแล้วทำไมไม่บอกฉันบ้าง”
“ก็มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนี่คุณวิ”
“นี่ ตกลงคุณรู้เห็นเป็นใจเรื่องเลขาของลูกใช่ไหมคะ ถึงได้ไปออกหน้าถึงที่บริษัท”
“ผมก็แค่ไปดูว่าเจ้าภพทำงานเป็นยังไงบ้างต่างหาก นี่คุณวิ คุณบอกให้ผมพักผ่อนบ้าง ไปบังคับให้ลูกลาออกมาช่วยงาน ผมก็ยอมทำตามที่คุณว่า แล้วดูคุณสิ พักบ้างก็ได้นะ”
วิวรรณโกรธ “คุณธเนศ”
ธเนศให้ข้อคิด “ลูกเราทำอะไรก็มีเหตุผลอยู่แล้ว เอาเป็นว่าผมเป็นที่ปรึกษาของลูก คุณยังไม่ไว้ใจอีกเหรอ”
วิวรรณค้อนควัก “เรื่องเลขาก็มาปรึกษาเหรอคะ อย่าบอกนะว่าลูกเราชอบผู้หญิงคนนั้น”
“เรื่องชอบนี่ผมก็ไม่แน่ใจนะ แต่เอาเป็นว่าเจ้าภพมันมีเหตุผลก็แล้วกัน ที่ให้เขามาทำงานด้วยน่ะ”
“แล้วมันเหตุผลอะไรล่ะคะ”
ธเนศไม่ตอบ เดินไปดูต้นไม้ต่ออย่างเบิกบาน วิวรรณได้แต่ค้อนควักหงุดหงิดที่สามีพูดค้างๆ คาๆ ให้เธอต้องกังวลใจ
อ่านต่อหน้า 4
เพลงนรี ตอนที่ 4 (ต่อ)
ที่ไทรจีส เจ้าชายคามินฝึกซ้อมขี่ม้าอยู่ที่สนามฝึกในวัง สักครู่หนึ่งจึงเห็นท่านเลขาชายสูงวัย นำเอกสารเกี่ยวกับบริษัทบูรพเกียรติมาให้คามิน มีองครักษ์เดินตามมา คามินเห็นท่านเลขาจึงหยุดม้าลงมาหา องครักษ์เข้าไปดึงม้าไว้พาไปเก็บ
“ไคซัจส่งเอกสารเกี่ยวกับบริษัทบูรพเกียรติมาแล้วพะยะค่ะ ทั้งรายชื่อผู้ถือหุ้นทั้งหมด รายชื่อธนาคารที่ทำธุรกรรมและรายชื่อบริษัทที่เป็นคู่ค้ากันอยู่”
คามินรับมาเปิดดูไปเดินไป ท่านเลขาเดินตามคอยรายงาน
“เจ้าชายสนใจธุรกิจของบูรพเกียรติเหรอพะยะค่ะ”
“ธุรกิจนี้ก็น่าสนใจดีไม่ใช่เหรอ ท่านเลขา”
“แต่บริษัทนี้ไม่เคยมีผู้ถือหุ้นเป็นชาวต่างชาติมาก่อน เจ้าของน่าจะเป็นพวกหัวอนุรักษ์ ทำให้มีปัญหาเรื่องการเงินอยู่บ่อยๆ”
คามินสะดุดหู “บูรพเกียรติมีปัญหาเรื่องการเงินงั้นเหรอ”
“เจ้าชายสนิทสนมกับผู้บริหารระดับสูงหลายคนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทบูรพเกียรติ ลองปรึกษาท่านเหล่านั้นดูก่อนจะดีกว่าพะยะค่ะ”
คามินพยักหน้าเห็นด้วยกับคำแนะนำของท่านเลขา
ไม่นานหลังจากนั้น คามินคุยโทรศัพท์อยู่กับประธานธนาคาร ยิ้มพอใจกับข้อมูลที่ได้ฟัง
“ยังไงก็ขอบคุณมาก สำหรับคำแนะนำเกี่ยวกับบริษัทบูรพเกียรติ ผมจะรอเรื่องเอกสารที่จะส่งมาให้ ส่วนเราคงมีโอกาสได้เจอกันแน่ครับ คงเร็วๆ นี้เพราะไทรจีสเองก็มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น แล้วเจอกันครับ”
คามินกดวางสาย บอกตัวเองอย่างมุ่งมั่นมาดหมายในใจ
“พี่จะทำให้เธอกลับมาไทรจีสให้เร็วที่สุดริสา”
ที่บ้านสวนป้าสินี ไคซัจในชุดชาวสวนเต็มขั้น ใส่หมวกปีกกว้าง มีผ้าขาวม้าปิดหน้าไว้ ขนผลไม้ไปไว้ที่หลังรถธีภพ พลางลอบมองท่าทีธีภพ สินียืนคุมดูแลด้วยความรู้สึกอึดอัด กลัวจะโดนจับได้
“ผลไม้พวกนี้คัดอย่างดีเลยนะคะ โดยเฉพาะมะม่วงรับรองได้ว่าหวานอมเปรี้ยวทุกลูก”
“ขอบคุณครับ”
“เรียบร้อยแล้วเรากลับกันเลยนะคะ” พริริสารีบหันไปหาสินี “ไปก่อนนะคะ”
“จ้ะ”
พริริสาซึ่งใส่รองเท้าส้นสูงรัดข้อเท้า ขยับตัวจะขึ้นรถ แต่ธีภพกลับยืนนิ่ง
“เดี๋ยวสิคุณ”
ป้าสินีเสียววาบ พลอยตกอกตกใจไปด้วย
“มีอะไรอีกเหรอคะ”
ธีภพหันมาทางสินี “ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ”
สินีโล่งอก “ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าพาไป”
“ให้ริสาพาไปก็ได้ครับ ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดีหน่อยสิคุณ ไม่บริการเจ้านายเลย
พริริสานึกโมโหในใจ รู้อยู่แล้วว่าธีภพต้องไม่จบแค่มาเอาผลไม้แน่ๆ
“เชิญค่ะ”
พริริสาเดินนำธีภพเข้าบ้านไป ไคซัจได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง
พริริสาพาธีภพเข้ามาในบ้าน ธีภพเห็นกรอบรูปที่ตั้งไว้ ล้วนเป็นรูปคู่พริริสากับสินีตอนโต จึงเดินไปหยิบดู ธีภพกวาดสายตามองรูปเหล่านั้น ตั้งข้อสังเกตว่า
"ไม่มีรูปตอนเด็กๆเลยเหรอคุณ"
"ตอนเด็กๆ ฉันไม่ชอบถ่ายรูป ไหนว่าจะมาเข้าห้องน้ำไงคะ"
"แล้วห้องน้ำอยู่ทางไหนล่ะ"
พริริสาชี้ไป "ทางโน้นค่ะ"
ธีภพทำทีเดินไปตามปกติ พริริสาแอบถลึงตาไล่หลังไปท่าทีน่าขัน พอธีภพพ้นตัวไปพริริสาจึงเดินไปหยิบรูปมาดูบ้าง เห็นตัดต่อได้เนียนมากก็ยิ้มโล่งใจ
พริริสาพาธีภพเดินออกมาที่ชานบ้านเตรียมจะกลับ
“เรากลับกันเลยนะคะ”
“ยัง ไหนๆ ก็มาที่สวนผลไม้ทั้งที คุณไม่คิดจะพาผมเดินดูสวนคุณหน่อยหรือไง แต่ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็น ผมไปขอให้...” ธีภพจงใจเน้นคำ “ป้าสินี แม่ของคุณพาผมชมสวนเองก็ได้”
พริริสานึกโมโหที่ธีภพโยกโย้ ไม่ยอมกลับง่ายๆ
“จะไปกวนแม่ชั้นทำไม ฉันพาไปเองค่ะ
พริริสากระแทกเท้าเดินนำออกไป ธีภพยิ้มขำที่ได้แกล้ง เดินตามอย่างอารมณ์ดี
อีกฟากที่บ้านบูรพเกียรติ ดร.กฤษ อยู่กับลูกชาย มองดูเอกสารออเดอร์ที่ถูกลูกค้าแคนเซิลกลับมาหลายฉบับด้วยสีหน้าเครียด
“ผมขอโทษครับ เพราะเราเสียเครดิตจากที่นายประกิตทำไว้ ลูกค้าหลายรายยกเลิกออเดอร์กันมาเรื่อยๆ” คณินเองก็เครียดพอกัน
“พวกเขายอมเสียค่าปรับ แต่ไม่ยอมจ้างงานเราต่อ ถ้าเป็นแบบนี้เรื่อยๆ บูรพเกียรติคงลำบาก กรรมการคนอื่นๆ ก็คงไม่พอใจ”
“จากงานประมูลคราวก่อนเราก็เรียกความเชื่อมั่นจากกรรมการมาได้บ้าง”
“ยังดีที่พวกยกเลิกออเดอร์เป็นแค่รายย่อย เรายังมีคู่ค้าเจ้าใหญ่อยู่อีกหลายเจ้า ต้องรักษาลูกค้ากลุ่มนี้เอาไว้ให้ได้” กฤษว่า
“ครับคุณพ่อ”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น คณินรับสาย
“ว่าไงคุณศจี” คณินมีสีหน้าตกใจมาก “ว่าไงนะ ได้ผมจะรีบไป”
“มีอะไรด่วน คณิน”
คณินไม่ตอบ สีหน้าเครียดหนักกว่าเดิม
ด้านพริริสาพาธีภพเดินดูสวนผลไม้ของสินี เนื่องเพราะไม่คุ้นทางพริริสาเลยพาธีภพเดินวนไปวนมางงๆ จนธีภพซัก
“นี่คุณ สวนคุณเองจริงหรือเปล่าเนี่ย พาผมเดินวนรอบต้นมะม่วงต้นนี้ไม่ไปไหนสักที”
พริริสาแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ “ก็ฉันไม่ค่อยได้กลับมานี่ ก็เลยจำทางไม่ค่อยได้”
“คุณจำทางไม่ค่อยได้ หรือคุณไม่รู้ทางกันแน่” ธีภพดักคอ
พริริสาเริ่มโมโห “นี่คุณ ให้ฉันพามาซื้อผลไม้ที่สวนเพราะต้องการหาเรื่องฉันเหรอคะ ถ้าคุณคิดว่าฉันไม่น่าไว้ใจ จะให้ฉันมาทำงานด้วยทำไม”
ธีภพตัดสินใจพูดหยั่งเชิงพริริสาว่าเขาสงสัยเธออยู่
“คุณเคยได้ยินประโยคนี้ไหม จงเก็บเพื่อนไว้ใกล้ตัว แต่จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัวยิ่งกว่า”
ธีภพแกล้งจ้องพริริสาเขม็ง จนเจ้าหล่อนหวั่นใจ ก่อนจะยิ้มกวนใส่ ทำเป็นไม่เข้าใจ
“คุณพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ”
“คุณไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะผมจะเป็นคนตัดสินเองว่าคุณจะอยู่ในจำพวกไหน”
พูดจบธีภพก็เดินดูสวนต่อ พริริสาเริ่มหวั่นใจแต่ขึ้นหลังเสือแล้ว คงต้องเดินหน้าต่อไป
ถัดมา ธีภพเดินข้ามไม้กระดานท้องร่องนำไปก่อน พริริสาเดินตามมาอย่างเก้ๆ กังๆ โชคร้ายส้นรองเท้าดันติดอยู่กับร่องไม้กระดานเข้าพอดี ชักขาก็ดึงไม่ออกแถมทำได้ไม่ถนัดนัก เพราะกลัวพลัดตกลงไป
ธีภพเห็นพริริสาเงียบไป หันกลับไปมอง
“คุณภพ ฉันเดินไปไม่ได้”
ธีภพเดินย้อนกลับไปหา พบว่าส้นรองเท้าพริริสาติดอยู่กับร่องรู้ไม้ รองเท้ารัดข้อเท้าไว้อีกจึงถอดเองไม่ได้ ธีภพตัดสินใจก้มลงถอดรองเท้าข้างที่ติดร่องให้ พริริสาตะลึงมองอย่างคาดไม่ถึง
พริริสาชักดึงเท้าออกจากรองเท้า ธีภพพยายามดึงรองเท้าที่ติดร่องไม้ออกจนได้ แต่กลายเป็นว่าทำให้ส้นรองเท้าหักไปด้วย พริริสาอยากจะกรี๊ดด้วยเป็นคู่โปรด
“รองเท้าฉัน”
“โทษที สงสัยผมจะดึงแรงไปหน่อย”
ธีภพลุกขึ้นส่งมือให้พริริสาจับพาเดินลงจากท้องร่อง พริริสาเดินกระเผลกๆ ใส่รองเท้าข้างเดียวข้ามไม้กระดานมาได้ เท้าเปล่าของพริริสาก็เหยียบกิ่งไม้แห้งแถวนั้น
“โอ๊ย”
“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่เหยียบกิ่งไม้เข้าเท่านั้นเอง”
“คุณคงเดินเท้าเปล่าไปแบบนี้ไม่ได้แน่”
“ชั้นเดินได้ค่ะ แค่นี้ไม่มีปัญหา”
“แน่ใจนะ”
“ยิ่งกว่าแน่ใจอีกค่ะ สบายมาก”
สุดท้าย พริริสาต้องขึ้นขี่หลังธีภพถือรองเท้าข้างที่ส้นหักไว้ในมือ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ธีภพเองก็เช่นกัน
แบบสร้อยเพชรที่บริษัทจีแอนด์เจสั่งให้บูรพเกียรติทำวางอยู่บนโต๊ะในห้องประชุมแล้ว พนักงานกำลังนับจำนวนเพชรที่อยู่บนสร้อยแบบเดียวกันอยู่ มีกล่องสร้อยเพชรแบบเดียวกันอีกตั้งใหญ่หลายสิบกล่องวางอยู่ข้างๆ เป็นสินค้าที่ส่งไปแล้วแต่เอามาตีกลับ
พนักงานหน้าซีด “เพชรขาดไปหนึ่งเม็ด ทุกเส้นเลยค่ะ”
คณินตกใจ “ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ สินค้าล็อตนี้ใครเป็นคนดูแล
ผู้จัดการอ้ำอึ้ง “เอ่อ...คุณประกิตครับ เขาเป็นคนดูแลก่อนหนีไป ตัวเลขเอกสารที่เรามีกับของคุณลูกค้า ไม่ตรงกัน”
คณินถึงกับกุมขมับ ประกิตทำเรื่องร้ายแรงทิ้งไว้ให้ตนอีกจนได้
“ประกิต”
“ลูกค้าไม่ยอมรับของผิดสเป็กพวกนี้แล้วจะให้ทางเราชดใช้ค่าเสียหายครับส่วนเรื่องออเดอร์อื่นๆ ที่ตกลงกันไว้ เขาก็จะขอระงับไว้ก่อน”
คณินหนักใจเหลือแสน เรื่องแย่ๆ ถาโถมเข้ามากระหน่ำบูรพเกียรติอีกจนได้
ฝ่ายไคซัจเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านสวนด้วยความเป็นห่วงพริริสา สินีเองก็พลอยชะเง้อมองว่าเมื่อไหร่สองคนจะกลับออกมาจากสวนสักที
สักครู่หนึ่ง สินีกับไคซัจมองไปเห็นธีภพให้พริริสาขี่หลังเดินข้ามสะพานเล็กๆ กลับออกมา ธีภพช่วยถือรองเท้าข้างที่ส้นหักอยู่ในมือ
ไคซัจตาวาววับ ไม่พอใจมากๆ พุ่งนำสินีเข้าไปก่อน
“เจ้า...” ไคซัจเกือบจะหลุดปาก “เจ้าหญิง” ออกมาแล้ว
พริริสารีบขึงตาใส่ ไคซัจนึกได้ หยุดกึกปล่อยให้สินีเดินนำไป
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
ธีภพปล่อยพริริสาลงจากหลัง
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ส้นรองเท้าหักน่ะค่ะ เลยเดินลุยสวนออกมาไม่ได้”
“เดี๋ยวปะ...” สินีเกือบหลุดคำว่า “ป้า” ต้องรีบเปลี่ยน “แม่ไปเอารองเท้าคู่อื่นมาให้น่ะ”
สินีเข้าบ้านไป ไคซัจลอบมองธีภพตาขวาง ไม่พอใจ
ธีภพสังเกตเห็นสายตาคู่นั้นที่มองมายังตนอย่างไม่เป็นมิตร แถมไคซัจทำตัวมีพิรุธ ไม่ยอมห่างจากพริริสา และมาดก็ดูไม่เหมือนคนงานในสวน
เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นก่อน ธีภพจึงละสายตาจากไคซัจ
“ครับ...ผมจะรีบไป” ธีภพวางสายหันมาหาพริริสา “เราคงต้องกลับกันแล้ว”
พริริสาเห็นหน้าธีภพเครียดๆ หลังวางสาย ก็แปลกใจ
ธีภพขับรถมาตามทางมุ่งหน้ากลับออฟฟิศด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง พริริสาพอเดาได้ว่าน่าจะเป็นปัญหาใหญ่ ลองถามหยั่งเชิงถาม
“ท่านประธานเรียกประชุมด่วน มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
“เรากำลังมีปัญหากับโฮลเซลล์จีแอนด์เจ” ธีภพหลุดปาก พอนึกได้ไม่ควรพูดเรื่องสำคัญนี้ออกไป “ถึงบริษัทแล้วคุณกลับได้เลยนะริสา ไม่ต้องเข้าประชุมพร้อมผม”
ธีภพขับรถต่อโดยไม่พูดอะไรไปตลอดทาง พริริสาแน่ใจว่าธีภพไม่ไว้ใจตนจึงไม่ให้เข้าร่วมประชุมด้วย
ค่ำนั้นมิราคุยโทรศัพท์มือถืออยู่สักครู่ จึงกดวางสาย แล้วรีบเดินเข้ามาหาพริริสาที่ยืนรออยู่
“ได้เรื่องแล้ว บูรพเกียรติกำลังมีปัญหากับโฮลเซลล์ใหญ่จีแอนด์เจ”
“คุณภพเขาคิดว่ากันฉันออกไป แล้วฉันจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้ เขายังไม่รู้จักฉันดี”
“แน่ละ ถ้าเขารู้ว่าเธอเป็นใคร แผนของเธอคงพังไปแล้วละ”
พริริสาค้อนมิรา
“ตอนนี้บูรพเกียรติกำลังแย่ เธอจะทำยังไงต่อ”
พริริสาไม่ตอบนึกถึงคำพูดของธีภพที่ว่า
“คุณเคยได้ยินประโยคนี้ไหม จงเก็บเพื่อนไว้ใกล้ตัว แต่จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัวยิ่งกว่า”
พริริสาคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้ธีภพสงสัยตนเองมากกว่านี้
อีกฟากกานดาและจินตนารับรู้เรื่องปัญหาบริษัทจากดร.กฤษก็พากันตกใจ
“จีแอนด์เจคืนสินค้าพร้อมเรียกค่าปรับเหรอคะ”
จินตนารีบซักสามี “แล้วมันเท่าไหร่กันคุณ”
“ค่าเสียหายจากสร้อยเพชร รวมค่าปรับก็ร่วมสามสิบล้านได้ นี่ยังไม่รวมที่เขาจะยกเลิกออเดอร์กับเราทั้งหมดอีก” กฤษบอก
จินตนาจะเป็นลม กานดารีบประคองไว้
“คุณแม่” พลางหันไปถามพ่อสามี “เราไม่มีทางแก้ไขเลยเหรอคะ”
“คณินก็คงพยายามอยู่”
จินตนาคร่ำครวญ “แล้วทำไมไม่มีใครไม่บอกฉันเลย”
“คณินอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเองให้ได้ แต่ที่ฉันตัดสินใจบอกคุณหญิงกับกานดาก็เพราะไม่อยากให้ก่อเรื่องยุ่งยากอะไรอีก ถือว่าขอร้องก็แล้วกัน”
กฤษหวังว่าจินตนาและกานดาจะเข้าใจสถานการณ์ครอบครัวมากขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“คุณพ่อพูดเหมือนเราสองคนทำให้บริษัทต้องเจอวิกฤตอย่างงั้นล่ะค่ะ นายประกิตต่างหากที่เป็นงูพิษ หนีไปแล้วแต่ก็ยังคายพิษทิ้งไว้อีก”
“ฉันไม่โทษใคร จะโทษงูที่มีพิษมันก็เท่านั้น เพราะยังไงมันก็เป็นสัญชาติงู ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เรายอมให้มันมาอยู่ด้วยเอง”
พูดจบประมุขบูรพเกียรติก็เดินหนีไป ทิ้งให้กานดาและจินตนาหน้าเจื่อนปนเจ็บใจที่ถูกว่าเป็นต้นเหตุของเรื่อง
คณินนั่งหน้าเครียดดูเอกสารค่าปรับอยู่ ขณะผู้เป็นบิดาเดินเข้ามาหา
“เป็นยังไง พอจะมีทางแก้ปัญหาบ้างไหม”
“ยังไงเราก็ต้องจ่ายค่าปรับเขาไปครับ ติดที่เราไม่มีเงินสดพอจะหมุนไปจ่ายค่าปรับเขาตอนนี้”
“หรือจะขอความช่วยเหลือจากธเนศเขาอีกสักครั้ง”
“อย่าดีกว่าครับ ครั้งก่อนคุณธเนศก็ช่วยไว้มาก เรายังไม่ได้คืนเขาเลย บางทีเราอาจจะต้อง...”
กฤษถามทันที “ต้องอะไร”
“จำนองบ้านหลังนี้” คณินปวดใจเหลือเกินที่ต้องตัดสินใจแบบนี้
กฤษสะท้อนใจ “ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ถ้าเรายอมจ่ายค่าปรับ เขาอาจจะไม่ยกเลิกออเดอร์กับเรา จีแอนด์เจเป็นลูกค้ารายใหญ่ เราจะเสียออเดอร์จากบริษัทนี้ไปไม่ได้หรอกครับคุณพ่อ ตอนนี้เราต้องทำทุกอย่างให้บูรพเกียรติเดินต่อไปได้”
“ถ้ามันจะต้องเป็นอย่างงั้นก็แล้วแต่ลูกเถอะ พ่อให้ลูกดูแลบูรพเกียรติแล้วก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของลูก”
กฤษตบบ่าลูกชายฝากความหวังไว้ ในขณะที่คณินไม่แน่ใจในตัวเองสักนิด
รุ่งเช้า คณินอยู่ในห้องทำงานที่บูรพเกียรติ รับฟังข่าวร้ายจากธีภพด้วยสีหน้าเครียด
“เราจ่ายค่าปรับให้เขาโดยไม่โยกโย้ แต่เขาก็ยังจะยกเลิกออเดอร์งั้นเหรอ”
“ทางจีแอนด์เจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก เขาก็เลยไม่ยอม”
“นี่เราไม่มีทางอื่นเลยหรือไง”
“ก็พอมีครับ คงต้องให้คนกลางช่วยเจรจาให้ เขาน่าจะช่วยเราได้”
คณินฉงน “คนกลาง ใครกัน”
คนกลางที่ว่าคือ คุณวัน ที่ตอนนี้เดินมาพร้อมเลขาคู่ใจ กำลังจะออกไปจากตึกไปแล้ว
“ดิฉันให้คนเอากระเป๋าไปรอที่สนามบินแล้วค่ะ แต่เมื่อสักครู่มีคนโทร.เข้ามาขอพบคุณวันกะทันหัน ดิฉันไม่รู้ว่าคุณจะรีบไปเลย...”
“ให้เขารอผมกลับมาจากฝรั่งเศสก็แล้วแล้วค่อยนัดกันใหม่”
“ค่ะ”
คุณวันเดินออกไปขึ้นรถ เลขาเดินตามไปส่งที่ประตูทางออก
รถจอดรออยู่หน้าตึก คนขับรถรีบเดินมาเปิดประตูให้
ธีภพ และ คณิน เพิ่งมาถึงเดินมาจากอีกด้าน เลขาเห็นรีบเข้าไปต้อนรับ
“คุณคณินกับคุณธีภพใช่ไหมคะ”
“ใช่”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีคุณวันติดธุระด่วน ออกไปสนามบินแล้วค่ะ ดิฉันกำลังจะติดต่อไปพอดี ยังไงรบกวนนัดกันใหม่อีกครั้งนะคะ”
“แล้วคุณวันจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ประมาณเดือนหน้าค่ะ”
คณินตกใจมาก “เดือนหน้า ผมรอไม่ได้หรอกนะ”
ธีภพและคณินรีบร้อนออกมาที่หน้าตึก เผื่อจะทันได้เจอคุณวัน แต่รถแล่นออกไปแล้ว
รถของคุณวันกำลังจะออกไปยังถนนใหญ่แล้ว จู่ๆ พริริสาก็ก้าวพรวดออกมายืนขวางทางรถไว้
คนขับรถตกใจร้องลั่น “เฮ้ย”
คุณวันเองก็ตกใจ คนขับรถรีบเบรกอย่างแรง รถเกือบชนพริริสาชั่วเส้นยาแดงผ่าแปด ร่างพริริสาล้มลง ธีภพและคณิน มองไปเห็นเหมือนพริริสาถูกรถชนก็พากันตกใจ
“ริสา”
ไม่นานต่อมา คณินและคุณวันเดินออกมาจากห้องทำงาน เลขาเดินตามหลังมา คณินและคุณวันจับมือกัน ดูออกว่าตกลงกันได้ด้วยดี
“ขอบคุณคุณวันมากนะครับ ที่ยอมเลื่อนไฟลท์เพื่อคุยกับผม แล้วยังจะช่วยคุยกับทางจีแอนด์เจให้”
“เลขาคุณลงทุนเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น ถ้าผมไม่ช่วยก็จะใจร้ายใจดำไปนะครับ คุณนี่โชคดีจริงๆ มีพนักงานที่รักองค์กรขนาดนี้ แสดงว่าบูรพเกียรติต้องมีความหมายมากจริงๆ เขาถึงยอมเสี่ยง”
คณินยิ้มรับเอาคำ เขาเองก็รู้สึกขอบคุณพริริสาไม่น้อย
“ยังไงผมก็ต้องขอบคุณจริงๆ ครับ”
ห่างออกหน่อย พริริสาในสภาพมีแผลถลอกที่ข้อศอกเล็กน้อย ธีภพติดพลาสเตอร์ให้บ่นเอาว่า
“ลงทุนเกินไปหรือเปล่าคุณ เกิดถูกรถชนขึ้นมาจริงๆ จะทำไง”
“คุณก็พาฉันไปส่งโรงพยาบาลสิ”
ธีภพมองดุพริริสา ดูออกว่าเป็นห่วงเธอจริงๆ ไม่ได้พูดล้อเล่น
พริริสาเสียงอ่อนลง “ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ท่านประธานจะได้พบคุณวันเหรอคะ”
“แล้วคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“ฉัน” พริริสาอ้างไปว่า “ถามพี่ศจีน่ะค่ะ รู้ก็เลยรีบตามมาคิดว่าน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
คณินมีสีหน้าสบายใจชัดแจ้ง ขณะเดินเข้ามาหาสมองคน
“เธอช่วยเราได้เยอะจริงๆ ริสา”
ธีภพละตัวจากพริริสาเข้ามาถาม “คุณวันยอมช่วยเราใช่ไหมครับ”
“ใช่ ต้องขอบใจเธออีกคนที่ช่วยแนะนำเรื่องคุณวัน ฉันก็ลืมคิดไปว่าคุณวันกำลังจะขึ้นเป็นนายกสมาคมผู้ค้าอัญมณี เขาต้องช่วยเราได้ โชคดีจริงๆ ที่บูรพเกียรติมีเธอสองคน”
คณินเข้ามาจับบ่าธีภพและพริริสาเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณจากใจจริง พริริสาลอบมองพ่อด้วยความรู้สึกสับสนหนัก ความโหยหาพ่อ กับเพลิงแค้น กำลังฟาดฟันกันอย่างรุนแรงอยู่ในใจ
ธีภพลอบมองสายตาที่พริริสามองคณินอย่างคลางแคลงใจ
อ่านต่อตอนที่ 5